เทคนิคภาวนา " เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบมีแต่ความคิด "

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบเทวดา, 24 เมษายน 2017.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ให้พิจารณาไปเลย เดี๋ยวก็ดับ

    ทีนี้ ......ดับ แล้วก็ อย่าเซ่อ ( พูดง่าย แต่จริงๆ จะยากนะ เซ่อทุกคน )

    ทำไมเซ่อ

    เพราะว่า เหตุของการเป็นอย่างนี้ มองไม่เห็น ลืมไปซะดื้อๆ ว่า ประกอบอะไรมาเป็นเหตุ
    [ บางรูปนาม เหตุที่ประกอบ จะมีโน้น ตรงปฏิสนธิกาล ของชาตินี้ พวกนี้จะอีกเรื่องนึง
    ต่อให้ลืมกำหนด ก็เกิดไม่เลิก ]


    เหตุนั่น แหละมันดับ

    พอสาวไปหาเหตุ หากไปซื้อบื้อ ขยันบึ๊ดจั๊บบึ๊ด เพื่อ การเป็นอย่างนี้ ก็โง่ ทันที

    เขาให้ สาวไปอีก ทำไมเหตุที่เพียร มันดับ

    ฮะเอ่อ

    ซึ่งตรงนี้ จงใจไม่ได้ ถ้าจงใจ มันจะ วั๊บแว๊บเดียว ไม่พอกิน
    [ เหมือนจะใช่ เหมือนจะได้ โดนมันหลอก ไม่เลิก ]

    ถ้าไม่ จงใจ แล้ว เอ๊อะ แล้วมันแว็บได้ จะ พรึ๊บ พรึ๊บ พรึ๊บ
    แต่ถ้า มีปณิธานอะไรแทรกก็ไม่ไปไหน เห็นแต่ไม่ได้ชิม

    ถ้าไม่มีปะนิทาน อะไรแทรกก็ ซาโยนาระ ซาโตริ ว่ากันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471

    ปฏิสัมภิทามรรค

    กรณีที่ มี จิตใจอิ่มเอิม แล้ว เห็น ความอิ่มเอิบเกิดดับ ด้วย อุเบกขาดับด้วย
    เอกัคตาก็ดับด้วย แต่ เห็นอยู่ว่า ไม่ชำแรกกิเลส

    พึงรู้ ปัญญาไม่ชำแรกกิเลส มีอยู่

    พึงรู้ว่า ปัญญาชำแรกกิเลส มีอยู่(อันนี้ ต้องเติม "แน่" เพื่อ นมสิการ กระทำไว้ในใจ)
    [ ถ้า นมสิการธรรมใด แล้ว วางจิตถูก จะต้องมี ปิติ มีปัสสัทธิ .....ถ้ามีปิติ
    แล้วไม่ปัสสัทธิ จะเข้าใจผิดคิดว่า กิเลสสะเทือน อันนี้อย่าไป พิจารณา
    อย่างนั้น รีบเฝ้น(สละออก) ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อย่าส่งจิตออกนอก ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อารมณ์เป็นของเกิดดับหมด อย่าฉวยเอามาเป็นตนก็พอ หลงไม่หลงก็ดูเอา อยู่ตรงนี้แหละ ขึ้นเขาลงห้วยอยู่ตรงนี้หมดครับ
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    หากฟังหลวงปู่พุธบ่อยๆ

    ก็จะได้ยิน คำว่า ทำสติตามรู้เฉยอยู่เท่านั้น

    นิ่งรู้นิ่ง
    ว่างรู้ว่าง
    คิดรู้คิด
    สลับกันไปอย่างนี้
     
  5. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    มานั่งสมาธิแล้วหลังการนั่ง รู้สึกรับรู้ถึงอารมณ์ดันรุนแรงขึ้นการรับรู้ อารมณ์รุนแรงขึ้น
    บ่อยๆทำให้รู้หงุดหงิดเหมือนกัน เวลาเกิดอาการนั้น ผมจะมาหายใจอย่างเดียวยิ่งหลังๆ ยิ่งรุนแรงขึ้ัน
    แสดงว่าผมเป็นโทษะจริตหรือเปล่าครับทำไมอารมณ์มันแรงขึ้น
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ตอบไปนานแล้ว ว่าไงล่ะครับคุณป.ปราบ ภาษาตรงไหนจะได้ตรงกัน ยังไม่ทันเห็นครับ..
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้ ถูกต้อง การสำรวมอายตนะทั้ง 6 คือ "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" หากทำเป็นและทำได้ มันก็จะเป็นเรื่องเดียวกันกับ "จิตส่งออก เป็น สมุทัย" ของหลวงปู่ดูลย์นั่นเอง

