เมื่อฝึกสมาธิแล้วปวดหัวปวดตา คลื่นไส้ มีวิธีแก้ดังนี้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Apinya Smabut, 23 สิงหาคม 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ถ้าทำสมาธิแล้วปวดหัวปวดตา
    แสดงว่าไปเพ่งโดยบังคับกล้ามเนื้อตาและใบหน้าเวลาฝึกสมาธินั่นเอง
    เช่น ถ้าฐานสมาธิของเราตั้งไว้ที่ปลายจมูก
    คือ เราไปเพ่งความรู้สึกไปที่ปลายจมูก
    และเราเผลอขยับลูกตาและกล้ามเนื้อใบหน้าไปด้วย

    นานไปจะทำให้เรา ปวดหัว ปวดตา มาก
    เพราะไปบังคับกล้ามเนื้อตาและใบหน้ามากเกินไป

    ยิ่งสมาธิมากก็ยิ่งปวด ยิ่งสมาธิเข้มข้นก็ยิ่งปวด
    เพราะเราไปบังคับตาและใบหน้าของเราไว้ตั้งแต่แรก

    ให้แก้โดยเอามือทั้งสองประสานกันที่ด้านหลังศรีษะ
    และค่อย ๆ กดศรีษะลงมาที่หน้าอก เหมือนกับตอนที่เราซิดอัพ
    เพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสาย ค้างไว้สักพักจนหายปวด


    เมื่อหายปวดแล้ว ก็ให้ตั้งฐานของจิตไว้ที่อื่น
    เช่น ทีกลางอก หัวใจ หรือ ศูนย์กลางกาย
    แล้วแต่ถนัด

    และที่สำคัญห้ามไปบังคับกล้ามเนื้อลูกตา หรือ กล้ามเนื้อใบหน้า ของเราเด็ดขาด

    ไม่ว่าจะตั้งฐานของจิตไว้ที่ไหนก็ตาม ไม่งั้นจะปวดอีก
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    วิธีที่แนะนำมา ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ
    ถือว่า มีเจตนาดีในการถ่ายทอดประสบการณ์
    แต่เด่วขออนุญาติช่วยเสริม เพราะว่ามันยังไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ
    เทียบได้เหมือนเราปวดศรีษะขึ้นแล้วไปทานยา
    แล้วไปนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อนั่นหละ

    แต่วิธีที่ดีกว่า คือ ทำอย่างไรเพื่อที่จะไม่ส่งเสริม
    หรือเป็นเหตุให้เกิดอาการปวดศรีษะ มึน แน่น จุก ตึง ตุ๊บๆได้อีก
    ส่วนอาการคลื่นไส้ เป็นแค่ผลพวงต่อเนื่องมาจาก
    การปวดศรีษะ ปวดตา เฉยๆ เมื่อแก้ที่ต้นเหตุได้
    อาการที่ว่าก็จะไม่เป็นอีก......


    ให้จำเอาไว้ว่า เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือเจริญสติ
    อะไรก็ตาม ให้เพียงแค่ทำความรู้สึกรับรู้ ว่ามีลม
    หายใจเข้า และลมหายใจออก หยุดอยู่ที่ปลาย
    จมูกเราเท่านั้น และให้หายใจให้ลึกถึงท้อง
    คือ พูดง่ายๆ หายใจเข้าให้ท้องพองเลย
    แรกๆมันไม่เป็นก็ดันๆไปก่อน และหายใจออก
    ก็ให้ท้องยุบไปเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
    ห้ามๆๆๆ ไปตามลมหายใจเป็นอันขาด เพราะการไปตามลม
    มันเป็นการส่งออก ตัวจิตจะส่งตัวไปตามลมหายใจนั้นๆ
    เป็นเหตุให้ ชาตินี้ทั้งชาติ ระดับสมาธิเราจะไม่มีวัน
    เกินปฐมฌานแน่นอนครับ.......แล้วระลึกรู้ลมที่ปลายจมูก
    อย่างไร และดันลมหายใจเข้าออกอย่างไรถึงจะไม่เป็น
    การตามลม.....

