ขยับ (Movement)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pczophie, 23 กุมภาพันธ์ 2012.

แท็ก: แก้ไข
  1. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    ขยับ คืออะไร ??

    นิยามของคำว่า "ขยับ" หรือ เคลื่อนที่ หรือ เคลื่อนไหว

    สิ่งๆหนึ่ง จะถูกเรียกว่า มัน.. ขยับ.. ก็ต่อเมื่อ มันมีจุดอ้างอิงที่อยู่นิ่งๆ(หรือเคลื่อนที่ช้า/เร็วกว่ามัน)

    เช่น ถ้าในจักรวาลนี้ มีดาวอยู่แค่ 2 ดวง (สมมตินะ)

    ดาวดวงแรกชื่อ ดาว A ดวงที่สองชื่อ ดาว B

    A กับ B

    ถ้าในจักรวาลนี้ มี A อยู่แค่ดวงเดียว.. A จะเป็นดาวที่ อยู่นิ่งๆตลอดเวลา

    แต่ถ้ามี B เพิ่มเข้ามาด้วย.. ถ้า B อยู่นิ่งๆ แล้ว A เคลื่อนที่.. ทั้ง A และ B จะเห็นกันและกัน เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากัน แต่เป็นแบบส่องกระจก (เหมือนส่องกระจกดูตัวเอง ถ้า B เห็น A ไปทางซ้าย A จะเห็น B ไปทางขวา)

    ถ้า A อยู่นิ่งๆ แล้ว B เคลื่อนที่ ก็จะเป็นเหมือนที่กล่าวไปเช่นกัน

    ---

    แต่ถ้า ทั้ง A และ B เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง ไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยความเร็วที่เท่ากัน.. มันจะมองเห็นกันและกัน อยู่นิ่งๆกับที่

    ถ้าในจักรวาลนี้ มี A อยู่ดวงเดียว.. จักรวาลนี้ จะไม่มีทิศ (ไม่มีทิศเหนือ ใต้ ออก ตก)

    แต่ถ้ามี B เพิ่มเข้ามาด้วย 1 ดวง มันจะเริ่มมีทิศ ทิศเหนือ ใต้ ออก ตก

    ถ้า A กับ B เป็นดาวที่มีขนาดเท่ากัน สีเดียวกัน มีคุณสมบัติเหมือนกัน A จะเห็น B เหมือนเงาสะท้อน(เหมือนเราส่องกระจก) B ก็จะเห็น A เหมือนเงาสะท้อนเช่นกัน

    -------

    สรุปแล้ว.. คำว่า "ขยับ" หรือ "การเคลื่อนที่" มันก็คือ.. การเปรียบเทียบวัตถุสิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่ง

    ทีนี้.. ลองสมมติให้ A มีมวลน้อยกว่า B เป็น 2 เท่า (A ดวงเล็กกว่า B)

    ถ้ายึดตามหลักวิทยาศาสตร์ของโลกยุคปัจจุบัน ค.ศ. 2012 หลายๆท่านก็คงจะเดาว่า ดาว A ต้องหมุนรอบดาว B (สมมติมันอยู่ใกล้กัน ในระยะที่แรงดึงดูดมีผลให้ดาวหมุนรอบกันได้ เหมือนโลกกับดวงจันทร์อ่ะ)

    ตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามหลักฟิสิกส์ของยุคปัจจุบัน(ปี 2012) เราก็ต้องคิดว่า ดาวดวงเล็กหมุนรอบดาวดวงใหญ่

    แต่ถ้าเราลบทฤษฎีเหล่านี้ ที่เราเรียนในห้องเรียน ออกจากหัวสมองของเราให้หมด แล้วให้เราไปยืนอยู่บนดาว B

    ถ้าเรายืนอยู่บนดาว B แล้วให้เราวัดระยะทางระหว่างดาว B กับดาว A และตำแหน่งของดาว A เทียบกับดาว B แล้ววาดลงไปบนกระดาษ..

