ตามรอยพระพุทธบาท ท่าเท้าพระพุทธองค์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 สิงหาคม 2012.

  1. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    _/\_ _/\_ _/\_
    มีเกิดทั้งนอกกายและทั้งในกาย
    ถ้าเกิดนอกกาย นอกผิวหนัง เป็นลักษณะ เม็ดฝนสาด. เข้ามาหาตัว ครับ
    (ทัศนะคติส่วนตัวชอบกรรมฐานที่อยู่กับกาย เคยมีแสงสว่างเป็นดวงแต่ไม่ถึงขนาดประกายพรึกโผล่มาด้านหน้าบ่อยๆ
    แต่ผมมักตัดทิ้งไป. เลือกทำกรรมฐานที่อยู่กับกาย ผมรูุ้สึกปลอดภัย และไม่ต้องปวดหน้าผากหรือขมับที่เผลอเพ่ง )
    ลักษณะดั่งเม็ดฝนที่สาดเข้าตัว คงบ่งบอกอะไรหรือประโยชน์การใช้งานหรือป่าวครับ
    ส่วนปิติดั่งเม็ดฝนที่เกิดในกาย ยังจับไม่ได้ว่าเข้าหาตัวหรือวิ่งออกนอกตัว จะลองไปสังเกตุใหม่ครับ
    (ต่อครับมาพิมพ์เพิ่มตอนเย็น ) เกิดในกาย ก็ เป็นลักษณะ เม็ดฝนสาดเข้าหา ตัวครับ

    -------------
    ครับ จะพิจารณาลำดับความสำคัญก่อนหลังครับ เกรงเสียงานใหญ่

    วันก่อนที่อาจารย์ให้พิจารณาเรื่อง พรหมจรรย์ ตามไปอ่านซ้ำเรื่อง กาเมสุมิจฉาจารา กับ เมถุนสุมิจฉาจารา. ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า พรหมจรรย์ อยู่ที่ การสำรวม อายตนะทั้ง 6 ถึงจะเป็นพรหมจรรย์ที่เป็นตัวปฏิบัติที่แท้จริง ก็จะลงที่การมีสติ รู้สึกตัว กายเวทนา จนมีสติเต็มร่าง

    _/\_ _/\_ _/\_

    ปล. คำว่า เมถุนสุมิจฉาจารา คงไม่มีในตำรา อาจารย์เพียงอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

    ชายหญิงที่รักษาความบริสุทธิ์ไม่ยุ่งเกี่ยวทางเพศได้ผลบุญอะไร


    ค้นหา google
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2013
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ

    +++ ผมจะเพิ่ม รายละเอียดเกี่ยวกับ ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ ที่ทุกอย่างเป็น "อิทัปปัจจัยยะตา" (สัมพันธภาพต่อเนื่อง) จากเหตุอันเดียว ดังต่อไปนี้

    1. ศีล อันเป็นที่มาแห่ง สมาธิ

    หัวใจของ ศีล ที่ส่งผลตรง ในทางปฏิบัติคือศีลข้อ กาเม + สุ + มิจฉา + จารา + เวระมณี + สิกขา (งดเว้นจากการท่องเที่ยวและผูกพัน (เวร) ไปในกามารมณ์ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม)

    กามารมณ์ คือ อารมณ์ที่จิต "อยู่" กับ กามคุณ 5 อันประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่ม รส และ กายผัสสะ ดังนั้น การ "ควบคุม หรือ งดเว้น" จึงอยู่ที่การสำรวม "จิตไม่ให้ส่งออก ไปในกามคุณ 5" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล "จิตส่งออก คือ สมุทัย") และ การที่จิตจะสำรวมจากการส่งออกได้นั้น จิตต้องประกอบไปด้วย "สติ" เท่านั้น โดยการ ตั้งสติ และ ตั้งฐานในการครองสติไว้ที่ "กาย เวทนากาย จิต และ เวทนาจิต" ณ ยามใดที่ สติ ครองฐานทั้ง 4 นี้ ย่อมสามารถกล่าวได้ว่า "ทำ ศีล ให้บริสุทธิ์" เพราะเว้นจากการท่องเที่ยวไปใน กามคุณ 5 ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า การทำ "มหาสติปัฏฐาน 4" คือ "การทำศีลให้บริสุทธิ์" นั่นเอง ดังนั้นกล่าวได้อย่างสั้น ๆ ได้ว่า "ศีลคือสติ"

    สติ คือ "อิทัปปัจจัยยะตา" ของ มรรค 8

    การทำ "สติ ให้เป็น ศีล" จัดเป็น สัมมาทิฏฐิ (คิดถูก) สัมมาสังกัปโป (เข้าใจถูก) "ก็จะทำให้เกิด" สัมมาวาจา (พูดถูก เพราะมีสติ) สัมมากัมมันโต (ทำถูก เพราะมีสติ) สัมมาอาชีโว (ดำรงค์ชีพด้วยสติ) สัมมาวายาโม (ความพยายามที่มีสติ) "ด้วยเหตุแห่ง มหาสติปัฏฐาน 4" อันเป็น สัมมาสติ ("ตั้ง" สติได้ถูก) จน มหาสติ กลั่นตัวเป็น สมาธิที่มาจากสติ เรียกว่า สัมมาสมาธิ (สมาธิที่ถูกต้อง)

    2. สมาธิ อันเป็นที่มาแห่ง ปัญญา

    การปฏิบัติด้วยการตั้ง "สติ" ไปตามฐานทั้ง 4 คือ 1. รู้กายทั้งกาย 2. รู้สีกทั้งตัว 3. รู้การทำงานของจิต 4. รู้สึกยามที่จิตรับรู้ เรียกว่าเป็น "มหาสติปัฏฐาน" (ไม่ใช่ อนุสติ)

    (ก). กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน คือการ "รู้กายทั้งกาย" ยามใดที่ รู้กายทั้งกาย ได้ก็จะรวบเอา "อนุสติ" ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน เช่น กองลมหายใจทั้งหมด อิริยาบททั้งหมด อุณหภูมิ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทั้งหมด รวมถึง สิ่งที่ตกกระทบทางกายจากภายนอกทั้งหมด และเมื่อยามใดที่ "สติตั้งมั่น" จนกลายเป็น "รู้สักแต่ว่ารู้" ก็จะเกิดเป็น "กายทั้งหมดถูกรู้ ส่วนเรารู้อยู่" และจะเป็นอาการของ "กายในกาย" โดยที่มี "กายทั้งกายเป็นภายใน" ซึ่งตรงกับอาการของภาค อภิญญา ที่กล่าวว่า "ตั้งกายไว้ในจิต" และ กายก็สักเป็นแต่เพียง รูป เท่านั้น ตามหมวดของ ขันธ์ 5 กล่าวได้ว่า "ได้ปัญญาในการเห็น รูปขันธ์"