    ง่ายๆคือ ลองเอานิ้วชี้มาไว้ปลายจมูกก่อนก่อนและให้ลอง
    หายใจเข้า ถ้าเรารู้สึกว่า ลมหายใจนั้นมันกระทบนิ้วเราอยู่
    ตลอดจนกระทั่งท้องเราพอง และพอเราหายใจออกก็ยัง
    รู้สึกว่าลมกระทบนิ้วเราอยู่ตลอดเวลา นี่คือระบบหายใจที่ควร
    ซึ่ง มีความสำคัญมาก และเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ
    ในการเข้าถึงกรรมฐานกองต่างๆทุกๆกอง
    รวมทั้ง การยกพัฒนาระดับสมาธิด้วย

    ที่ฝึกสมาธิกันมาแสนนาน ที่ฝึกกรรมฐานแล้วฝึกอีก
    ผ่านมาแล้วหลายปี แต่ไม่สำเร็จซักอย่างเลย
    ก็เพราะส่วนหนึ่ง มาจากพื้นฐานการหายใจตรงนี้
    เรายังไม่ดีพอ เรามองข้ามตรงจุดนี้นั่นเอง.....


    และพอรู้แล้ว ค่อยเอานิ้วออก ให้มาระลึกรู้สึกที่ปลายจมูกก็พอ
    เพราะปลายจมูกเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ในการสร้างสติทางธรรม
    สติทางธรรมไม่ใช่ สติแบบทางโลก สติทางธรรมเป็นตัว
    ที่จะคอยควบคุม ความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิต
    เมื่อควบคุมความคิด พฤติกรรมของจิตได้ กาย วาจา
    ก็จะเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมาเท่านั้น
    และมันเป็นเครื่องมือทางนามธรรม
    การสร้างเครื่องมือตัวนี้ ที่ดีที่สุด
    ก็คือ สร้างตรงตำแหน่งที่นามธรรม(ลม)เข้าและออก
    อยู่ใกล้กับร่างกายมากที่สุด เพราะเป็นอุบายในการ
    ตัดกายและนามธรรมให้แยกจากกันได้ใกล้ที่สุด
    ชัดเจนที่สุด ต่ำแหน่งนี้จึงเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด
    ในการสร้างสติทางธรรมที่เป็นนามธรรมนี้
    และใกล้เคียงกับธรรมชาติระหว่างกายกับลม
    ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเป็นปกติ..นั่นเอง จบเรื่องลม

    ที่นี้เรื่องตา รู้ไหมสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เราเกิดอาการ
    ปวด ตึง แน่น ตุ๊บๆ บริเวณอื่นๆ เพราะว่าส่วนหนึ่ง จิตมันเผลอไป

    ดึงความคิดจากสมองเข้ามาร่วม (ซึ่งสมาธิเราจะไม่ใช้ความคิดตรงนี้นะครับ
    แม้กระทั่งในขณะที่วิปัสสนาเพราะจะกลายเป็นวิปัสสนึก)

    เพราะโดยธรรมชาติของลูกนัยต์ตานั้น เพียงแค่เราเหลือบซ้าย
    นิดเดียวมันจะไปดึงความคิดในอดีตขึ้นมาทันที

    (ว่างลองสังเกตุในกระจกดูถ้านึกอดีตมันจะขยับไปซ้ายทันที)
    และแค่เพียงเราเหลือขวานิดเดียว มันจะทำให้เราสร้าง
    ความคิดใหม่ขึ้นมาได้ทันที (สังเกตุเวลาเราคิดงานคิออะไรใหม่
    ตามันจะขยับไปทางขวา)
    และมันเร็วมาก ถ้าเราไม่สังเกตุ

    เราจะไม่รู้ทันตรงนี้ ดังนั้นในขณะทำสมาธิเราต้องมาแก้ตรงนี้ก่อน
    ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการสร้างความคิดหรือไปดึงความคิดไปใช้
    สมองอย่างที่เราคาดไม่ถึง ย้ำว่า มักจะคาดกันไม่ถึง

    แบบง่ายๆเลยนะครับ
    เห็นสายตาของพระพุทธรูปไหมครับ นั่นหละ
    ถ้าหลับตานั่งสมาธิให้โน้มสายตา
    มองมาที่ตรงกลางลิ้นปี่
    แต่ถ้าใครถนัดลืมตา ลูกนัยต์ตาต้องนิ่ง
    และมองไปตรงๆนะครับ เพราะว่ามันสัมพันธ์
    เกี่ยวกับการมองเห็นนามธรรมต่างๆ
    เพราะใช้ตาปกติเป็นสะพาน แต่ไม่ได้ใช้งานมัน
    ตรงนี้ยังไม่เข้าใจไม่เป็นไร เล่าให้ฟังไว้ก่อน...


