เรื่องเด่น "หลวงปู่สรวง" กลับมาพร้อมข้าวสีเหลืองกลิ่นหอมมากมาย เมตตาเณรน้อยให้ฉัน..อิ่มไปหลายวัน..

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 9 มกราคม 2018.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    tnews_1502678433_6229.jpg

    หลวงตาแก่ๆยืนอุ้มบาตรที่ตอไม้.."หลวงปู่สรวง" กลับมาพร้อมข้าวสีเหลืองกลิ่นหอมมากมาย เมตตาเณรน้อยให้ฉัน..อิ่มไปหลายวัน..

    หลวงพ่อสมเพชร วัดภูพลาญเพชร จ.ศรีสะเกษ เมตตาเล่าเรื่องข้าวทิพย์เทวดา

    ถ้าใครเคยอ่านเรื่องราวของพระธุดงค์ผู้ทรงเมตตาฌานหรือเรื่องราวของพระอภิญญาหลายๆรูป คงเคยได้ยินเรื่องการบิณฑบาตรข้าวทิพย์ อันเป็นข้าวของคนลับแลบ้าง ข้าวที่รุกขเทวดาบ้างนำมาถวายพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบภายในป่าลึก อย่างเช่นองค์หลวงปู่ชอบ ฐาสโม ท่านก็เคยได้รับข้าวทิพย์จากพวกเทวดา หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำยามเมื่อท่านไปธุดงค์ในป่าลึกไม่มีบ้านคนอยู่เลยท่านก็ได้รับข้าวทิพย์จากเทวดาเช่นกัน นอกจากนี้ที่โด่งดังมากก็คือเรื่องของหลวงพ่อยี ผู้ทรงอภิญญา ท่านสามารถบิณฑบาตรข้าวทิพย์ได้เป็นประจำ

    อันว่าข้าวทิพย์ที่กล่าวมานี้เป็นข้าวจากเมืองลับแลหรือจากอำนาจของเทวดาที่สูงขึ้นไป พ่อแม่ครูอาจารย์พระป่าสายปฏิบัติกล่าวตรงกันว่า ข้าวทิพย์ที่เทวดาหรือพวกกายทิพย์นำมาถวายนั้น มักเป็นข้าวสีเหลืองอ่อนๆที่แปลกคือมีกลิ่นหอม หอมมากแต่ไม่ได้หอมแบบฉุนๆ เหมือนอย่างน้ำหอมในโลกมนุษย์ ข้าวทิพย์ของเทวดาทานนิดเดียวอิ่มไปทั้งวัน อิ่มในที่นี้คือไม่หิวและไม่กระหายน้ำด้วย มีกำลังวังชาดีมาก และไม่หนักตัวเหมือนกับเวลาฉันอาหารตามปกติ

    เรื่องข้าวทิพย์ดังกล่าวมานี้ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องราวของหลวงปู่สรวงด้วยเช่นกัน พระอาจารย์อดิศักดิ์ พิมนนท์ ได้เปิดเผยให้ผู้เขียนทราบว่า ท่านมีโอกาสได้สนทนากับพระอาจารย์สมเพชร วัดพลาญเพชร จ.ศรีสะเกษซึ่งท่านได้ฉันข้าวทิพย์ของหลวงปู่สรวง ฉันเพียงนิดเดียวเท่านั้นกลับสามารถทำให้อิ่มไปหลายวันเป็นที่อัศจรรย์

    coverl(4).jpg



    เรื่องราวของข้าวทิพย์หลวงปู่สรวง มีเรื่องเล่าไว้ดังนี้

    "พระอาจารย์สมเพชรได้พบกับหลวงปู่สรวงเมื่อสมัยยังเป็นสามเณรโดยสมัยนั้นสามเณรสมเพชรได้พบกับหลวงปู่สรวงผู้วิเศษที่ชาวบ้านเรียกว่าเทวดาเดินดินเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ ขณะนั้นสามเณรสมเพชรได้จำวัดอยู่ที่วัดบ้านโพธิ์ทอง ตำบลละลม อำเภอขันธ์ ศรีสะเกษ

    ในช่วงนั้น พระเณรในวัดต่าง ๆ ที่สังกัดตำบลโสน ตำบลละลม ต้องไปสอบธรรมสนามหลวงที่โรงเรียนบ้านโสน ในการไปสอบธรรมสนามหลวงต้องเดินเท้าลัดทุ่งนาไปผ่านบ้านธาตุ บ้านละลมและเดินทางไปผ่านบ้านตาเนียมขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ๖โมงเช้า รู้สึกเหนื่อยมากกับการเดินทางจึงเข้าไปพักในศาลากลางหมู่บ้านซึ่งอยู่ติดทางที่เดินผ่าน

    ส่วนสามเณรสมพร และ สามเณรบุญยัง ที่เดินทางไปสอบด้วยกัน ไม่ยอมพักคงมีแต่สามเณรสมเพชร เพียงองค์เดียวที่หยุดพักเพราะหิวน้ำมากจึงพักที่ศาลานั้นขณะที่สามเณรสมเพชรเข้าไปในศาลาไม่มีใครอยู่เลย แต่มีรอยกวาดแผ่นไม้กระดานปูพื้นในศาลา๓-๔ แผ่น และกองไฟอยู่ในพื้นดิน มีผ้าขาว และผ้าสบงเก่า ๆวางอยู่

