ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้ทำการทดสอบโดยการ "อยู่-ย้าย" ไปมาระหว่าง "ผู้เห็น-ผู้โดด"

    +++ แล้วพิสูจน์ทราบให้ได้ว่า ณ ขณะที่ "ผู้เห็น เห็น ผู้โดด" สถานการณ์รอบข้างทั้งหมด (Atmosphere Environment ทั้งหมด) นั้น สัจจธรรม อยู่กับ "ผู้เห็น หรือ ผู้โดด"

    +++ และ นัยยะกลับกัน ในขณะที่ "ผู้โดด เห็น ผู้เห็น" สถานการณ์รอบข้างทั้งหมด นั้น สัจจธรรม อยู่กับ "ผู้โดด หรือ ผู้เห็น"

    +++ เอาแค่ "ปรากฏการณ์เดียวตรงนี้" หากไม่ได้อยู่ ณ ขณะที่ฝึกและเดินจิตในปัจจุบัณขณะ ก็จะ "สับสนมึนงง" แน่นอน

    +++ ไม่ต้องไปนับเอากับ "ผู้ที่เข้ามาอ่านเฉย ๆ โดยไม่รู้เรื่องการฝึก" รับประกันได้เลยว่า พออ่านถึงตรงนี้แล้ว "อาการประสาทกลับ เกิดขึ้นแน่นอน"

    +++ เอาแค่ประโยคแรกที่ "อยู่-ย้าย" ระหว่าง "ผู้เห็น-ผู้โดด" ตรงนี้ "ผู้ที่ฝึกอยู่ ย่อมทำได้"

    +++ จากนั้นเมื่อ ย้ายไปยังผู้โดดแล้ว และหยุดอยู่ (ผู้ที่ฝึก ย่อมทำได้ และจะ "รู้รอบตลอด" ว่า สัจจธรรมในขณะนั้น เป็นอย่างไร)

    +++ และนัยยะกลับกัน ก็จะ รู้รอบตลอด ในขณะจิตที่ โดดกลับมา

    +++ ตรงนี้ หากฝึกใน แฮ้งค์เอ้า ก็จะสามารถทำการ "สอบจิต ประกบจิต ผู้สอนจะเห็นตามที่ผู้ฝึกเห็น ทุกประการ" และสามารถ "ระบุการเดินจิต" ได้ภายในไม่กี่ วินาที

    +++ แต่หากปรารถนาที่จะฝึกแบบ โพสท์ ถาม-ตอบ แบบนี้ ก็ลอง "ประเมินแบบคร่าว ๆ" เอาว่า "ปรากฏการณ์เดียวตรงนี้" จะใช้เวลาเท่าไร จึงจะฝ่าด่านนี้ไปได้ นะครับ
     
  2. rakjung2524

    rakjung2524 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +17
    ขอเวลาศึกษาอีก 1 อาทิตย์ครับอาจารย์ พอดีผมไปไล่อ่านดูแล้ว การรู้สึกตัว 100% ผมยังทำผิดอยู่เลย ยังกำหนดชีพจรไม่ได้ทั่วพร้อมทั้งร่างกายครับ ขอผมไล่อ่านสัก1 อาทิตย์ผมจะสมัครแฮงเอาท์คับ ขอบคุณมากครับที่รับผมเป็นศิษย์
     
  3. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    เมื่อคืนผมนอนแล้วร่างมันหลุดไปอีก ร่างกายจะเป็นแบบนี้บ่อยๆทุกๆ ตี 1 หรือ ตี2 แต่เมื่อคืนแปลกกว่าเดิมนิดหนึ่ง ครั้งนี้มองไม่เห็นภาพอะไรเลย ท่านธรรมชาติบอกว่า "มองไม่ชัดก็ไม่ต้องพยายามไปเพ่ง เพราะยิ่งเพ่งสติเรายิ่งหดตัว"

    พอล้มตัวนอนลงนึกถึงอารมณ์ที่เคยร่างหลุดไป มันกลับหลุดออกทันทีๆที่หลุดก็ยังทำความรู้สึกทั่วตัวต่อไป ร่างเหมือนดีดลอยไปบนฟ้าสูงขึ้นรู้สึกถึงลมที่ประทะตัว มันดีดสูงขึ้นเรื่อยๆไปบนฟ้า ทุกอย่างข้างหน้ามืดมิดมองไม่เห็นอะไรทั้งๆที่ลืมตาอยู่ ใจมันคิดนึกไปเองอีกว่าถ้าลอยมาบนฟ้าก็ต้องเห็นดาวสิแต่ไม่มีดาวเลย (ไม่พยายามสนใจมาก ปล่อยให้เป็นไปไม่เห็นก็ไม่เห็น) รู้สึกว่าคงสภาวะการหลุดนี้ได้นานกว่าครั้งไหนๆ ไม่เคยออกไปนานแบบนี้มาก่อน ก็เลยปล่อยให้เป็นไปอีกไม่ห้ามร่างกาย รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ และแอบทำสมาธิไปด้วยระหว่างที่ร่างมันลอยขึ้นไปเรื่อยๆ มันรู้สึกดีจัง นานมาก ปากมันเริ่มจะฉีกยิ้มเอง หูก็ได้ยินเสียงต่างๆเขามาแทรกตลอด ด้วยความอยากรู้อยากฟังว่าเขาพูดอะไรกันแต่ก็จับประเด็นคำพูดไม่ได้ เป็นเสียงคนคุยกันสองคนในโทรศัพท์ เสียงที่อยู่ไกลเหมือนฟังอยู่ใกล้ๆชัดอยู่แค่หูข้างใดข้างหนึ่งของเรา ฟังไปด้วยร่างกายก็ดีดไปสูงเรื่อยๆ แล้วก็ดึ่งลงมาต่ำอย่างรวดเร็ว เสียวมากๆ มันไม่มีวัตถุอะไรปิดกัันทั้งนั้นเหมือนโลกนี้มันกลวง มีแต่ลมกับความเวิงว้าง เหมือนเข้าไปในหลุมใหญ่ๆที่ไม่มีขอบเขต โดนสูบลงไป มืดไปหมด ใจมันก็เกิดหวั่นไหวอีก จะลงไปใต้ดินหรือขุมไหนเนี่ย ใจเริ่มไหว เป็นอยู่ในสภาวะนี้สักพักหนึ่ง รู้สึกว่า"พลัง หรืออารมณ์ที่เป็นอยู่นี้" (ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร) มันกำลังจะหมด และกำลังจะกลับไปแล้ว มันก็ดีดกลับมาบนเตียงเหมือนเดิม

    การทำความรู้สึกทั่วตัวทำให้เรารู้ถึงลิมิตพลังของเราและกำหนดได้ถ้าว่าเราต้องการจะออก หรือจะหยุดแช่ไว้ หรือจะกลับเข้าร่างได้ใช่ไหมครับ ทำให้อยู่ในอาการนั้นได้นานๆ ใช่หรือป่าว สรุปว่าเมื่อคืนไม่ได้อะไรเลยได้แต่การฝึกการรู้สึกตัว :boo: :'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2016
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถูกต้อง การเพ่ง นอกจากจะทำให้ สติหดตัวลงแล้ว ยังทำให้ "วิสัยทัศน์" แคบลง รวมทั้งยัง "บดบังญาณทัศนะ" อีกด้วย (ตอนนี้ยังไม่เข้าใจหรอก เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งแล้ว ถึงจะเข้าใจตรงนี้ได้ ขั้นต่ำ ต้องเข้าใจในระดับ ขันธ์ประธาน แตก ขันธ์บริวาร ที่ตรงกันกับสภาวะของ "สะหะชาตะปัจจะโย" ในมหาปัฏฐานสูตร ขึ้นไป)