    ภาพบนกระดาษที่ได้.. ก็ยังตรงกับ กฎของฟิสิกส์ในยุคปัจจุบัน.. นั่นคือ เราจะวาดให้ดาว B อยู่ตรงจุดศูนย์กลาง และเราจะแต้มจุด(ตำแหน่ง)ของดาว A อยู่รอบๆดาว B (เส้นวงโคจร)

    ทีนี้.. เมื่อวาดภาพการเคลื่อนไหวของดาว A รอบๆดาว B เสร็จแล้ว ให้เรา กระโดด(หรือเหาะก็ได้) ไปอยู่ที่ดาว A บ้าง

    ดาว A มีขนาดเล็กกว่าดาว B ถ้าเราลองวัดระยะทางของดาว A กับ B แล้วแต้มจุด(ตำแหน่ง)ของดาว B จากดาว A ลงไป .. แล้วในที่สุด เราจะได้รูปวาดของเส้นวงโคจรที่ดาว B หมุนรอบดาว A โดยมีดาว A เป็นจุดศูนย์กลาง และมีดาว B โคจรอยู่รอบดาว A

    ถ้าเราไม่เคยเรียนฟิสิกส์มาก่อน ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่องแรงดึงดูด ถ้าเรายังไม่รู้ว่ามวลมีแรงดึงดูด เราคงคิดว่า.. ดาวสองดวงนี้ มันหมุนรอบกันและกัน เพราะไม่ว่าเราจะกระโดดไปอยู่ที่ดาวดวงไหน เราก็จะเห็นดาวอีกดวง หมุนรอบดาวดวงที่เรายืนอยู่

    เมื่อเกิดความสงสัยเช่นนั้น.. เราจึงกระโดดออกมาจากดาวทั้งสองดวง แล้วมาลอยอยู่กลางอากาศ(เป็นบุคคลที่ 3) เราออกมายืนมองดาวทั้งสองดวงในที่ไกลๆและดูการเคลื่อนไหวของมัน

    สิ่งที่เราเห็นดาวสองดวงกระทำต่อกันก็คือ.. มันหมุนรอบซึ่งกันและกัน

    สมมติ ถ้าเราไม่เคยเรียนฟิสิกส์มาก่อน แล้วเราได้เห็นเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง.. เราจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ว่าอย่างไร ???

    นิวตั้นเคยบอกว่า ดาวที่มีมวลน้อยกว่า จะถูกแรงดึงดูดของดาวที่มีมวลมากดูดไว้ ทำให้มันหมุนรอบดาวดวงใหญ่

    แต่ในยุค 60 ไอน์สไตน์บอกว่า ทฤษฎีของนิวตั้นมันผิด เพราะแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ มันไม่เพียงพอที่จะทำให้ดาวเคราะห์ต่างๆมาหมุนรอบมันได้ (แรงดึงดูดของโลกเช่นกัน ไม่เพียงพอที่จะดึงให้ดวงจันทร์มาหมุนรอบมันได้)

    ไอน์สไตน์ศึกษาเรื่อง แสง ช่องว่าง และ กาลเวลา จนคิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับ Space-Time ได้

    และเขาได้กล่าวไว้ว่า.. แรงดึงดูดของดวงอาทิยต์ ไม่ใช่สิ่งที่ดึงให้โลกมาหมุนรอบดวงอาทิตย์

    แต่.. แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ มีอิทธิพลกับ Space-Time (แผ่นชีท space อ่ะ) ทำให้มันเว้าๆโค้งๆ แล้วโลกก็เลยไปตกในหลุมนั้น แล้วก็เลยหมุนรอบดวงอาทิตย์ (อันนี้ไปหาดู video เองละกันนะ ขี้เกียจแปะแล้ว)

    แต่ถึงกระนั้น.. การคำนวณหาร่องโค้งๆของ Space-Time ก็หายากเหลือเกิน (แต่มีการพิสูจน์แล้วว่า มันโค้งจริง) แต่คำนวณไม่ได้ รู้แต่ว่ามันโค้งจริง space รอบๆโลกเราก็โค้งเหมือนกัน

    ---

    แล้วถ้าสมมติว่า ดาวดวงเล็กมันไม่ได้หมุนรอบดาวดวงใหญ่แต่ฝ่ายเดียวล่ะ ?? สมมติ มันต่างก็หมุนรอบกันและกัน ดาวสองดวงหมุนรอบกันและกัน(ไม่ใช่ดวงใดดวงหนึ่งจะหมุนรอบดาวอีกดวงอยู่แต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการหมุนรอบกันและกัน)

    แล้วแบบนี้.. เราจะอธิบาย การโค้งงอของ Space-Time ว่าอย่างไร ???