    เอาแค่สองกิริยานี้ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องการวางฐานของจิตอะไร
    ว่าจะต้องอยู่ส่วนไหนของร่างกาย
    จนกระทั่ง จิตเรามันคลายจากความคิด คลายจากอารมย์ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมได้
    ก่อนจนกระทั้งจิตมันแยกได้เป็น ๓ ส่วน คือ ตัวจิตมัน ตัวความคิด ตัวอารมย์
    มันก็จะเห็นฐานของจิตได้ของมันเอง พอจิตมันแยกได้แล้ว
    อนาคตเราจะเอาไปไว้ตรงไหนที่กายเพื่อฝึกอะไรเฉพาะก็ได้หมด
    ที่สำคัญก็คือ ต้องฝึกจนกระทั่ง มันแยกมันเห็นได้เป็น ๓ ส่วน
    อย่างที่บอกชัดเจนก่อน หรือที่เค้าเรียกว่า แยกรูปแยกนามนั่นหละครับ
    เพราะถ้าแยกตรงนี้ยังไม่ได้ เราจะยังไม่เห็นความคิดที่ตัวจิต
    มันยกขึ้นมาหรือความคิดที่มาจากตัวมันเอง
    เป็นเหตุให้เรา ยังวิปัสสนาหรือเดินปัญญาอะไรจะยังไม่ได้ผล
    มันจะเป็นแค่วิปัสสนึก และจะไม่เพียงพอในการยกระดับสมาธิของเรา
    เป็นเหตุให้เราช้าถึงช้ามาก ในการไต่ระดับสมาธิ
    ช้ามากมายถึง หลายปี หลายเดือน และหลายๆปี หรือไม่ได้เลยนะครับ

    ส่วนนั่งไป ถ้าง่วง ก็ไปหาอะไรอย่างอื่นๆทำก่อน
    แต่รักษาลมหายใจให้เหมือนตอนนั่งไว้ หายง่วงค่อยมานั่งต่อ


    ส่วนถ้าสัปหงก ก็เพียงแค่อย่าลืมตา เพราะลืมตาสภาวะเรา
    จะกลับมาสู่แบบปกติ การนั่งสมาธิมันเหมือนการลดคลื่นความถี่สมองลง
    พอลืมตาปุ๊บมันก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม เผลอๆนั่งต่อเราจะหงุดหงิดเอง
    แล้วให้ค่อยๆจัดระเบียบร่างกายให้ปกติซะ.....


    ส่วนถ้าใครนั้น แล้วปวดหลัง ให้ลองมาดูท่าทางในการนั่งหน่อย
    เป็นไปได้ ก็นั่งท่าขัดสมาธิเพชรซะ หรือนั่งท่าทั่วไป มันย่อม
    มีการทับเส้นแล้วปวดเป็นธรรมดา ถ้ารู้สึกให้ผ่อนคลายบ้าง
    เปลี่ยนอริยบทบ้าง

    ส่วนใครนั่งแล้ว เรื่องราวในอดีตมันย้อนขึ้นมาอุตลุด
    คิดไม่จบซักที ก็ให้เปลี่ยนไปเดินจงกลมก่อนสลับกับการนั่ง
    เพื่อเป็นการเอากำลังสมาธิที่ได้ มาหนุนดับความคิดพวกนี้


    ส่วนถ้าใครนั่ง สมาธิเพชรก็แล้ว หลังตรงก็แล้ว แต่ยังปวดหลัง
    แสดงว่า มันเป็นผลที่มาจากหน้าที่การงาน หรือการทำอะไร
    ซ่ำๆที่ส่งผลต่อร่างกายเราตรงนั้น