    +++ "อินทรีย์สังวร" หากทำได้ถูกต้อง อาการ "รู้สึกตัวทั่วถึง" จะเกิดขึ้นมาทันที และยามใดที่สามารถ "อยู่" กับความรู้สึกตัวทั่วถึง ทุกอาการที่มีกล่าวไว้ใน "สัมปชัญญะบรรณ" ก็จะปรากฏเช่นกัน

    +++ ผลลัพธ์ของ "อินทรีย์สังวร" คือ สัมปชัญญะ 4 ปิติ 5 (ฌาน 2) สำหรับภาษาส่วนตัว ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา" เพราะใช้ "เวทนา เป็น กาย" เป็นส่วนหนึ่งของ "การอยู่ และ เรียนรู้ สักกายะทิฐิ" (ตรงนี้เป็นขั้นตอนของ การเรียนรู้ เมื่อเข้าใจจนสิ้นสงสัยแล้ว มันจึง ละ ไปเอง)
    +++ บอกตามตรงนะครับว่า "ปาฏิโมกข์ 227 สำนักนี้ยังตัดออกเหลือ 150" ตรงนี้ทุกคน "รู้" ดี

    +++ แล้ว "ธรรมะของพระพุทธองค์" จะไว้ใจได้เหรอว่าจะ "ไม่โดนตัด โดนต่อ โดนแปลง" จนพิกลพิการไปเรียบร้อยแล้ว

    +++ หากจะอ่านอะไรจาก "สำนักนี้" ให้ทำความ "ระมัดระวังตัวให้เต็มที่" เพราะคำโดด ๆ เพียงคำเดียว ก็สามารถทำให้การปฏิบัติ โดนบิดเบือนเป็นอื่น ได้ในทันที

    +++ ในเรื่องของ "อินทรีย์สังวร" นี้ หากคุณอ่าน และ "ที่สำคัญที่สุด คือ เดินจิตตามที่อ่านมานั้น" จากนั้นลองเปรียบเทียบ "ผลลัพธ์ของการเดินจิต" จากสำนักนั้น กับ ของสมเด็จญาณสังวร ตรงนี้ดู

    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-057.htm

    +++ "เดินจิต" เทียบเคียง "อาการของผลลัพธ์" นะครับ "ไม่ใช่ คิด เทียบเคียง"

    +++ หรืออีกนัยหนึ่งคือ "ทำ" โอปนยิโก ลงไปใน "ข้อความนั้น ๆ" ก็จัก "รู้" ผลได้ ด้วยตัวของคุณเอง
    +++ การโพสท์ของคุณ "ไม่ปรากฏ อกุศลเจตสิก" ไม่ปรากฏ "อาการเพ่งโทษ" ไม่ปรากฏ "อาการเบียดเบียน" ไม่ปรากฏ "อาการโอ้อวด" ไม่ปรากฏ "อาการ เหยียบหัวผู้อื่น เพื่อให้ตนดูเด่นขึ้น" รวมทั้ง "การโพสท์แบบ มีที่มาที่ไป มีหลักฐานประกอบ" ผมถือว่า "ไม่ใช่อาการของ อธรรม" ดังนั้น "คุยกันได้"

    +++ สำหรับผมแล้ว คำพูดของคุณที่ว่า "ที่ผมอ่านธรรมของสำนักนี้มาบ้าง เพราะเห็นว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นธรรมของสำนักนี้ครับ" นั้น

    +++ ผมจะพูดในอีกภาษาหนึ่งว่า "ที่ผมอ่านธรรมของสำนักนี้มาบ้าง เพราะอ้างว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เอามาจากโดยสำนักนี้ครับ" ตรงนี้ต้อง "ขออภัย" ไว้ด้วยเช่นกัน

    +++ หากสนใจในพฤติกรรมของสำนักนี้ว่า "น่าไว้ใจในการ กล่าวอ้าง ว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า" ขนาดใด ก็ "เริ่มต้นแค่" เข้าไปอ่านเอาหลักฐานประกอบ ได้จาก กระทู้นี้นะครับ

    http://palungjit.org/threads/สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด-สร้าง-พุทธวจน-ปลอม.552222/

