สอบถามเกี่ยวกับการภาวนาพุทโธ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย bpisut, 11 เมษายน 2017.

  1. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +30
    สวัสดีครับ
    ขอสอบถามท่านผู้รู้ครับว่า ตอนผมทำสมาธิไม่ว่าจะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม จะภาวนาในใจว่า พุทโธ ๆ ๆ ตลอดโดยไม่ไปผูกกับลมหายใจ พอทำไปสักระยะหนึ่ง ใจหนึ่งก็จะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น แต่ใจหนึ่งก็ยังท่องพุทโธ ๆ ๆ อยู่ ผมจึงสงสัยว่า แบบนี้มันเป็นเรื่องปกติหรือปล่าวครับ หรือใคร ๆ ก็ฟุ้งซ่านแบบนี้
     
  2. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ต้องระงับความฟุ้งซ่านครับด้วยการคิดว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ ดูความคิดไปความคิิดฟุ้งซ่านจะช้าลง จนเราไม่จดจ่อกับความคิด
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เป็นเรื่องทำมะดาครับ

    อ่านตามลิ้งนะครับ หลวงปู่พุธ อธิบาย อย่างละเอียด
    ........................................................................
    ทีนี้ ในขณะที่เรากำลังนึกบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เป็นต้น
    หรืออะไรก็ได้ ที่ท่านนึกเอา ยึดเอามาเป็นอารมณ์จิต
    ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ สวากขาโต หรือ มรณัง อะไรก็แล้วแต่
    ที่ท่าน มานึกซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ อยู่ในจิตของท่าน

    ในขณะที่จิตมันนึกซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นึกอยู่นั่น
    ปล่อยให้มันนึกไป แต่ถ้าหากว่า จิต
    มันปล่อยวาง ทิ้ง คำ ที่มันนึกอยู่นั้น ไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา
    มันเกิดความคิดของมันขึ้นมาเองแล้ว ปล่อยให้มันคิดไปเหมือนกัน
    แต่ให้มีสติ กำหนดตามรู้ไป คำบริกรรมภาวนา ที่เราตั้งใจนึกอยู่
    เป็นสิ่ง ที่เราหาอารมณ์มาป้อนให้จิต
    เราจะต้องทำงานถึง 2 อย่างพร้อมกันไป

    คือ

    1. หาอารมณ์ มาป้อนให้จิต ประการที่ 2. มีสติควบคุมจิต
    ให้นึกอยู่ที่บริกรรมภาวนานั้น

    เราทำงาน 2 อย่างพร้อมกันไป

    แต่ถ้าหากว่า

    จิตทิ้งอารมณ์ ที่เรามาป้อนให้เค้า เค้าไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา
    สุดแท้แต่เค้าจะคิดเรื่องอะไร เราปล่อยให้เค้าคิดไป
    หน้าที่ เหลืออยู่อย่างเดียว
    คือ ให้มีสติ กำหนดตามรู้ไปเท่านั้น ในเมื่อเราตามรู้ความคิดไป
    เค้าจะคิด ไปแบบไหน อย่างไรก็ตาม คิดเรื่อง บุญเรื่องบาป เรื่องบุญ
    เรื่องกุศล เรื่องอกุศล เรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อยให้คิดไปเลย
    ไม่ต้องไปห้าม แต่ให้มี สติ กำหนดตามรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ ไป

    พอไปสุดช่วงเค้าหยุดคิดปั๊ป จิตจะสงบ นิ่ง สว่าง มีปิติ มีความสุขเกิดขึ้น
    อันนี้ลองๆ ลองๆไปทำดู

    แต่เราจะได้ยินว่า

    เมื่อบริกรรมภาวนาพุทโธ เป็นต้นอยู่ ถ้าจิตทิ้งพุทโธปั๊ป ให้ดึงมาหาพุทโธอีก
    เมื่อจิตทิ้งพุทโธ ไปคิดอย่างอื่น ให้ดึงมาหาพุทโธอีก

    ทีนี้ อันนี้ เราไม่ต้อง ...............................

