ผู้อยู่เหนือดวง

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย miracledharma, 16 พฤศจิกายน 2016.

  1. miracledharma

    miracledharma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +44


    พระพุทธองค์ท่านไม่ได้สอนให้มนุษย์ทั้งหลายนั้นมีทุกข์ แต่ท่านสอนให้รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ และหาวิธีดับทุกข์ ท่านก็ทิ้งวิธีดับทุกข์ให้แล้ว แล้วไม่ได้ไปบอกว่าให้โยมนั้นไปหาใครมาดับ แต่โยมต้องดับเอง ท่านก็บอกแล้ว ไฟนั้นมันจุดที่ใด ไฟนั้นมีอยู่สามกอง จุดชนวนเกิดจากใจคือสมุทัย จะทำอะไรให้ตั้งใจ กำหนดรู้อยู่ที่ใจ แล้วโยมจะเป็นผู้เหนือกรรม เหนือโลก เหนือดวง

    บุคคลใดที่เหนือดวงได้ เรียกว่าเหนือกรรม แต่ถ้าโยมยังแสวงหาดูดวงอยู่ นั้นเรียกว่าโยมยังตกอยู่ในสมมติบัญญัติ โยมไม่มีทางที่จะเหนือดวงได้ ดวงแท้จริงแล้วไม่ได้นำหน้าบุคคล นำตัวสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย แต่สัตว์มนุษย์ทั้งหลาย กรรมเป็นผู้กำหนดดวง ดังนั้นโยมเกิดมาก็มีกรรมแล้ว โยมกระทำความดี ดวงต่างหากที่ตามโยม ถ้าเปรียบว่าดวงนั้นเป็นเงาก็ว่าได้ เงานี้ไม่สามารถจับต้อง แต่กายสังขารโยมที่มีแล้ว มีลมหายใจเข้าออก มีธาตุ ที่เข้าไปสิงสู่ประชุม ประชุมธาตุทำให้เกิดกายสังขาร เพื่อเอาไปประพฤติปฏิบัติคุณงามความดี ดังนั้น โยมกระทำความดีอยู่บ่อยๆ ดวงจะตามโยม ไม่ใช่โยมไปตามดวง


    ดูง่ายๆ บุคคลใดเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว ดวงจะตามหลัง แล้วดวงจะคอยหนุน แต่ถ้าใครไม่ได้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ดูไม่ยาก คือจะแสวงหาแต่ดวง คือจะแสวงหาผู้รู้ แต่ไม่ทำตนให้เป็นผู้รู้ ผู้นั้นเรียกว่านอกลัทธิ นอกศาสนา และไม่ได้เรียกว่าเป็นพุทธมามกะ และไม่ได้เรียกว่าเป็นผู้รักษาจรรโลงศาสนา บุคคลพวกนี้จะไม่มีทางได้เกิดทันในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย แต่บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยต่างหากจะประกอบคุณงามความดี ฝึกฝนจิตให้เกิดปัญญาเป็นผู้รู้ นั่นแหละจ้ะผู้นั้นเมื่อปรารถนาอธิษฐานจิตเป็นทางใด ก็จะประสบในสิ่งนั้น เรียกว่าจะไปจุติในเทวโลก พรหมโลก ถ้าเกิดมา ก็จักเกิดในศาสนาที่ไม่ว่างเว้นของพระศาสดาคือผู้รู้ คือพระสัพพัญญู