    +++ เรื่องสำนวนการเขียนนั้น "ให้ข้ามไป" แต่ให้ "สังเกตุ หลักฐาน" ให้ดี ๆ ว่า "เป็นของจริง หรือไม่" ให้ตัดสินใจเอาเอง นะครับ

    +++ ที่ผมกล่าวไว้ตอนต้น ๆ ของกระทู้นี้ว่า "คลอง 10 กำลังจะตามคลอง 3 ไปในไม่ช้า" นั้น ก็ให้สังเกตุการขายของตั้งแต่ สากกระเบือยันเรือรบ ของสำนักนี้ดู

    +++ การกระทำตรงนี้ ทั้งหมดประทับตรา "พุทธวัจจนะ" เป็นยี่ห้อการค้า มันโจ๋งครึ่ม ยิ่งกว่าคลอง 3 เสียอีก ค่อย ๆ พิจารณาเอา นะครับ

    +++ สำหรับผมเองที่เอาใบ "Certificate" มาปะไว้ตรงลิ้งค์ข้างล่างนี้

    http://palungjit.org/threads/เทคนิค...ม่สงบมีแต่ความคิด.611413/page-4#post-10389014

    +++ ผมก็จะ "ขยายความ" ไว้ดังนี้

    1. วัดหนองป่าพง หลวงปู่ชา (เป็นพระธาตุ) เป็นศิษย์สาย หลวงปู่มั่น ที่ถือ "ศีลและข้อวัตรปฏิบัติ" ตามสายหลวงปู่มั่น ได้เป็นอย่างดี
    2. ก่อนที่ "คณะสงฆ์ วัดหนองป่าพง" ประกาศตัด สำนักคลอง 10 ออกจากสังกัดนั้น "ไม่ได้ตัดแบบ ตามอำเภอใจ"
    3. "คณะสงฆ์ วัดหนองป่าพง" นั้น ย่อมผ่านการ "ปรึกษาจากคณะครูบาอาจารย์ สายวัดป่าหลวงปู่มั่น" มาแล้ว (หลายท่านอัฐิเป็น พระธาตุ)
    4. โดยปกติ ไม่มีใครตัดศิษย์ของตนเองออกจากสายโดยง่าย หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือเป็นภัยต่อศาสนาพุทธอย่างใหญ่หลวง

    5. เรื่องอื่นที่กล่าวมาอาจมองว่าเป็น เรื่องทางโลก แต่ที่สำคัญที่สุดในทางธรรม คือ การตัดปาฏิโมกข์ลงเหลือ 150 ข้อ ตรงนี้ต่างหาก
    6. ศิษย์สายวัดป่าทั้งหมด หรือแม้กระทั่งผู้ที่เคยบวชพระมาแล้ว ย่อมรู้ว่า "สังวาสไม่เสมอกัน" นั้นหมายถึง "ไม่สามารถลงอุโบสถร่วมกันได้"
    7. การที่พระ "ไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน" นั่นคือ "สังฆเภท" ที่ชัดเจน และมันเป็น "อนันตริยะกรรม ตัวที่ 5" นั่นคือ "ส่งตรงลง อเวจี" เท่านั้น
    8. ตรงนี้เป็นสิ่งที่ "เทวทัต" เคยทำไว้เป็นแบบอย่างมาก่อน

    +++ ที่ผมกล่าวว่า "ธรรมของสำนักนี้ อ้างว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเอามาขาย" นั้น มีที่มาที่ไป นะครับ

    +++ และที่ผมกล่าวว่า หากจะอ่านอะไรจาก "สำนักนี้" ให้ทำความ "ระมัดระวังตัวให้เต็มที่" เพราะประตูแห่ง "อบายภูมิ" มันเปิดรออยู่ต่อหน้า นะครับ

    +++ อัตราเสี่ยงระดับนี้ มันคุ้มค่า กับการลองพยายามอ่านหรือไม่ คุณ ศิษย์โง๋ คงเข้าใจดี

    +++ การอ่านทุกชนิดเป็น "วจีจิตตะสังขารขันธ์" รวมทั้งสวดมนต์ต่าง ๆ ด้วย

    +++ อิทธิพลของ "วจีจิตตะสังขารขันธ์" นั้นมีมากกว่า "มโนจิตตะสังขารขันธ์" เพราะ "จิตต้องมีการ จดจ่อและทุ่มเท มากกว่า"

