เรื่องเด่น "หลวงปู่เสือดำ" หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร ก่อนทิ้งปืนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

ในห้อง 'บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 10 กรกฎาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    00000-5.jpg


    สัมภาษณ์พิเศษ หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร หรือ หลวงปู่เสือดำ เบื้องหลังข้อตกลงลับ กับ ขุนพันธ์ ทิ้งปืน เข้าวัด








    -------------------------------------------------------------------


    เปิดตำนาน 4 ขุนโจรในอดีตของไทย เสือดำ เสือใบ เสือมเหศวร และเสือฝ้าย


    %E0%B8%9B%E0%B8%811-13.jpg

    สำหรับชีวิตจริงของเสือดำ ผู้เป็นจอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับ เสือใบ, เสือฝ้าย และเสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ระพิน ได้ชื่อว่าเสือดำจากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ แต่เมื่อเวลาออกปล้นจะต้องประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์และปล้นด้วยความสุภาพ นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกับ เสือใบ
    เสือดำ ถูกปราบได้ด้วย ขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจมือปราบชื่อดัง โดยขุนพันธ์ฯ ให้โอกาสเสือดำกลับตัว เสือดำจึงไปบวชกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น และบวชมาจนบัดนี้

    ปัจจุบัน เสือดำ คือหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร เจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร อายุกว่า 80 แล้ว แต่สุขภาพก็ยังแข็งแรงอยู่ และมักได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกับ เสือใบ และ เสือมเหศวรเสมอ ๆ


    เรื่องราวของเสือดำ ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2543 ในเรื่อง “ฟ้าทะลายโจร” โดยผู้รับบทเสือดำ คือ ชาติชาย งามสรรพ์
    ท่านได้เมตตาเปิดเผยกับทีมข่าว “คนในเมืองน้ำหมึก” ว่า “ความจริงแล้วท่านไม่เคยคิดจะเป็นโจรเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยคิดจะเข้ามาในวงการโจร แต่มีความจำเป็น ไม่มีทางเลือก โดยประมาณปี 2490 มีโจรก่อเหตุเป็นจำนวนมาก ขณะนั้นอายุ 20 กว่าปี เป็นวัยรุ่นไฟแรงคึกคะนอง แต่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร กระทั่งที่บ้านมาถูกโจรปล้นควายไปจนหมดคอก ไม่เหลืออะไรแม้แต่เงินจะซื้อข้าวกิน จึงปรึกษาเพื่อนๆไปแก้แค้นเพราะทราบว่าโจร คือ กลุ่มวัยรุ่นหมู่บ้านข้างเคียง โดยยิงวัยรุ่นกลุ่มนั้นตายไป 4 ศพ จึงถูกตำรวจติดตามตัว ต้องหนีออกจากบ้าน แล้วเริ่มออกปล้นชาวบ้านใน จ.สุพรรณบุรี ตั้งแต่นั้นมา”….. และแน่นอนว่า เรื่องราวในนวนิยายเรื่องเสือดำก็ไม่ตรงกับชีวิตจริงของท่านทั้งหมด เพราะเป็นเพียงการหยิบเอาเค้าโครงมาผูกเรื่องใหม่เท่านั้นเอง

    “เสือดำ” ซึ่งปัจจุบันหันหน้าสู่ “ร่มผ้าเหลือง” บวชเป็นพระได้ฉายาว่า “หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร” ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีนวล ย่านหนองแขม ยังย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ “เส้นทางแห่งชุมโจร” ต่อไปอีกว่าหลังจากออกปล้นเรื่อยมาจนมาพบกับ “เสือมเหศวร” และ “เสือใบ” ซึ่ง “หัวอกเดียวกัน” เพราะทั้งสองถูกโจรปล้นบ้านและต้องการแก้แค้น จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ขณะนั้น “สมุน” ยังไม่มี จึงแยกทางกันไป “สร้างชื่อ”เพื่อหาลูกน้อง จนมีลูกน้องติดตาม 50-60 คน จึงตั้งเป็น “ซุ้มเสือดำ”!!!