    จะเข้าใจวิธีอย่างละเอียด ต้องตามไปอ่านต่อที่นี่ครับ http://palungjit.org/threads/วิถีจิต-พระราชสังวรญาณ-หลวงปู่พุธ-ฐานิโย.546312/
     
  4. ภีมพัฒน์ พุทธบูชา

    ภีมพัฒน์ พุทธบูชา Line: wimmie456, 0626595595 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +1,375
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  5. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +30
    จริง ๆ แล้ว ผมฝึกสมาธิมานานพอสมควรละครับ แต่ไม่ได้ฝึกต่อเนื่อง จึงไม่ได้ผลอะไรมาก มาพักนี้ อยากจะฝึกภาวนาพุทโธ แบบจริงจังดูน่ะครับ ตามที่คุณ pinit แนะนำมา เข้าใจสภาวะของผมได้ตรงเลยครับ (ตรงที่ขณะใจท่องพุทโธ ก็ไปรู้ว่าเผลอคิดฟุ้งซ่าน โดยรู้ว่ายังท่องพุทโธอยุ่ด้วย ไม่ได้ลืมคำภาวนาแล้วไปคิด) ผมจะลองภาวนาแบบเร็ว ๆ ดูครับ...ขอบคุณมากครับ
     
  6. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เป็นเหมือนกันค่ะจขกท.
    และเวลาแบ้วเดินจงกลม แบ้วต้องเดินเร็ว เพราะเดินช้าทีไร ง่วงทุกทีค่ะนิวรณ์เกิด คนอื่นจะเดินช้ากันเป็นส่วนใหญ่ ต้องหมั่นสังเกตตัวเอง
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ใครเคยสังเกตุไหมค่ะ คำภาวนาพุทธโธ จะมีสองลักษณะ คือ ออกมาจากความคิดหรือออกมาจากสมอง หนึ่ง และสองออกมาจากใจหรือว่านึกดังมาจากกลางอกหรือหน้าอกของตน

    สองลักษณะนี้ แตกต่างกันอย่างไร

    ถ้าออกมาจากสมองจะสงบยากกว่า เพราะเราจะไปจับคำภาวนา ไปเป็นผู้คิดคำว่าพุทธโธ แต่ความรู้สึกตัวไม่มี หรือความรู้สึกตัวจะหายไป เหลือแต่ความคิดว่าพุทโธ

    สองถ้าเราภาวนาออกมาจากกลางอก ดังก้องมาจากกลางอก เราจะรู้สึกตัวพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย จะสงบง่ายกว่าและหลงส่งออกได้น้อยกว่าวิธีแรก สงบได้ไวกว่า

    เพราะสุดท้ายแล้วการทำสมาธิสิ่งที่ต้องการจริงๆ คือ การได้สมาธิ การระลึกคำภาวนาพุทโธ ก็เพื่อเป็นอุบายให้เกิดสติ และทำสติให้เป็นสมาธิ เพื่อเป้าหมายการมีสติสัมชัญญะ หรือ การทำความรู้สึกให้ได้ทั้งตัวในเบื้องต้นของการทำสมาธิค่ะ

    จากประสบการณ์นะ ถือว่าแลกเปลี่ยนกันค่ะ
     
  8. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    จิตที่ไม่ได้ฝึกฝนทางสมาธิ เปรียบเหมือน สัตว์ป่า ที่เขาเคยชินอยู่กับการวิ่งไปไหนมาไหนตามใจตัว อยู่ดีๆถูกจับ สัตว์นั้นก็ดิ้นรน วิ่งไปมา ลุกลี้ลุกลน จะให้เชื่องนิ่งสงบก็ไม่ได้
    แต่ ถ้าฝึกจิตดีแล้ว ให้สงบก็สงบ สอดส่ายน้อย หรือ สงบได้รวดเร็วครับ

    จึงขอตอบว่า อาการของจขกท คือ เรื่องปกติ ของคนที่ยังฝึกจิตได้ไม่ดีพอ จึงยังต้องมีอาการสอดส่ายไปทางอื่น