    [​IMG]
     
  2. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    การจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นนี่มันยากเน้อ ร่องของ space มันจะเป็นไงหว่า
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    กรณีเป็น "ผลรวมทั้งระบบหลังบิ้กแบ้งค์" ละ?


    สมมุติ หลังบิ้กแบ้งค์ ส่งผลรวมๆ ให้แต่ละหน่วยในจักรวาล
    ดำเนินไปอย่างที่เราเห็นอยู่ ไม่ใช่เพราะ "ดวงอาทิตย์" แต่
    ปัจจัยเดียว ที่เป็น "ตัวการหรือตัวแปรเดียว" ที่ทำให้โลกมี
    การเคลื่อนที่อย่างนั้น


    แต่ "ผลจากตัวแปรที่เรียกว่าอาทิตย์" ก็มีผลบ้าง แต่ไม่มาก
    คือ ถ้าสมมุติมีแผ่นกลมๆ รองล่างอยู่ แล้วให้อาทิตย์อยู่กลาง
    ถ้าไม่มีแรงดึงดูดของพระอาทิตย์เลย เอาลูกแก้วกลมๆ มาวิ่ง
    รอบจุดศูนย์กลางได้แบบหนึ่ง แต่เพราะ "มีแรงดึงดูดของดวง
    อาทิตย์" ทำให้การเคลื่อนที่ของโลกรอบดวงอาทิตย์เปลี่ยน
    ไปบ้าง "นิดหน่อย" อุปมาเหมือนแผ่นกลมๆ ที่รองด้านล่างมัน
    ยุบลงเพราะน้ำหนักของดวงอาทิตย์ เท่านั้น แต่เป็นแค่อุปมานะ
    ครับ เพราะจักรวาลมันมีด้านล่าง ด้านบนที่ไหน? ตกลงที่ยุบลง
    ด้านล่าง มันด้านไหนละ? ดังนั้น แผ่นชีท space จึง "ไม่มีจริง"
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    ไม่ใช่การหมุนรอบกัน แต่เป็นการ "หมุนร่วมกันทั้งระบบ"


    จักรวาลกำเนิดพร้อมกันทั้งจักรวาล องค์ประกอบย่อยๆ จึงเกิด
    จากบิ้กแบ้งค์เช่นกัน แต่ "สำเร็จเร็วช้าต่างกัน" เช่น รวมตัวได้
    เป็นดวงดาว ก่อนหรือหลังกันเท่านั้น แต่การหมุนเคลื่อนนั้นไม่
    ได้ "ขึ้นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง" เช่น โลกไม่ได้หมุนเคลื่อนเพราะ
    อิทธิพลของดวงอาทิตย์ แต่เป็นการ "เคลื่อนที่ร่วมกันของทั้ง
    ระบบ" ซึ่งแม้พระอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องคล้อยตามแรงเริ่มต้น
    นี้ ในที่นี้เราขอเรียกว่า "Galaxy power" ที่ขับเคลื่อนไปหมด
    ทั้งจักรวาล ไม่ใช่เพราะดวงอาทิตย์เป็นผู้กำหนดการเคลื่อนที่
    ของโลกแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดแต่ละองค์ประกอบย่อยๆ นั้นมี
    การเคลื่อนที่อย่างมีระบบร่วมกัน และอาศัย "แรงสากล" ขับดัน
    ไป ในขณะที่เราอาจพบ "แรงเฉพาะ" เช่น แรงดึงดูดของโลกก็
    ได้ แต่มันเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆ ของพลังงานทั้งหมดที่ได้
    ร่วมกันขับเคลื่อนจักรวาลนี้ ซึ่งนับว่ามีผลเพียงเล็กน้อย เท่านั้น
     
  5. pczophie

    pczophie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +61
    จริงๆ ก็จะบอกแบบนี้แหละ..