    ดังนั้น โยมจงจำไว้ ดวงกับกรรม กับการกระทำ มันคืออะไร ดวงนั้นเขาลิขิตมาแล้ว ถ้าอุปมา ดวงนั้นคือกรรมเก่า แต่วาสนาต่างหาก ที่โยมนั้นเรียกว่าได้เคยสร้างมาแล้ว ถ้าโยมทำวาสนาให้มันดี ดวงโยมก็ดี แต่ถ้าโยมทำวาสนานิสัยเสีย โยมว่าดวงโยมเสียมั้ยจ๊ะ ให้วางลัคนาอย่างไร ก็แก้ไขไม่ได้ ถ้าพฤติกรรมมันเสีย สันดานมันเสีย จริงมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมไปพิจารณาบ่อยๆ แล้ว โยมจะเห็นว่าดวงนั้นมันแค่อุปมาขึ้นให้เป็นหลักทาง แนวทาง แต่ถ้าโยมไปยึดเมื่อใด โยมจะเกิดความลุ่มหลง เมื่อโยมลุ่มหลงเมื่อไร โยมจะขาดปัญญา เมื่อโยมขาดปัญญาเมื่อใด ทุกอย่างที่โยมได้กระทำมา จะขาดทั้งหมด นั่นก็คือศีลก็ขาด คุณงามความดีที่โยมทำมา โยมจะไม่เชื่อมั่น เพราะโยมจะเชื่อแต่ดวงอย่างเดียว เชื่อในครูบาอาจารย์ แสวงหาผู้รู้ที่แม่นยำ


    โยมจงจำไว้ อาจารย์อันใดก็ดี บุคคลใดก็ดี ถ้ายังไม่รู้ใจตน ยังไม่รู้จิตตนนั้น ยังเป็นที่พึ่งพาให้ใครไม่ได้ เพราะยังไม่รู้กรรมของตน บุคคลพวกนี้ตายแล้วตกนรกทั้งนั้น ฉันไม่ได้บอกว่าแช่ง แต่กรรมมันเป็นแบบนั้น แต่ถ้าโยมปรารถนาเมตตาคนอื่นเขา ชี้ทางไปในทางถูกทางธรรม ไม่มีโมหะ โทสะ เจือปนในจิตที่จะเมตตาเขา โยมก็รอดพ้นอบายจ้ะ ฉันขอฝากไว้สำหรับนักพยากรณ์ทั้งหลาย ถ้ายังไม่พยากรณ์จิตตัวเองได้ อย่าริอ่านอวดดี เพราะต่อไปโยมอาจจะเจอดีได้ เพราะฉันก็เห็นนี่จ๊ะ รู้ทั้งหมด แต่ไม่รู้ตน เสร็จเลย หลงตน ถูกมัดตราตรึง พอภัยมา ก็แก้ตนไม่ได้ แก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว หลักฐานมันมัดหมดแล้ว เพราะไม่เคยเพ่งพิจารณาตนเลย จึงไม่รู้ได้ว่าภัยนั้นมาตอนไหน เมื่อไหร่


    ดังนั้น กรรมดี กรรมชั่ว เกิดจากวาสนาดี ดวงจักดี ไม่ใช่ว่าดวงดีแล้ว วาสนาโยมจะดี เพราะดวงนั้นมันมีขึ้นมีลง เปรียบเหมือนดวงดาว ข้างขึ้นข้างแรม เปรียบเหมือนคลื่น หรือลมฟ้าอากาศ โยมไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ไม่ว่าฟ้าอากาศมันจะเป็นแบบใด ถ้าโยมจิตใจดี นั้นเรียกว่าวาสนาโยมเคยกระทำมา ดวงโยมจะเป็นปรกติ ไม่ทรุด ไม่ตกไม่ต่ำ คงไว้ คงเส้นคงวา เรียกว่าสร้างบุญปัจจุบันให้ดี มันจักผดุงดวงโยมตลอดเวลา โยมไม่ต้องไปบูชาดวงเลย แค่บูชาพระรัตนตรัยอย่างเดียว ดวงโยมจักเป็นอมตะ ดีวันดีคืนจ้ะ