    ถามเพิ่มเติมให้ต่อนะครับ ถามว่าควรทำอย่างไรต่อไป
    ตอบว่า พยายามฝืนควบคุมจิตให้อยู่กับคำบริกรรม จนนิ่งสงบไป โดยอาศัยการทำบ่อยๆ ฝึกทำทุกวัน กำลังสติ กำลังสมาธิมีมากขึ้นแล้ว กำลังของนิวรณ์จะค่อยๆจางไป
     
  9. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156
    ผมก็เป็นครับ แก้ด้วยบริกรรม พุทโธ ชัดชัด เร็วเร็ว รัวรัว เป็น โธโธโธโธ ไปเลยก็ได้ ถ้าเอาไม่อยู่ ออกเสียงเลย เอาให้ลั่นบ้านไปเลย ถ้าจริงจังกับบริกรรมพุทโธ แนะนำ หลวงปู่เจี๊ยะครับ
     
  10. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    อันนี้ดีแล้วคับ คิดรู้ว่าคิดอยู่ ฟุ่งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน ให้รีบดึงสติกลับมาจับลมหายใจใหม่ แนะนำควรจะจับลมหายใจเข้าออกครับ ถ้าคิดแต่พุธโธ มันไม่มีเครื่องรู้ มันมีแต่คิด พอหยุดคิด มันก็ไปคิดเรื่องใหม่ วนไปไม่รู้จบ ถ้าจับลมหายใจเข้าออก จึงจะเรียกว่าอานาปานสติได้ มีวิตก วิจาร ระลึกรู้อยู่กับกองลม การจับลมหายใจเข้าออกเป็นอุบายให้จิตนิ่ง ถ้าคิดพุธโธแล้วไม่จบ เดี๋ยวมันพุธโธ เดี๋ยวมันฟุ้งซ่านอยู่อย่านั้น
     
  11. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ขอคุยด้วยคน
    ....มีการเข้าใจอยู่ในแนวหนึ่งว่า เมื่อ นั่งภาวนาแล้ว จิตออกไปคิดเรื่องต่างๆนาๆ แล้วก็มีสติ ตามดูการทำงานของจิตที่ ออกไปคิดเรื่องต่างๆนััน
    ....โดยที่มีสติ ที่เกิดจาก จิตที่เปลี่ยนแปลงนั้นแหละ ตามดูอย่างมีสติ

    .....ผมไม่เข้าใจว่า มันจะหยุดคิดของมันเองหรือยังไง จิตที่คิดเรื่อยเปื่อย มันเรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน การแก้จิตฟุ้งซ่าน ด้วยการ ตามดูจิตที่กำลังฟุ้งซ่านด้วยการสร้างสติจากการเปลียนแปลงของจิตมันย้อนแย้งกันนะผมว่า ไม่น่าจะหยุดการฟุ้งซ่านได้

    .....ถ้าตามแนวตำราไม่ว่าจะเป็น พระสูตร หรือ วิสุทธิมรรค ท่านจะให้ทำสมาธิเป็นฐานในการทำวิปัสสนา แล้วมันจะย้อนแย้งกันหรือเปล่า

    .....การทำสติปัฏฐาน ก็คือสร้างสติ และตามด้วยสัมปชัญญะ การสร้างสติ กับสิ่งไดสิ่งหนึ่ง เช่นลมหายใจ หรือถ้าจะเอาคำบริกรรม พุทโธ ก็น่าจะตามด้วยสัมปชัญญะ เสมอ การบริกรรม ก็เพียงให้จิตมีสติอยู่กับคำบริกรรม และ ต้องตามด้วยสัมปชัญญะ ว่าเรากำลังนั่งบริกรรมอยู่ บริกรรมพุทโธยาวก็รู้ บริกรรมพุทโธค่อยก็รู้ ก็เหมือน การสร้างสติจากลมหายใจ มีลมหายใจสั้นก็รู้ ลมหายใจยาวก็รู้ การรู้นี้ต้องมีสัมปชัญญะ