    +++ คราวหน้า เมื่อถึงตรงนี้ "ในขณะที่ ถอดกายออกไปแล้ว" ให้ฝึก "เพิ่ม-ลด ความรู้สึกตัว" ในขณะที่ยังไม่กลับเข้าร่าง จะได้อะไรดี ๆ อีกมาก

    +++ ตรงนี้แหละ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า "ตน อยู่ที่ใด สภาวะธรรม ย่อม อยู่ที่นั่น แม้ว่าจะไม่ใช่ ภูมิมนุษย์ก็ตาม" ทั้งหมด ชี้ขาด ที่ความเป็น "ตน" เท่านั้น

    +++ ตรงนี้ ก็เป็นเครื่องระบุชี้ได้ว่า "ไม่สามารถ มโนเอาเอง ได้เลย" เพราะหากเป็น "มโน" เมื่อไร "ดาวมันต้องปรากฏออกมา ตามที่มโนเอาเอง ตามธรรมชาติของมโน" แต่ตรงนี้เป็นการ "ถอดกาย ไม่ใช่ มโน" ดังนั้น ความจริงเป็นอย่างไร มันก็ย่อม เป็นอย่างนั้น ตรงนี้ "ถูกต้องแล้ว"

    +++ ตรงนี้ "ดีมาก" ที่สามารถ "มีสติ แล้วฝึกสมาธิได้ ในระหว่างถอดกาย" ตรงนี้ไม่นานก็จะรู้ได้ว่า "แม้ไม่มีกายเนื้อ (ตายไปแล้ว) ก็ยังฝึกต่อได้" และตรงนี้เอง "ถ้าได้นิสัย ก็จะ ปิดอบายได้อย่างอัตโนมัติ" ต่อเมื่อเข้าใจอย่าง แจ่มแจ้งแทงตลอด ในเรื่องของ "กาย" เมื่อไร เมื่อนั้นย่อมพ้น "สักกายะทิฐิ" ได้เอง แล้วจะ "ปิดอบาย" ได้อย่างถาวร

    +++ ตรงนี้ ต่อไป "ให้ รู้ เอาไว้เฉย ๆ" แต่คอยสำเหนียกถึง "ความเข้าใจ ที่มีต่อเสียงที่ปรากฏเข้ามานั้น" ตรง ความเข้าใจนี้แหละที่เรียกว่า "เจโตปริยะญาณ" มันจะค่อย ๆ เป็นมาเอง

    +++ หลักสูตร "การมุดหลุมดำ" นี้ มีอยู่ในกลุ่มฝึกทุกกลุ่ม ที่ผมสอน เรื่อง "มุดหลุมดำ" นี้ เป็นเรื่องใหญ่ ที่ทุกคนจะต้องผ่าน อดีต-อนาคต ทั้งหมด "อยู่ในหลุมนี้" หากออกนอกหลุม (วิมุติญาณทัศนะ) ก็จะสามารถออกศึกษาในเรื่อง กาลอวกาศ ที่เป็น อจินไตย ได้ทั้งหมด รวมทั้งสามารถ ไขปริศนา ที่มีกล่าวไว้ใน พระไตรปิฏก อีกด้วย

    +++ ตรงที่ "รู้สึกว่า"พลัง หรืออารมณ์ที่เป็นอยู่นี้" (ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร) มันกำลังจะหมด และกำลังจะกลับไป" ตรงนี้ คือ "อยู่ใกล้ จุดถอนจิต ที่มีอยู่ในหลุมดำ แล้ว กลับสู่กายเนื้อในปัจจุบัณขณะ" หลักสูตรตรงนี้ ผมสอนใน แฮ้งค์เอ้า จะไม่สอนในกระทู้ เพราะเป็นเรื่องที่ "ต้องฝึกแบบ สอบจิตในปัจจุบัณขณะ แต่เพียงอย่างเดียว เท่านั้น" ไม่สามารถฝึกเอาเองในกระทู้ได้

    +++ การฝึก "ทำความรู้สึกตัว" นั้น จะต้องฝึกจนถึง "ควบคุมความรู้สึก ได้ดั่งใจปรารถนา จนเป็นนิสัย" จากนั้น จึงจะค่อย ๆ รู้ได้ว่า "เนื้อสภาวะ ของความรู้สึกตัว แต่ละสภาวะ จะให้ผลไม่เหมือนกัน"

    +++ จนกว่าจะรู้ได้ว่า "เนื้อสภาวะ ของความรู้สึกตัว จะเป็น สภาวะของ สัมปะยุตตาธรรมา ของแต่ละ ภูมิ"

    +++ ฝึก เนื้อสภาวะได้ดีจนเป็นนิสัย "ย่อมสามารถเลือก ภูมิ ได้ดั่งใจปรารถนา แม้ว่าจะ ปราศจาก กายเนื้อไปแล้ว (ตาย)" นั่นเอง (ปิดอบาย)

    +++ ตรงนี้ "ใช้ภาษายังไม่ตรง" ภาษาจริง ๆ คือ "ฝึกการรู้สึกตัวอย่างเดียวเท่านั้น ทุกอย่างมันก็ ได้มาเอง" จริงมั้ยครับ
     
  5. rakjung2524

    rakjung2524 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +17
    ผมได้นั่งทำความรู้สึกตัว แล้วร่างกายเกิดโยกโคลง จึงถามแฟนที่อยู่ใกล้ๆว่า ร่างโยกมั้ย แฟนบอกว่าโยก แล้วพอโยกไปสักพัก อาการเหมือนวูบๆ แล้วหูเหมือนได้ยินชัดขึ้น ตัวเหมือนโตขึ้นลิ้นหนา ปากหนา ผิวหนังหนา ไม่รู้สึกถึงการโยกหรือร่างไม่โยกแล้ว ในขณะนี้ มีแค่ความคิดสำรวจร่าง ไม่ส่งนอก อยู่ในสภาวะนี้สักพัก ก็คลายออกมา ร่างกายโยกเหมือนเดิมครับ

    ถ้าเกิดสภาวะนี้แล้วเราควรทำยังไงต่อไปครับอาจารย์
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ 1. ในขณะที่ "กายโยก" ให้ทำความรู้จัก "ฐาน"

    +++ ในขณะที่ ร่างโยกโคลง อยู่นั้น หากมีอาการ "เพลิดเพลิน" ปรากฏอยู่ ก็ให้ "เข้าไปอยู่ในอาการ เพลิดเพลิน ได้เลย" ตรงนี้เป็นการ เข้า-ออก ในระดับ "ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน"
    +++ ให้ "ย้าย ไปมา" ระหว่าง กายที่โยกอยู่เฉย ๆ กับความ เพลิดเพลิน ตรงนี้เป็นการ "อยู่-ย้าย ไป-มา" ระหว่าง "กายานุปัสสนา กับ ธรรมานุปัสสนา"
    +++ ในระหว่าง อยู่กับ "กาย" ก็จะมี "สติรู้ชัด" ทั่ว สรรพพางกาย และมี "สติเด่นชัดอยู่" ส่วน ในระหว่าง อยู่กับ "ความเพลิน" ก็จะมี "สติเด่นชัด" เท่าเทียมกัน
    +++ ตรงนี้ ให้ฝึกเพื่อ "รู้จัก ฐานกายา กับ ฐานธรรมารมณ์" ให้ชัดเจนว่า ฐานไหนเป็นอะไร