    ให้ไปจัดระดูกสันหลังก่อน(จริงๆอยากแนะนำตัวนี้เพราะไม่ถึง
    ห้านาทีก็เสร็จ แต่เจ๊บหน่อย หรือไปหาวิดีโอเกี่ยวกับ การรักษาโรคกระดูด
    ที่หลังมาลองทำตาม)


    หรือถ้าใครนั่งขาขัดกันไม่ได้ ก็นั่งบนเก้าอี้ซะ เพราะสมาธิ
    มันมีหลายอริยบท

    ถ้าสังเกตุดีๆนะครับตั้งแต่ที่แนะนำ สิ่งที่สำคัญก็คือ ๑.ระบบการหายใจ
    และ ๒.วิธีตัดไม่ใช้ ไม่เผลอไปดึงความคิดจากสมองเข้ามาร่วม
    เพียงเท่านั้นเองไม่มีเน้นว่าต้องท่าโน้นนี่นั้น
    และไม่มีคำภาวนาใดๆเลยนะครับ

    เพราะคำภาวนาเป็นเครื่องเชื่อมโยงจิตให้สงบ
    จึงจำเป็นต้องใช้ก่อน จิตจะสงบได้ มันต้องไม่คิด
    คือไม่มีความคิดจากสมอง เลยเปลี่ยนให้ไปอยู่

    กับคำภาวนาก่อนเพื่อเป็นอุบาย(ส่วนเรื่องอื่นๆที่ได้
    จากคำภาวนาเป็นแค่ผลระหว่างทางไม่ควรใส่ใจ)

    และคำภาวนาก็จะสื่อออกในความหมายที่ดี
    การให้จิตอยู่กับสิ่งที่ดีไว้ก่อน เพื่อให้สงบ
    จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในช่วงแรกๆ
    พูดง่ายๆ นึกถึงบุญกับนึกถึงบาป อะไรช่วย
    ส่งเสริมให้จิตสงบได้ง่ายกว่านั้นหละ..มองภาพออกไหม


    พอมีคำภาวนาเป็นเครื่องเชื่อมโยงจิต และเนื่องจากว่า
    ช่วยส่งเสริมให้จิตสงบได้ดี
    ต่อไปจิตมันก็จะสงบได้เอง โดยที่ไม่ต้องอาศัยคำภาวนา
    เราเลยเหมือนกับจะเข้าใจว่า คำภาวนาหายไป
    จริงๆมันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ
    เพียงแต่ว่า จิตเรามันละเอียดเกินกว่าที่จะสนใจคำภาวนา
    คำภาวนาเลยเหมือนหยาบกว่า ในสิ่งที่จิตจะสนใจ

    เหมือนเรานั่งทำงาน ใจจดใจจ่ออยู่ ในที่ทำงาน
    เราก็ไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมงานเรา ทั้งๆที่เพื่อนร่วม
    งานก็ยังนั่งทำงานอยู่ปกตินั่นหละครับ

    ไม่ใช่ว่า เอาจะแต่ทำงานแล้วบอกว่า เราจะไม่สนใจใครๆ
    แต่เราจะทำงานของเรา โดยที่ไม่ไปสนใจคนอื่นๆเค้า
    ทำแต่งานของเรา....
    คำภาวนาก็คล้ายๆกัน แรกเราก็ภาวนาไป ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ภายนอกก็เหมือนเดิมนั้นหละ เพียงแต่พอเราภาวนาไป
    คำภาวนาเป็นอุบาย ที่ทำให้เราไม่ไปสนใจสิ่งต่างๆ
    ภายนอกที่มีอยู่แล้วนั้นนั่นเอง......
    ไม่ใช่นั่งๆไป แล้วกำหนดให้มันหายไป
    หรือมารู้สึกตัวอีกทีเอะไม่ได้ภาวนาอะไร
    และมาบอกว่า ตัวเองสงบขึ้น แต่สงบแล้วกลับ
    ไปไหนต่อไม่ได้ เจอสภาวะโน้นนี่นั้น
    ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร และก็ไม่รู้ว่าทำไมมันไม่ไปไหนต่อได้หละครับ
    ่จะไปไหนต่อได้หละครับ เพราะถ้าจะวิปัสสนาต่อ
    รู้จักการวางอารมย์เรื่องที่จะวิปปัสนาที่เจอในระหว่าง
    ที่เราเจริญสติหรือเปล่าหละครับ
    และเพราะแค่นึกว่าคำภาวนา มันหายไปไหน
    และแค่กำหนดให้หายไป มันก็เป็นการระลึก นึกขึ้นได้
    มันก็ไปการไปดึง
    ความคิดจากสมองมาร่วมแล้ว อย่างคาดไม่ถึง