    +++ เรื่องของ "มโนจิตตะสังขารขันธ์" นั้นมีได้ในระดับ ขณิกะ+อุปจาระ แต่ในระดับของ "วจีจิตตะสังขารขันธ์" นั้น อยู่ในระดับ "อัปปณา"

    +++ ดังนั้น การอ่านบทความของสำนักนี้ ควรระวังเป็นพิเศษ นะครับ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เจตสิกด้าน ปัญญา จะมี "ความไว" ( ปัญญาไว--ชวนะ จะเป็น ปัญญาเจตสิกตัวหนึ่ง
    ยกขึ้นทำสิกขาได้ ....จัดเป็น ปฏิสัมภิทามรรค อีก )

    การรู้ไว หากรู้ไม่ชัด ( ระลึกไม่ทันว่าเป็น ยังกิญจิ สมุทย ฯ .... )

    ความที่ ปัญญา รู้ไม่ทัน แล้ว มันมี ปณิทานบางอยา่ง ตั้งอยู่ด้วยอำนาจแห่ง ธัมมุธธัจจะ
    มันจะผลิกไปเป็น กุกกุจจะ

    ดังนั้น

    ให้กำหนดรู้ นิวรณ์ธรรม แล้ว สำรวม อินทรีย์ ซึ่งจะต้องปรับ ไม่ใช่แค่ อายตนะ6
    ธาตุ18 หรือ อินทรีย์22 ซึ่ง จะต้องใช้ตัวไหน กำหนดไม่ได้ ผู้ภาวนาที่เป็น พุทธจริต
    จะต้องเฝ้นเอาเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ อรหันต์ก็ช่วยไม่ได้

    ส่วน โทษะจริต มีไหม มี ...แต่จะแทรก ภายหลังที่ กำหนดรู้นิวรณ์ธรรม
    หรือ กำหนดรู้วิปัสสนูปกิเลสไม่ทัน( ความพอใจในความ บันเทิง เจิดจ้า นั่นแหละ ตัวปัญหา)

    พุทธจริต ปิดนรก นานแล้ว แต่ มีพลาด เผลอให้ โทษะครอบงำแบบ ไม่มี
    สภาพธรรม แยกออกมากำหนดรู้ห่างๆ ไหม ก็คงมีบ้าง ยังตกนรกได้อยู่
    แต่ ส่วนใหญ่ จะมี จิตแยกออกมาเหมือน เห็นโลกที่วุ่นวาย อยู่สักสองสาม
    จังหวะ ถ้าไม่โง่ ไปกระโดดเอา โทษะ มาเป็นตัวเรา สวมบทบาท แบบหลงไหล
    [ สวมบทบาทแบบ ไม่หลงไหล จะเหมือนควบคุมได้ แต่ พอเพลิน ก็เละ ตะ ละ ลุ่ม
    ตุ้ม เปะ อะ ใจ๋ ใจ๋ ใจ๋ ............. ]
     
  9. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    คุณนิวรณ์ทันโทษะแล้วแล้วเหรอครับ
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ต้องดูสิ่งแวดล้อมด้วยครับ คุณไปทำอะไร คุยอะไรกับใครที่ไหนมาบ้าง กระแสตรงนี้จะบอกอะไรบางอย่างได้ครับ แต่แค่รู้แล้วก็ผ่าน ผมโดนประจำ จนชินไปแล้ว คิดว่านะ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อีกนัยหนึ่ง

    จะเห็นว่า จิตมัน วิวัฏ ตัวเองได้

    เวลาเกิดปัญหา จิตจะผลิกไป อานาปานสติ

    แต่ พอผลิกไปแล้ว เนื่องจาก อานาปานสติที่ โลกเขาสอนกัน ร้อยละร้อย
    จะเป็น อานาปานสตินอกศาสนา เป็นอารมณ์กสิณ ทำให้ การสดับธรรม
    มาผิด ทำให้ อานาปานสติ ที่จิตไปเสพ เกิด เจตนาของนักภาวนาเข้าไป
    แทรกแซง ไปกระทำการรู้ให้ชัดๆ แทนที่จะ เห็นจิตมันผลิกไป อานาปานสติ
    แล้วก็ หลุดออกมาพอแล้ว (เพราะ จิตเสพอานาปานสติ เพื่อ ระลึก อนิจจสัญญา
    อนัตตาสัญญา )