    แต่เชื่อแน่ว่า.. หลายๆท่าน ไม่เข้าใจ..

    จขกท. ก็เลยชอบสมมติดาวแค่ 2 ดวง ขึ้นมา.. (เพราะถ้าพูดมากกว่า 2 ดวง คนจะเริ่มไม่เข้าใจ) อิอิ ^^
     
  6. ควายเผือก

    ควายเผือก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +48
    [​IMG]

    อธิบายว่า แบบนี้คือมิติที่6 ครับ
     
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,828
    การทดลองง่ายๆ เรื่อง "พลังรวมและพลังย่อยของจักรวาล"


    ลองเอาลูกแก้ว 10 ขนาดต่างๆ กัน ใส่ลงใน "จานที่ปิดมิด" แล้ว
    โยนจานทั้งใบลงไปในแม่น้ำที่มีกระแสไหลหรือหมุนวนนะครับ ซึ่ง
    เราจะสมมุติ "จานเป็นระบบสุริยจักรวาลทั้งอัน" และ "ลูกแก้วก็คือ
    ดวงดาวทั้งสิบ" และ "แม่น้ำคือจักรวาลทั้งมวล" เราจะศึกษาพลัง
    งานสองส่วนคือ พลังงานจากกระแสน้ำที่พัดพาให้จานทั้งจานลอย
    ไปหรือไหลวนก็ได้ และให้แรงดึงดูดระหว่างลูกแก้ว แทนแรงดึงดูด
    ระหว่างดวงดาว เราจะพบว่าแรงภาพรวมนั้น แรงดึงดูดระหว่างดวง
    ดาวหรือลูกแก้ว มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงของกระแสน้ำทั้งสาย


    ลองทดลองดูนะครับ ...
     
  8. ทะเลลึก

    ทะเลลึก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +80
    ผมก็ยังเชื่อว่า ดาวที่มีมวลมากกว่า ย่อมก่อให้เกิดความบิดเบี้ยวของ กาล-อวกาศ ได้มากกว่าดาวที่มวลน้อยกว่า ดาวที่มีมวลน้อยกว่าจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของดาวมวลมาก
    ดังนั้นมันจึงต้องหมุนรอบตัวเอง และรอบดาวมวลมากกว่า การหมุนจะทำให้เกิด กาล - อวกาศ ขึ้นใหม่ ที่มันต้องกระทำอย่างนั้น ก็เนื่องจาก มันต้องปรับตัวเองให้อยู่ในสนาม กาล - อวกาศ ของดาวมวลมากให้ได้
    ไม่เช่นนั้น มันจะถูกดูดเข้าไป และถูกทำลายลง
     
  9. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    ที่เค้าเขียนเป็นแผ่นชีทอย่างนั้นเพราะว่ามันทำให้ดูเข้าใจง่ายครับ จริงๆ แล้วมันไม่มีบนมีล่างแหล่ะ space มันจะยุบเป็นแบบ 3D แต่แบบนั้นถ้าวาดมาแล้วมันจะเห็นภาพลำบาก เข้าใจยาก
     
  10. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +91
    ทฏษฏีสัมพัธภาพมันแม่นยำกว่าเฉยๆครับ นิวตันไม่ได้ผิดเพราะมันก็มีค่าใกล้เคียงเหมือนกันในระบบสุริยะนี้นะ อีกอย่างสูตรมันอีรุงตุงนัง ซึ่งผมเห็นแล้วก็เหนื่อยใจ ไม่ไปไหนไกลๆก็เอานิวตันน้อ ยังไงในโลกนี้ในระบบสุริยะนี้มันก็แม่นยำราวๆ 99.99%แล้วล่ะ ในเรื่องของดาวหมุนไม่หมุน ดาวหยุดนิ่ง มันก็คล้ายกับกรณีที่โลกแบนนั้นแหละครับ เรื่องนี้เวลาผ่านไปก็ทำให้รู้ว่าใครผิดใครถูก


    .............................................

    ...........................................................................