    +++ 2. ในขณะที่ "กายโยก" ให้ทำความรู้จัก "ฌาน"

    +++ ในขณะที่กายโยกอยู่ แล้วเข้าไปอยู่กับ "เพลิน" (ฌาน 2) ก็ให้ปล่อยไว้อย่างนั้น ครู่หนึ่ง ความเพลิน จะเปลี่ยนเป็น "สุขกายสบายใจ" (ฌาน 3)
    +++ จากนั้นให้ฝึก สลับกัน ไป-มา ระหว่าง ความเพลิน กับ ความสบาย ตรงนี้ เป็นการฝึก "เบื้องต้น" ของการเปลี่ยน ฌาน
    +++ ในขณะที่ สลับไปมาระหว่าง ธรรมารมณ์ นั้น ให้สังเกตุด้วยว่า "เนื้อกายของตน" ระหว่าง "เพลิน กับ สบาย" นั้น หยาบ-ละเอียด ต่างกันอย่างไร
    +++ จากการสังเกตุความ หยาบ-ละเอียด ที่ต่างกันได้ ก็จะทำให้รู้จักได้ว่า "ตัวฌาน หรือ เนื้อของฌาน" นั้นเป็นอย่างไร
    +++ หากสังเกตุให้ดี ๆ ก็จะรู้ได้ว่า "เนื้อธรรมารมณ์" ที่แปรเปลี่ยนไปมานั้น คือ "เนื้อของตัวเราเอง" ในอีกสภาพหนึ่ง ที่ไม่ใช่กายเนื้อ นั่นเอง
    +++ ตรงนี้ ผมจึงเรียกมันว่า "กายธรรมารมณ์" และบางที่ก็เรียกมันว่า "ตัวฌาน หรือ เนื้อฌาน" ไปตามสถานการณ์
    +++ ส่วนการ "กำหนดจิต อยู่-ย้าย" นั้น การกำหนด คือ "วิตก" ส่วนการ ย้ายไปอยู่ คือ "วิจารณ์" ตรงนี้เป็นอาการของ ฌาน 1 อยู่แล้ว
    +++ ส่วนการ "เดินจิต" ไปมาในระหว่างทั้งหมด จัดว่าเป็น "วสี" เบื้องต้น
    +++ ในท่อนนี้ ให้ทำตรงนี้ให้ได้ก่อน จึงจะต่อในระดับต่อไปให้

    +++ 3. ในขณะที่ "ร่างทั้งร่าง เกิดอาการ หนา" หรือ ใหญ่โตกว่ากายมนุษย์ ให้ทำความรู้จัก "กายเวทนา"

    +++ ให้สังเกตุให้ชัดเจนว่า ในขณะที่เกิด "กายหนาใหญ่โตกว่าปกตินั้น" มันก็คือ "กายเราเอง ตัวเราเอง" ในอีกสภาพหนึ่ง ที่ไม่ใช่ "กายเนื้อ"
    +++ กายตัวนี้ เต็มไปด้วย "ความรู้สึก" เต็มไปด้วย "การรับรู้" ที่ต่างไปจาก "กายมนุษย์ตามปกติ" ซึ่งเกินความสามารถในชั้น "กายเนื้อ" ไปอย่างมากมาย
    +++ กายตัวนี้ ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา" อันเป็น "กายพลังงาน" อีกรูปหนึ่ง ที่มีความ "เป็นตน" ที่ชัดเจน และสามารถ "ถอดออกจากกายเนื้อได้"

    +++ 4. ในขณะที่เป็น "กายเวทนา" ให้รู้จัก "กาย 100"

    +++ ในขณะที่เกิด "ความรู้สึกตัวทั่วถึงทั้งกาย" ให้สังเกตุดูว่า "เราสามารถ เร่ง-ลด ความรู้สึกทีเดียว ทั้งกาย ได้"
    +++ ให้ฝึกปรับระดับ "กายเวทนา" โดยตั้งไว้ว่า เมื่อ "เร่งความรู้สึกให้เพิ่ม เข้มข้น หนาแน่น" เต็มที่และไม่สามารถจะเพิ่มไปมากกว่านั้นได้อีก ให้กำหนดตรงนั้นเป็น 100%
    +++ และในทางกลับกัน ให้ "ผ่อนลด ความรู้สึกทั้งตัวลงจนไม่เหลือ แม้แต่เพียงนิดเดียว" ตรงนี้กำหนดให้เป็น 0%

    +++ 5. ในขณะที่รู้จัก "กายเวทนา" แล้ว ให้รู้จัก "กายต่าง ๆ"

    +++ ในขณะที่เป็น "กายเนื้อปกติ" ให้สังเกตุว่า มีกายเวทนาแฝงอยู่กี่ % แล้วให้ทำความเข้าใจที่ % ตรงนี้ว่า "กายมนุษย์" มีความเป็นอยู่ และ ธรรมารมณ์แวดล้อม เป็นอย่างไร
    +++ ในขณะที่ เพิ่มกายเป็น 50% ความเป็นอยู่ และ ธรรมารมณ์แวดล้อม เป็นอย่างไร รวมทั้ง ทรรศนะ + วิสัยทรรศ ทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร
    +++ ในขณะที่ เพิ่มกายเป็น 100% ความเป็นอยู่ และ ธรรมารมณ์แวดล้อม เป็นอย่างไร รวมทั้ง ทรรศนะ + วิสัยทรรศ ทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร
    +++ ในขณะที่ ลดกายเป็น 0% ความเป็นอยู่ และ ธรรมารมณ์แวดล้อม เป็นอย่างไร รวมทั้ง ทรรศนะ + วิสัยทรรศ ทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร

    +++ ในขณะที่รู้ "เนื้อกาย" แบบ % ต่าง ๆ นั้น ให้สังเกตุด้วยว่า การปรับกายทั้งหมด คือ "การปรับภูมิ" ไปในตัวด้วยหรือไม่
    +++ เมื่อ "ชำนาญ" ไปเรื่อย ๆ ก็จะชัดเจนได้เองว่า อะไรเรียกว่า "ภูมิ" และอะไรเรียกว่า "ภพ"
    +++ ให้สังเกตุเรื่อย ๆ ว่า ในขณะที่ "กายอยู่ในภูมิต่างกัน" ทัศนะคติต่าง ๆ ย่อมอยู่ในลักษณะของ "สุคติ-ทุคติ" ต่างกัน
    +++ ทำให้ชำนาญในกายทุก ๆ % ก็จะรอบรู้ในเรื่องของ "อบายภูมิ-สบายภูมิ และ ทุคติ-สุคติ" ทั้งหมด รวมทั้งสามารถ ไป-มา ในภูมิและคติต่าง ๆ
    +++ ตรงนี้ทั้งหมดเรียกว่า "สักกายะทิฐิ" และในขั้นตอนนี้เรียกว่า "การเรียนรู้ สักกายะทิฐิ"
    +++ ผู้ที่ "ไม่เคยเรียนรู้ และ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นกาย" จะมาบอกว่า "พ้นสักกายะทิฐิ" นั้น ย่อม "เป็นไปไม่ได้เลย" ตามความเป็นจริง นะครับ
     