    ความที่ไป ฉวยจิต ไม่สลัดคืนจิต ดึงอานาปานสติ กลายเป็น กสิณ
    ก็เกิด มิจฉาทิฏฐิแทรก จะทำให้ จิตเที่ยง ก็เกิดเป็น อาการ รำคาญใจ

    โง่ ไปเอา ไฟมาเผาตัว

    แทนที่จะ อนุโลมไปตาม จิต ที่เขาอบรมมาแสนอสงไขย เสือกโง่ ไปฟัง
    อานาปานสติที่ สาวก เอามาสอน
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถามคนอื่น งง เปล่าๆ

    พิจารณา ของตัว แล้ว สังเกต จิตที่มันระลึก อานาปานสติ ขนานกันไป มีไหม

    ถ้าไม่มี วิหารธรรม เคียงคู่กันอยู่

    ก็จะ พยากรณ์ คติ ได้
     
  13. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    จิตเกิดพี่ที5 ว่าเป็นวงจรปฏิจสมุปบาท

    ผมเลยยังไม่อยากค้าน ก็ปล่อยๆไปก่อนฮับ
     
  14. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ไม่เรียกว่าโทษะจริตหรอกครับ

    โทษะจริต คือ คนที่ตัดสินอะไรเร็ว ไม่รอบครอบ

    เช่น ใครพูดอะไรมาไม่ถูกใจ จะสวนไปทันที


    สำหรับการทำสมาธิ หากเอาแต่สงบๆ เอาแต่สงบๆ
    ไม่หัดเจริญ สติ
    จิตที่พักแต่ ความสงบๆ สงบ พอโดนอะไรกระตุ้นทำให้ไม่พอใจ มันจะแรงขึ้น

    แต่หากว่า เวลาทำความ สงบ แต่อย่างเดียว ที่อยู่ในรูปแบบ
    ก็ทำไป เพียงฝึก ทำสติ หรือ กำหนดรู้อารมณ์จิต ที่ออกจากความสงบ ทุกครั้ง
    แม้จะยังไม่สงบ ลงอัปนาสมาธิก็ตาม

    ในระหว่างวันก็ต้องหัดเจริญสติ เข้าไปด้วย ไม่ว่า กิน นอน ดื่ม ทำ พูด คิด

    มันจะได้ สนับสนุนกัน

    สิ่งหนึ่ง ที่ขาดไม่ได้ ของภิกษุ คือ จริยาวัตร
    อันนี้เป็นพื้น ฐานที่สำคัญ ถ้าเปรียบกับ วรยุทธ ก้เรียก ท่าม้า
    ต้องฝึกให้มั่นคง เพราะมันเป็นฐานพลัง ในการเพิ่มกำลังภายใน

    ทุกวันนี้ หากใครคิดว่า การมีวัตรสวดมนต์ ไม่สำคัญ
    ถึงเวลาจะตกม้าตาย

    วัตรปฏิบัติ พวกนี้ มันมีอะไร ที่ลึกซึ้ง มากกว่ายาทา
    โบราณมา ท่านสอนกันไว้ไม่ให้ ขาด
    หาก ฆราวาส จะเอามาเป็นแนวทาง ในการฝึกฝน

    ก็จะสามารถใช้ได้อย่างที่คนโบราณเค้าใช้เป็น ในหลายๆเรื่อง
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ปราบเทวดา บังอาจเรียกที 5 เดี๋ยวเหอะ เจอตัวกันเมื่อไหร่ มีขาวกันไปข้างนึงแน่ อิอิ
     
  16. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ชอบตรง เพ่งลมหายใจเป็นการ เพ่งกสิณมันใช่เลยครับเพราะหลายคนตามรู้ลมหายใจ ตามกาย ตามใจ จนไปเผลอเพ่งกสิณแต่ไปเข้าใจว่าเป็นการตามรู้
     
  17. "เกษา"

    "เกษา" สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ก็แค่ " รู้ " จบข่าวเลย
     