    (ข). เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน คือการ "รู้สีกทั้งตัว" ยามใดที่ รู้สีกทั้งตัว ได้ก็จะรวบเอา "อนุสติ" ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน เช่น สัมปชัญญะแห่งการเคลื่อนกาย ธาตุต่าง ๆ ตามความเปลี่ยนแปลงแห่งการรู้สึก พลังงานต่าง ๆ จากความรู้สึก การรับรู้จากการรู้สึกทั้งหมดจนเกิดเป็น "อายตนะ แห่งนามธรรม" จนเห็น ความรู้สึกที่แตกต่างกันของสภาวะต่าง ๆ เช่น กายกับความเจ็บปวด ที่แยกส่วนออกจากกันเป็นคนละสถาวะ จนถึงสิ่งที่ตกกระทบเข้ามาทางกายทั้งหมด แยกออกมาเป็น สภาวะใครสภาวะมัน มีขอบเขตและมิติแห่งการ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ในมิติของใครของมัน จากการที่ "สติตั้งมั่นอยู่ภายในกาย" ก็จะเป็น "กายทั้งหมดถูกรู้ ส่วนเรารู้อยู่ภายใน" และจะเป็นอาการของ "กายในกาย" โดยที่มี "ขอบเขตของกายทั้งหมดเป็นภายนอก" (ตะจะปริยันโต = มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ) ซึ่งตรงกับอาการของภาค อภิญญา ที่กล่าวว่า "ตั้งจิตไว้ในกาย" และ กายก็สักเป็นแต่เพียง นาม เท่านั้น ตามหมวดของ ขันธ์ 5 กล่าวได้ว่า "ได้ปัญญาในการเห็น เวทนาขันธ์"

    3. ปัญญา อันเป็นที่มาแห่ง วิชชา

    (ค). จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน "เป็นการวิวัฒนาการมาจาก ข้อ 1 หรือ/และ ข้อ 2" คือ การที่สติมีความละเอียด "จนเห็น การทำงานของจิต" เห็น อากับกิริยาอาการทั้งหมดที่เรียกว่า "กิริยาจิต" รวมถึงเห็น "การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของจิต รวมทั้งการ เกิดใหม่ อีกด้วย" ผู้ที่ฝึกอยู่ในขั้นนี้ สามารถทำการ "ธรรมะวิจัย" ได้ในส่วนต่าง ๆ ของจิต เช่น เรื่องเหตุของการจุติ (วิชชา 3 ในส่วนของการ "เกิดขึ้น" ใน ไตรลักษณ์แบบละเอียด) การตั้งอยู่ของจิต (ความเป็นกายของจิต ภพภูมิ กฏแห่งกรรม ในส่วนของการ "ตั้งอยู่" ใน ไตรลักษณ์แบบละเอียด) ในแบบต่าง ๆ หากตั้ง "จิตอยู่ภายในสติ" โดยมี "สติอยู่ภายนอก และ มีจิตอยู่ภายใน" ก็จะศึกษา กิริยาจิต ได้ทั้งหมด และหากตั้ง "สติอยู่ภายในจิต" จิตย่อมดับไป และจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ย่อมทรงไว้แต่สภาวะรู้เท่านั้น (เป็นวิธีทำให้ "ดับไป" ในไตรลักษณ์ ชั้น อัปปนาสมาธิ) จัดได้ว่า "ได้วิชชาในการ ดับ จิตขันธ์" (นิโรธสมาบัติ)

    4. วิชชา อันเป็นที่มาแห่ง วิมุติ

    (ง). ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน "เป็นการวิวัฒนาการมาจาก ข้อ 2 หรือ/และ ข้อ 3" (เป็นการยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่ข้อ 1 จะข้ามมาข้อ 4 เลย โดยไม่ผ่าน 2 +/ 3) ผู้ที่ฝึกมาจาก 2 ส่วนใหญ่ จะผ่าน 3 มาทาง การถอดกายเวทนา แล้วพัฒนามาเป็น การถอดกายจิต ภายหลัง และจะผ่าน หมวดอภิญญา 6 ในฐาน กายเวทนามาก่อน เช่นการฝึก ลอยตัว ชำแรกกำแพง และ การติดต่อจาก ภพภูมิ ต่าง ๆ เป็นต้น ยามที่ สติ ละเอียดมาเป็นลำดับ ก็จะมาเห็น "กิริยาจิต" โดยตรง และมักจะได้ เจโตปริยะญาน โดยปริยาย รวมทั้งความชำนาญในการเดินจิตแบบ "เอกัคตาสู่เอกัคตา ในชั้นอรูปสมาบัติ" ผู้ที่ "ผ่านการเห็นกิริยาจิต" เท่านั้น จึงมีขีดความสามารถ ในการสืบสาวราวเรื่องไปยัง "เหตุเกิดของจิต" ได้ โดยการ "ดับจิตขันธ์" เสียก่อน แล้วรู้อยู่เช่นนั้น (Static Stage) โดยธรรมชาติแห่ง สภาวะรู้อันบริสุทธิ ไร้สภาวะธาตุใด ๆ ทั้งสิ้น จึงสามารถเห็น "อนุภาคอิสสระ ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ มาก่อน" (Dynamic Stage) หากไม่สามารถ "เห็นอนุภาคอิสสระ" นี้แล้วก็จะเกิด "หย่อมความกด (Depression) ที่รวมตัวกันเป็นสภาวะธาตุแห่งอวิชชา" แล้วเริ่ม พัฒนามาเป็นวังวน ในขณะที่หย่อมความกดกำลังกลายตัวมาเป็นวังวนนั้น ก็จะเกิด แรงดึงดูดเข้าหาศูนย์กลาง ทำให้เกิดสภาวะธาตุแปรปรวน (สังขารแห่งธรรมารมณ์ = อรูปสมาบัติ) แล้ว ณ ใจกลางของวังวนนั้น อายตนะจึงเกิดขึ้น (วิญญาน หรือ จิต) ซึ่งจะเห็นและรู้ไปในเรื่องของ โลกียะ (รูป) โดยมี สังขารแห่งธรรมารมณ์ (นาม) เป็นพลังงานในการหล่อเลี้ยง (พลังจิต) อายตนะ (จิต) นั้น จากนั้นก็วิวัฒนาการ กันไปตามสายของ "ปฏิจจสมุปบาท" ต่อไป

    ดังนั้นการ "เกิดขึ้น" ที่ สติคือศีล จนถึงการ "ตั้งอยู่" ด้วยการเดินทางในมหาสติปัฏฐาน 4 จนถึงการ "ดับไป" แห่งเหตุเกิดของจิต แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือ สติที่บริสุทธิ์เท่านั้น ดังนั้นทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของ "การเดินทางของสติอันเดียว" เท่านั้น ภาษาบาลีท่านว่า "เอกา + ยานะ + มัคโค" นะครับ
     