    นี่ฉันดูดวงให้โยมนะจ๊ะ แล้วก็ดูให้คนทั้งหลายทั้งปวงด้วยจ้ะที่หลงดวงอยู่ ใครดูดวงมาก ก็หลงตนมาก หรือไม่จริง ก็ไปลองดูสิจ๊ะ ฉันไม่มีค่าครูนะจ๊ะ แต่ค่าครูที่โยมต้องชดใช้นั่นคือค่าแห่งแผ่นดิน ค่าหนี้สงฆ์ ค่าคุณบิดามารดา ก็คือโยมทั้งหลายทั้งปวงต้องช่วยกันเปิดประตูเมือง และที่ฉันจะบอกต่อไปนี้ ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อใคร แต่เป็นประโยชน์ของตัวโยมเอง เพราะถ้าโยมไม่เปิดประตูหนีออกไป โยมจักตายทั้งเป็น ทั้งลาวา แผ่นน้ำ แผ่นดิน จะถมทับ ถ้าโยมเปิดประตูได้ เขาเรียกว่าการออกจากทุกข์ คือการเกิดใหม่ คือจะเกิดเมืองใหม่ โยมอยากไปมั้ยจ๊ะ เมืองศิวิไลอะจ้ะ


    ที่ฉันมานี้ ฉันจะมาต่อคำทำนายที่ฉันเคยบอกไว้ นั่นเรียกว่าเมืองศิวิไล แต่ยังไม่มีใครพบ อำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าไม่มีอำนาจนี้ ในพระรัตนตรัยนี้ แก้วสามประการนี้ จะไม่มีอะไรที่เหนือไปกว่านี้ ที่จะอธิษฐานจิตให้เกิดบุญบารมีไปตามความปรารถนาของใครได้ ฉันจึงสร้างสถานที่ตรงนี้ขึ้นมา เพื่อให้เกิดวิหารพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จึงเกิดประตูเมือง แต่ถ้าใครไม่ปรารถนา ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ของทั้งปวงอยู่ที่ใจ เมื่อโยมปรารถนา โยมก็ได้สิ่งนั้น


    ฉันสร้างวิหารขึ้นมาเพื่อเป็นเรือที่จะมารอรับดวงจิตวิญญาณ 3000 ดวง ที่จะนำพาไปเป็นเชื้อให้เกิดเมืองใหม่ เพื่อจะรักษาเผ่าพันธุ์แห่งมนุษยชาติ เพื่อต่อให้ลูกหลานโยมนั้นได้มีที่อยู่อาศัย ได้เป็นที่พึ่งพาและเป็นร่มเงา ร่มโพธิ์ร่มไทรต่อไป ดังนั้น หน้าที่ของโยมที่จะตอบแทนชาติ ศาสนา และแผ่นดิน บิดามารดาผู้ให้กำเนิดได้ ก็คือการสร้างบุญกุศลนี้ให้ครบองค์สาม เมื่อโยมเปิดประตูเมืองได้ สิ่งที่โยมสงสัย นั่นก็คือโยมเกิดมาทำไม โยมเป็นใคร กรรมอะไรทำให้โยมเกิดขึ้นมา ใครมากล่าวธรรมให้โยมฟัง สิ่งนั้น เวลานั้น โยมจะได้รู้ด้วยตัวของโยมเอง หาใช่ใครมาบอกโยมไม่ ธรรมหรือบุญกุศลต้องจับต้องได้ สัมผัสได้ รู้ได้ด้วยตนเอง นั่นคือของปัจจัตตัง หากฉันกล่าวแล้ว บอกแล้ว โยมทำหรือโยมเชื่อไม่ถึง สิ่งที่ฉันบอกไปจักเป็นโทษกับโยม ดังนั้น เวลายังมีอยู่ไม่เกินอีก 4 ปีข้างหน้านี้ โยมจักได้เห็นสิ่งที่โยมไม่เคยเห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2017
  2. miracledharma

    miracledharma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +44
    เปลี่ยนดวงให้เปลี่ยนความคิด