    เมื่อบ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง “ชุมโจร” ก็มีกฎของชุมโจร…..”หลวงพ่อทวีศักดิ์” เล่าว่า ในการปล้นของเสือดำมี “กฎเหล็ก” ว่าจะปล้นแบบ “ผู้ดี” คือจะออกปล้นช่วงต้นเดือนและปลายเดือนเท่านั้นและ ก่อนเข้าปล้นจะเขียนป้ายไปติดไว้หน้าหมู่บ้านที่จะปล้น เป็นการประกาศล่วงหน้าว่าจะปล้นที่ไหน วันและเวลาใด เพื่อให้เจ้าทรัพย์เตรียมตัวไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาก็มาปล้น สมัยนั้นใช้ม้าเป็นพาหนะ มีปืนคู่กายคนละ 2 กระบอกและกระสอบใส่ทรัพย์สินคนละใบ ก่อนลงมือจะยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัดเป็น “สัญญาณเตือน” ให้คนในหมู่บ้านรู้ว่ามาปล้นแล้ว จากนั้นจะนำกระสอบไปวางไว้ตามจุดต่างๆเพื่อให้ชาวบ้านนำทรัพย์สินมาใส่ เป็นการป้องกันเหตุ “นองเลือด” เวลาทำงาน หรือ “ฤกษ์ปล้น” คือ ตั้งแต่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงแสงอาทิตย์ขึ้นเหนือฟ้าอีกครั้งก็เก็บกระสอบกลับออกไป

    “กฎเหล็กสำคัญที่สุดของซุ้มเสือดำ คือ ห้ามข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ นอกจากเจ้าทรัพย์จะฮึดสู้ทำร้ายเราก่อน นอกจากนั้นสมุนทุกคนต้องอยู่ในศีลธรรม ห้ามยุ่งเกี่ยวกับสาวในหมู่บ้าน ห้ามปล้นโรงสีข้าวเด็ดขาด เพราะจะทำให้เราไม่มีข้าวกิน ห้ามปล้นตลาดสด เพราะเป็นจุดรวมของเด็ก คนแก่และคนทั่วไป ถ้าพบลูกน้องคนใดทำผิดกฎจะฆ่าทิ้งทันที เพราะถือว่าผิดสัจจะของกลุ่มโจร ส่วนทรัพย์สินที่ปล้นมาจะแบ่งเป็น 5 ส่วน คือ 1.ค่าอาหาร 2.ค่ากระสุนปืน 3.แบ่งไว้ช่วยเหลือคนจน 4.ช่วยเหลือโรงเรียน และ 5.ช่วยเหลือวัด”

    “พื้นที่ปล้นของเสือดำจะอยู่ใน 3 จังหวัด คือ อุทัยธานี, สุพรรณบุรี และ ชัยนาท โดยจะแบ่งเขตกันระหว่าง เสือใบ และ เสือมเหศวร ช่วงว่างจากการปล้นจะพาลูกน้องเข้าป่าตัดต้นไม้ไปสร้างบ้านให้คนจนฟรี เพื่อตอบแทนคุณ พร้อมทั้งมอบวัวที่เราปล้นมาให้อีกครอบครัวละ 1 คู่” อดีต “เสือดำ” เล่าถึงเส้นทางสายโจรที่รุ่งโรจน์ของเขา ซึ่งพฤติกรรมดูคล้าย “โรบินฮูด”

    “เส้นทางสายโจร” ของ “เสือดำ” และเหล่าสมุน รุ่งโรจน์ และโรยด้วยกลีบกุหลาบมาตลอด จนกระทั่งการมาถึงของ “ขุนพันธ์ฯ” เส้นทางสายโจรของพวกเขาก็เริ่มตีบตัน…..อดีต “เสือดำ” เล่าถึงชีวิตในช่วงต่อมา ว่า ช่วงปี 2495-2499 ทางการเริ่มปราบปรามกลุ่มโจรอย่างหนักทำให้ 3 เสือ คือ “เสือดำ-เสือใบ-เสือมเหศวร” เป็นที่ต้องการตัวของทางการมาก มี “ค่าหัว” คนละหลายหมื่นบาท การปล้นเริ่มมีอุปสรรค บางครั้งถึงขั้นต้อง “ดวลปืน” กับตำรวจ แต่ก็อยู่รอดปลอดภัยมาตลอดเพราะมีวิชา “อาคม” ที่เรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์ จนมาวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ดวลปืนกับ “ขุนพันธ์ฯ” ที่ยกกำลังมาดักจับที่ จ.ชัยนาท และวันนั้นก็ทำให้เรา “กลับใจ”