  3. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ละเอียดมากเลยนะครับ สาธุๆๆ


     
  4. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    ธรรมะ "ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ" นี้ กล่าวได้งดงามแท้ _/\_ _/\_ _/\_
     
  5. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    อ่านแล้วแม้ไม่เข้าใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะออกมาอนุโมทนาการ สาธุๆๆๆๆๆ ครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ต้องเดินทาง 2-3 วัน ใครมีข้อสงสัยอะไร ก็ให้เขียนไว้ในกระทู้นี้ก่อนก็ได้ นะครับ
     
  7. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +1,014
    สวัสดีค่ะ คุณ torelax9 ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ปฏิบัติเท่าที่ควรค่ะ ส่วนใหญ่จะปฏิบัติเมื่อมีเวลาว่างและพร้อมค่ะ ตอนแรกก็กังวลว่าจะลืมและไม่สามารถปฏิบัติได้ ต่อเนื่องจากที่ผ่านมา แต่พอลงมือปฏิบัติก็ยังพอจะเข้าที่เข้าทางบ้าง แต่ก้ไม่ชัดเจนเหมือนคุณ torelax9 บางอย่างต้องพยายามทำความเข้าใจหลายๆรอบ และปฏิบัติไปเรื่อยๆค่ะ แต่ช่วงนี้มีเพื่อนๆมาเล่าประสบการณ์ก็กระตุ้นให้เรารู้สึกอยากปฏิบัติมากขึ้นค่ะ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ จริง ๆ แล้ว เป็นของพระอุปัชฌาย์ของผม ในช่วงที่ผมยังต้องเร่งความเพียรจัด ๆ และท่านมักจะพูดแบบเปรย ๆ ออกมาให้ผมฟัง ในยามที่ปลอดจากผู้อื่น
    +++ คำเต็ม ๆ คือ "ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ นี้ เป็นตัวเดียวกันนั่นแหละ"
    +++ ทั้งหมดนี้ สุดแท้แต่ที่ใครจะหาเจอและทำได้ ต่างหาก

    +++ ตรงนี้ เข้าใจไม่ได้ด้วยการอ่าน
    +++ ตรงนี้ จะ "เห็น" ได้เมื่อ "เดินจิต" ถึงเท่านั้น
    +++ พยายามเดินจิตตามที่โพสท์ไว้นี้ ก็จะรู้ได้ภายใน 7 วัน 7 เดือน 7 ปี ดังที่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก นั่นแล
     
  9. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    กราบเท้าคุณธรรม-ชาติ ครูบาอาจารย์ผู้ชี้แนะนำทางแสงสว่างให้

    วันนี้เข้ามารายงานตัวค่ะ ยังไม่มีอะไรคุยเลยเพราะไม่มีความสงสัยอะไร ส่วนความก้าวหน้าที่ผ่านมา จะค่อยๆนำมาเล่าสู่กันฟังนะคะ ถึงแม้จะไม่ได้ติดต่อกับครูบาอาจารย์ แต่จิตใต้สำนึกยังระลึกถึงบุญคุณครูบาอาจารย์อยู่เสมอ ความทรงจำนี้จะฝังใจไปตลอดชีวิต เหมือนกับที่เราจำชื่อจังหวัดสถานที่เกิด ยังไงยังงั้นเลยค่ะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    มีประสพการณ์จริงอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวก็ นำมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ เพื่อเป็นพยานธรรม และ บารมีธรรม ที่ฝากไว้ในใต้ร่มธงแห่งพระพุทธศาสนา

    "ประสพการณ์จากการปฏิบัติ เท่านั้น จึงเป็นพยานธรรม และ สืบต่อพระพุทธศาสนา ยิ่งกว่าการสร้างบารมีใด ๆ เพราะเป็นปฏิบัติบูขา เพราะเป็นธรรมทายาท จากรุ่นสู่รุ่น" นะครับ
     
  11. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    สวัสดีครับ รอฟังเป็นธรรมทานครับ

    สิ่งหนึ่งที่ยังคงหล่อเลี้ยงให้ผมเดินอยู่เส้นทางเพื่อความพ้นทุกข์ เกิดจากการถ่ายทอดประสพการณ์รุ่นต่อรุ่นจริงๆครับ. คือ คุณลุงท่านหนึ่งที่วัดอโศการามชื่อลุงย้อยท่านเป็นนักปฏิบัติที่อายุมากแล้วตอนนั้น ท่านถือศีลแปดประจำและเคยเล่าประสพการณ์กรรมฐานของท่านให้ผมฟัง และเคยแสดงปีติขนลุกตามผิวหนังให้ผมดูได้แบบทันทีทันใดที่พูดจบโดยไม่ต้องไปนั่งหลับตา ประกอบกับประสพการณ์จากผู้ทรงคุณหลายๆท่านจนถึงเว็บนี้กระทู้นี้ ทำให้เกิดการฝึกตนเองต่อๆมาเรื่อยๆ
    ถึงแม้ตัวผมเองยังเข้าไม่ถึงแก่นของพระธรรม ไม่ถึงกระพี้. อาจอยู่แค่บริเวณเปลือกหรือสะเก็ด แต่แค่นี้ความทุกข์ในปัจจุบันก็ลดไปมากแล้ว เหล่านี้จึงเป็นพยานธรรมได้เป็นอย่างดีสำหรับตัวผม จึงทำให้มั่นใจแน่นอนว่าพระธรรมทำให้พ้นทุกข์ได้จริงทั้งในปัจจุบันและพ้นทุกข์ได้แบบถาวร
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    เข้าสู่ฌาน 2 แห่ง ปิติ ขนลุก ด้วย เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน (กายเวทนา)

    ผู้ที่เคยกำหนดได้ ความรู้สึกทั่วทั้งตัว มาแล้ว ให้เดินจิตดังนี้

    1. กำหนดความรู้สึกตัว แล้วถอนออก แล้วกำหนดซ้ำใหม่อีกครั้ง ในการกำหนดครั้งที่ 2 นี้ ให้สังเกตุ อาการ วูป ที่ชำแรกผิวหนังเข้ามา (กำเหนิด กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน หากหยุดและอยู่ที่ผิวหนัง ในช่วงที่ชำแรกเข้า) แล้วรวมตัวกัน ก่อนที่จะขยายตัวออก กระทบและ ชำแรกผิวหนังออกไป (กำเหนิด เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เมื่อหยุดและอยู่ที่ผิวหนัง ในช่วงที่ชำแรกออก)