  7. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    ความรู้สึกที่ได้มาฝึกกรรมฐานกับอาจารย์ธรรม-ชาติ
    ..........ก่อนที่จะมาเจออาจารย์ นับไปปี 2010 เราได้เจอพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สายหลวงปู่มั่น ท่านได้เทศนาอบรมสิ่งที่ขัดข้องที่ติดอยู่ในใจเรา เหมือนท่านสะกิดนิดเดียวเราจึงเริ่มหันมาปฏิบัติธรรม เริ่มจากนั่งสมาธิสายพุทธ-โธก็ว่าได้ การนั่งครั้งแรกของเราเกิดปีติก็ว่าได้ นั่งได้ครั้งที่ 3-4 เกิดตัวโยก ก็นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง ติดขัดอะไรก็ไปถามท่าน ก็ได้คำตอบที่ติดขัดต่างๆเรื่อยมา
    .............จนกระทั่งเดือนกันยายน ปี 2013 เรานั่งสมาธิแบบจริงจังนั่งทุกวัน วันละชั่วโมงขึ้นไปอาจจะหลายรอบพอเดือนธันวาคม เกิดความรู้สึกขึ้นชนิดหนึ่งแบบแปลกๆ ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเดินอยู่แล้วตัวลอยๆ ถามใครก็ไม่มีใครตอบได้ คนที่คิดว่าเก่งธรรมะที่สุดที่ชักชวนเราปฏิบัติธรรม ก็ตอบไม่ได้เพราะเค้าไม่เกิดเคยอาการนี้ เคยเกิดอาการเบื่อสุดๆ เบื่อโลก อาการมองร่างกายตัวเองแล้วรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ตัวเรานะ มันไม่ใช่เลย ของทุกอย่างที่มีต้องคืนโลกไปมันไม่ใช่ของเรา
    ............ตอนที่นั่งสมาธิอยู่ก็เกิดอาการเหมือนเรานั่งอยู่บนแท่นสูงเหนือหลังคาบ้านออกมา สูงมากๆ ฌานที่เค้าได้กันเหมือนเราได้ตลอดในเวลานั่งสมาธิ
    .............ต่อมาประมาณวันมาฆบูชาปี 2014 เราเลยอธิษฐานในสมาธิต่อพระพุทธเจ้าว่าขอให้ธรรมเราก้าวหน้าด้วยเถิดเพราะเหมือนไม่ไปไหน จะเข้าวิปัสสนาทำยังไง ฌานนี่ได้จนเบื่อละ เลยได้อาการความรู้สึกตัวเพิ่มมากกว่าเดิม ตามเคยไปถามใครก็ไม่มีใครตอบได้ เค้าหาว่าเราแปลกมนุษย์ไปอีก แต่เรารู้สึกว่าเราทำหนัก ทำมาก เราทุ่มสุดตัวเพราะเราไม่อยากเกิดอีกแล้ว และมั่นใจในทางที่เดิน
    ...........ไม่นานจึงเริ่มเข้ามาหาคำตอบในเน็ตทั้งพันทิป ทั้งในเว็บพลังจิตไปเรื่อยๆ เพิ่งรู้จักว่ามีเว็บนี้แฮะ 5555 ก็ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจ เข้ากูเกิ้ลอีกรอบ พิมพ์อาการที่เราเป็น อาการของเรามันไปตรงกับที่อาจารย์พิมพ์ในหน้าแรกของกระทู้ ก็สิงสถิตแบบแอบอ่านเรื่อยมา ไม่คิดจะโพสต์เข้ามาถามด้วยเพราะไม่ค่อยชอบติดต่อกะใครทางเน็ต ไม่เคยโพสต์ถามอะไรใครทางเน็ต พออ่านไปสักพักเริ่มมั่นใจว่าตอบเราได้แน่เพราะลักษณะการตอบอาจารย์ตอบแบบเป็นขั้นเป็นตอนพูดละเอียดกว่าคนอื่น เหมือนจะรู้อาการที่เราเป็นเป็นอย่างดี ก็เลยลองโพสต์เข้ามาถาม ไม่เสียหายอะไรนี่นา และก็ได้รับคำตอบที่ละเอียด
    .............มา ณ ปัจจุบันถึงได้รู้ว่าตอนที่อาจารย์ตอบคำถามมีการเข้ารู้มาตอบมีการแผ่สภาวะเย็นมองเห็นได้ตอนนอนคลุมมาด้วย 55555 (แต่ก็ไม่เคยบอกอาจารย์นะว่าเห็นแบบนี้) ท่านก็ให้การบ้านไปทำ เพิ่ม ลด ตรึง แช่ ต่างๆ ในหน้าแรกนั่นและ ก็โพสต์เข้ามาถามเรื่อยมา ได้รับคำตอบพร้อมการเดินจิตขั้นต่อไป (เออ อาจารย์รู้แฮะว่าเราเป็นแบบนี้)
    ................ช่วงสิ้นปี 2014 อาจารย์มีนัดฝึกก็เสียดายว่าอาจไม่ได้ไป แต่สุดท้ายก็ได้ไปฝึกที่แปดริ้ว 4 วัน กรุงเทพฯ ที่สวนจตุจักร 1 วัน ระยะเวลาเพียงแค่นี้เราได้จิตเปล่งรังสี แบบนั่งอยู่บนดอกบัวที่มีฐานลอยขึ้นเหนือดอกบัวอีก ซึ่งมันเฉลยคำตอบหลายๆอย่าง ซึ่งอาจารย์ (เริ่มเรียกอาจารย์ก่อนหน้านั้นเรียกในเว็บว่าพี่ อิอิ) บอกว่าเราเป็นพุทธภูมิขนานแท้ ดั้งเดิม อาจแกะไม่ออก กำลังใจหดเลย แต่ก็ไม่ย่อท้อ จะขอเกาะอาจารย์ไปเรื่อยๆเพราะมั่นใจว่าตรงทางแน่นอน การฝึกมิใช่อบรมเทศนาสั่งสอนแต่มันคือการเดินจิตล้วนๆ เจอเอง รู้เอง ไม่เฉลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กันยายน 2016
  8. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    (ต่อ) ความรู้สึกที่ได้มาฝึกกรรมฐานกับอาจารย์ธรรม-ชาติ