    หวังว่าจะพอเข้าใจภาพรวมนะครับ
    จะได้ไม่ต้องคอยไปโทษโน้นนี่นั้น คอยไปพยายามสร้างโน้นนั้นนี่
    โดยอ้างว่าเป็นเหตุ ให้ระดับสมาธิตนไปพัฒนาซักที
    ฝึกกรรมฐานอะไร ไม่เคยสำเร็จซักกองใช้งานไม่ได้ซักอย่าง
    ได้แต่สัมผัส กิริยาระหว่างทาง ที่ทำให้เราหลงตัวเองเล่นๆไปวันๆ
    ไปเคยที่จะใช้ผล ของสมาธิเดินปัญญา เพื่อลด ละกิเลส
    แล้วส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพทางจิตตนเองซักที


    ก็เพราะมองข้ามเรื่องพื้นฐาน ระบบหายใจ
    และการตัดความคิดไปนั่นเอง....เพราะมันดู
    เหมือนง่ายๆ ไม่หล่อ ไม่เท่ห์
    ไม่เหมือน การไปอ่านผลของกรรมฐานกองนั้นกองนี้
    โอ้โห้ มันหล่อลากไส้ อยากทำได้จัง
    ไปลองฝึกมาแล้ว เจอแต่กิริยาระหว่าง โม้กันจัง
    ในกิริยาระหว่างทาง ต่างๆที่เกิดขึ้นได้ปกติ
    คุยไป ถึงดาวอังคาร ถามว่า ใช้ได้ยัง ทำได้จริงยัง
    แสดงให้ดูหน่อยได้ไหม พากันเงียบกริ๊บ...
    แต่ก็ยังจะเอามาพูด เอามาถ่ายทอด เอามาโม้กันจัง...
    ประหนึ่งว่า กิริยาปกติระหว่างทางนั้น

    ข้า หรือ ฉัน ไม่ธรรมดานะ ที่เจอได้....(ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องปกติ)

    อยากทำได้ อ่านมาแต่ในระดับสำเร็จผลว่ามันทำอะไรได้บ้าง
    แล้วพื้นฐานตัวเองยังไม่พร้อม
    แล้วโอกาสที่จะเข้าถึงระดับผลสำเร็จ ในชาตินี้
    มันจะเหมือนที่กิเลสมันหลอกเรา
    ให้ไปหวังผลสำเร็จของกรรมฐานต่างๆ
    แต่เราไม่เคยฝึกสำเร็จซักอย่าง
    ได้อย่างไรหละครับ....

    ปล. รู้ตัวช้า ดีกว่าไม่รู้ตัวเลยนะครับ...



     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ถ้าเลิกทำแล้ว ไปทำงานนั่นนี่ มันเป็นอีกจะแก้ยังไงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2017
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เลิกทำเลิกนั่งสมาธิแล้วไปทำงานนั่นๆนี่ๆ ก็ยังมีอาการ ตย.หนึ่ง (ตามที่เค้าพิมพ์เลย)

    อย่างบางครั้งเราดูลมหายใจ ในชีวิตประจำวัน มือก้จะสั่น หัวก็จะกระตุก ขสกะจะกระตุก อย่างตอนที่พิมนี้ เวลาดูลมหายใจก่เป็นนะค่ะ
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ถ้าตัวเองไม่เคยทำไม่เคยฝึกมาเลย อย่าไปพูดไปสอนให้เขาทำเลย