    2. เมื่อจับอาการได้แล้ว ควรซ้อมให้คุ้นเคย กับอาการทั้ง 2 ทางนี้ เมื่อคุ้นเคยแล้ว ในช่วงแห่งการชำแรกออก ให้หายใจออกพร้อมกับ "เร่ง" กายแห่งเวทนา ให้ช่วยชำแรกผิวผนังออกไปด้วย หากปรับจังหวะได้ดีเพียงพอ ก็จะทำให้เกิดอาการ "ขนลุก" ทั้งตัวขึ้นได้ เมื่อฝึกจนคล่องแล้ว ก็สามารถ "กำหนดด้วยจิตโดยตรง" ได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์อื่น ๆ

    อาการ "จิตคำราม"

    3. อาการนี้สามารถเกิดได้ หลังจากที่สามารถกำหนด ให้เกิดอาการ "ขนลุก" ทั้งตัวได้ด้วยการกำหนดจิตโดยตรง แล้วกำหนด "กระแทกขยาย" กายเวทนา ให้ชำแรกผิวหนัง รวมทั้งทั่วรูขุมขนอย่างรวดเร็วและรุนแรงพร้อมกันทั้งร่าง ก็จะเกิดอาการ "กระหยิ่ม กระหึ่ม คำรณ คำราม" ของจิตตามมา

    ข้อควรระวัง ในเวลาแผ่เมตตา หรือ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ห้ามใช้ "จิตคำราม" โดยเด็ดขาด ให้ใช้ ความเย็นสบายที่อยู่ในจิต ส่งออกไป
    หมายเหตุ เรื่องของ "จิตคำราม" นี้ มีไว้ใช้ในกรณีป้องกันตัวเท่านั้น

    รายละเอียดเพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม ดูได้จากที่นี่

    http://palungjit.org/threads/เกิดอา...งสมาธิเป็นเพราะอะไร.345077/page-3#post6771183
     
  13. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ช่วงนี้เป็นอะไรที่จิตใจภายในมันสงบนิ่งมากน่ะค่ะ สงบนิ่งจนรู้สึกไม่มีอะไรจะพูดจะคุยเลย ในความสงบนิ่งนี่มันก็ยังรู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวนะคะ แล้วเวลามีอะไรจากภายนอกเข้ามากระทบทางหูตาจมูกอะไรนี่เราก็รับรู้ ตาเห็น จมูกได้กลิ่น หูได้ยิน รับรู้ถึงอารมณ์ แต่ว่าจิตใจข้างในมันสงบนิ่ง เป็นอะไรที่อัศจรรย์มากค่ะ จิตมันไม่ยึดไม่ติดไม่ยินดียินร้ายไม่กระวนกระวายอะไรเลย ส่วนความรู้สึกสุขสนุกสนานร่าเริงที่เคยมีเคยเป็นนี่ไม่รู้มันหายไปไหนหมด ก่อนที่จะเป็นแบบนี้คือช่วงที่ไม่ได้เข้ามาน่ะค่ะ ช่วงนั้นเป็นอะไรที่รู้สึกเบื่อหน่ายเกิดขึ้นอีก ไม่รู้เบื่ออะไรนักหนา พอเบื่อหนักๆเข้ามันย้อนกลับมารู้สึกเบื่อหน่ายขยะแขยงตัวเองเลยทีนี้ เบื่อหน่ายตัวเองเพราะรู้ว่าร่างกายตัวเองนี่มันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสโครกเน่าเหม็นคาว รู้สึกขยะแขยง สลดใจ รังเกียจตัวเองชนิดที่ว่าไปไหนไม่อยากเอาตัวเองไปด้วยเลยค่ะ เวลามองคนสวย คนขี้เหร่ คนร่างกายครบ32 คนพิการ ดูแล้วมันไม่มีอะไรน่าดูเลย รู้สึกขยะแขยงความสกปรกเน่าเหม็นภายในร่างกายเขา ขยะแขยงกามคุณ+ตัณหา+ราคะที่แฝงอยู่ภายในจิตในใจเขา และจะรู้สึกอย่างนี้กับทุกคนที่เราดูเราเห็นและกับคนที่เราพูดคุยด้วยเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ยิ่งกับตัวเองนี่เบื่อหน่ายขยะแขยงหนักสุด อาการพวกนี้มันเกิดขึ้นของมันเองนะคะ จะว่าทุกข์ก็เหมือนไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ก็เหมือนทุกข์ มันรู้สึกเบื่อไปหมด ก็อยู่กับอาการเบื่อหนักๆแบบนี้ตลอดเวลาเป็นเดือนๆเลยนะคะ นี่ก็เพิ่งจะจางคลายลงและรู้สึกจิตใจสงบนิ่งได้ก็ตอนที่รู้ว่าเบื่อเมื่อไม่นานนี่เองค่ะ พอเรารู้ว่าเบื่อ ความเบื่อหน่ายจางคลายลงแล้วจิตใจภายในมันสงบนิ่งเลย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเวลามองอะไรหรือคุยอะไรกับใครแล้วจะเป็นอะไรที่รู้ แต่จิตใจภายในมันสงบนิ่งไม่กระเพื่อม เห็นอะไรก็สักแต่รู้ ไม่วิตกไม่วิจารย์ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย บางครั้งจะรู้จะเห็นโดยบังเอิญเช่นว่า เวลาเราทำอะไรเหมือนจะมีอารมณ์เพลิดเพลินแต่ทำไมความรู้สึกข้างในมันไม่เชื่อมเข้าหากับอารมณ์เพลิดเพลินนั้น คือมันแยกอยู่ส่วนใครส่วนมันเลย ยังไงต่อล่ะทีนี้ ก็มันเป็นอย่างนี้แหล่ะค่ะ
     
  14. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    _/\_ _/\_ _/\_ ตั้งแต่อ่านการเจริญสติกายในกายย้อนหลังที่โพสต์ไว้ตามกระทู้นี้และอีกหลายกระทู้ แล้วนำมาฝึกก็รู้สึกมีความก้าวหน้าจนภายใต้ผิวหนังมีความรู้สึกว่า มีลมเป็นฟองเล็กๆที่ไหลไปทั่วกายไหลได้เร็ว ก้าวหน้าที่ว่าคือ รู้สึกจะเข้มข้น หนาแน่นเพิ่มขึ้นทีละนิดๆทุกวัน แต่ก็ยังไม่ค่อยเท่ากันทั้งกาย แล้วยังปรับ % วสียังไม่ได้ ได้แค่แช่ไว้ ความรู้สึกใต้ผิวหนังมีจริงๆ ตามที่บอกครับ. บางครั้งก็ร้อนๆแบบรู้สึกดีมีพลัง. บางครั้งก็เย็นซ่านดี แต่สติยังจับลมตอนชำแรกผ่านผิวหนังเข้าผ่านออกยังไม่ได้. ส่วนในอกหรือส่วนในของร่างกายมักรู้สึกเย็นชุ่มช่ำ รอบดวงตามักชุ่มช่ำเหมือนมีน้ำ บางครั้งก็ซึมออกมา จะพยายามฝึกสติให้เต็มกาย และฝึกส่วน "จิตคำราม"ตามที่สอนโพสต์นี้. เมื่อทำได้แล้วจะใช้วิชานี้ให้เกิดแต่คุณ ไม่ให้เกิดโทษครับ
    สองวันมานี้เข้าไม่ถึงความเย็น เข้าถึงก็ได้นิดได้หน่อย ไม่รู้ทำอะไรผิดมา คงฝึกย่อหย่อนลง ชั่วโมงฝึกน้อยลงด้วย แล้วดูหนังฝรั่งในคอมที่คนอื่นวางแชร์ไว้ เกี่ยวกับมายากล ปล้นๆระดับโลก ที่เดวิท คอมเปอร์ฟิวออกแบบกลให้อะไรนี้แหละ อีกหลายเรื่อง ดูติดๆกัน คงขาดสติไป สำรวจศีลสมาทานศีลใหม่ สำรวมอินทรีย์ใหม่
    _/\_ _/\_ _/\_
     