    ..........เดือนกุมภาพันธ์ 2015 ได้ไปฝึกอีกรอบแต่สถานที่เดิมและวัดที่แพลนไว้ไม่ว่าง จึงเปิดคอนโด เพียงแค่ระยะเวลา 4-5 วันที่คอนโด ทำให้ตัวเราเปลี่ยนไปตลอดกาล โลกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราอีกแล้ว สิ่งที่แบกมานับชาติไม่ถ้วนมันจบลงแล้ว สิ่งที่เราตามหามันจบแล้ว เมื่อกลับมาบ้านก็ได้เจอคนมาอนุโมทนาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากที่เปลี่ยนเป็นคนละคนนี้การรู้มันค้างอยู่หลายเดือน จนคนที่เห็นเราบางคนเริ่มมองไม่ดี เพราะเราไม่ค่อยพูด รู้มันไม่มีอะไรจะพูด
    ..................หลังจากนั้นก็ติดต่อในไลน์เป็นกลุ่ม คุยสภาวะอาการกันต่างๆ อาจารย์เริ่มฝึกกลุ่มใหม่และสิ่งที่พวกเราจะเรียนรู้ต่อไปคือ ใบไม้นอกกำมือตามที่พุทธองค์ได้กล่าวไว้ หรือภาคขากลับตามที่อาจารย์ได้เขียนไว้ นี่ก็ 1 ปี แล้ว นับจากวันที่ 6 ก.ย. 2015 จากการได้ไปเจออะไรต่างๆมากมายไม่เคยเห็นมาก่อน ได้คบ ได้พบ ได้มีเพื่อนมากมายน่าคบหา นิสัยน่ารักๆ ขัดกับบุคลิกหน้าตา อิอิ ทุกคนจริงใจมีความเป็นเพื่อน ผู้ช่วยเหลือ ผู้อาวุโส ปรึกษาหารือได้เต็มที่ สภาวะธรรมสูงกว่า จิตใสกว่า สว่างกว่ามนุษย์ในโลกนี้นัก
    ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าบางอย่างทำไปทำไม จนเมื่อ 2 ปีล่วงผ่านมานับจากการฝึกต่อหน้าครั้งแรก สภาวะที่ทำทั้งหมดชัดแล้วสิ่งที่จะทำนับจากนี้คือสืบต่อพระพุทธศาสนาของตถาคตให้อยู่ถึง 2,500 ปี โดยการช่วยอาจารย์ทำสิ่งต่างๆ สอนรุ่นต่อๆไป แต่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า “ธรรมที่ท่านค้นพบนั้นยากยิ่งที่มนุษย์ผู้มีกิเลสหนาจะทำได้จนท่านท้อใจ”
    ...........ดังนั้น สภาวะธรรมที่เราเจอมันยากยิ่งที่จะอธิบายให้คนที่ไม่ได้เดินจิต หรือทำมาไม่ถึงตรงนี้ฟังเข้าใจได้ เพราะมันละเอียดลึกซึ้งมาก ทำให้มนุษย์ผู้ที่ทำไม่ได้ ตนทำไม่ถึง กล่าวว่าไม่มีคนธรรมดาทำได้หรอก ตนทำไม่ถึง ผู้อื่นจะถึงได้อย่างไรเล่า หุหุหุ ก็คิดเลยว่ามนุษย์ที่เกิดในสมัยพุทธองค์บางคนเจอท่านแล้วก็ยังเฉยๆ บางคนด่าท่านด้วยซ้ำ กำหนดที่ไปให้ตัวเองยังไม่รู้ตัวอีก
    ..........สภาวะนี้ไปคุยกับพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบท่านนั้น กลายเป็นเรื่องสนุกๆคุยกันเล่นๆเพราะท่านก็ผ่านมันมาแล้ว (เส้นผมท่านเป็นพระธาตุแล้ว) ไปที่วัดพระป่าสายหลวงปู่มั่นที่ไหนก็ไม่เคยมีพระท่านพูดว่าคนธรรมดาทำไม่ได้ มีแต่ท่านบ่นพระ เณรที่ไม่ตั้งใจปฏิบัติว่าชาวบ้านจะแซงเอา เคยน้อยเนื้อต่ำใจว่าเกิดเป็นผู้หญิงทำไม ไม่เกิดเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายถึงจะบวชพระได้ แต่ความคิดตั้งแต่เด็กๆผิดถนัด และพระท่านก็ย้ำนักย้ำหนาทำไมเราจะบรรลุธรรมไม่ได้ล่ะ
     
  9. Amysassygirl

    Amysassygirl สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ธรรมชาติเช่นกันค่ะ ..

    แรกเริ่มเลยได้ฝึกขั้นเข้ากาย 100 กับลูกศิษย์ของอาจารย์ก่อนจากคลับหนึ่งใน app beetalk อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ (24-30 มิถุนายน 2558) ช่วงแรกๆ ปรับลดเปอร์เซ็นต์ยังไม่ค่อยได้ หลังจากนั้นก้อป่วยต้องแอดมินเข้า รพ อยู่ 10 วัน (1-10 กรกฏาคม 2558) ระหว่างที่ป่วยเนื่องจากเกลือแร่ในเลือดต่ำ ต้องให้น้ำเกลือจนกว่าระดับจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ .... ขอเล่าย้อนหลังนิดนึงก่อนมาเริ่มฝึกค่ะ ... ก่อนหน้าร่างกายจะเพลียมาก จนถึงขนาดกล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินไม่ได้ ต้องให้เกลือแร่จนระดับปกติ อาการก้อจะหายไป...แต่พอมาเริ่มฝึกการเข้ากาย 100 ปรับระดับตาม % ต่างๆ เราเปลี่ยนจากการจับความรู้สึกที่กายเนื้อ มาอยู่กับกายเวทนา...อาการอ่อนเพลียเหมือนไม่มีแรง เริ่มหายไป จนไม่รู้สึกว่าเพลียเลย...ขนาดต้องแอดมิดนอน รพ ถึง 10 วัน นี่ถือว่าอาการหนักมากค่ะ แต่ครั้งนี้เป็นการเข้า รพ ที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองป่วยเลยค่ะ ...ตลอด 10 วันที่นอน รพ. ฝึกการเข้ากาย ปรับ เพิ่ม ลด ตรึง แช่ ที่ % ต่างๆจนคล่องขึ้นเพราะทำแทบจะตลอดเวลาก้อว่าได้ แม้กระทั่งตอนกำลังจะหลับ และหลับไปแล้ว..รู้สึกเลยว่าการฝึกนี้ มันสุดยอดจริงๆ ชอบๆ นี่ขนาดยังแค่พื้นฐาน ยังไม่ได้เริ่มต้นไปไหนไกลเลย..

    หลังจากออกจาก รพ. ...เราก้อชินกับการอยู่กับกายเวทนา กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม...ทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัยใหม่เลยค่ะ

    จนกระทั่งได้มีโอกาสพบและฝึกกับอาจารย์ต่อหน้าเป็นครั้งแรก...วันนั้นตื่นเต้นมาก (15 สิงหาคม 2558) ดีใจได้เจออาจารย์ซักทีหลังจากฟังพี่ๆ เขาเอ่ยถึงหลายครั้ง...แอบประหม่า เพราะว่า เป็นผู้ฝึกใหม่คนเดียวไปกับพี่ๆ ที่เขาฝึกจนถึงขั้นเลยเราไปไกลแล้ว..อาจารย์ก้อให้เข้ากาย 100 เข้าเฉย สลับกับกาย 0 กาย 50 และกายระดับอื่นๆ ให้สังเกตุสภาวะในแต่ละระดับ สังเกตุความเป็นตน...จนถึงให้เข้ากาย 100 แล้วทำรู้คลุมกาย 100...แล้วสังเกตุความเป็นตนอีกครั้ง...ก้อเริ่มเข้าใจที่ว่า "ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ค่ะ ^_^

    หลังจากครั้งแรก ก้อมีนัดฝึกครั้งต่อๆ ไป... ไปบ้านพี่ในกลุ่มที่ฝึกบ้าง ไปฝึกที่สวนรถไฟบ้างแล้วแต่เวลาและโอกาสค่ะ ... ก้อได้ฝึกขั้นแอดว้านแบบพื้นฐานค่ะ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง....อาจารย์ก้อสอนว่า ได้คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ เห็นคือเห็น ไม่เห็นคือไม่เห็น...เป็นการฝึกที่ไม่มีการมโนว่าได้ ว่าเห็น ....