    สามเณรสมเพชรเลยนั่งลงพักให้หายเหนื่อย และหาน้ำดื่มแต่ไม่มีน้ำให้ดื่ม มองออกไปข้างนอกที่เป็นทุ่งนาเห็นหลวงตาแก่ ๆ รูปหนึ่งอุ้มบาตรยืนอยู่ที่ตอไม้ประมาณ ๑๐ นาที แล้วท่านก็เดินเข้ามาในศาลา สามเณรสมเพชรเดินเข้าไปหาหลวงตาหวังว่าจะรับบาตรตามนิสัยของเณร แต่พอเดินไปถึงก็นั่งคุกเข่าลงกราบหลวงตาลึกลับรูปนั้น

    c001(2)(1).jpg



    แต่หลวงตารูปดังกล่าวกลับเดินเข้าศาลาไปโดยไม่ได้หยุดยืนให้เณรกราบเลย ทั้งไม่พูดจาอันใดด้วย ด้านสามเณรสมเพชรจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามหลวงตาไปติดๆ ในขณะนั้นเองที่เณรสมเพชรได้กลิ่นหอมประหลาดอันมาจากข้าวในบาตรหลวงตา จึงชะโงกมองดูในบาตรเห็นมีข้าวอยู่ประมาณ ๒-๓ ทัพพีเห็นจะได้ ที่น่าสังเกตคือข้าวดังกล่าวมีสีออกเหลืองแต่มีกลิ่นที่หอมมาก

    กลิ่นหอมจากข้าวทำให้เณรรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาทันที หลวงตาเอามือปั้นข้าวใน บาตรแล้วยื่นให้เณร พูดสั้น ๆ ว่า “ฮื้อฉันโตว” (บอกให้เณรฉันข้าว)

    เณรรับเอาข้าวที่หลวงตายื่นให้แล้วฉันตามที่หลวงตาบอก แปลกมากข้าวไม่มีกับไม่มีเกลือไม่มีน้ำปลาเลยแต่รสชาติของข้าวนั้นดีมากอร่อยมาก และจากนั้นเณรก็ไม่หิวข้าวอีกเลย และไม่รู้สึกหิวเลยมันอิ่มอยู่ตลอดเวลาหลายวัน

    หลายปีต่อมา ความรู้สึกที่มีอยู่ ณ วันนั้นก็ไม่หายไปจากความทรงจำของเณรเลย และในปี พ.ศ.๒๕๓๐ – ๒๕๓๙ หลังจากข้าพเจ้าได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ได้พบกับหลวงตาอีก ในนามหลวงตาสรวงอยู่ในกระท่อมต่างๆ บริเวณเขตอำเภอขุขันธ์ บัวเชด ภูสิงห์และตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชา

    cover03(1).jpg

    ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้จาก หนังสือ หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน โดยทิพยจักร

    เพื่อเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์




    เรียบเรียงโดย

    ศักดิ์ศรี บุญรังศรี
    http://www.tnews.co.th/contents/347356
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    อริยะอ็องสรวง/ลูกตาเบ๊าะฯลฯ
    เมตตารักษา “โรคเอดส์”