  15. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    _/\_ _/\_ _/\_ ช่วงหายใจออก พระหนุ่มองค์หนึ่งสายวัดป่าสอนให้ผม กำหนดเห็นกายทั้งกาย แต่รูปร่างหน้าตาเหมือนเรามองในกระจก ท่านว่าจะเห็นได้ทั้งกาย
    และอีกท่านหนึ่งเดือนนั้นท่านยังเป็นฆราวาสสอนคล้ายๆกัน ใช้ลมหายใจ แต่ไม่ได้สอน เรื่องช่วงลมหายใจออก ท่านบอกจะเห็นรูปร่างตนเองเปี้ยบเหมือนในกระจก
    ทั้งสองท่านนี้เป็น ฐานกาย คือกายเนื้อ ส่วนวิธีที่ผมฝึกเป็นฐานกายเวทนา ใช่ไหมครับ
    ท่านหลังนี้ ท่านว่าที่ผมฝึกยังไม่ใช่ ท่านว่าควรเห็นเหมือนของท่านคือต้องเห็นเป็นกายเนื้อ หน้าตารูปร่างใส่เสื้อผ้าเหมือนเราเปี้ยบ แต่ผมก็รับฟังแล้วเฉยๆ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ช่วงนี้เป็นอะไรที่จิตใจภายในมันสงบนิ่งมากน่ะค่ะ สงบนิ่งจนรู้สึกไม่มีอะไรจะพูดจะคุยเลย

    +++ ตัวพูดมากมันหยุดไปเอง ใช่หรือเปล่า (วจีจิตตะสังขาร หรือ ตัว วิจารณ์อุตลุด)

    ในความสงบนิ่งนี่มันก็ยังรู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวนะคะ แล้วเวลามีอะไรจากภายนอกเข้ามากระทบทางหูตาจมูกอะไรนี่เราก็รับรู้ ตาเห็น จมูกได้กลิ่น หูได้ยิน รับรู้ถึงอารมณ์ แต่ว่าจิตใจข้างในมันสงบนิ่ง

    +++ จากนั้น "รู้ทุกอย่างตามปกติ โดยที่ไม่มีอาการ จิตส่งออกไปภายนอก และ ไม่มีการดูกลับเข้ามาภายใน" ใช่หรือไม่

    เป็นอะไรที่อัศจรรย์มากค่ะ จิตมันไม่ยึดไม่ติดไม่ยินดียินร้ายไม่กระวนกระวายอะไรเลย ส่วนความรู้สึกสุขสนุกสนานร่าเริงที่เคยมีเคยเป็นนี่ไม่รู้มันหายไปไหนหมด

    +++ ตรงนี้เป็นอาการที่ "สติเข้าไปครองฐานจิต" หรือกล่าวได้ว่า "สติเข้าไปแทนที่ สังขารจิต" เปรียบเหมือนกับ "ข้างใน ของตัวอาคารรัฐสภา" กับ "สส ที่อยู่ข้างใน ตัวอาคารรัฐสภา ทั้งหมด"

    +++ ตั้งแต่เกิดมา จิตทุกดวงเปรียบเหมือน "สส ที่อัดกันแน่นอยู่ข้างในสภา ที่ประชุมกันแบบไม่มีวันเลิก เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่มีใครฟังใคร เพราะต่างคนต่างปรุงกันจน รกไปหมดทั้งหัว แบบหัวใครหัวมัน เลยทำให้หมดความสามารถในการได้ยินเสียงผู้อื่นไป ถึงได้ยินก็ไม่รู้เรื่อง เพราะความปรุงในหัวใครหัวมันนั้น บังอยู่ และไม่มีทางยุติความวุ่นวายได้"

    +++ สภาวะของคุณในขณะนี้เปรียบเหมือนกับการ "ปิดสภา และไม่มี สส เหลืออยู่เลย เหลืออยู่แต่ ตัวอาคารสภา เท่านั้น" ตัวอาคารสภาจึง "สงบไร้ความวุ่นวายใด ๆ ทั้งสิ้น"

    +++ หมายเหตุ ตัวอย่างการเปรียบเทียบ สส กับ ตัวสภา นี้ เพื่อชี้ให้เห็นถึง "รูปธรรมที่เด่นชัด เพื่อความเข้าใจได้ง่าย เฉย ๆ" ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ ระบบการเมืองแต่อย่างไรทั้งสิ้น

    ก่อนที่จะเป็นแบบนี้คือช่วงที่ไม่ได้เข้ามาน่ะค่ะ ช่วงนั้นเป็นอะไรที่รู้สึกเบื่อหน่ายเกิดขึ้นอีก ไม่รู้เบื่ออะไรนักหนา พอเบื่อหนักๆเข้ามันย้อนกลับมารู้สึกเบื่อหน่ายขยะแขยงตัวเองเลยทีนี้ เบื่อหน่ายตัวเองเพราะรู้ว่าร่างกายตัวเองนี่มันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสโครกเน่าเหม็นคาว รู้สึกขยะแขยง สลดใจ รังเกียจตัวเองชนิดที่ว่าไปไหนไม่อยากเอาตัวเองไปด้วยเลยค่ะ เวลามองคนสวย คนขี้เหร่ คนร่างกายครบ32 คนพิการ ดูแล้วมันไม่มีอะไรน่าดูเลย รู้สึกขยะแขยงความสกปรกเน่าเหม็นภายในร่างกายเขา ขยะแขยงกามคุณ+ตัณหา+ราคะที่แฝงอยู่ภายในจิตในใจเขา และจะรู้สึกอย่างนี้กับทุกคนที่เราดูเราเห็นและกับคนที่เราพูดคุยด้วยเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ยิ่งกับตัวเองนี่เบื่อหน่ายขยะแขยงหนักสุด อาการพวกนี้มันเกิดขึ้นของมันเองนะคะ จะว่าทุกข์ก็เหมือนไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ก็เหมือนทุกข์ มันรู้สึกเบื่อไปหมด ก็อยู่กับอาการเบื่อหนักๆแบบนี้ตลอดเวลาเป็นเดือนๆเลยนะคะ