    เคยมีโอกาส ได้ฝึกร่วมกับผู้ฝึกที่มีความสามารถ แล้วได้ติดตามเขาไป ถามคำถามกับพระพุทธองค์...ว่าเราฝึกอย่างไร จึงจะสำเร็จ ท่านให้คำตอบว่า "รู้ตามจริงเท่านั้นพอ" "ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยความเพียร"...ไม่ว่าจะเปลี่ยนคำถามเจาะลึกลงแค่ไหน ท่านก้อตอบสั้นๆ เหมือนเดิม...ทำให้เราได้คำกับตัวเองว่า ธรรมะ ก้อคือ ความจริงแท้ๆที่ปรากฏ นั้นเอง ^^

    ณ ปัจจุบัน อาจารย์ก้อยังมีฝึกใน conference room ผ่าน hang out... ก้อเข้าฝึกบ้าง ส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าบ้าง อิอิ...ไม่ได้เข้าแต่หนูก้อฝึกสภาวะที่อาจารย์สอนสม่ำเสมออยู่นะคะ อาจารย์...ต้องปรับความขยันให้มากขึ้น จะพยายามเข้าให้บ่อยๆ ขึ้นค่ะ...อยากไปต่อแล้ว

    ขอบพระคุณอาจารย์ที่ชี้ทางค่ะ
     
  10. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    ถ้านั่งสมาธิไม่ได้ ไม่ชอบนั่ง และนั่งไม่ได้นานเหมือนท่านอื่นๆ อีกทั้งมีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังคด ทำได้เฉพาะเวลานอน จะสามารถไปร่วมฝึกกับคนอื่นๆ ได้อย่างไรครับ :'(
     
  11. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    อาจารย์ไม่เคยเน้นให้ต้องนั่งนานๆ ที่เมิลฝึกผ่านมาก็ไม่เคยต้องนั่งสมาธินาน ๆ บอกเลยว่าไม่มีเวลานั่งสมาธินานๆ เมิลเริ่มฝึกกายเวทนาในชีวิตประจำวันนะแหละ ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอน แปรงฟัน อาบน้ำ นั่งมอเตอร์ไซด์ ยืนรอรถไฟฟ้า เดิน นั่ง ทำงาน พิมพ์งาน ประชุม จนหลับไปคือการฝึกอยู่กับกายเวทนา ในระดับต่าง ๆ ฝึกแบบนี้จะเห็นธรรมเฉพาะหน้าได้ดี และเห็นผลจากการฝึกได้เลยจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนจากข้างในมาสู่ข้างนอก
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เรื่องพวกนี้ ทุกอย่างขึ้นกับ "โอกาสและจังหวะ ที่เปิดตัวอยู่ เมื่อวงจรผ่านพ้นไปแล้ว วงจรในการฝึกของบุคคลนั้น ๆ ก็จะปิดตัวลงไปเอง"
    +++ ใครฝึกได้เท่าไร ก็คือเท่านั้น ตรงนี้ทุกคนในวงการฝึกสามารถ "รู้ได้ด้วยตนเอง" ในเรื่องของ ขณะที่วงจรการฝึก "เปิดตัว" กับวงจรการฝึก "ปิดตัว"
    +++ ผู้ที่สามารถติดตามการฝึกอยู่เสมอ "จะทราบได้เป็นอย่างดี" ว่าแต่ก่อนในขณะที่ไม่ได้ใช้ conference room นั้น ในยามที่วงจรการฝึก "ปิดตัว" นั้น มันปิดสนิทจริง ๆ ไม่มีใครได้ฝึกเลยแม้แต่คนเดียว
    +++ ดังนั้นการเปิดการฝึกใน hang out จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ วงจรการฝึก สามารถเปิดได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผมไม่ว่าง ก็จะมีบุคคลที่ "ฝึกจบแล้ว" มาช่วยฝึกให้ เพียงแต่ "ความชำนาญในการใช้ภาษา" อาจแตกต่างกันไปบ้าง เท่านั้นเอง
    +++ ปกติการฝึกจะมี หลัง 3 ทุ่ม บางครั้งก็ 4 ทุ่มขึ้นไป จนถึงเที่ยงคืน
    +++ แต่คนที่จะต้อง "ตื่นเช้ามาก ๆ อาจไม่สะดวก" เพราะการนอนไม่เพียงพอ ก็ต้องค่อย ๆ หาโอกาสเอา นะครับ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ มหาสติปัฏฐาน 4 คือการ "ดำรงค์สติมั่น" การที่บุคคล "มีสตินั้น" ไม่ได้มีสติเฉพาะเวลา "นั่ง" เท่านั้น ทุกคนสมควรที่จะ "มีสติตลอดเวลา" เท่าที่จะทำได้
    +++ การฝึก "มหาสติ" เบื้องต้นก็มีแค่ "รู้ตัว+รู้สึกตัว" เมื่อถึงขั้นหนึ่งแล้ว จึงไปถึงการฝึก "รู้จิต+รู้สึกจิต" ตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับ "อุปสรรคทางร่างกาย"

    +++ ส่วนการ "ร่วมฝึกกับคนอื่น" นั้น ใช้การ "เดินทางมาฝึก โดย อินเทอร์เนต" โดยไม่ต้อง แบกภาระสังขารของร่างกาย มาด้วยเลย
    +++ การฝึกจะใช้การ "เดินจิต เข้า-ออก ตามสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายใน กาย+จิต ของผู้ฝึกเป็นหลัก"
    +++ เมื่อชำนาญแล้ว จึงฝึก "เดินจิต เข้า-ออก ตามสภาวะธรรม ที่เป็นสากล และ ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ ภายใน กาย+จิต ก็ได้" (ตรงนี้แล้วแต่ "วาสนา" ของผู้ฝึกแต่ละคน ที่ไม่เท่ากัน)

    +++ ให้ดูลักษณะการฝึกของ "เมิล" ก็จะรู้ได้เลยว่า นั่นเป็นการฝึกจนถึงระดับที่ เป็นไปตามธรรมชาติ นั่นเอง นะครับ
     
  14. ถวาย

    ถวาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +4,484
    อาการซาบซ่านแบบขนลุกทั้งตัว เวลาตั้งใจให้ขึ้นมาทั่วกายได้นี่ใช่การทำความรู้สึกตัวไหมครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เป็น "ความรู้สึกตัว ชนิดหนึ่ง" ที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" มีรายละเอียด ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้

    +++ อาการซาบซ่านแบบขนลุกทั้งตัวนั้น "เป็นผลลัพธ์" ที่มาจาก "การเร่ง" ความรู้สึกทั้งตัว

    +++ ในขณะที่ "อาการซาบซ่านแบบขนลุกทั้งตัว" ปรากฏนั้น หากมี "สติรู้ตัวและอาการชัดเจน" ตรงนี้เรียกว่าเป็นอาการของ "สัมปชัญญะ"

    +++ ในขณะที่ "อาการซาบซ่านแบบขนลุกทั้งตัว" ปรากฏนั้น หากมี "อาการนี้ เป็นอารมณ์เด่นอารมณ์เดียว" เรียกว่าเป็น "ปิติในฌาน 2"

    +++ ในขณะที่ "อาการซาบซ่านแบบขนลุกทั้งตัว" ปรากฏนั้น หากมี "สติสัมปชัญญะ ชัดเจน แจ่มใส รู้ชัด และทรงตัวอยู่ได้มั่นคง" ผมเรียกมันว่า "สติครองฌาน 2"

    +++ ในเวลาที่ "ตั้งใจให้ขึ้นมาทั่วกายได้" และทำได้สำเร็จ (บังคับให้ ขนลุก) ตรงนี้เรียกว่า "การเดินจิต สู่ ฌาน 2" หรือ "การเดินจิตเข้าสู่ สัมปชัญญะ" ก็ได้
    =================================================
    +++ ในเวลาที่ "เดินจิตเข้าสู่ ปิติ" หากใช้คำพูดเผิน ๆ จะเรียกว่า "ทำความรู้สึกตัว ก็ได้"
    =================================================
    +++ แต่อาการจริง ๆ ตรงนี้นั้น จะเกิดขึ้นตาม "ขั้นตอนของ วาระจิต" ดังนี้