    *******************************

    นับตั้งแต่ผู้เขียนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ได้รับรู้และรับทราบในด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาก็มากมาย ทั้งจากการได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ได้ศึกษาทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตรตลอดจนพบปะด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ประหลาดใจและอัศจรรย์ใจในความรู้ความสามารถเหล่านั้นเท่ากับที่ “หลวงปู่สรวง”ผู้ที่ได้แสดงและโปรดเมตตาลูกศิษย์ลูกหา ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ เหลือเชื่อ เหนือมนุษย์ธรรมดาที่จะสามารถกระทำได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นรองก็แต่องค์พระศาสดาของพระพุทธศาสนา คือ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” และ “พระโมคคัลลานะเถระ”(อัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เป็นเอตตทัคคะด้านผู้มีฤทธิ์เลิศ)ในสมัยพุทธกาลเพียงสองพระองค์เท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเกินความจริงเลย ดังตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเหตุการณ์หนึ่งต่อไปนี้(จากหลากหลายเหตุการณ์และหลากหลายเรื่องราวทั้งที่มีบันทึกและไม่บันทึก และทั้งที่บอกต่อและไม่บอกต่อ)ซึ่งกระผมอยากจะบอกต่อ และเผยแพร่เป็นวิทยาทาน ตลอดจนเป็นการเชิดชูส่งเสริมคุณงามความดีของพระอริยเจ้าพระอาจารย์ผู้มีเมตตาโปรดเวไนยสัตย์อย่างไม่มีประมาณ และรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่๕,๐๐๐ ปีบนโลกมนุษย์ของเรานี้ โดยมีหลักฐานยืนยันเป็นรูปธรรมพิสูจน์ได้ด้วย คือว่า “หลวงปู่สรวงเมตตารักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้รอดตายกลับมามีชีวิตใหม่” เรื่อง(โดยย่อ)มีอยู่ว่า
    ลำดวน สมฝั่ง เป็นหญิงชาวบ้านศาลา หมู่ที่๗ ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เธอเป็นเด็กชาวบ้านฐานะยากจน เป็นลูกสาวคนโตและมีน้องๆหลายคน การอยู่การกินก็เป็นไปตามมีตามเกิด อดบ้างอิ่มบ้างเป็นธรรมดา ในฐานะพี่สาวคนโตก็ต้องรับภาระทำงานช่วยพ่อแม่ ทำให้มีรูปร่างเล็กแคะแกร็น เธอจบการศึกษาชั้นป.๔ แล้วก็ต้องออกมาอยู่บ้านช่วยแรงแม่ตำข้าว ตักน้ำ หาฝืนมาหุงหาอาหาร ช่วยถอดกล้าดำนา ต้อนวัวควายไปเลี้ยงตามท้องทุ่ง ซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ให้สบายขึ้นบ้าง
    พออายุย่างเข้าวัยรุ่นเป็นสาว พอแตกสิวตามหน้า ก็มีหนุ่มในหมู่บ้านมาติดพัน แอบดักเกี้ยวพาราสี ถึงแม้เธอจะชอบเขาบ้างแต่ก็ยังไม่อยากแต่งงาน อยากจะอยู่ช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่พ่อกับแม่ก็อยากให้แต่ง เพราะถ้าไม่แต่งในวัยนี้ อยู่ไปอาจเป็นสาวแก่ทึนทึกประจำหมู่บ้านก็ได้
    เธอแต่งงานกับหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อพ.ศ.๒๕๓๒ โดยจัดงานแต่งตามประเพณีท้องถิ่นอีสานในหมู่บ้าน แต่งงานเสร็จก็อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แรกๆก็มีความสุขดีตามประสาผัวหนุ่มเมียสาว ได้สามีมาช่วยทำงานอีกแรง ทำให้พ่อแม่สบายขึ้นบ้าง เธอกับสามีรับภาระงานที่พ่อแม่เคยทำมาทำแทนเกือบทุกอย่าง น้องๆก็ช่วยทำงานในไร่ในนา ทำให้ชีวิตครอบครัวก็มีความสุขสบายขึ้นกว่าเดิม
    ปีต่อมาฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เศรษฐกิจฝืดเคือง ปลูกพืชอะไรก็ไม่ได้ผล งานรับจ้างก็ไม่ค่อยมี คนในหมู่บ้านวัยหนุ่มสาวต่างก็มุ่งหน้าไปหางานทำในเมืองหลวงเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว พอได้แก้ปัญหาความยากจนไปได้บ้าง
    สามีชวนลำดวนลาพ่อแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เธอเห็นดีด้วยจึงตกลงไปหางานทำช่วยกันหาเงิน ซึ่งค่าแรงตอบแทนสองคนผัวเมียเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ยังพอมีส่งให้พ่อแม่ทางบ้านได้ใช้จ่ายบ้าง เป็นความภาคภูมิใจที่เธอได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเธอมา
    ลำดวนกับสามีได้กลับมาเยิ่ยมบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ และวันสงกรานต์ โดยมากับรถผ้าป่าโดยคณะเจ้าภาพบ้านเดียวกันที่ทำงานในกรุงเทพฯได้จัดทำมา เธอกับสามีได้บริจาคเงินใส่ซองกับเขาด้วย เธอภูมิใจมากที่มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าภาพผ้าป่าในครั้งนี้ พ่อแม่พาน้องมารอรับเธอและสามีที่ลานวัด ทำให้เธอปลื้มใจมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตั้งใจว่าปีหน้าฟ้าใหม่ จะเก็บเงินไว้ให้มากพอจะได้ร่วมทำบุญมากกว่าปีนี้
    ลำดวนกับสามีกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯพร้องกับรถผ้าป่า ในครั้งนี้เธอมุมานะทำงาน และพยายามเก็บหอมรอมริบหวังจะได้เงินก้อนกลับบ้าน แต่สามีของเธอกลับไม่ค่อยเหมือนเดิม กลับที่พักไม่ตรงเวลา บางทีก็ดึกดื่นเที่ยงคืน เมามายกลับมา เมื่อก่อนไม่เคยดุด่าว่า มาคราวนี้ชักจะเอะอะโวยวายเห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาพาลด่าเอ็ดตะโร แต่เธอก็อดทน ไม่โต้ตอบเพื่อความสงบสุขของครอบครัว แม้จะมีเสียงกระซิบจากเพื่อนคนงาน บอกว่าเห็นสามีเธอไปเที่ยวกับหญิงอื่นก็ตาม
    เธอเริ่มตั้งท้อง มีอาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่บ่งบอกว่าจะเป็นแม่คน ร่างกายอ่อนเพลีย อาเจียนโอ้กอ้าก อยากจะกินของเปรี้ยวของดอง ต้องหยุดพักไม่ไปทำงานบางวัน แต่สามีก็ไม่สนใจ จะไต่ถามอะไรเลยมากนัก จนท้องเริ่มโต เธอจึงไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาล สิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิด...อนิจจา!..สิ่งที่ไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้นกับเธอ...หมอบอกกับเธอว่า เธอติดโรคร้ายจากสามี เธอแทบล้มทั้งยืน ชีวิตทั้งชีวิตของเธอหมดสิ้นแล้ว เธออุตส่าห์จากบ้านจากที่อยู่จากพ่อแม่พี่น้องมา หวังจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่สามีของเธอก็ทำลายความหวังและชีวิตของเธอกับลูกจนพังพินาศหมดสิ้น เธอคิดว่าทำไม?โลกนี้ถึงโหดร้ายกับเธอนัก หลายครั้งเธอคิดจะฆ่าตัวตายหนีไปจากโลกนี้ แต่ด้วยความรักและห่วงลูกที่จะเกิดมา ทำให้เธอต้องตัดสินใจอยู่สู้ชีวิตต่อไป
    หลังจากที่ลูกของเธอได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกได้ไม่นานเท่าไหร่ ลูกก็ได้เสียชีวิต สามีของเธอก็เริ่มเจ็บป่วยออดๆแอดๆไปทำงานไม่ค่อยได้ ส่วนตัวเธอเองก็ไม่แตกต่างจากสามีเท่าไหร่ เธอเริ่มมีอาการปวดหัว อ่อนเพลียไม่มีแรง ต้องไปรับยาจากโรงพยาบาลมาทานเป็นประจำ ในที่สุดสามีของเธอก็เสียชีวิตลง มันเป็นความโศกเศร้าที่สุดในชีวิตของเธอ เธอจัดงานศพของสามีตามมีตามเกิด โดยใช้เงินที่เธอเก็บหอมรอมริบทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่าย
    ลำดวนไม่กล้ากลับบ้าน กลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจ กลัวเพื่อนบ้านจะรู้ ทนทำงานแลกค่าแรงเลี้ยงชีวิตไปในแต่ละวัน ชีวิตของเธอไม่ได้แข็งแกร่งเช่นเหล็กกล้าพอที่จะต้านทานโรคร้ายไหว ในที่สุดตัวเธอก็ล้มหนอนนอนเสื่อต้องเข้านอนรอความตาย เหมือนคนไข้คนอื่นในเตียงข้างๆ อีกหลายคนที่จากไปคนแล้วคนเล่าในแต่ละวัน
    มีเพื่อนบ้านที่มาทำงานด้วยกัน ส่งข่าวไปให้ทางบ้านรู้ว่าเธอป่วยด้วยโรคร้าย และกำลังจะตาย พอรู้ข่าวพ่อกับแม่รีบมาขอรับเธอ ออกจากโรงพยาบาล นำกลับไปบ้านเกิด พอแม่มาเห็นสภาพของลูกสาวที่นอนป่วยในโรงพยาบาลแล้วก็ร้องให้ปล่อยโฮออกมาโดยไม่ละอายใคร รู้สึกสงสารและเวทนาลูกอย่างจับใจ ร่างของเธอซูบผอมจนแทบจำจะไม่ได้ พ่อเองก็กลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ยืนมองดูลูกสาวตาปริบๆพูดอะไรไม่ออก ด้วยความรักและสงสารลูกจับใจ กลับมาถึงบ้านญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านต่างก็มาเยี่ยมเธอ เห็นสภาพของเธอแล้วต่างก็คิดว่าเธอคงจะเสียชีวิตในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน พ่อกับแม่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ใครว่ายาอะไรดี ยากิน ยาต้ม สมุนไพร หมดเงินเท่าไหร่ก็ไม่ว่าขอให้ลูกหาย แต่อาการของเธอมีแต่ทรงกับทรุด ร่างของเธอผอมแห้งลงมาก ยกมือขึ้นแทบไม่ไหว ได้แต่นอนซมอยู่กับผืนเสื่อเก่าๆอยู่ในชานบ้าน
    นายแปลง ชาญเชี่ยว น้าชายของลำดวนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน มาเยี่ยมเธอทุกวัน เห็นว่าอาการของเธอไม่ดีขึ้นเลยรู้สึกเวทนาจับใจ คิดว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้คงจะตายแน่นอน ไหนๆก็จะตายอยู่แล้วเมื่อหายาสมุนไพรชาวบ้านมารักษาก็ไม่หายแล้ว ก็ควรจะลองไปหาดูกับพระสงฆ์บ้าง เผื่อบุญมีท่านอาจมีทางรักษาให้หายได้ ซึ่งแน่นอนว่าในใจเขานึกถึงใครอื่นในแถวนี้ไปไม่ได้ที่จะเก่งเกินหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดินขวัญใจชาวบ้าน ผู้ที่มีกิตติศัพท์ในบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์อภินิหาริย์มากที่สุดในแถบอีสานใต้และประเทศเขมร
    จึงได้พูดคุยและชวนพ่อกับแม่ของลำดวนพากันไปเผื่อว่าท่านจะช่วยได้บ้าง ซึ่งพ่อกับแม่ก็เห็นดีด้วย แล้วน้าชายก็พาขึ้นรถของตัวเองพากันไปหาหลวงปู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยไม่ลืมนำน้ำฝนที่รองไว้ในตุ่มตักใส่ขวดเปล่าไปด้วย๑ ขวดเผื่อว่าหลวงปู่จะใช้ทำน้ำมนต์