    +++ เป็นนิสัยที่เคยได้ "อสุภะกรรมฐาน" มาก่อน แล้วตามมาปรากฏในชาตินี้

    นี่ก็เพิ่งจะจางคลายลงและรู้สึกจิตใจสงบนิ่งได้ก็ตอนที่รู้ว่าเบื่อเมื่อไม่นานนี่เองค่ะ พอเรารู้ว่าเบื่อ ความเบื่อหน่ายจางคลายลงแล้วจิตใจภายในมันสงบนิ่งเลย

    +++ ตรงนี้เป็นการ "วางความเบื่อ" ที่เป็นชั้นของ ธรรมารมณ์ ลง จึงเกิดอาการ "ต่อไม่ติด" ขึ้นมา

    ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเวลามองอะไรหรือคุยอะไรกับใครแล้วจะเป็นอะไรที่รู้ แต่จิตใจภายในมันสงบนิ่งไม่กระเพื่อม เห็นอะไรก็สักแต่รู้ ไม่วิตกไม่วิจารย์ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย

    +++ นี่คืออาการของ "สติเข้าไปแทนที่ สังขารจิต" จึงเกิดอาการ "จิตไม่ส่งออก" (ภาษาของ หลวงปู่ดูลย์) "จิตไม่จ่อ" (ภาษาของ หลวงตามหาบัว) ให้อ่านโพสท์นี้ประกอบไปด้วย

    http://palungjit.org/threads/จะเริ่...งไม่รู้เริ่มยังไงดี.508499/page-3#post8310424

    บางครั้งจะรู้จะเห็นโดยบังเอิญเช่นว่า เวลาเราทำอะไรเหมือนจะมีอารมณ์เพลิดเพลินแต่ทำไมความรู้สึกข้างในมันไม่เชื่อมเข้าหากับอารมณ์เพลิดเพลินนั้น คือมันแยกอยู่ส่วนใครส่วนมันเลย

    +++ ยามที่ "สติมีความสามารถ เข้าไปแทนที่ สังขารจิตได้" อาการที่เกิดคือ 1. จิตไม่ปรุง (รูปละเอียด-รูปราคะ) 2. ธรรมารมณ์ ต่อไม่ติด (นามละเอียด-อรูปราคะ)
    +++ สภาวะนี้บ่งถึงสภาวะที่ "จิตไม่เนื่องด้วย กามาวจร" แต่เป็น "รูปาวจร เต็มตัว" โดยมี "สติ เป็นกาย" ไม่ใช้ "ธรรมารมณ์ เป็นกาย แบบโลกียะพรหมโดยทั่วไป"

    ยังไงต่อล่ะทีนี้ ก็มันเป็นอย่างนี้แหล่ะค่ะ

    +++ สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือ "ตน" เท่านั้น และเป็น "ตนที่เป็น อัตตาจิต"

    +++ ให้ฝึก สลับไปมาระหว่าง "อยู่กับรู้ โดยมี ตนถูกรู้" กับ "ตนรู้อยู่ สรรพสิ่ง ถูกรู้" (การเดินจิตตรงนี้ ใช้สำหรับคุณ จิตวิญญาณ และบุคคลที่กำลังอยู่ในสภาวะนี้ เท่านั้น) ตรงนี้เป็นการเดินจิตระหว่าง "อยู่กับรู้" เพื่อแยกแยะความแตกต่างกับการ "อยู่กับตน" ให้ชัดเจน

    +++ หลังจากเดินจิตตรงนี้ได้คล่องแล้ว ให้รู้อยู่เฉย ๆ แล้วจะค่อย ๆ เห็นการก่อกำเหนิดของ "ตัวดู" แบบ slow motion ที่เป็นไปเองตามธรรมชาติของมัน จากนั้นให้ "เล่น" กับตัวดู ใน 3 ลักษณะดังนี้ คือ

    1. ยามที่ตัวดู กำลังก่อกำเหนิดนั้น เป็นการ รวบรวมสภาวะ แล้ว ก่อกำเหนิดธาตุต่าง ๆ เข้ามาเป็น ตัวตน หรือไม่ และ มีอิทธิพลอย่างไรกับ สภาวะรู้ ตรงนี้หากยังไม่ทัน ให้กลับไปเดินจิตใหม่ระหว่าง "อยู่กับรู้" กับ "อยู่กับตน" แล้วเล่นกับมันใหม่
    2. ยามที่ตัวดู กำเหนิดขึ้นมาจนมีสภาพแล้ว มันเป็นสภาวะ ธาตุ หรือไม่ มันเป็นสภาวะ ธรรมารมณ์ หรือไม่ และมันเป็นสภาวะของ ตัวฌาน หรือไม่
    3. ปล่อยให้ตัวดู วิวัฒนาการไปตามธรรมชาติ จนเกิดแรงดึงดูดแล้วกลายเป็น ตาน้ำวน แล้ว ณ ใจกลางตาน้ำวนนั้น จิต ก่อกำเหนิดขึ้นมา หรือไม่

    เพียงแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับ "ประโยชน์ตน" แล้ว หากต้องการทำ "ประโยชน์ท่าน" ก็ให้ทำต่อ ๆ ไปจากข้อ 4

    4. สภาวะจากข้อ 2 (นาม) มีอิทธิพลต่อข้อ 3 (รูป) อย่างไร
    5. สภาวะของ นาม ใช่สภาวะของ ภูมิ ส่วนสภาวะของ รูป ใช่สภาวะของ ภพ หรือไม่
    6. จากข้อ 4 ภพ เป็นตัวกำหนด ส่วน ภูมิ เป็นตัวส่งออก ไปจุติ (รูปหรือจิต เป็นตัวกำหนดภพ ส่วน นามหรือธรรมารมณ์ เป็นตัวกำหนดภูมิ) ใช่หรือไม่

    +++ ทั้งหมดนี้ เป็นส่วน "ฝึกต่อ" ของคุณ จิตวิญญาณ และบุคคลที่กำลังอยู่ในสภาวะนี้ เท่านั้น ส่วนข้อ 1-3 และ 4-6 เป็นบทตรวจสอบของ ผลจากการฝึกเดินจิตในขั้นตอนนี้ และในขั้นตอนนี้ทั้งหมด "ความคิดไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย" ตรงนี้เป็น "บทฝึกต่อ" สำหรับผู้ที่ "จิตไม่เสพกามาวจร แล้ว เป็นรูปาวจรเต็มตัว โดยที่มี สติ เป็นกาย ไม่ใช่ ธรรมารมณ์ เป็นกาย แบบโดยทั่วไป" เท่านั้น นะครับ