    “ครั้งนั้นต่างคนต่างมีวิชาอาคมทั้งคู่ ทำอะไรกันไม่ได้ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาขุนพันธ์ฯ ก็นำกำลังออกไล่ล่าดวลปืนกันอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายขุนพันธ์ฯ ได้นัดคุยกันอย่างลูกผู้ชายกับเราว่าต่างคนต่างมีอาคม คงทำอะไรกันไม่ได้ จึงขอให้เราเลิกเป็นโจร หยุดปล้น ถ้าหยุดตำรวจจะยกเลิกการจับกุมทุกหมายจับ แต่ต้องกลับตัวเป็นคนดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรากลับมานอนคิดอยู่ 3 วัน เราปล้นมา 20 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น จึงตัดสินใจหยุดเป็นโจร แบ่งเงินให้ลูกน้อง แล้วแยกย้ายกันไปทำมาหากินอย่างถูกกฎหมาย เราได้ออกบวชศึกษาธรรมะ เพื่อหวังว่าบุญจากการบวชจะทดแทนสิ่งที่ได้ทำผิดไปได้บ้าง” หลวงพ่อทวีศักดิ์ อดีต “เสือดำ” กล่าวทิ้งท้าย

    “ปัจจุบันหลวงพ่อเสือดำ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการเคารพนับถือด้านคาถาอาคมที่มีวิชาแก่กล้า และเปี่ยมด้วยความมีเมตตา ท่านอายุ 99 ปีแล้วและมีสุขภาพที่แข็งแรงดี ยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคมและพุทธศาสนา ท่านสร้างทั้งโรงเรียน, โรงพยาบาล เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้มากมายนับเป็นการปิดฉากตำนาน “เสือดำ” เสือร้ายแห่งแดนสยามให้เหลือเพียงแค่ในความทรงจำเท่านั้น

    มาที่อีกหนึ่ง “เสือร้าย” นามกระเดื่องที่ชื่อ “เสือใบ” หรือนายใบ สะอาดดี…..”เสือใบ” เล่าถึงอดีต ว่า ก่อนเป็น “โจร” ก็เป็นชาวนา บ้านอยู่ จ.สุพรรณบุรี พอช่วงปี 2487 ตอนนั้นอายุประมาณ 30 ปี ที่บ้านถูกโจรวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามาขโมยควาย ตอนนั้นไม่คิด “แค้น” อะไรเพราะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่อีก 5 เดือนต่อมา โจรกลุ่มเดิมได้ย้อนกลับมาปล้นที่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ “ฉุดน้องเมีย” ไปด้วย จึงแค้นมากคว้าปืนลูกซองออกตามล่าโจรและตามน้องเมียกลับคืนมา สุดท้ายฆ่าโจรตายไป 2 ศพ ถูกตำรวจตามจับ จึงหนีออกจากบ้านเข้าสู่ “เส้นทางสายโจร” มาอาศัยในป่าแถบ จ.อ่างทอง เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ เมื่อไม่มีเงินซื้อข้าวก็ออกปล้น จนมีชื่อเสียงใน “วงการโจร” มีลูกน้องเพิ่มขึ้นถึง 40 คน หลังจากนั้นก็เข้าไปอยู่ในสังกัด “ซุ้มเสือดำ” เป็น 1 ใน 4 เสือที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด

    “เสือ ใบ” บอกว่า พื้นที่ปล้นจะอยู่ในเขต จ.อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ส่วนสุพรรณบุรีจะไม่ปล้นเพราะเป็นเขตอิทธิพลของเสือดำ ถือเป็นเขตเดียวกันจะไม่เข้าไปรบกวน โดยเลือกปล้นเฉพาะ “คนรวยหน้าเลือด” ได้เงินมาจากการ “โกง” คนจน คนรวยที่มีคุณธรรมช่วยเหลือชาวบ้านเราจะไม่ปล้น และการปล้นแต่ละครั้งจะไม่เอาทรัพย์สินหมด เอาครึ่งเดียว ใช้วิธีปล้นแบบขอเจ้าทรัพย์ สิ่งไหนเจ้าทรัพย์ไม่ให้ก็ไม่เอาและห้ามทำร้ายเจ้าทรัพย์เด็ดขาด ยกเว้นจะขัดขืนต่อสู้ เมื่อปล้นมาได้จะนำทรัพย์สินบางส่วนไปให้คนจน