    นิวตั้นเคยบอกว่า ดาวที่มีมวลน้อยกว่จะถูกแรงดึงดูดของดาวที่มีมวลมากดูดไว้

    ถ้าคำกล่าวนี้เป็นจริงดาวดวงเล็กจะไม่ดูดดาวดวงใหญ่เลยเหรอ ผมเชื่อว่านิวตันไม่กล่าวเช่นนั้น

    ....................................................................
    ถ้าเราไม่เคยเรียนฟิสิกส์มาก่อน ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรื่องแรงดึงดูด ถ้าเรายังไม่รู้ว่ามวลมีแรงดึงดูด เราคงคิดว่า.. ดาวสองดวงนี้ มันหมุนรอบกันและกัน เพราะไม่ว่าเราจะกระโดดไปอยู่ที่ดาวดวงไหน เราก็จะเห็นดาวอีกดวง หมุนรอบดาวดวงที่เรายืนอยู่

    ผมคิดว่ามวลไม่มีแรงดึงดูครับ แต่มวลทำให้กาล-อวกาศ โค้งงอได้
    ....................................................................
    การคำนวณหาร่องโค้งๆของ Space-Time ก็หายากเหลือเกิน (แต่มีการพิสูจน์แล้วว่า มันโค้งจริง) แต่คำนวณไม่ได้ รู้แต่ว่ามันโค้งจริง space รอบๆโลกเราก็โค้งเหมือนกัน

    ที่จริงมันไม่ได้หายากเลยครับ รอบตัวเราๆนี้แหละ
    แน่นอนว่ามีการพิสูจน์แล้วโดยโครงการ Gravity probe B แน่นอนก่อนที่จะมีการพิสูจน์นั้นเราก็ต้องมีทฏษฏีซึ่งอธิบายความโค้งของอวกาศก่อนซึ่งแน่นอนอีกนั้นแหละมันก็คือสัมพันธภาพทั่วไป และตามหลักฟิสิกส์แล้วเราจะไม่มีการทดลองอ่ะไรถ้าไม่มีทฤษฏีที่คำนวนได้และน่าเชื่อถือ
     
  11. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    จริงๆ แล้วตัวเราก็น่าจะมีแรงดึงดูดเหมือนกัน แต่น่าจะน้อยมาก แต่จะถึงขนาดทำให้ Space-Time รอบตัวคนเรามันโค้งได้หรือเปล่านี่สิ
     
  12. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ลองนึกถึงบรรดา "ผู้ทรงอิทธิพลของโลก" สิ ว่ามีผลต่อแนวคิดและการดำเนินชีวิตของผู้คนหรือเปล่า?

    ตัวอย่าง เมื่อคนๆ นึงถูกยกให้เป็นไอดอลหรือได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีมีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างให้แก่สังคม อาจจะมีคนอีกมากมายที่เห็นพ้อง ยอมรับ ยกย่อง และทำตาม

    ถือเป็นแรงดึงดูดระหว่างคนกับคนได้ไม๊?
     
  13. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ถ้าดูจากรูป ตาข่าย Trampoline คือ สเปซ-เวลา เรียก มิติที่ 4 รึเปล่าคะ?
    มิติที่ 6 คืออะไร?
     
  14. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ถ้าไม่เคยเรียนฟิสิกส์และได้เห็นเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง สมมติฐานแรกจะคิดว่ามันน่าจะมีแรงดึงดูดหรือแรงกระทำบางอย่างระหว่างกัน ที่ทำให้ดาวสองดวงนี้โคจรรอบกันและกัน และคิดว่าดาวดวงใหญ่น่าจะมีอิทธิพลบางอย่างต่อดาวดวงเล็กมากกว่า

    แต่ก็คงไ่ม่รู้ว่าแรงบางอย่างนั้นคืออะไร..และมีำกี่ชนิด
     
  15. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ถ้าไม่เรียกว่าขยับ ก็คงใข้คำว่า ขมิบ (ปล.อย่าคิดลึก 5555555+) ไม่ก็ ขะแหม่ว
     
  16. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +91
    ความสงบ

    พอดี อ่านทู้นี้ แล้ววันนี้ก็ลองไปค้นเจอครับ

    เป็นหนังสือของ ศ .วิชัย หโยดม ชื่อ ฟิสิกส์นอกตำราครับ

    เป็นบทความสั้นๆสาม - สี่ หน้าที่คาดว่าคล้ายเรื่องนี้ครับ

    บทความมีชื่อว่า "ความสงบ"
    ...........................................