    พอไปถึงกระท่อมกลางท้องนาข้างต้นมะขาม(หลวงปู่สรวงจำพรรษาทั่วจักรวาล อยู่ไม่เป็นที่ ชอบอยู่ตามกระท่อม เถียงนา ป่าช้า ถ้ำ ภูเขา บ้านคน ฯลฯ มากกว่าอยู่ที่วัด) ระหว่างบ้านละลมกับบ้านจะบก อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ มีผู้คนนั่งอยู่บริเวณนั้นหลายคน ส่วนหลวงปู่นั่งอยู่บนกระท่อม พอจอดรถไว้แล้วก็ช่วยกันหามคนป่วยไปและพยุงให้นั่งบนพื้นดินต่อหน้าหลวงปู่แล้วก็กราบท่าน แล้วนายแปลงก็ได้พูดกับหลวงปู่ว่า “ลูกเอ็อวจูยโกนเจาละ เวียมันสรูลจะนับนึงเงื้อบเฮย”(หลวงปู่ช่วยลูกหลานด้วย มันป่วยหนักจะตายแล้ว)พูดแล้วแกก็ยกขวดน้ำฝนที่นำมาจากบ้าน ประเคนต่อหน้าหลวงปู่
    หลวงปู่จ้องดูเธอแล้วนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ท่านได้คว้าเอาขวดน้ำยกมาเทราดที่เท้าของท่านเอง น้ำไหลจากเท้าของท่านผ่านร่องกระดานลงไปข้างล่างกระท่อม น้าชายรีบซุกดันเธอให้เข้าไปอยู่ใต้กระท่อมตรงที่หลวงปู่นั่งและราดน้ำลงมา น้ำไหลราดใส่หัวลำดวน เธอประนมฝ่ามือรองเอาน้ำมาล้างหน้าและดื่มกิน จนหมดขวดที่หลวงปู่เทราดลงมา แล้วจึงพยุงถอยมานั่งผิงแดดข้างกระท่อม ด้วยอาการหนาวสั่นจากพิษไข้บวกกับความหนาวเย็นของน้ำทำให้ลำดวนถึงกับสลบไป สร้างความตกอกตกใจให้กับพ่อแม่และน้าชายและคณะที่ไปด้วยอย่างมาก คิดว่าอย่างไรลำดวนคงต้องตายอย่างแน่นอน จึงรีบหามร่างของเธอให้นอนบนรถแล้วพากันกลับบ้านจังหวัดสุรินทร์ โดยมีญาติๆช่วยกันพัดวีไปตลอดทาง พอไปถึงบ้านอาการของเธอยิ่งหนักขึ้น ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นเลือดเป็นหนองทั้งคืน ญาติพี่น้องพ่อแม่ไม่ได้หลับได้นอนตลอดทั้งคืน คอยผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าพยาบาลดูแลทำความสะอาดขุดหลุมกลบเลือดหนองที่เธอถ่ายอุจจาระออกมา และก็ต่างรอเฝ้าดูลมหายใจสุดท้ายของเธอ เพราะคิดกันว่าคืนนี้คงต้องเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตลำดวนอย่างแน่นอน
    แต่!ผิดคาด?
    ...............ชีวิตใหม่ของลำดวน..................
    ในรุ่งเช้าอาการของลำดวนกลับดีขึ้น หิวน้ำหิวอาหาร เรียกขอข้าวกินจากพ่อแม่ หน้าตาสดใสมีเรี่ยวแรง ยกขันน้ำขึ้นดื่มกินเองได้ สร้างความประหลาดใจให้กับญาติพี่น้องเป็นอย่างมาก ๒-๓ วันหลังจากที่นอนซมอยู่บนเสื่อก็สามารถยันตัวเองลุกขึ้นเองได้ ถึงแม้จะไม่แข็งแรงเท่าไรนัก จากอาการที่ดีขึ้นตามลำดับนี้สร้างความดีอกดีใจให้กับพ่อแม่และญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็คิดว่าเทวดาคงโปรดให้รอดชีวิต หลวงปู่สรวงได้ช่วยชีวิตเธอให้รอดตายแล้วคราวนี้อย่างแน่นอน!
    อีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมาน้าชายของลำดวน พ่อแม่และญาติพี่น้องเพื่อนบ้านเต็มคันรถก็ได้พากันมาหาหลวงปู่ พากันเตรียมข้าวปลาอาหารมาจังหัน(ถวายอาหารเช้า)ให้หลวงปู่ที่ทุ่งนาที่เดิมอีก และที่ลืมไม่ได้คือการเตรียมน้ำฝนใส่ขวดเปล่าไปให้หลวงปู่ทำน้ำมนต์วิเศษให้อีก
    คราวนี้หลวงปู่เทน้ำจากขวดล้างมือของท่านลงไปในขัน แล้วก็แคะขี้เล็บมือ แคะขี้มูก ขี้หู ขี้ตา ลงไปด้วย แล้วก็ดันซุกขันไปข้างหน้า เป็นเชิงบอกว่าให้เอาไปดื่มกินที่บ้าน พ่อรีบกรอกน้ำใส่ขวดแล้วเอาไปเก็บไว้ในรถอย่างดี
    ...ในตอนถวายจังหันให้กับหลวงปู่ หลวงปู่ได้จับอาหารเทไปข้างกระท่อม ขว้างขนมและผลไม้ออกไปข้างนอก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ทุกคนต่างรู้กันดีว่าหลวงปู่โปรดเวไนยสัตว์ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ให้ได้มารับอาหารจากคนทั้งหลายเอาไปถวาย แต่ปุถุชนอย่างเรา ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้เหมือนอย่างท่านเท่านั้นเอง! หลวงปู่จะทำแบบนี้บ่อยๆ และก็เผาของมีค่าต่างๆที่ลูกศิษย์นำมาถวาย แต่ถ้าหากว่าใครเสียดายอยากได้คืนก็จะกลับคืนมาเหมือนเดิม ซึ่งลูกศิษย์จะชอบถาม อยากได้ และขอ แต่หลวงปู่บอกว่า “คองกี” ซึ่ง แปลเป็นไทยว่า “ของเขา”???
    ...ขอรวบลัดตัดตอน ต่อมาเธอก็ดื่มกินอาบน้ำมนต์ของหลวงปู่เรื่อยมา...จนร่างกายสุขภาพแข็งแรงสามารถช่วยงานพ่อแม่ได้ดีขึ้นตามลำดับ...เธอเป็นคนขยันจึง ช่วยงานพ่อแม่ได้มาก แต่พ่อแม่กลัวเธอไม่ไหวไม่อยากให้ทำ แต่เธอก็ช่วยทำทุกอย่าง เธอทำ และทำด้วยความสุขและด้วยความดีใจ ทำด้วยสำนึกกตัญญูที่เธอได้ชีวิตใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ผู้ที่ดีใจและมีความสุขที่สุดคือพ่อกับแม่และน้าชายของเธอที่ได้พาเธอไปหาหลวงปู่เพื่อช่วยรักษาเธอและให้ชีวิตใหม่กับเธอจริงๆนั้นเอง
    ถึงกระนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ยอมให้เธอทำงานหนักเพราะเกรงว่าจะไม่สบายไปอีก เธอช่วยพ่อแม่และน้องเกือบทุกอย่าง เธอทนดูพ่อกับแม่ทำงานหนักแต่มีรายได้น้อยและความอดอยากขาดแคลนไม่ไหว น้องๆก็โตวันโตคืนต้องกินต้องใช้และมีค่าเล่าเรียนอีก หากไม่มีเงินก็ต้องตักเอาข้าวในเล้าซึ่งมีไม่มากไปขาย และบางครั้งก็ต้องหยิบยืมชาวบ้านเขา เธอนั่งคิดนอนคิดหาทางจะช่วยพ่อกับแม่ทุกวันทุกคืน หากเธอมัวแต่นั่งงอมืองอเท้าอย่างนี้อีกไม่ช้าก็คงจะพากันอดตายอย่างแน่นอน
    กรุงเทพฯสถานที่ๆเธอและสามีเคยไปทำงานหาเงินมาก่อน เธอพอที่จะเห็นลู่ทางที่จะไปทำงานหาเงินด้วยตนเอง มันเป็นทางเดียวที่จะช่วยทำให้ชีวิตของเธอและพ่อแม่ตลอดจนน้องๆดีขึ้น จึงได้ขออนุญาต ขอร้องและอธิบายเหตุผลให้พ่อกับแม่ได้อนุญาตและเข้าใจ แต่พ่อแม่ก็ทัดทานไม่อยากให้ไปเพราะความห่วงใยเกรงว่าเธอจะไม่สบายอีก แต่ด้วยเหตุผลที่เธออธิบายและความเข้มแข็งที่เธอมีบทเรียนมาแล้ว อีกทั้งเธอก็มีอิสระในการที่จะทำงานหาเงินส่งให้พ่อแม่โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีสามีต่อว่าเธอเหมือนครั้งก่อน เธอมาทำงานที่กรุงเทพฯครั้งใหม่นี้ เธอโชคดีได้ทำงานที่สบายขึ้นไม่หนักและไม่ใช้ร่างกายแบกหามเหมือนเมื่อก่อนที่มาทำงานกับสามี และได้เงินเยอะกว่าเดิม เธอได้เปลี่ยนชื่อใหม่จากเดิมคือ “ลำดวน”ซึ่งเป็นชื่อที่หมอตำแยทำคลอดตั้งให้ มาเป็นชื่อใหม่ที่ไพเราะเพราะพริ้ง ว่า “ฐิติพร” โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร รู้แต่ว่ามันฟังแล้วดูดีกว่าชื่อลำดวนของเธอ หลังจากที่เธอเปลี่ยนชื่อใหม่ไม่นานนัก โชคชะตาชักพาให้เธอได้เจอได้รู้จักกับหนุ่มต่างชาติ จากดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนนอร์เวย์ ชื่อ “คารัลโอรัฟโฮล์ม” เขารูปร่างสูงใหญ่กว่าเธอมากสูงเกือบสองเมตรและมีอายุมากกว่า แต่ด้วยความรักความเข้าใจและความพึงพอใจในกันและกัน จึงไม่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อความรักแก่ทั้งสองแต่อย่างใด หลังจากที่ดูใจกันพอสมควรจนมั่นใจ เธอก็ตัดสินใจแต่งงานกับเขา
    ฐิติพร กับ คารัลโอรัฟโฮล์ม แต่งงานกันเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ที่กรุงเทพฯท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูงที่กรุงเทพฯ แล้วทั้งสองก็ได้มาทำพิธีแต่งงานที่บ้านเกิดตามประเพณีท้องถิ่น มีผูกแขน ขอขมา คารวะพ่อแม่ญาติพี่น้อง บอกกล่าวผีบ้านผีเรือนตามประเพณีท้องถิ่นอีสาน มีญาติมิตรพี่น้องเพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยิดีกับชีวิตในการแต่งงานในครั้งนี้ของเธอเป็นจำนวนมาก คารัล ได้มอบเงินสินสอดของฐิติพร ให้กับพ่อแม่ของเธอ เป็นจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเงินก้อนโตและมากกว่าเงินสินสอดที่เธอแต่งงานครั้งก่อนหลายเท่านัก
    ฐิติพรได้ติดตามสามีไปใช้ชีวิตในประเทศนอร์เวย์ ไปใช้ชีวิตใหม่ในต่างแดนที่ๆมีวิถีชีวิตแตกต่างจากเมืองไทยโดยสิ้นเชิง เธอส่งเงินมาให้พ่อกับแม่และน้องๆใช้อยู่เป็นประจำ ตลอดเวลาที่เธออยู่ต่างแดนเธอนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง ประเทศไทย และที่สำคัญมากที่เธอลืมไม่ได้และลืมไม่ลงคือ “หลวงปู่สรวง”ผู้ได้ชุบชีวิตใหม่ให้กับเธอ หากไม่ได้น้ำมนต์ของหลวงปู่เธอก็คงดับสูญคงไม่มีชีวิตใหม่ที่มีความสุขเหมือนในทุกวันนี้ เธอรบเร้าสามีอยากกลับบ้านอยากกลับมาประเทศไทย อยากมากราบพ่อกับแม่และหลวงปู่
    เธอและสามีจึงได้เดินทางกลับมาเมืองไทยเมื่อวันที่๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ หลังจากกลับมาถึงบ้านที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ในเวลาเย็นมืดค่ำแล้ว ญาติพี่น้องเพื่อนบ้านต่างมาเยี่ยมเยือนและถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบในการใช้ชีวิตในต่างแดน คืนนั้นเธอนอนไม่หลับทั้งคืน เธอภาวนาอยากให้สว่างเร็วๆเพื่อที่เธอจะได้ไปหาและได้กราบไหว้หลวงปู่
    รุ่งเช้าเธอรีบพาสามีขับรถไปที่จังหวัดศรีสะเกษ แต่เธอก็ได้ทราบว่าหลวงปู่ละสังขารแล้ว(หลวงปู่สรวงละสังขาร เมื่อวันที่๘ กันยายน ๒๕๔๓ ขึ้น๑๐ค่ำ เดือน๑๐ ปีมะโรง) เธอทราบว่าสรีระสังขารได้เก็บไว้สักการบูชาในโลงแก้ว วัดไพรพัฒนา ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดสรีสะเกษ เธอก็ได้มากราบไหว้สักการบูชาสรีระสังขารของหลวงปู่ ได้ร่วมทำบุญกับทางวัด และได้เล่าเรื่องของชีวิตเธอถวาย “หลวงพ่อพุฒ วายาโม” เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนาทราบ และอนุญาตให้ท่านได้นำเรื่องราวของเธอที่ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ ไปเผยแพร่และประกาศให้สาธุชนได้รับทราบและร่วมอนุโมทนาสาธุโดยทั่วกัน...สาธุ! สาธุ! สาธุ!