    ......การที่จิตฟุ้งซ่าน จะไม่มีพลังในการน้อมจิต การนั่งภาวนาก็เพื่อให้บรรลุธรรม ใครจะไปรู้ บางที่ถ้าทำถูก อาจจะสำเร็จก็ได้ จิตที่มีพลังจะเป็นฐานในการน้อมจิต ให้เห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ห้า สัมปชัญญะที่ต่อเนื่อง จะเป็นการเห็น อย่างต่อเนื่องของญาณ จะเกิดวิปัสสนาญาณนั้นเอง
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    สิ่งที่ นักภาวนาขาด คือ ความเคารพต่อสัทธรรมของพระผู้มีพระภาค
    ที่จะ ทรงจำแนก แยกแยะ แสดงธรรม อนุเคราะห์ให้ฟัง ใส่ใจด้วยดี
    เสียก่อน

    นักภาวนาที่ขาดความเคารพยำเกรง สัทธรรม ก็มัก จะดุ่ยๆ ยัด สัทธรรม เข้าตู้

    แทนที่จะ ฟังธรรมให้เข้าใจเสียก่อนว่า จิตอย่างไร ที่เป็น จิตฝุ่งซ่าน
    จิตอย่างไรเป็นกุศล จิตอย่างไรเป็น อัพยากฤติ

    จิตคิดเหมือนกัน แต่ หากสภาพของการเกิด มันต่างกัน คนที่ ยัดสัทธรรม
    กระทืบพุทธวัจน เข้าตู้ ก็จะ มะงุมมะงาหรา

    เห็นจิตคิด ก็ตกกระใจ ขี้หู ขี้ฮี ขี้งุดโง แตกซ่าน

    ทั้งที่ จิตคิด มันมีทั้งที่เป็น อกุศล กุศล และ อัพยากฤติ

    จิตที่เป็น อกุศล หาก สติไปเห็น จิตกำลังคิด จิตที่เป็นอกุศล จะต้องดับ

    จิตที่เป็น กุศล สติไปเห็น จิตกำลังคิด สติบ้านพ่อมันไปดับความคิด(กุศล)
    เสือกแล่นไป บริกรรม งุดโง ทำเฮียอะไร !!!

    จิตที่เป็น อัพยากฤติ จิตมันคิด เพราะหน้าทีการงานมันมี บริกรรม
    แทบตายเพื่อให้ จิตเป็นสมาธิ คิดงาน อ่านเขียนออก เสือกทิ้งการ
    งาน แล่นไปบริกรรม งุดโง โคพ่อโคแม่ มันเฮีย สอนกันเข้าไปได้

    สัมมาอาชีวะ ไม่มีวันสัมผัส !!


    ดังนั้น

    คุรประสิทธิ ทำใจ ร่มๆ อย่ามองว่า กำลังโดนด่าหน่าคร้าบ เพราะ คุณ
    ประสิทธิ ไม่ได้เน้น บริกรรม แต่ เน้นสัมปชัญญะ

    สัมปชัญญะ คืออะไร

    คือ จิตสิกขา ยกพิจารณา จิตอย่างไรเป็นกุศล จิตอย่างไรเป็นอกุศล
    จิตอย่างไรเป็น อัพยากฤต ได้ตาม วิบาก

    ในทีนี้ เราจะเน้น จิตที่เป็น อัพยากฤติ ที่ได้ตามวิบาก ให้มันแสดง
    ความเกิดดับ จะได้เห็นชัด เวทนาเกิดดับ อุเบกขาเกิดดับ ผม ขน
    เล็บ ฟัน หนัง เป็นอัพยากฤติ ได้มาตามวิบาก หากยก จิตสิกขา เห็น
    กาย(สัมปชัญญะรู้กาย) แล้วไปเห็นจิต(สังขาร -- เวทนา จิต ธรรม) งานก็จะเดิน