    +++ 1. เริ่มกำหนด จะ "รู้ตัวก่อน" ตรงนี้เรียกว่า "รู้ตัว" นอกกายเนื้อ
    +++ 2. จากนั้น "จิตจะ อยู่ ในกายเนื้อ" ตรงนี้กลายมาเป็น "รู้สึกตัว"

    *** อาการที่ 2 นี้ ควรจะทำให้ได้ตรงตามบทสวดที่ว่า "ตะจะปริยันโต" มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ (ข้างนอก ส่วนความเป็นตน อยู่ข้างใน คล้ายกับการ "ใส่ชุดประดาน้ำ")

    +++ 3. เมื่อได้ "ความรู้สึกทั้งตัว" แล้ว ให้ "เร่ง" เพิ่มความรู้สึกนั้น ให้ "พร้อมเพรียงทั้งตัว ในวาระเดียวกัน" อาการขนลุกทั้งตัว จะเกิดขึ้นมาเอง ตามอัตราการเร่ง
    +++ 4. เมื่อ "ขนลุกทั้งตัวปรากฏ" ก็ให้ "อยู่" อย่างนั้น หากมันเริ่มจางคลายตัวลง ก็ให้ "เร่งซ้ำ" มันใหม่ อาการขนลุกก็จะปรากฏเด่นชัดดังเดิม

    *** ตรงข้อที่ 4 นี้ เรียกว่า "การฝึกประคองจิต ในสัมปชัญญะบรรณ" ซึ่งจะประกอบไปด้วย "สัมปชัญญะ 4 ประการ" ให้สังเกตุให้ดี ๆ ถึงอาการต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ใน "กระทู้นี้ ในหน้าที่ 18 โพสท์ที่ 350" จากนั้นให้ "เลือกที่จะ อยู่" ในอาการต่าง ๆ เพื่อทำความ "คุ้นเคยกับอาการของ สัมปชัญญะ 4 ปิติ 5 ข้างใน ฌาน 2" นี้ให้ชำนาญ นะครับ
     
  16. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    ขอถามคุณ nilakarn ว่า
    วัชรยานตามความหมายของคุณ nilakarn คืออย่างไรคะ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ โพสท์นี้ของคุณ nilakarn เป็นโพสท์ที่มี "เจตนาเพ่งโทษ และ เจตนาที่จะเข้ามา ป่วน กระทู้ในการฝึกฝนมหาสติปัฏฐาน 4 โดยตรง" ไม่มีเจตนาอื่น

    +++ แม้คำพูดจะเป็นแบบ "ยินดีด้วยครับ คุณธรรมชาติ ขออนุโมทนา" ต่าง ๆ ก็ตาม มันก็เป็นแค่ "รูปแบบเฉย ๆ" แต่เจตนาจริง ๆ นั้น "มุ่งร้ายทั้งหมด"

    +++ คุณ nilakarn พยายาม "อวดอ้าง อรูปฌาน (แต่เขียนเป็น อรูปญาน) อันเป็น ธรรมที่ไม่มีในตน" แล้ว พยายามเอา "โลกธรรมของ วัชรยาน" เข้ามา "ป้ายสี ใส่กระทู้นี้"

    +++ ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า คุณ nilakarn นั้นค่อยข้างจะ "ติงด๊อง และ ปัญญาอ่อน อยู่บ้าง" ผมพยายามกล่าวเตือนไวเว่า เป็นบุคคลที่ "ซื่อ ๆ ทื่อ ๆ" แต่ปัจจุบัณ ดูท่าจะมี "อกุศลจิต" เป็นองค์ประกอบค่อนข้างจะเต็มตัวแล้ว ค่อย ๆ สังเกตุกันไปนะ คน ๆ นี้เป็น Case Study ได้อีกกรณีหนึ่ง

    +++ ข้อสังเกตุง่าย ๆ ในการโพสท์ของคุณ nilakarn มีดังนี้

    +++ 1. กล่าวหาว่ากระทู้นี้เป็น "สัทธรรมปฏิรูป" โดยไม่ได้แหกดาดูเลยว่า กระทู้นี้ "สอนมหาสติปัฏฐาน 4 สำหรับผู้ฝึกใหม่" ส่วนผู้ที่ "ผ่านมหาสติปัฏฐาน 4 มาแล้ว" กระทู้นี้ก็สอน "มหาปัฏฐานสูตร (อ่านเพิ่มเติมใน วิกิพีเดีย มหาปัฏฐานสูตร)" เพิ่มเติมให้ ส่วนของคุณ nilakarn นั้นพยายามสอน "อรูปฌาน" ที่ตนเองก็ยัง "ฝึกไม่ได้" แต่อยากสอนจนตัวสั่น หลาย ๆ คนเคย "เตือนแล้ว แต่ไม่ยอมฟังทั้งสิ้น"

    +++ 2. พยายาม "ป้ายสีว่า เป็น วัชระยาน แบบโลก ๆ" ทั้ง ๆ ที่ตัวของ nilakarn เองก็ไม่รู้จักว่า "วัชระยาน จริง ๆ คืออะไร"

    +++ 3. nilakarn เกิดอาการ "อิจฉาตาร้อน" ที่กระทู้นี้ "มีผู้เข้ามาฝึกฝนหลายรุ่น" โดยที่ไม่ได้ "ดูตนเองเลยว่า" จิตของตนนั้นกำลังเดินสวนทางกับ "พรหมวิหาร 4" แต่ใช้ "วาจาบิดเบือนให้ดูเหมือนเท่านั้น" แต่จิตข้างในกลับร้อนระอุด้วยธรรมารมณ์ของ "อิจฉา ริษยา ซึ่งไม่นานก็จะพัฒนาไปเป็น อาฆาต พยาบาท"

    +++ 4. อาการที่ "จิตส่งออก คือ สมุทัย" ของ nilakarn ในขณะนี้ คือตัว "อิจฉา+ริษยา" (แบบละครน้ำเน่า) ซึ่งอาการนี้จะทำให้ "แม้แต่ ฌานธรรมดา ก็เกิดขึ้นไม่ได้ อย่าว่าแต่ อรูปฌานเลย"

    +++ 5. ใช้คำพูดว่า "นักวิปัสสนาแถวบ้านเรา จะเข้าใจได้น้อย เข้าใจได้ยาก" นั้น นักวิปัสสนา แบบของ nilakarn คือพวกที่ใช้วิธีของ "อ่านแล้วคิด (ท่องจำ แล้ว มโนเอาเอง ซึ่งเป็น "การศึกษาแบบทางโลก")" และเป็นวิธีที่ ตรงกันข้ามกับ "การฝึกในกระทู้นี้ ที่เป็นแบบฉบับของ การอ่านแล้วทำ" (ระบุวิธีอย่างไร ก็ เดินจิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นลักษณะโดยตรงของ "นักปฏิบัติ")

    +++ 6. กระทู้นี้ "สอนจาก ประสบการณ์อภิญญา โดยตรง ที่ผู้สอน ผ่านมาด้วยตนเอง และ ผู้ที่เข้ามาเรียน ก็ได้ประสพการณ์จากการ เรียนรู้ด้วยตนเอง" ส่วน nilakarn ไม่เคยมี "ประสบการณ์อภิญญา" ตามชื่อที่ห้องนี้ ระบุเอาไว้เลย แต่พยายามเ "เข้ามาป่วน เข้ามาสอน ตามภาค ทฤษฏี ที่ตนคิดเอาเองมโนเอาเอง ทั้งหมด"