    ในโอกาสฉลองวันคล้ายวันเกิดของโคเปอร์นิคัสปีที่ 500 นี้ เราจงมาช่วยกันพิจารณากันว่า ท่านเจ้าของวันเกิดซึ่งสงบไปแล้วเคยก่อกวนให้เกิดความสงบแก่โลกอย่างไรบ้าง
    ความสงบในแง่วัตถ หมายถึงหยุดนิ่ง ไม่กระดุกระดิก หรือเกือบนิ่งก็ยังพอได้ ผู้น้อยจะกระดุกกระดิกมากกว่าผู้ใหญ่ เช่น ต้องยกมือไหว้ โลกคือถิ่นสงบ (ไม่กระดุกกระดิก) เป็นผู้ใหญ่ เป็นดาวเดือนทั้งหลาย
    ผู้โดยสารรถไฟคงจะเคยสังเกตกันว่า เมื่อรถไฟสองขบวนมาจอดสถานนีกลางทาง พอขบวนหนึ่งเริ่มแล่นออก ผู้ที่อยู่รถไฟซึ่งกำลังมองไปยังขบวนตรงข้ามไม่แน่ใจว่า ขบวนไหนกำลังแลานและขบวนไหนกำลังสงบ
    ผู้ที่ขับรถติดไฟจราจรจอดพอบนพื้นเอียงของสะพานก็เคยแปลกใจว่า ทำไมรถข้างเคียงจึงออกแล่น ทั้งๆที่ไฟแดงยังให้หยุดอยู่ แต่พอเกิดเสียงโครม จึงเข้าใจถูกต้องว่าคนอื่นเขายังสงบอยู่ แต่รถตัวเองไหลถอยหลังไปชนคนอื่นเข้าเสียแล้ว
    คงเป็นเพราะความสงบแสดงถึงความใหญ่ยิ่ง คำสอนที่ว่าโลกไม่กระดุกกระดิกจึงเป็นที่ยอมรับมาช้านาน และผู้ที่คัดค้านอาจถูกลงโทษหรือถูกทำร้าย
    ลองคิดดูง่ายๆ โจรชั้นไอ้เสือคุมลูกน้องมาช้านาน อยู่ดีๆ มีลูกน้องคนนึงมาบอกว่า หัวหน้าที่แท้จริงไม่ใช่ไอ้เสือตัวนั้น แต่เป็นคนอื่นซึ่งอยู่ในกลุ่มโจรนั้นเอง จะเกิดความไม่สงบมากน้อยเพียงใด
    โคเปอร์นิคัสก่อกวนความสงบสุขโดยเสนอว่า โลกมิได้สงบ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่โลกกำลังเคราพ คารวะดวงอาทิตย์โดยการวนอยู่รอบๆ
    ผู้มีอำนาจสมัยนั้น แม้จะเห็นทฤษฏีของโคเปอร์นิคัสมีความกระทัดรัดกว่าทฤษฏีเก่า แต่ทั้งสองทฤษฏีก็สามารถทำนายตำแหน่งของดาวเดือนได้ดีเท่าๆกัน จึงสรุปว่่า ทฤษฏีใหม่เป็นเทคนิคช่วยในการคำนวน ซึ่งสร้างขึ้นโดยบิดเบือนความจริง เป็นนเรื่องของคนอยากดัง
    อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันว่า ตำราดาราศาสตร์สมัยนี้เป็นไปตามแนวคิดของโคเปอร์นิคัส
    ตัวอย่างรถไฟและรถบนสะพานที่กล่าวข้างต้นแสดงว่า ภาพการเคลื่อนไหวรอบกายอาจเป็นภาพลวงตา ผู้ที่คิดว่าตนเองสงบที่สุดหรือยิ่งใหญ่ที่สุด อาจกำลังหลงผิดอยู่
    ไอน์สไตน์ซึ่งเคยนั่งรถไฟ หรือติดไฟแดงบนสะพาน จึงสร้างทฤษฏีสัมพันธภาพเพื่อหาตัวผู้ที่สงบที่สุดหรือยิ่งใหญ่ที่สุดในเอกภพ มีข้อความพอสรุปได้ดังนี้
    1. เมื่อเราเห็นใครแล่นอย่างไร เขาก็เห็นเราแล่นเหมือนๆกัน
    2. อาจถือว่า แสงคือผู้ที่สงบที่สุด ในขณะที่เรากล่าวว่าแสงเร็วสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที แสงก็บอกเราว่า เรากำลังเร็วเท่าๆกัน ถ้าใครปรับความเร็วให้สามารถหยุดคุยกับแสงได้ ผู้นั้นกำลังอยู่ในสภาวะสงบที่สุด หรือยิ่งใหญ่ที่สุด
    3. เอกภพไม่มีศูนย์กลางซึ่งเป็นที่ๆดาวต่างๆจะมาวนคารวะทุกแห่งมีความยิ่งใหญ่เท่าๆกัน ถ้าไม่เชื่อ ลองหยิบหนังสติ๊ก วงกลมมาพิจารณาเพื่อหาว่าส่วนใดของมันใหญ่ที่สุด หรือหยิบลูกกลมๆ เช่นลูกกลอฟ์หรือลูกบิลเลียด มาพิจารณา แล้วลองบอกว่าส่วนใดของมันยิ่งใหญ่ที่สุด