  18. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    ลืมถามคุณธรรมชาติครับ
    1. ส่วนตัวเข้าว่า สัมปชัญญะปัพพะ คือสภาวะที่จิตปราศจากนิวรณ์ได้ค่อนข้างสะอาดแล้วถูกไหมครับ
    2. ตามอรรถกถาระบุว่า ถ้าเกิดเอโกทิภาวะขึ้นมาได้ ต้องเป็นสภาวะระดับทรงอารมณ์ได้ตั้งแต่ฌาน 2 ขึ้นไป ก็คือจะเริ่มสภาวะ สัมปชัญญะปัพพะ ถูกไหมครับ (เอโกทิภาวะมีผลมาจากจิตที่ปราศจากนิวรณ์)
    3. ส่วนตัวเข้าใจว่า "สภาวะรู้สึกตัวทั่วถึง"(ที่แท้จริง ผลจากอานาปานสติ) คือจิตทรงอารมณ์สภาวะระดับฌาน 4 ได้ ถูกต้องไหมครับ จึงจะเป็นสภาวะอินทรีย์สังวรณ์ที่สมบูรณ์ ในหมวด ธาตุกัมมัฏฐาน 4 ที่แท้จริง(เกินสภาวะสมมุติสัจจะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2017
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาการของ สัมปชัญญะ คือ "ความ รู้สึก ทั้งตัวแบบ ทั่วถึง" ซึ่งจะรวม "ความ รู้ตัว แบบทั่วถึง" ซึ่งเป็นอาการของ สติ เอาไว้ในอาการเดียวกัน

    +++ ณ ขณะใด ๆ ที่ทำได้ ก็จะเกิดอาการของ "สัมปชัญญะ อย่างหนึ่งใดใน 4 ประการ" ใน ณ ขณะนั้น ๆ ทันที (ทุกครั้ง)

    +++ "หากทำได้" และพอที่จะ "ได้นิสัย" ในตรงนี้แล้ว อาการ "รู้" จะเป็น "สติ" ส่วนอาการ "รู้สึก" จะเป็น "สัมปชัญญะ" และเป็นอาการที่เรียกว่า "ตน" (จะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อ ชำนาญแล้ว เท่านั้น)

    +++ เมื่อทำได้ "อาการรู้ตน หรือ รู้สึกตน" จะเป็นมาเอง แล้วไม่นานก็จะเข้าใจได้เองว่า "สภาวะธรรมใด ที่จิตยึดเป็นกาย สภาวะนั้นจะเป็นตน" ก็จะเริ่มเรียนรู้ สักกายะทิฐิ ได้เอง

    +++ เมื่อยามใดที่ "มีความรู้สึกกาย เป็นตน" ยามนั้นจึงจะเข้าใจคำว่า "ท่องเที่ยวไปด้วย ลำพังตน ประดุจนอแรด" ตามคำพูดของ "พระพุทธองค์" ได้เอง

    +++ ไม่ว่าอาการใดของ "สัมปชัญญะ" ก็ตาม หากเกิดขึ้นมาแล้ว อาการของ "นิวรณ์ 5 จะตั้งอยู่ไม่ได้" ย่อมถูกทำลาย สาปสูญไปเอง ด้วยสภาวะของ สัมปชัญญะ

    +++ ส่วนคำว่า "จิตสะอาด" นั้นขึ้นกับกรณีของผู้ถามว่า "จิตสะอาด" นั้นชี้ไปที่ใด

    +++ 1. หากหมายชี้ไปที่ "รูป+อารมณ์" อันเป็นอาการของ "จิตส่งออก" แล้วทำให้เกิด ราคะ โลภะ โทสะ รวมทั้ง "โมหะ" ที่ ส่งออก ปั่นหัวเจ้าของ โดยหยุด (ตั้งกระทู้) ไม่ได้ นั้น "ความสกปรกทาง สังขารจิต ย่อมเกิดขึ้น ไม่ได้" ในยามที่ "สัมปชัญญะ" ตั้งอยู่

    +++ 2. หากหมายชี้ไปที่ "อรูป + อารมณ์" อันเป็นอาการ "จิตตั้งตนอยู่ (สมถะ) ไม่ส่งออก" คำว่า จิตสะอาดในที่นี้ ย่อมชี้ไปที่ "อวิชชา" ประการเดียวเท่านั้น และคำว่า "กิเลส" ในที่นี้จะชี้ไปที่ สภาวะของ "อรูป" ที่ปกปิดบดบังจิตอยู่

    +++ ดังนั้น "ความสะอาดของจิต" หลังจากตั้ง "สัมปชัญญะ" ได้แล้ว การเดินทางของจิต จะ สามารถเริ่มที่ "รูปราคะ + อรูปราคะ" ได้เลย ไม่มีอะไรเนิ่นนาน