     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ถ้าตนเองไม่เคยทำไม่เคยปฏิบัติมาก่อนเลย อย่าไปสอนอย่าแนะนำให้พวกเขาทำการภาวนาเลย ไม่ว่ารูปแบบใดๆ :)

     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    คุณแม่ชี วิธีปฏิบัติท่านไม่ได้ให้ว่า พอง-ยุบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แทนโยคีผู้ปฏิบัติ เสียหายเสียผู้เสียคนหมด อ.สุชินยังอยู่ไหมแบบนี้ปิดสำนักเถอะ :):D
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ชื่อกระทู้นี้มีชื่อว่า ชื่อกระทู้นี้มีชื่อว่า ชื่อกระทู้นี้มีชื่อว่า

    ''เมื่อฝึกสมาธิแล้วปวดหัวปวดตา คลื่นไส้ มีวิธีแก้ดังนี้''

    ย้ำอีกรอบว่า
    ''เมื่อฝึกสมาธิแล้วปวดหัวปวดตา คลื่นไส้ มีวิธีแก้ดังนี้''

    และย้ำอีกรอบว่า
    ''เมื่อฝึกสมาธิแล้วปวดหัวปวดตา คลื่นไส้ มีวิธีแก้ดังนี้''

    หากสมาธิท่านใด มีประสบการณ์ มีเจตนาดีในการแนะนำ
    มีวิธีแก้ปัญหาตามหัวข้อกระทู้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
    แล้วได้ผลมาก่อน


    ขอเชิญแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้วยการแนะนำ
    ที่ท่านได้จากการปฏิบัติของท่านมา เพื่อประโยชน์
    โดยภาพรวมสำหรับสมาชิกหรือผู้ที่เข้ามาอ่านได้ครับ
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    สภาวะมีสารพัด ไม่ใช่แก่ปวดหัว ปวดตา อาเจียน ขณะทำเท่านั้น เลิกทำเลิกนั่งไปแล้ว ก็ยังมียังเป็นได้
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    สภาพ,สภาวะ ความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเอง, ธรรมดา

    สภาวธรรม หลักแห่งความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย
     
  11. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
     
  12. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ที่เป็นอีก เพราะเราเคยชินกับการภาวนาที่เคยทำมาก่อน
    เป็นอีกก็แก้อีก แก้โดยใช้วิธีที่ได้ผล
    ถ้าใช้วิธีไหนแล้วได้ผลก็ใช้วิธีนั้น
    จะเป็นวิธีที่ผมแนะนำหรือของท่านอื่น ๆ แนะนำ
    ถ้าทำแล้วได้ผลก็ใช้วิธีนั้น
    แก้จนกว่าจะภาวนาได้ถูกต้อง ถ้าทำถูกก็จะไม่เป็นอีก
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เลิกทำแล้ว ซึ่งขณะพิมพ์คำถามนั่น เธอคงกำลังมือสั่น หัวกระตุก แขนกระตุกอยู่ จึงพิมพ์ผิดพิมพ์ตกบ้าง แต่ไม่เป็นไรพออ่านเข้าใจได้

    ถามคุณอภิญญา แก้ยังไงครับนี่


    อย่างบางครั้งเราดูลมหายใจ ในชีวิตประจำวัน มือก้จะสั่น หัวก็จะกระตุก ขสกะจะกระตุก อย่างตอนที่พิมนี้ เวลสดูลมหายใจก่เป็นนะค่ะ
     
  14. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    อาการสั่น อาการกระตุก มีหลายสาเหตุ
    - อาจจะเป็นเพราะเส้นกระตุก เพราะขาดสารอาหารบางอย่าง ลองเข้าไปอ่านดู
    - อาจจะเป็นเพราะหิวข้าว มือก็จะสั่นใจสั่นได้ เพราะบางทีทำสมาธิได้ดีแล้วต้องใช้พลังงานมาก
    - อาจจะมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก เพราะได้รับบาดเจ็บอะไรสักอย่างมาก่อนหน้านี้
    - อาจจะเป็นเพราะเกิดจากอาการของปีติ


    เช่น กรณีนี้
    นั่งสมาธิแล้วเกิดปีติ
    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ เพื่อนของผมเวลานั่งสมาธิแล้วมีอาการเหมือนตัวใหญ่หนาขึ้น และตัวจะเอนลงไปข้างหลัง จะแนะนำให้เขาปฏิบัติอย่างไรต่อไปครับ…?”