    ................
    เขียนซะมือหงิกเลย (โคเปอร์นิคัสเกิดวันที่สิบเก้ากุมภาพันธ์สองพันสิบหก ครบรอบห้าร้อยปีคือ สองพันห้าร้อยสิบหก)
     
  17. โปรเซดอน

    โปรเซดอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2011
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +171
    ขยับ :ถ้าพูดในระบบ 3มิติก็คือตำแหน่งพิกัดของมันเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากจุดที่เคยอยู่เดิมๆ ไม่ว่าในแนวแกน X,Y หรือ Z โดยไม่ต้องไปสนใจวัตถุ Reference อื่นๆ

    ขมิบ :ก็คือการเคลือนที่ของวัตถุหรืออวัยวะ ซึ่งเมื่อเคลื่อนที่จากจุดเดิมไปซักพักมันก็จะกลับมาอยู่ในตำแหน่งตั้งต้นของมันเอง

    ขะแหม่ว : ก็คือการเคลือนที่ของวัตถุหรืออวัยวะที่คล้ายๆกับการขมิบ แต่ต้องมีแรงของความอดทนเข้ามากระทำเพื่อให้การเคลื่อนที่นั้นคงอยู่ในตำแหน่งใหม่ได้ซักพัก แต่ในที่สุดมันก็จะกลับสู่ตำแหน่งเดิมของมันเช่นกัน เมื่อหมดแรงแห่งความอดทน


    :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  18. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    เป็นความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย :cool:
    อาจเป็นเพราะป้าได้อ่านคร่าวๆ จากหนังสือบางเล่มแล้วยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้น่ะ บวกกับความคิดตัวเองด้วย เลยมองว่าดวงอาทิตย์น่าจะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของดาวดวงอื่นๆ มากกว่าเพื่อน

    ลองอ่านดูจาก ARTgazine เพิ่มเติม ไอน์สไตน์ว่าไว้อย่างที่เบทร์ยกมา..

    http://www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?t=2120
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  19. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ถ้าตัดคำว่าอวัยวะออก ก็จะเป็นรูปแบบของการที่บางสิ่งบางอย่างดูเหมือนขยับเคลื่อนจากจุดเดิมไปอยู่อีกจุดหนึ่ง โดยแรงบางอย่าง แต่โดยแท้จริงแล้วถ้าไม่มีแรงใดๆดังกล่าวนั้นกระทำ สิ่งนั้นก็จะกลับไปอยู่ยังจุดเดิม ตำแหน่งเดิม
     

แชร์หน้านี้

Loading...