    ****************************************

    @ “คนดีมีความกตัญญู อยู่ในศีลกินในธรรม ตกน้ำไม่ใหลตกไฟไม่ไหม้” แม้แต่ผี สาง เทพ เชียน พรหม และพระอริยะเจ้าผู้เหนือโลกก็ย่อมช่วยเหลือ
    @ หลวงปู่เทพโลกอุดร และพระอริยะเจ้าหลายท่าน ได้เน้นย้ำและสั่งสอนกระผมอยู่เสมอว่า “กตัญญู คือ ยอดคน ความอดทน คือ ยอดธรรมะ”
    @ หลวงปู่อายุเท่าไหร่? ไม่มีใครทราบ รุ่นพ่อแม่ที่เกิดมาก่อนก็บอกว่าก็เห็นท่านอย่างนี้เหมือนกัน
    @ แต่สิ่งหนึ่งที่แอบดีใจลึกๆคือ หลวงปู่ช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั่วทั้งโลกและจักรวาล โดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศเขมร โดยในอดีตปู่จะช่วยและอยู่ในดินเขมรมากกว่าไทย แต่ตอนที่ปู่ไปและได้ละสรีระสังขารนี้ ปู่ได้ทิ้งสรีระสังขารนี้ไว้ในดินแดนประเทศไทย...ดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน
    @ รัก เคารพ เชื่อมั่น ศรัทธา เทิดทูนและสักการบูชาสุดขั้วหัวใจในหลวงปู่สรวง(ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง)


    ------------------------------------------------------

    ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539241547
     
  3. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงนุ่งผ้าขาว

    ผมเชื่อว่าพระอรหันต์ถือเรื่อง วินัยเหนือชีวิต. และจีวรคือธงชัยพระอรหันต์ ต่อให้นุ่งจีวรขาด หรือเก่า/สกปรกเพียงใด พระอริยเจ้าท่านก็ยินดีนุ่งห่ม ไม่ไปนุ่งผ้าอื่น เว้นแต่จีวรนั้นโดนปล้น โดนขโมย

    ศรัทธา. ที่ปราศจาก ปัญญา พาคนหลงมานักต่อนัก
     
  4. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    461
    ค่าพลัง:
    +1,725
    ท่านหลุดพ้นไปแล้วครับ ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ท่านไม่ได้ต้องการแสดงอภินิหารให้ใครดู ท่านทำตัวเหมือนคนเพี้ยน เพราะไม่ได้อยากให้ใครมายุ่งกับท่าน ไม่มีวัดอยู่ อยู่ไม่เป็นที่ แสดงธรรมสั้นๆแต่ล้ำลึก ชอบก่อกองไฟไว้ใกล้ๆ ใครให้อะไรมาก็เผาไปหมด นุ่งห่มจีวรแบบลวกๆ ปฎิปทาคล้ายกับหลวงพ่อกบเขาสาลิกา และ หลวงพ่อโอภาสี ก่อกองไฟเผาสิ่งของเหมือนกัน หลวงพ่อโอภาสีนี่ ปีนเจดีย์สูงหลายสิบเมตร กระโดดลงมาเดินหน้าตาเฉย
     