    “จน กระทั่งถูกตำรวจจับ ตำรวจผู้ปราบเสือใบ ชื่อ ผู้กองยอดยิ่ง สุวรรณากร และศาลตัดสินประหารชีวิต แต่ผมรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ต่อมาได้รับการอภัยโทษเหลือจำคุก 20 ปี แต่ขณะถูกคุมขังมีพฤติกรรมดี โดยวันหนึ่งมีนักโทษชายคนหนึ่งใช้มีดจะทำร้ายผู้คุม ผมเห็นจึงเข้าไปช่วยเหลือ เลยได้ลดโทษออกมาจากคุก แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง” อดีต “เสือใบ” กล่าว พร้อมให้ข้อคิดถึงเยาวชนรุ่นหลังว่า…..

    เสือใบ ณ ปัจจุบัน

    อยากให้ลูกหลานที่ “เกเร” รู้ว่าการเป็น “โจร” เป็นเสือมันไม่ดีเพราะต้องอยู่แบบหลบซ่อนตัวตลอดเวลา และทรัพย์สินที่ปล้นมาอยู่ไม่ได้นาน จึงอยากจะให้ทุกคนตั้งใจทำงาน ขยันหมั่นเพียรเข้าไว้ อยากได้อะไรก็ค่อย “เก็บหอมรอมริบ” เอา เดี๋ยววันหนึ่งเราจะได้สิ่งที่เราต้องการเอง!!!


    เสือมเหศวร (จอมโจรมเหศวร)

    มีชื่อจริงว่า ศวร เภรีวงษ์ เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจอมโจรชื่อดังในแถบภาคกลางหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สองร่วมสมัยกับ เสือดำ, เสือฝ้าย และเสือใบ โดยเสือมเหศวรแต่เดิมเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ถูกอำนาจรัฐรังแกและถูกใส่ความว่าฆ่าพ่อตัวเอง จึงจับปืนขึ้นต่อสู้และกลายมาเป็นจอมโจรชื่อดังในที่สุด โดยได้ชื่อว่า “มเหศวร” จากการแขวนพระเครื่องมเหศวรไว้ที่คอ ซึ่งได้ชื่อว่าช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย และเมื่อเวลาออกปล้นจะปล้นด้วยความโหดเหี้ยมจนได้รับฉายาว่า “จอมโจรมเหศวร” เคยโดนตำรวจยิงที่ลำตัวและศรีษะหลายนัดแต่ไม่เข้า

    เสือมเหศวร ถูกปราบโดยขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งขุนพันธ์ ฯ เป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้เสือมเหศวรมอบตัว หลังจากได้รับโทษในเรือนจำแล้ว เสือมเหศวรก็ได้บวชเป็นพระและบวชเป็นพราหมณ์มา จนถึงปัจจุบัน แม้มีอายุกว่า 90 แล้ว แต่เสือมเหศวรก็ยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอยู่ และเป็นที่เล่าลือว่าเป็นบุคคลจอมขมังเวทย์ มีชาวบ้านและผู้ที่เชื่อถือแวะเวียยนมาพบปะพูดคุยเสมอ ๆ โดยล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 เป็นผู้ทำพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพรุ่นเซ็นเสือมเหศวรของวัดแสวงหา จังหวัดอ่างทองด้วย