    ไม่ใช่ เฮียอะไร ก็ จับยัดเข้าตู้ บริกรรม งุดโง มั่นคง ดักดาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  13. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....ถ้าผมถูก คุณก็ผิด ถ้าผมผิดคุณก็ถูก ไม่เห็นต้องมาบังคับ กัน ทำไมต้องบังคับกัน ไม่เข้าใจ เป็นอะไรไปละ ไม่พอใจผมก็บอก admin ลบผมทิ้งก็ได้
    ....คำก็โง่ สองคำก็โง่ มันแสบตรงใหน แค่ความเห็นสิ่งที่ผมโพส นิสัยมันส่อสันดานจริงๆ

    .....พวกทำตัวเป็นเจ้าพ่อผมไม่กลัวหรอก เหมือน เราเห็นสัตว์ในสวนสัตว์อย่างเก่งก็กระกัดเราไม่ได้หรอก
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    แบร่ !!!!
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ตอบ แล้ว จะฟังเหรอ

    ไปหา สายหลวงปู่มั่น ฟังเอาก้ได้

    " คิดเงียบๆ " เคยได้ยินไหม

    ดังนั้น

    มันไม่ได้ หยุดคิด แต่ มันคิดเงียบๆ ความเงียบ คือ สภาวะ ความคิด อย่างหนึ่ง

    งุดโง งุดโง แล้ว มันหลบเข้าไปทำเป็น เงียบ

    ขาดการสดับ ก็ โอ้ว จอร์จ งุดโง จนหยุดคิด สันติ !!!



    ปล.ลิง : จี จี เงียบแล้ว ให้ดู อะไร "มันดิ้น" มันจะต้องมี สิ่งที่ดิ้น
    หรือ เกิดดับ อยู่ ......ดังนั้น กลั้นหายใจเอาก็เจอ(หลวงปู่เทสก์ ฯ)
    ไม่ใช่ ต้องไปบริกรรมจนหยุดคิด ให้โง่ งมโข่ง

    ปล.2 : เว้นแต่พวกหมั่น ยกการพิจารณากาย พอจิตหยุด แล้วมัน
    ออกพิจารณากายเอง นั่นจะอีก เรื่องหนึ่ง คิดไม่ได้(ไม่ใช่ตนคิด)
    แต่มันไหลของมันไปเรื่อย ไม่หยุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  16. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    พอมีสติ ความคิดมันก็ดับ เข้าใจ หรือ ยัง ครับ ไม่ใช่เอาสติไปดู ความคิด ไปดูทำไมความคิด บ้า หรือ ปล่าว ไปดูเพื่ออะไรครับความคิด เพราะไม่มีสติ จึง คิด เข้าใจ หรือ ยัง ภาวนาดูความคิด ภาวนาไปอีก หนึ่ง อสงไขยกัป ก็สูญปล่าว
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    แล้ว เห็นสภาพธรรม ยิ๊บๆ แย๊บๆ ที่มันดิ้นๆ ไม่ใช่ความคิด แต่ก็ สงัด สงบ
    หรือเปล่า

    ถ้าเห็น แล้วตามระลึก ยิ๊บๆ แย๊บๆ ถ้าไม่เกิด พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก
    ไปตีความเป็น เห็นพลังโน้น นั่น นี่

    จิตจะ เห็นปิติ ที่ไม่มี อามิส แต่ก็ อาบกายอยู่ ไม่มี ส่วนใดของ
    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่สัมผัสปิติ

    มีปัสสัทธิ

    แล้ว วิจัย อยู่ตรงนั้น ไม่เผลอ ไม่เพ่ง ( แต่ เพ่งหน่อยๆ ไม่ว่ากัน แต่
    ต้องกำหนดรู้ด้วยว่า ยังมี เจตนา มีตัณหา แฝงอยู่ )

    ก็จะเห็นว่า วิบาก ที่มันให้ผลเนี่ยะ มันมีทางออก
     
  18. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    ...พอเราเริ่มทำสมาธิก็เหมือนกันหมด คือมันยังไม่สงบหรือรวม
    ได้ซะทีเดียวหรือทำครั้งต่อไป บางทีก็สงบบ้าง รวมบ้าง บางทีก็ไม่สงบไม่รวมบ้าง...