    +++ หรือหากต้องการตรวจสอบ ผลจากการฝึกเดินจิตแบบละเอียด ให้ใช้ "จิตมาร" ในหน้า 6 ของกระทู้ "หูดับ" เป็นตัวช่วยตรวจสอบก็ได้ นะครับ
     
  17. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    "อยู่กับรู้ โดยมี ตนถูกรู้" -- อันนี้คือรู้อยุ่ข้างในใช่ไหมคะ
    กับ "ตนรู้อยู่ สรรพสิ่ง ถูกรู้" -- ส่วนอันนี้เหมือนออกจากฐานไปรู้ข้างนอก
    ใช่ป่าวคะ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ตั้งแต่อ่านการเจริญสติกายในกายย้อนหลังที่โพสต์ไว้ตามกระทู้นี้และอีกหลายกระทู้ แล้วนำมาฝึกก็รู้สึกมีความก้าวหน้าจนภายใต้ผิวหนังมีความรู้สึกว่า มีลมเป็นฟองเล็กๆที่ไหลไปทั่วกายไหลได้เร็ว

    +++ ภาษาที่ใช้ ควรหลีกเลี่ยงการบรรยายทาง "รูป" เพราะทำให้เกิดจินตนาการได้ง่าย ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ให้ฝึกการใช้ภาษาทาง "นาม" ที่เป็นความรู้สึกโดยไม่มีรูปแห่งการนึกแทน เพื่อตัดปัญหา "การนึกผิดทาง" ของผู้อ่านลง

    ก้าวหน้าที่ว่าคือ รู้สึกจะเข้มข้น หนาแน่นเพิ่มขึ้นทีละนิดๆทุกวัน แต่ก็ยังไม่ค่อยเท่ากันทั้งกาย แล้วยังปรับ % วสียังไม่ได้ ได้แค่แช่ไว้

    +++ หลังจากที่ แช่ ได้แล้ว จึงฝึก เพิ่ม ลด ทั้งตัว ให้ชำนาญ มิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในการ "เดินจิตย้ายฐาน" ในภายหลัง ดังตัวอย่างข้างบน "อยู่กับรู้ และ อยู่กับตน" เป็นต้น

    ความรู้สึกใต้ผิวหนังมีจริงๆ ตามที่บอกครับ. บางครั้งก็ร้อนๆแบบรู้สึกดีมีพลัง. บางครั้งก็เย็นซ่านดี แต่สติยังจับลมตอนชำแรกผ่านผิวหนังเข้าผ่านออกยังไม่ได้.

    +++ ไม่ใช่ "ลม" ที่ชำแรกไปมาที่ผิวหนัง แต่เป็น "Shock Wave" ที่ชำแรกไปมาแบบ ตะจะปะริยันโต ต่างหาก ต้องฝึกบ่อย ๆ แล้วจะเห็นได้เอง

    ส่วนในอกหรือส่วนในของร่างกายมักรู้สึกเย็นชุ่มช่ำ รอบดวงตามักชุ่มช่ำเหมือนมีน้ำ บางครั้งก็ซึมออกมา จะพยายามฝึกสติให้เต็มกาย และฝึกส่วน "จิตคำราม"ตามที่สอนโพสต์นี้. เมื่อทำได้แล้วจะใช้วิชานี้ให้เกิดแต่คุณ ไม่ให้เกิดโทษครับ
    สองวันมานี้เข้าไม่ถึงความเย็น เข้าถึงก็ได้นิดได้หน่อย ไม่รู้ทำอะไรผิดมา คงฝึกย่อหย่อนลง ชั่วโมงฝึกน้อยลงด้วย แล้วดูหนังฝรั่งในคอมที่คนอื่นวางแชร์ไว้ เกี่ยวกับมายากล ปล้นๆระดับโลก ที่เดวิท คอมเปอร์ฟิวออกแบบกลให้อะไรนี้แหละ อีกหลายเรื่อง ดูติดๆกัน คงขาดสติไป สำรวจศีลสมาทานศีลใหม่ สำรวมอินทรีย์ใหม่

    +++ ความ "ร้อน-เย็น" มีอยู่แล้วทั้งคู่ ไม่ได้เกี่ยวกับการถือ ศีล แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการ "อยู่" หรือ "แช่" ในอาการต่างหาก
    +++ จะใช้การดูหนังเป็นการฝึกก็ได้ โดยการคอยตรวจจับให้ดี ๆ ว่า ในขณะนั้น ๆ "อยู่กับหนัง" หรือ "อยู่กับฝึก" ตรงนี้ใช้เป็นพื้นฐานในการฝึกได้

    ช่วงหายใจออก พระหนุ่มองค์หนึ่งสายวัดป่าสอนให้ผม กำหนดเห็นกายทั้งกาย แต่รูปร่างหน้าตาเหมือนเรามองในกระจก ท่านว่าจะเห็นได้ทั้งกาย
    และอีกท่านหนึ่งเดือนนั้นท่านยังเป็นฆราวาสสอนคล้ายๆกัน ใช้ลมหายใจ แต่ไม่ได้สอน เรื่องช่วงลมหายใจออก ท่านบอกจะเห็นรูปร่างตนเองเปี้ยบเหมือนในกระจก

    +++ ทั้ง 2 ท่านนี้หนักไปทางด้าน "รูป" ด้านเดียว และที่สำคัญคือ ใช้การ "นึกรูป" เป็นตัวนำ

    ทั้งสองท่านนี้เป็น ฐานกาย คือกายเนื้อ ส่วนวิธีที่ผมฝึกเป็นฐานกายเวทนา ใช่ไหมครับ

    +++ ทั้ง 2 ท่านนี้ พยายาม map (นึก) กายจิตให้เหมือนกับกายเนื้อ ตามข้อความในพระไตรปิฏก ที่กล่าวถึง มโนมยิทธิ แบบเต็มกำลัง เพื่อผลลัพธ์ในการถอดกายจิตออกท่องเที่ยว แต่จะได้ผลลัพธ์ที่ต่างไปจากคุณ mobilelizard ที่ถอดกายจิตด้วย มหาสติปัฏฐาน นอกจากถอดกายแล้ว ยังควบคุมได้อีกด้วย

    +++ ที่คุณฝึกเป็น กายเวทนา เป็นนามกาย เป็นกายแห่งพลังงาน ที่เหมาะสมกับการฝึกในหมวด อภิญญา 6 ซึ่งต่างกับ กายจิต ที่ใช้ท่องเที่ยว ภพภูมิ ยามใดที่คุณผ่าน กายเวทนาแล้ว ต่อเข้าสู่ กายจิต การท่องเที่ยวของคุณ จะต่างไปจาก ผู้ที่ฝึก กายจิตเฉย ๆ โดยไม่เคยผ่าน กายเวทนามาก่อน อานิสสงค์จะต่างกันมาก และยามใดที่ต้องผ่านลงไปในชั้น พรหม แล้ว กายเวทนาจะเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ในการเข้าออกทั้ง รูป-อรูป ภพ-ภูมิ ต่าง ๆ ให้อ่าน บทตรวจสอบของคุณ จิตวิญญาณ ประกอบไปด้วย