    เสือฝ้าย

    “ฝ้าย” ชื่อเดิมของหนุ่มวัยฉกรรจ์ เขาถูกเล่นงานชนิดเจ็บแสบจากทางตำรวจ โดยมีญาติรายหนึ่งหนุนเนื่องมากับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไส่ไคล้ฝ้ายให้ถึง กับจนมุม ครั้งนั้นฝ้ายถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลอันตรายต่อชุมชนและรัฐ ฐานกระทำความผิดร้ายแรงในข้อหาพาผู้ร้ายหลบหนี ฝ้ายซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จำต้องเดินเข้าซังเตอย่างไม่สามารถปริปากอุทธรณ์ความบริสุทธิ์ของตน แปดปีกว่ากับการใช้ชีวิตในสถานกักขัง สูญสิ้นอิสรภาพทางกายภาพ เหลือเพียงกำแพงกับซี่กรงเขรอะสนิมเป็นเพื่อนในทุกโมงยาม ครั้นฝ้ายได้ลดอาญาจนหวนคืนปิตุภูมิ จากจุดนี้…ฝ้ายลิขิตชีวิตตนเองใหม่ลงบนหน้ากระดาษ “เมื่อรัฐเล่นตลกกับข้า ข้าก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้พวกมัน!

    นับแต่นั้น “เสือฝ้าย” ก็กลายเป็นชื่อที่หลายคนต่างพากันขยาด แม้กระทั่งทางการยังกริ่งเกรง และไม่สู้จะหาทางลบชื่อนี้ลงได้ง่ายๆ นาม “เสือฝ้าย” ตราอยู่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ไพล่ถึงขนาดเป็นหัวข้ออภิปรายในสภาอยู่บ่อยครั้ง

    คดีเสือฝ้ายควรจะจบลงแบบโป้งเดียวจอด ทว่า…การกำจัดผู้ร้ายรายนี้กลับยากจนทางการต้องปวดเศียรเวียนเกล้าบ่อย ครั้ง อุปสรรคสำคัญมิได้จำกัดอยู่เพียงอาวุธหรือสรรพกำลังของซุ้มโจร กำแพงกีดขวางกลับเป็นชาวบ้านตาดำๆ ทุกคนคอยปกป้องเสือฝ้าย เสมือนฝ้ายคือญาติในครอบครัวก็มิปาน
    -ปล้นคนรวย แจกคนจน-

    การตั้งตัวเป็นโจร ส้องสุมกำลังด้วยอาวุธ เท่ากับการประกาศตนเป็นศัตรูกับรัฐอย่างเปิดเผย มิเพียงเท่านี้ เสือฝ้ายดูจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดขั้นพื้นฐานของชาวบ้านมากกว่ารัฐอยากให้เป็น สิ่งนี้คือไม้เด็ดที่เสือฝ้ายมีอยู่เหนือกว่าหลายขุม

    เงื่อนไขที่ทางการออกเป็นกฎหมายก็ดี ข้อกำหนดหรือระเบียบปฏิบัติก็ดี ล้วนมีจุดมุ่งหมายต่อการควบคุมคนในสังคมให้ดำเนินไปโดยปกติสุข กระนั้นหลายอย่างไม่เป็นดั่งทางการคาดหวัง ยุคสมัยของเสือฝ้าย คำพูดหนึ่งอันสะท้อนความข้างต้นได้ดีนั่นคือ “ชนชั้นใดร่างกฎหมาย แน่แท้ไซร้ก็เพื่อชนชั้นนั้น” และเสือฝ้ายได้แสดงผลของคำพูดนี้ให้ประจักษ์แก่สายตาชาวบ้าน ซ้ำยังได้มาด้วยวิธีใช้ความรุนแรง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

    เมื่อฝ้ายโดนกฎหมายต่างชนชั้นกลุ้มรุม ฝ้ายจึงงัดข้อกับกฎหมาย เขาเป็นโจร พร้อมทั้งหยิบอาวุธประจันหน้ากับทางการ โดยเหน็บความพิเศษในฐานะชนชั้นของตนดึงประชาชนในละแวกเข้าเป็นพวก กล่าวอย่างถึงที่สุด จะเรียกขานความพิเศษนี้ว่า “ระบบอุปถัมภ์” คงไม่กระดากนัก ขณะตำรวจสอบเค้นชาวบ้านหมายทลายรังโจรกระเดื่องชื่อผู้นี้ ตำรวจเองกลับตอบไม่ได้ว่า ผลประโยชน์จากการพูดความจริงคืออะไร จับต้องและน่าเชื่อถือได้แค่ไหน มีอะไรเป็นหลักประกันสวัสดิภาพ หรือรอดพ้นสายตาของโจรกลุ่มนี้ ตรงกันข้าม,วิธีของเสือฝ้าย คราใดต้องระเห็จหลีกหนีหลังการเพลี่ยงพล้ำในการเผชิญหน้ากับตำรวจ ฝ้ายจะอาศัยชายคาของชาวบ้านเพื่อกำบังกาย จากนั้นไม่นาน เจ้าของบ้านจะตื่นขึ้นด้วยอารามตกใจ เมื่อเงินก้อนหนึ่งวางไว้บนหน้าประตูบ้าน แทบไม่ต้องเดา… เงินก้อนนี้ใครคือคนบันดาล