    ทุกอย่างในโลกไม่มีของฟรี แต่ถ้าใครต้องการของฟรีน่ะ โยมต้องไปตามงานวัดที่มีคนตายแล้ว นั่นเขาชอบให้ของฟรี เพราะคนตายคิดว่าได้บุญแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะให้เวลานั้นมาถึงหรืออย่างไร ในเมื่อโยมยังมีกายสังขาร มีลมหายใจอยู่ ยังสร้างเองได้อยู่ ยังรู้ได้ว่าตัวเองได้สร้างไว้ สิ่งเหล่านี้น่ะมันยังมีความแน่ใจ ไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ คือยังจับต้องได้ ด้วยกายสังขารของตน ยังโมทนาในบุญได้ ในบุญของตน ยังเสวยสุขได้จริง

    ดังนั้น บุญ กรรม เมื่อทำไปแล้ว ไม่มากก็น้อย ไม่ได้หายไปไหน รอวันให้ผล รอวันให้ดอก และรอวันสนอง ดังนั้น ถ้าโยมอยากเปลี่ยนดวง เปลี่ยนวาสนา ให้เปลี่ยนความคิดเสียก่อน ความคิดนี้แลที่ทำให้มนุษย์นั้นดำริชอบ ดำริชั่ว นั่นคือการสร้างกรรมชั่วและกรรมดี เกิดจากใจที่ไปดำริ กิเลสนั้นแลก็เกิดจากใจ โยมต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อความคิดมันเปลี่ยนได้ การกระทำมันก็จักเปลี่ยน ราศีโยมก็เปลี่ยน ดวงโยมก็เปลี่ยน

    สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นราศี เป็นบารมี เป็นวาสนา ล้วนเดินตามหลังโยมทั้งนั้น ทำไมถึงบอกว่ามันเดินตามหลังโยม ก็ก่อนหน้านี้บอกว่าใจเป็นประธานไม่ใช่เหรอจ๊ะ ที่เหลือมันต้องเป็นบริวาร แต่เมื่อใดโยมให้บริวารนำหน้าเมื่อไหร่ ที่ไหนก็เจ๊งจ้ะ โยมว่าจริงมั้ยจ๊ะ (จริงค่ะ) โยมไปทำประธานให้มันดี ไปแก้ไข อย่ามักง่าย อย่าเอาแต่กิน อย่าเอาแต่นอน นี่แหละจ้ะ เมื่อโยมทำให้เป็นอย่างนั้น โยมไม่สามารถกำหนดกรรมได้ ไม่สามารถคุมบริวารได้แน่นอน และโยมไม่สามารถจะแก้ไขกรรมได้ เพราะควบคุมกรรมไม่ได้

    ใจ...อย่าได้ให้หลง
    ใจ...อย่าให้น้อย
    ใจ...อย่าให้หดหู่
    อย่าทำใจให้เศร้าหมอง

    เมื่อโยมรักษาของดีไว้ได้แล้ว ใจนี้แล จะสำเร็จทุกอย่างได้ก็ด้วยใจดวงนี้ นิพพาน มรรคผล โสดาบันก็ดี พระอริยบุคคลที่ขั้นสูงๆ ไปก็ดี จนถึงขั้นบรรลุอรหัตตผลก็ดี ก็สำเร็จด้วยใจดวงนี้ทั้งนั้น สำเร็จด้วยใจที่มันจะขึ้นจากโคลนตมทั้งนั้น ไม่ใช่จากใจที่ไหน ก็จากใจปุถุชนธรรมดาทั้งนั้น

    โยมเรียนรู้จากสิ่งธรรมดา เห็นสิ่งนั้นเป็นธรรมดา ไม่ยึดไม่ติดแล้วไซร้ โยมจะเหนือธรรมดา แต่เมื่อโยมเห็นว่าเป็นธรรมดา แล้วโยมไปพอใจกับมัน ไปติด โยมไม่เข้าถึงแน่ในธรรมชาติแห่งมัน ที่มันเกิดขึ้น ก็โยมรู้แล้ว แต่โยมไปติด แสดงว่ายังรู้ไม่จริง กินแล้วแต่ยังไม่อิ่ม ก็เรียกว่ายังไม่พอ ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้น โยมต้องเรียนรู้ให้มันพอ กินให้มันพอ เสพก็ให้มันพอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...