    +++ คุณ nilakarn สมควร "ระวังตัวเอาไว้ด้วย" หากเข้ามา "มั่ว" ในห้องนี้บ่อย ๆ โดยที่ไม่เคยมี "ประสบการณ์อภิญญา" ตามหัวข้อของ "ห้องนี้" ระวังจะโดน "แบน" เอาได้ง่าย ๆ นะ จะบอกและเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะว่า "MOD ของห้องนี้ รู้ชัดเจนว่า ใครของจริง และ ใครของปลอม"

    +++ ประการสุดท้ายที่จะระบุไว้ตรง ๆ ก็คือ กระทู้นี้ เป็นกระทู้ "ฝึก" ไม่ใช่กระทู้ "เล่านิทาน" ดังนั้น กระทู้นี้จะเหมาะกับ "ผู้ที่ต้องการ ฝึกฝนจริง ๆ เท่านั้น" และไม่ใช่กระทู้พวก "แสดงความคิดเห็น" แต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้น พวกที่ชอบเข้ามา "แสดงความคิดเห็น ป่วน กระทู้" มีสิทธิที่จะโดน MOD จัดการเอาได้ง่าย ๆ นะครับ
     
  18. rakjung2524

    rakjung2524 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +17

    อาจารย์ครับ รบกวนช่วย อธิบาย กายเวทนา ในชีวิตประจำวันด้วยครับ เพราะผมไม่สามารถแยกแยะ กายปกติ และ กายเวทนาได้เลยครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    add hangout และสามารถ "ฝึก" ได้เลย นะครับ
     
  20. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    มาส่งการบ้าน+และเล่าสิ่งที่พบมาเมื่อคืนครับ
    เมื่อคืนล้มตัวลงนอนแต่ไม่ได้จับความรู้สึกทั่วกายเพราะรู้สึกง่วงมากครับเป็นเวลาตีสอง ไปจับความรู้สึกที่หูแทน เพ่งไปไว้ที่หูทั่งสองข้าง ค่อยฟังเสียงความเงียบไปเรื่อยๆ ทุกอย่างนิ่ง จิตเป็นสมาธิแล้วกายหลุดออก แต่หลุดออกไม่ทั่วครับ ลุกไม่ขึ้น ตื่นที่หัวอย่างเดียว หูได้ยิน ตาเปิดแล้ว พยายามสักพักถึงจะถอดออกทั่งตัว ถอดได้ปุ๊ปร่างกายก็เด้งหมุนขึ้นบนฟ้าเหมือนที่เคย ได้สัมผัสกับกระแสลมผ่านร่างกาย เป็นลมที่มีความสุขอยากสัมผัสไปนานๆ ระหว่างนั้นก็ค่อยมองดูสังเกตุร่างกายตัวเองไปด้วย จนเมื่อร่างตกลงมาบนพื้น ทุกอย่างนิ่งเงียบสนิท สถาพรอบข้างเหมือนปกติ มืดมิดแต่ยังมองเห็น เหมือนคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงครับ ยังเห็นเค้าโครงของสิ่งต่างๆ หูก็ได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงเข้า แต่แปลกที่เป็นเพลงค่าน้ำนม และเสียงแปลกกว่าเด็กธรรมดาคือร้องแบบฮาร์ดคอๆไม่พอใจ เขาร้องอยู่ไม่ไกล จิตเรารู้สึกรำคาญเหมือนทำให้สมาธิเราไปจดจ่ออยู่ที่เสียงเขา (เสียงดัง และร้องไม่เพราะ) คิดสงสัยว่าดึกขนาดนี้คนเขาหลับกันหมดทำไมร้องเพลงดังขนาดนี้ รู้สึกรำคาญที่มากวนสมาธิ แต่ว่า...ทำไมต้องเพลงนี้ด้วยนะ ใจมันเริ่มรู้สึกกลัวๆคนที่ไหนจะมาร้องเพลงค่าน้ำนมตอนตีสองนะ แล้วจู่ๆภาพไปโกกัสเห็นเด็กน้อยเจ้าของเสียงร้องเป็นร่างเล็กๆดำตะคุ้มๆอยู่ที่หน้าประตูมุงลวดหน้าห้องแต่เข้ามาไม่ได้พยายามตะกายมุ้งลวด ผลักประตูอยู่ในท่าคลาน เห็นเค้าโครงทุกอย่างชัดแต่ไม่เห็นหน้า ผมพยายามโพกัสหน้าก็มองไม่เห็น (นึกขึ้นมาได้อีกแล้วกับคำพูด "อย่าเพ่ง") ปกติเราก็อยากเห็นหน้าคนที่มาเพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาดี หรือมาร้ายเอาไว้ก่อนใช่ไหมครับ เขาบอกว่า "ขอโทษนะ" ใจรู้ว่าน้องขอโทษเพราะทำเสียงรบกวน ผมกำลังจะสื่อให้เขาว่าไม่เป็นไร ไปเถอะอย่าเข้ามาเลย
    ***ท่านธรรมชาติเวลาเราพูดสสื่อสารไป แต่เหตุใดทำไมจึงไม่มีเสียงออกมา ถึงจะมีก็เป็นแค่เสียงที่เบาๆมาก เบากว่าเสียงกระซิบ แต่เขาเข้าใจได้ และผมลองทดสอบไม่พูด แต่เราส่งความรู้สึกเป็นคำพูดออกไปจากใจแทนเสียงเขาก็เข้าใจมันได้เหมือนกัน+ใช้มือแสดงท่าทางไปพร้อมๆกันด้วย ผมเลยโปกมือไล่ไปประมาณว่าอย่าเข้ามาเลย น้องเขาก็บอก "ขอโทษ" อีก ใจผมก็ส่งออกไปยิ้มๆว่า "ไม่เป็นไร" พร้อมกลับโปกมือว่าไม่เป็นไร แต่น้องเขามาในห้องได้ทันที!!!! ตรงมาที่ผมไวมาก ใจผมกลัวมาก กลัวเขมาทำร้าย แต่ทำใจดีสู้ พยายามเป็นมิตรกับเขา พยายามรู้ตัวว่านี้ไม่ใช่กายที่มีเลือด มีเนื้อนะไม่ตายหรอก แค่เป็นโปร่ง ไม่เป็นไหรอก (คิดไปถึงนั้นด้วยความไม่รู้) แต่มันก็ยุงกลัวอยู่ดี ไม่รู้ทำไมต้องมีความกลัวอยู่นะ สงสัยจัง
    จากนั้นก็ได้สื่อสารกับเขาใกล้ๆ แค่เราคิด คำพูดมันก็ไปถึงเขา ใจมันก็รู้เองว่าเราคุยอยู่กับคนชื่ออะไร ถามอายุน้องๆ บอก อายุ 1ขวบ ก็ตกใจ 1 ขวบจริงๆหรอ ผมยกนิ้ว 1 นิ้ว น้องตอบ "อือ" มองหน้าใกล้ๆเห็นแต่ตาน้องขาวๆ ยิ่งกลัว 1 ขวบทำไมพูดได้ ใจมันบอกไม่ไหวแล้วแค่นี้พอก่อนคิดไปล่วงหน้าไม่รู้ว่าอยู่นานกว่านี้จะเกิดอะไรขึ้น พยายามทำความรู้สึกกาย นึกถึงร่างที่นอน ก็ดึงความรู้สึกกลับ แอ๊ะ!!! มันทำได้บังคับกลับได้ทันทีแล้วววว.....รู้ตัวบนที่นอนทันที
    ที่เจอนั้นทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่างเลย หลายครั้งที่ชอบเจอเด็กๆ ครั้งนี้ได้สื่อสาร เป็นก้าวที่ดีขึ้นใช่ไหมครับคุณธรรมชาติ ขอรับคำชี้แนะด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...