    ...ตรงจุด ๆ นี้ ทำให้ผู้ทำสมาธิเกิดความท้อแท้ เนื่องจากคิดว่าตัวเองไม่สามารถทำสมาธิให้สงบได้..หรือไม่มีบุญบารมีมากพอ..

    ...การทำสมาธิ จุดประสงค์คือการสะสมพลังจิต..ถ้าสมาธิมากพอก็สามารถทำฌาน ญาณ หรือ ขึ้นวิปัสสนาญาณได้ (และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำได้ด้วย)....

    ...เพียงบริกรรมคำแรก นั่นคือการทำสมาธิและเริ่มสะสมพลังจิตแล้ว ซึ่งไม่สูญเปล่าเลย...

    ...การบริกรรมช่วยกรองอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง คือ จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว คือ อารมณ์บริกรรมพุท โธ นั่นเอง...จึงไม่แปลกเลยที่ตอนบริกรรมจะมีอารมณ์ต่าง ๆ
    เป็นร้อย เป็นพัน...จนกระทั่งมีอารมณ์เดียวจนจิตรวมเข้าภวังค์ไปเป็นสมาธิ (ขณิกะ อุปจาระ อัปปนา)

    ...วิธีแก้แก้ต้องใช้ธรรมะคือ อิทธิบาท ๔ คุณเครื่องให้สำเร็จตามความประสงค์ ๔ อย่าง (ทำไปเรื่อย ๆ)
    1. ฉันทะ (พอใจรักใครในสิ่งนั้น)
    2. วิริยะ (เพียรประกอบสิ่งนั้น)
    3. จิตตะ (เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น)
    4. วิมังสา (มั่นไตร่ตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น)

    ...ทำมาก ๆ เข้า บริกรรม คือนึกคำคำเดียวอย่างมีสติเรื่อย ๆ ต่อไปก็จะเกิดสมาธิ สมาธิก็มาสนับสนุนให้สติแก่กล้าขึ้นตามลำดับเอง...แล้วต่อไปก็จะเกิดสมาธิ จิตรวมง่ายขึ้นนั่นเอง....

    ...เบา สบาย จดจ่อ ลดระดับอารมณ์ (ให้เป็นหนึ่ง)....

    ...ไม่เคร่งเครียด เหม่อลอย กดข่ม หลงลืม หุนหันพันแล่นฯลฯ...

    ....อนุโมทนาบุญ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2017
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ปัญญา
    หรือองค์ประกอบทางกิริยาต่างๆเชิงกุศลนั้น ฯลฯ
    เป้าหมายหลักๆทางพุทธศาสนาคือ เพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรม
    ที่จะส่งผลให้ตัวจิตเรามันคลายจากความยึดมันถือมั่นต่างๆได้ครับ
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ต่างๆนั้นไม่ใช่กิเลสนะครับ
    มันเป็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่แล้วภายนอก และเป็นของที่มีอยู่คู่กับโลกใบนี้ครับ

    แต่ว่าไอ้ตัว โมหะ โทสะ โลภะ ต่างๆเหล่านี้ที่จมอยู่ในจิตของเรานั้น
    เมื่อมันทำหน้าที่ ออกไปดึงเอาลาภ ยศ สุข และการสรรเสริญ
    เข้ามา จนกลายเป็นตัวเองเหล่านี้ต่างๆหากเป็นกิเลสครับ
    ทางพุทธศาสนาเรา มองเห็นตรงจุดนี้ครับ
    โลกนี้ จึงได้อุบัติ ภาษาสมมุติ ขึ้นมาคำหนึ่ง