    ท่านหลังนี้ ท่านว่าที่ผมฝึกยังไม่ใช่ ท่านว่าควรเห็นเหมือนของท่านคือต้องเห็นเป็นกายเนื้อ หน้าตารูปร่างใส่เสื้อผ้าเหมือนเราเปี้ยบ แต่ผมก็รับฟังแล้วเฉยๆ

    +++ ใช่หรือไม่ ไม่จำเป็น แต่ที่จำเป็นที่สุดในการฝึก กรรม-ฐาน คือ ต้องไม่มีการ "นึกเอาเอง เดาเอาเอง" เข้ามาเป็นส่วนประกอบแต่อย่างใดทั้งสิ้น เท่านั้นเอง นะครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    "อยู่กับรู้ โดยมี ตนถูกรู้" -- อันนี้คือรู้อยุ่ข้างในใช่ไหมคะ

    +++ สภาวะรู้ เป็น Subject ส่วน ตน มีสภาวะเป็น Object เป็นคนละส่วนกัน จะว่าอยู่ข้างนอกหรือข้างในนั้น ขึ้นอยู่กับว่า มีขอบเขตของร่างกาย ประกอบอยู่ด้วยหรือไม่ หากมี "ตน จะอยู่ข้างใน โดยมีรู้ครอบคลุมอยู่" หากตนอยู่ในสภาวะ "ตัวดู" ก็จะถูกรู้ โดยแยกออกไปเฉย ๆ ไม่มี นอก-ใน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาวะของ "ตน" ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน ธรรมารมณ์ (เวทนาจิต) กายเวทนา (ตามลักษณะกาย) ตัวดู (จุติจิต) ทั้งหมดขึ้นกับสภาวะในปัจจุบันขณะ ในขณะนั้น ๆ ครับ

    กับ "ตนรู้อยู่ สรรพสิ่ง ถูกรู้" -- ส่วนอันนี้เหมือนออกจากฐานไปรู้ข้างนอก ใช่ป่าวคะ

    +++ คงจำการฝึกที่ สวนจัตุจักร ได้นะครับ ในสภาวะที่ สัพเพธัมมาอนัตตา คือ ไม่มีสิ่งใดเป็น ตน นั้น เป็นสภาพของ "ตนรู้อยู่ สรรพสิ่ง ถูกรู้" เป็นอาการนั้นแหละครับ
     
  20. เขากระโดง

    เขากระโดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +1,014
    ต้องขอบคุณคุณจิตวิญญานที่ถามคำถามที่ดีและตรงใจมาก และขอบคุณท่านธรรมชาติที่ตอบคำถามได้เข้าใจมากค่ะ
    ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกคล้ายๆกับคุณจิตวิญญาน. คือ รู้สึกสงบนิ่งๆ. ไม่มีอะไรจะพูดจะคุย ไม่รู้สึกทุกข์หรือสุข เมื่อมีอะไรมากระทบมันก็รับรู้ค่ะแต่มันไม่ทุกข์ไปถึงข้างใน เวลาฟังเพลงดูละครมันก็ดูเฉยๆไม่รู้สึกและสนุกเหมือนเดิม. หลังๆก็ไม่ค่อยดู อาจจะมีบางครั้งได้ยินเสียงเพลงเพราะๆทำให้คิดย้อนอดีตเราเคยอินกับเสียงเพลงและดนตรีมาก บางครั้งจะร้องคลอไปด้วย. แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรอยากจะร้องคลอก็เฉยๆ
    เคยมองดูความรู้สึกหรือใจตนเองบ่อยครั้ง เหมือนมันว่างเปล่า. กลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย. รู้สึกว่าจิตว่างและนิ่งสนิท แต่ก็ยังไม่ถึงกับเบื่อหน่ายไปหมดทุกอย่าง
    ที่สำคัญมันนิ่งมาถึงการฝึกมโนและการปฏิบัติสมาธิในแต่ละวัน. ไม่ได้ขี้เกียจแต่ทำไมมันเริ่มปฏิบัติไม่ได้ เหมือนคนไม่มีอะไรเลย. และกำลังเริ่มใหม่ จึงพยายามตั้งท่าจะเริ่ม มันนิ่งซะจนจะเริ่มอย่างไรและตรงไหนดีน้า... แต่บางครั้งก็พยายามฝืนตนเองและก็ยังคงปฏิบัติได้เหมือนเดิม แต่ส่วนใหญ่ที่พอว่างจากภารกิจ. ก้จะพิจารณาวางความรู้สึกและภาระทางโลกลง. ยังไม่ได้ตั้งท่าจะทำอะไร. สักพักลมหายใจจะละเอียดและร่างกายหายไป. ทุกอย่างจะคลายออก. ความเบา โล่ง. ว่างมันมาทันที สุดท้ายจะเหลือเพียงจิตว่างที่บริเวณหน้าผาก. มีหลายๆครั้งที่จิตว่างแสดงนิมิตร. เช่น. บางครั้งทุกอย่างหุบเข้ายกขึ้นและคลายออก ว่างสว่างโล่ง เห็นจิตว่าง. และตัวเราก็รำพึงว่าจิตว่างอีกแล้ว และบางครั้งก็เห้นจิตว่างมันแสดงให้รับรู้ว่าเป็นจิตว่างกว่าทีเคยเป็นในเวลาปกติของระหว่างวัน. ตัวเราก็รำพึงว่าจิตว่างก็ยังเป็นไตรลักษณ์ มีจิตว่างระหว่างวัน. แต่มีจิตว่างมากกว่า บางครั้งมีความสว่างของแสงจ้าบริเวณเหนือศรีษะ
    บางครั้งทดลองปฏิบัติแบบรู้ทั่วตัวพร้อม. ความรู้สึกนิ่งอยู่ภายใน. แช่ความรู้สึกไว้สักพักทุกอย่างจะค่อยๆคลายออกและรู้สึกว่าจิตว่างค่ะ
    ส่วนการฝึกมโนและปฏิบัติสมาธิ-ฌาน. ส่วนหนึ่งได้วางและปล่อยปะละเลย. ก็จะลองทบทวนฟื้นการปฏิบัติใหม่ เผื่อจะมีความก้าวหน้าและจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังอีกครั้งค่ะ. พอมีครูบาอาจารย์และเพื่อนๆมาแลกเปลี่ยนแล้วรู้สึกว่ากระตือรื้อร้นและมีกำลังใจกลับมาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...