    +++ คำถามที่ว่า สัมปชัญญะปัพพะ คือสภาวะที่จิตปราศจากนิวรณ์ได้ค่อนข้างสะอาดแล้วถูกไหมครับ นั้น

    +++ คำตอบ คือ "แล้วแต่กรณี" ส่วนคำตอบในแต่ละกรณี ผมตอบไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว ให้อ่านทวนอีกสัก 2-3 รอบก็จะเจอได้เอง
    +++ เอโกทิภาวะ (ธรรมเอก) เป็นอาการของ "สภาวะธรรม ที่มีลักษระเด่น สภาวะเดียว (อัปปนา)" สภาวะนี้คือ "รู้ความเป็น ตน ไม่ใช่ความเป็น ตัว ชัดเจน (จะเรียกว่า รู้จัก "อัตตา" ที่ไม่ใช่ "กาย" ก็ได้ ตรงนี้เป็น ภาษาพูด เพื่อชี้อาการเฉย ๆ)"

    +++ ภาษาโดยส่วนตัวของผม จะเรียกสภาวะนี้ว่า "สติครองฌาน" อันเป็นอาการที่ "สติ เป็นเอโก เหนือกว่า ฌาน"

    +++ และสภาวะของ "กาย" ในระดับนี้ก็คือสภาวะของ "ฌาน" นั่นเอง พูดแบบชาวบ้านให้เข้าใจได้ง่าย ๆ คือ "กาย นั่นแหละคือ ฌาน" หรือจะเรียกว่า "มีฌานเป็นกาย" ก็ได้ (ตรงนี้เป็นระดับของ รูป+อรูปราคะ)

    +++ อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้ "สติครองฌาน" เรียบร้อยแล้ว และมัน "เริ่มต้นที่ ฌาน 2" ดังนั้น คำถามที่ถามมาตรงนี้ "ถูกต้องแล้ว"
    +++ "สภาวะรู้สึกตัวทั่วถึง" (ที่เป็นผล จาก อานาปานสติ) นั้น หากผู้ที่ยังทำ "อานาปานสติ" ไม่เป็น ก็จะไม่มีโอกาสที่จะเข้าสู่ สภาวะของรู้สึกตัวทั่วถึง ได้เลย

    +++ อานาปานสติ ที่พระพุทธองค์สอนนั้นคือ "รู้" กองลมทั้งปวง ผลลัพธ์ของตรงนี้จะกลายเป็น "ลมหายใจ ถูกรู้" และ "ลมหายใจ ไม่ใช่ ตน" จักเกิดขึ้นเอง เป็นมาเอง

    +++ หลังจากอาการ "ลมหายใจถูกรู้ และ ไม่ใช่ตน" เกิดขึ้น ไม่นาน อาการ "วางลมหายใจ" ก็จะตามมาเอง จากนั้นอาการ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" จึงตามมา

    +++ คำว่า "ฌาน" แท้จริงแล้วจะเป็นอาการของ "สภาวะเด่นสภาวะเดียว (เอโกทิภาวะ) จะเรียกว่า อัปปนา ก็ได้" แล้วแต่จะใช้ภาษาตามหมวดไหน

    +++ ส่วนคำว่า "สมาธิ" นั้นให้หมายเอาแค่ "อาการตั้งมั่น" เท่านั้นพอ ส่วนจะ "ตั้งจิตมั่น (พราหมณ์) หรือ ตั้งสติมั่น (พุทธ)" นั้น แล้วแต่ผู้ฝึกจะทำเอาเอง


    +++ การ "กำหนดจิต เป็นวิตก ส่วนการเข้าถึงการกำหนด เป็น วิจารณ์ (ฌาน 1)" ซึ่งเป็น "ธรรมารมณ์เด่น ธรรมารมณ์เดียว (ฌาน 2-4)"

    +++ การ "เดินจิต" ในวรรคนี้ทั้งหมดเป็น "อัปปนา" ทั้งสิ้น ผู้ที่ผ่าน "สติครองฌาน" มาแล้ว จะเดินจิต ไป-มา ในธรรมารมณ์เด่นธรรมารมณ์เดียว อาการไหนก็ได้

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ "ธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน" ซึ่งไม่จำกัด กองฌาน (ธรรมารมณ์ ไม่ได้มีแค่ 8 อย่าง มันมีมากกว่านั้นหลายร้อยเท่า)