  5. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    อย่าพึ่งอ้างครูอาจารย์ท่านอื่นเลย เรื่องวินัยมันละเอียดข้อปลีกย่อยเยอะ อย่างการที่ภิกษุจุดไฟ ท่านก็มีข้อยกเว้นเช่นป่วยไข้ มีสัตว์ร้าย

    แต่การที่ตะอ้างว่า”ไม่ยึดติด”เลยละเมิดธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ดีแล้วนั้นไม่สมควร

    อย่างพระเกษม ที่อ้างไม่ยึดติด แล้วกระทำการลบหรู่พรพุทธรูป สุดท้ายก็เสพกามเพราะไม่ยึดติด!?!

    สมัยก่อนก็มีเยอะ ที่พระบวชมาแล้วไม่ศึกษา ทำตัวแบบชาวบ้านกินข้าว 3 มื้อ ทำตัวประหลาด และมักอยู่คนเดียว เพราะพระขับออกจากหมู่ ชาวบ้านเห็นแปลกก็ชอบใจ

    ดังนั้นธรรมวินัยคือสิ่งที่ใช้ตัดสินพระ

    อีกอย่างผมเป็นคนมี เซ้นส์ อย่างเณรคำ พระเกษมนี่ เห็นแว๊บแรกก็รู้ว่าไม่ใช่แล้ว กับพระบางรูป นั่งห่าง 20 เมตรยังจับกระแสบารมีที่แผ่ออกมาได้




     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    #เทอเจิตออยสรูล ทำใจให้สบาย

    คำสอนนี้สอนเราได้ทุกสถานการณ์ เวลาใด ยามใดที่ทำ ความหงุดหงิดใจ เศร้าใจ หมองใจ ร้อนใจ วุ่นวายใจ ทุกข์ใจ คำว่า เทอเจิตออยสรูล ทำใจให้สบาย คำๆนี้มีความหมาย จะช่วยประคองใจให้เราได้ เพราะการกำหนดการทำใจให้สบาย ทำให้ใจผ่อนคลายด้วยพลังแห่งศรัทธา+ปัญญา

    ศรัทธา คือ มีศรัทธาต่อหลวงปู่สรวงเป็นฐาน คำสอนนี้เมื่อเกิดมาจากที่หลวงปู่สรวงได้สอนไว้ เมื่อนึกถึงคำนี้เวลาที่ใจ ความหงุดหงิดใจ เศร้าใจ หมองใจ ร้อนใจ วุ่นวายใจ ทุกข์ใจ คำสอนนี้คือที่พึงของใจเราได้ เพราะศรัทธาที่มีต่อหลวงปู่สรวงเป็นต้นทุน เมื่อคำสอนท่านสะท้อนถึงใจนึกถึงคราวใดก็เป็นสุข ศรัทธาที่เรามีต่อหลวงปู่สรวงยังไม่เพียงพอแต่ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง ยั่งยืน ต้องประกอบด้วยปัญญา

    ปัญญา คือ ความฉลาดรู้ชัด กำหนดใช้คำสอนนั้นได้แท้จริงว่า ทำใจให้สบาย ความหงุดหงิดใจ เศร้าใจ หมองใจ ร้อนใจ วุ่นวายใจ ทุกข์ใจ เพราะเรื่องใดๆ ที่อยู่นอกกายใจ ไม่มีผลต่อใจ ใจอิสระจากเรื่องเหล่านั้นได้ นี้คือปัญญา

    คำสอนหลวงปู่สรวงจึงทรงคุณค่าต่อสานุศิษย์ทั้งหลายด้วยอาการอย่างนี้

    น้อมกราบหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน

    พระอาจารย์อดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ



    ?temp_hash=98aa81fe4dddffd2efcecfc0e44b42c9.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    ขอบคุณที่นำความรู้ดีๆมาให้อ่านครับตอนนี้ท่านยังอยู่ช่วยลูกหลานไหมครับ
     
  9. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    461
    ค่าพลัง:
    +1,725
    ท่านละสังขารนี้ไปแล้วครับ แต่จิตท่านยังสงเคราะห์ลูกหลานที่นับถือระลึกถึงท่านเสมอครับ เวลาผมมีปัญหาในชีวิตที่แก้ไขได้ยาก คิดไม่ออก ผมจะท่องบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วมองรูปท่าน อธิฐานขอบารมีท่านช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ก็สำเร็จทุกครั้ง บางครั้งหมดกำลังใจ อยู่ๆก็มีกำลังฮึดสู้ขึ้นมาเฉยๆ มันก็เป็นเรื่องแปลกๆที่ผมได้พบเจอมาครับ
     
  10. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    มีเด็กที่ได้มโนมยิทธิไปคุยกับท่านแบบนี้ละครับขอบคุณที่มาเป็นพยานบุคคลยืนยันให้อีกคนนะครับและขอ อนุโมทนาในเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อลูกหลานครับ
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     

แชร์หน้านี้

Loading...