    ที่เราเรียก คุ้นหู และติดปาก นั่นก็คือ คำว่า ''ปัญญา''ครับ
    ปัญญา ตรงนี้ คือ ประเด็นสำคัญหลักๆครับ
    ที่องค์ประกอบต่างๆเหล่านั้น ที่กล่าวมา ไม่ว่า ทาน ศีล
    สมาธิ กำลังจิต หรือองค์ประกอบทางพฤติกรรมต่างๆของจิต
    จะเป็นตัวหนุนนำให้จิต เราเดินไปถึงจุดปลายปลายทาง
    ที่จิตของเรา จะหลุดพ้นจากเครื่องพันธนากาลต่างๆ
    ที่มันร้อยรัดจิตเรา สร้างจนเป็นอัตตาตนของเรา
    จนกระทั่งเป็นเหตุให้จิตเรา ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดได้ครับ

    เพราะฉนั้น อย่าไปหลงประเด็น อย่าไปให้ความสำคัญในเรื่อง
    อื่นๆมากกว่าเรื่องปัญญาทางธรรมครับ...
    เพราะเรื่อง ผี เรื่องพิเศษ ต่างๆ ฯลฯ มันมีมานานมากก่อนที่จะกำเนิด
    พุทธศาสนาอีกครับ แต่เรื่องเหล่านี้นั้น
    มันล้วนแล้วแต่ทำให้ จิตเรายังไม่พ้นโลกใบนี้
    ทำให้จิตติดอยู่กับโลกใบนี้ครับ


    และผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพเห็นว่ายังไม่ใช่
    ทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ ท่านถึงได้ออกมาจากพระมหาฤาษี
    จนได้บรรลุสำเร็จเป็นศาสดาเอกของโลกใบนี้
    ดังนั้น ควรระวังให้ดีในเรื่องการในความสำคัญนะครับ
    เหมือนๆมะพร้าวนั่นหละครับ
    เราเอาเนื้อมา เพื่อที่จะทำเป็นน้ำกะทิ
    แต่เราอย่าไปเน้นว่า ว่าเปลือกสำคัญกว่า
    ก้านสำคัญกว่า ต้นสำคัญกว่า
    แต่ทุกส่วนมันมีความสำคัญพอกันทั้งหมดครับ
    แต่ประเด็นสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงไหน
    ตรงนี้ต้องทำให้เข้าใจให้ดีๆนะครับ
    ไม่งั้นเราจะลืมไปว่า เรามีปลายทาง
    เพื่อที่จะเอาเนื้อมะพร้าวมาทำเป็นนำกะทิครับ

    ส่วนเรื่องสมาธิไม่ว่าใครก็ตาม
    หากว่า ตัวจิตยังไม่ถึงในระดับที่ใช้งานได้จริงๆแล้ว
    และจิตยังต้องคลายตัวเองได้ด้วยในเวลาปกติ
    คือรู้จักใช้แล้วก็แล้วไป และวางเป็นด้วยนะครับ


    หรือถ้าจิตดันใช้งานได้ แต่จิตดันยังไม่คลายตัวก่อน
    (คือยังไม่เดินปัญญา ไม่ฝึกสติมาก่อน จนมีพอมีปัญญา
    ระดับหนึ่งที่จะไม่ยึดติดได้)
    ก็จะกลายเป็นดวงจิต ที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างถอนตัวลำบาก
    เพราะว่า ไม่ว่าจะไปรับรู้อะไร ก็จะดึงจนกลายมาเป็น
    ตัวตน กลายเป็นตัวเองทุกๆเรื่องครับ
    ร้อยละ ๙๐ เปอร์เซนต์ขึ้น ประกันได้ว่า
    คนภายนอกจะมองว่า บุคคลเหล่านี้เพี้ยน
    ที่เพี้ยนคือ จะมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับสังคมโลก
    ไม่ใช่ว่า เป็นบุคคลไม่ดี ไม่มีความสามารถนะครับ
    ตามโรงพยาบาล ผู้ป่วยทางจิตมีให้เห็นทั่วไปครับ

    หรือแม้ว่าจิตดวงใดก็ตาม
    ที่ใช้งานได้แล้วแต่ยังมีตัวตนไปกระทำนั้น
    ไม่ว่า จากกำลังสมาธิ ตบะ ฌาน ญาณ กำลังจิตฯลฯ
    มันสามารถขึ้นๆลงๆได้เป็นปกติครับ
    ดังนั้น ระยะเวลาที่เราฝึกจึงไม่เกี่ยวกับว่า
    จิตเราจะสามารถทำงานได้
    ในระดับที่ไม่เสื่อมได้หรือไม่นะครับ


    กิริยาทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ให้เราพึ่งระลึกไว้ว่า ถ้าเราไม่สามารถ
    ที่จะไปต่อได้ หรือ เราไม่สามารถ
    ที่จะเข้าใจกิริยาทางด้านนามธรรมนั้นๆได้เอง
    นั่นหมายความว่า กำลังสมาธิสะสม
    และกำลังสติทางธรรมเรายังไม่เพียงพอครับ
    ไม่ใช่ไม่มีนะครับ แต่ไม่พอที่จะผ่านและเข้าใจได้
    ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ ถ้าเราปฏิบัติมาแล้วต้องเจอทุกคนครับ

    ดังนั้นหลักๆวิธีแก้คือ สร้างสมาธิสะสมเพิ่มเติม
    เช่น ทำสมาธิให้บ่อยขึ้นไม่ต้องนาน แต่ทำบ่อยๆเอาแค่สงบ
    และเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
    จะอย่างไรก็ได้ขอให้มีฐานอยู่ที่กายครับ
    และทำร่วมกับการเดินจงกลมก่อนนั่ง
    แต่ถ้าไม่สดวกก็เอาท่าที่เราสบายก็ได้

    กำลังสมาธิสะสมจะเป็นตัวช่วยหนุนให้เรา
    ก้าวข้ามสภาวะนั้นๆได้ โดยไม่ส่งผลทางกาย
    ที่ทำให้เราต้องชงัก ส่วนกำลังสติทางธรรม
    จะทำให้เราเข้าใจและรู้วัตถุประสงค์ต่างๆ
    ของสัมผัสทุกกรณีทางด้านนามธรรม
    ทำให้เราไม่ยึดติดกับนามธรรมเหล่านั้น...


    และพอเราข้ามตรงนี้ได้แล้ว จนถึงในระดับ
    ที่จิตคลายตัวได้ จากกำลังสมาธิและสติทางธรรม
    เราจะสามารถที่จะเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสได้จริงๆครับ
    ยิ่งปล่อยวาง ให้จิตคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติ
    มากเท่าไร อะไรก็ตามที่จิตเรามันเคยทำได้
    มันจะค่อยๆขึ้นมาได้ของมันเองครับ แต่เราต้องไม่ยึดด้วยนะครับ
    หรือถ้าใครมีเหตุ หรือ ชอบที่จะต้องใช้กำลังจิต
    เราค่อยไปฝึกปั่นปฏิภาคนิมิต ภาพต่างๆ
    ในกำลังสมาธิระดับสูงให้ได้(ย้ำว่ากำลังสมาธิระดับสูง)
    ไม่ใช่ระดับอุปจารสมาธิที่ชอบทำให้หลงตัวเองนะครับ

    เราก็จะมีสมาธิเป็นพื้นฐาน มีกำลังสติเพียงพอ
    ที่จะช่วยหนุนการเดินปัญญาเราเพื่อลด ละ คลาย
    ให้มันค่อยๆน้อยลงไปจากตัวจิตเราได้ครับ
    ส่วนเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่แนวทางหลักของพุทธศาสนา
    มันก็จะค่อยๆขึ้นมาได้ของมันเองตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตเราครับ


    เรามีตรงนี้ก่อน มีปัญญาทางธรรมเป็นฐานก่อน
    สมาธิใช้งานเป็นฐานก่อน เอาไว้เป็นฐานเพื่อ
    ให้เกิดปัญญาญาน ที่จะเข้าใจกระบวนการปรุงแต่งต่างๆได้
    ตัวจิตก็จะคลายจากทุกๆเรื่อง ที่เคยเข้ามาทำให้จิต
    เราเกิดได้ ของมันเอง ตามวาระแห่งตนนั่นหละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...