    +++ คำถามที่ว่า "สภาวะรู้สึกตัวทั่วถึง"(ที่แท้จริง ผลจากอานาปานสติ) คือจิตทรงอารมณ์สภาวะระดับฌาน 4 ได้ ถูกต้องไหมครับ

    +++ คำตอบคือ "มันเกินกว่าคำว่า ใช่ แค่คำเดียว" เพราะมันมี มากกว่านั้น


    +++ ส่วนคำว่า "สภาวะอินทรีย์สังวรณ์ที่สมบูรณ์" นั้น มันสมบูรณ์ตั้งแต่การ "เดินจิต" เข้าสู่สภาวะ ณ ขณะจิตนั้น ๆ แล้ว

    +++ ส่วนคำว่า "ในหมวด ธาตุกัมมัฏฐาน 4 ที่แท้จริง(เกินสภาวะสมมุติสัจจะ)" นั้น จะต้องได้ "สติครองฌาน" ที่แท้จริงเสียก่อน

    +++ จากนั้นจึงเข้าสู่อาการ "กายคือฌาน หรือ ฌานคือกาย" โดยมี "สติเป็น เอโกทิภาวะ" จากนั้นจึง "เดินจิต ไป-มา ภายในกาย (ฌาน) ต่าง ๆ"

    +++ เมื่อละเอียดไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้ได้เองว่า แม้แต่ "ตัวฌาน" เองก็ตาม มันก็เป็นแค่เพียง "องค์ประกอบของ "อณูธาตุ" ที่มาประชุมรวมกันเป็นสภาวะหนึ่ง ๆ เท่านั้น"

    +++ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น "ธาตุกัมมัฏฐาน 4 หรือมากกว่านั้นก็ตาม" เมื่อถึงที่สุดก็จะรู้ได้เองว่า "ธาตุก็เป็น สักแต่ว่า ธาตุ" เท่านั้น

    +++ ธรรมารมณ์ (ฌาน) เป็นการรวมตัวของ "กลุ่มละอองธาตุ (อณู)" เข้ามาเป็น สภาวะธรรมารมณ์ หนึ่ง ๆ เท่านั้น ยามใดที่มันเกาะตัวกันจนเป็น เอกภาพ ยามนั้นมันเป็น องค์ฌาน

    +++ ผู้ที่ฝึก รู้ (ญาณ) จนกลายเป็น เห็น (ทัศนะ) "อณู (ภาษาปัจจุบัณ คือ Sub Atomic Particle)" ตรงนี้เป็น "เหตุปัจจัยโย" ที่ค่อย ๆ รวมตัวเกาะกลุ่มกันขึ้นมาจนเป็นสภาพ ตรงนี้เป็น "อารัมมะณะปัจจะโย" และตรงนี้แหละ คือ อวิชชา และเป็นตัว ฌาน

    +++ ยามใดที่ "จิตยึดฌานเป็นกาย" ยามนั้นแหละคือ "อธิปะติปัจจะโย" ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นสภาวะธรรมอันเดียวกันทั้งหมด แต่ อธิบายแยกภาษาออกไปตามหมวดหมู่ เพื่อให้พอเข้าใจได้ (แม้ว่าจะยัง ไม่เข้าใจในตอนนี้ ก็ตาม) ผมทิ้งทางเผื่อไว้ให้ในอนาคต เท่านั้น

    +++ ให้เดินจิต "ธัมมะวิจัยยะ" เข้าสู่ "เหตุเกิด" ของสภาวะธรรมไปเรื่อย ๆ จน "สุดเหตุ" ทั้งหมด

    +++ เมื่อถึงตรงนี้แล้วจึงจะเข้าใจคำว่า "สังขตะธรรม VS อสังคตะธรรม" ตามความเป็นจริง ได้ด้วยตนเอง

    +++ ในโพสท์นี้ทั้งหมด ผมโพสท์ให้กับ "นักปฏิบัติ เท่านั้น" ส่วนเหล่า นักทฤษฏีทั้งหลาย ไม่ควรเข้ามายุ่ง เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ "อจินไตย" ประกอบอยู่ด้วยหลายตอน นะครับ

    +++ ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปในสภาวะธรรมทั้งหมด จนสุดสิ้นสภาวะ นะครับ
     
  20. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    สาธุครับท่าน ตัวกระผมจะค่อยๆเรียนรู้ไป ขอบพระคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...