    หลวงพ่อ:- “ก็ต้องขอแนะนำว่า เวลาปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น อาการทางกายมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็อย่าไปสนใจ เพราะเป็นอาการของจิตที่จะเข้าถึงอุปจารสมาธินี่ ต้องเข้าถึงปีติก่อน

    ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ แบ่งเป็น ๕ ขั้น
    ขั้นที่ ๑ ขนลุกขนชัน ขนพองสยองเกล้า เวลาทำไปบางทีขนลุกซู่ซ่า
    ขั้นที่ ๒ น้ำตาไหล
    ขั้นที่ ๓ ร่างกายโยกโคลง

    ขั้นที่ ๔ มีอาการสั่นเทิ้มเหมือนกับปลุกพระ หรือว่าตัวลอยขึ้นบนอากาศ
    ขั้นที่ ๕ มีอาการซาบซ่าน ถ้ามีขนาดถึงที่สุด จะมีความรู้สึกว่าตัวไม่มี มีแต่หน้า

    รวมความว่าอาการ ๕ อย่างๆใดอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดขึ้นก็ต้องปล่อยมัน เรารักษากำลังใจของเราให้เป็นสุขก็แล้วกัน อาการอย่างนั้นมันเกิดขึ้นก็จริง แต่ใจมันจะทรงสมาธิ นั่งสบายๆ มีอารมณ์เป็นสุข เป็นอาการของปีติ ในเมื่อสมาธิมันสูงขึ้นมันก็ผ่าน อาการอย่างนั้นมันก็หายไป”

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๙-๗๐
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    ที่มา https://luangporblog.wordpress.com
     
  15. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    นั่งสมาธิศีรษะสั่น
    ผู้ถาม กระผมฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน พอถึงระดับหนึ่งเกิดศีรษะสั่นอย่างรุนแรง พอตอนเช้าคอระบมไปหมด ทำยอย่างไรดีขอรับ?


    หลวงพ่อ ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ ก็ต้องสั่นให้มันหายระบมต้องแก้กัน ความจริงไม่เป็นไรปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะ เวลานั้นก็ถือว่าขณะนั้นจิตเข้าถึง อุเพงคาปีติ ว่าหยาบไปหน่อยคอจึงระบม ถ้าจิตละเอียดนี่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีอาการอื่น คงจะมีจิตกระสับกระส่ายกังวลนะ พอถึง อาการสั่นหัวละก็...จิตหยาบ


    ที่มา http://www.larnbuddhism.com
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    เวลานั่งสมาธิแล้วปวดตา มึน คลื่นไส้



    1.ไม่ต้องฝืนทำต่อไป เปลี่ยนอารมณ์ไปทำอย่างอื่น เพลินๆ ลืมความปรารถนาแรงกล้า พอกายสบาย จิตสบาย ก็มาเริ่มใหม่


    หรือ 2. ผ่อนความตั้งใจลง ทำใจสบายๆ ทำกายให้สบาย



    ......"รู้"สึก ใส่ใจ เพียงลมหายใจออก

    ไม่ต้องคำนึงที่ฐานกาย ณ จุดใดๆก็ได้


    รู้สึก ลมออก ไปเรื่อยๆ


    มันจะเคลิ้ม จะหลับ ก็ปล่อยไป



    จนกว่ากายจะสบาย


    ถ้ากายหลับไปแล้ว จะนานแค่ไหนก็ตาม แม้เพียงวูบเดียวหรือสัปปะหงก

    พอ่รู้สึกตุัวขึ้นมา สดชื่น


    และอาการที่ไม่พึงปรารถนาหายไปแล้ว


    ก็เริ่มภาวนาใหม่


    ลองทำอิริยาบอื่นบ้างก็ได้นะครับ

    เดิน ยืน หรือนอน ฯลฯ

    หาจุดสบาย พอดี ของตนเองให้เจอ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...