    ปฏิสัมพันธ์ตรงนี้สร้างผลลัพธ์ทันตาเห็น เมื่อชาวบ้านยื่นมือช่วยเหลือเสือฝ้าย ฝ้ายจึงตอบแทนชาวบ้านด้วยแบบฉบับ “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” ตามบันทึกยังบอกอีกว่า เสือฝ้ายจะไม่ลงมือปล้นคนในท้องถิ่น แถมยังออกปากแก่ชาวบ้านในลักษณะให้ความคุ้มครองไปในตัว ทั้งนี้เจตนาของเขาต้องการสื่อถึงอิทธิพลอันมีผลทำให้…..

    หนึ่ง สยบยอมต่ออิทธิพลของเสือฝ้าย อันมีลักษณะกึ่งบังคับไปในตัว ต้องเข้าใจว่าจะตำรวจหรือโจร ใครก็แล้วแต่ หากมีปืนอยู่ในมือ บุคคลนั้นย่อมยืนเหนือกว่าในภาวะการณ์นั้น

    สอง บุคคลใดให้ความร่วมมือแก่เสือฝ้ายกับพรรคพวก บุคคลนั้นย่อมได้รับผลตอบแทนอันพึงใจไปในตัว คล้ายกับกฎที่ตั้งซ้อนอยู่ในตัวกฎหมายที่รัฐกำหนดไว้

    สองข้อนี้ยังผลให้ชาวบ้านทั้ง กลัว และ เกรง คู่ไปกับ การมีทั้ง อิทธิพล และ บารมี จะอย่างไหน เสือฝ้ายได้อยู่เหนือคนธรรมดาสามัญไปเรียบร้อย ด้านชาวบ้านเองยังเห็นจุดประสงค์ของจอมโจรแดนสุพรรณอย่างกระจ่าง เพราะฝ้ายไม่ปล้นคนจนแต่ปล้นผู้มั่งคั่ง ตามด้วยทุกครั้งฝ้ายจะไม่ลงมือปลิดชีวิตเจ้าของทรัพย์ ของมีค่าที่กรรโชกมาได้จะเวียนถึงชาวบ้านในรูปแบบต่างๆ เช่น การกู้ยืม การให้เปล่า การบริจาคค้ำจุนศาสนา รวมถึงการให้ในโอกาสและวาระต่างๆอันจะทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้บ้าง

    นอกเหนือการปล้น อดีตผู้ใหญ่บ้านชื่อฝ้ายคนนี้ยังคอยบรรสานประโยชน์ของคนในหมู่บ้าน ข้อพิพาทหรือปัญหาต่างๆ บ้านของเสือนามอุโฆษผู้นี้มักเป็นสถานตัดสินปัญหาให้ชาวบ้านอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งตำรวจในท้องที่ต้องมาขอพึ่งพิงชื่อของเขา เพื่อให้งานราบรื่นสะดวกโยธิน เวลาไม่นาน เครือข่ายแผ่เสือฝ้ายถักทอขึ้นเป็นรูปร่าง ก่อนแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ทั่วปริมณฑล โดยโยงใยถึงกันและกันในรูป “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า”

    พุทธศักราช 2489 เสือฝ้ายสิ้นท่าคาบ่อน้ำ ตามรูปคดีควรจะมีการนำศพไปทำพิธี หรือไม่ก็ชันสูตรประกอบแผน ทว่าทางตำรวจจงใจทิ้งศพของเสือฝ้ายให้ลอยขึ้นอืดสามวันสามคืน เพื่อให้ชาวบ้านได้มาเห็นตำตาต่อความพ่ายแพ้ที่โจรมีต่อตำรวจ การย้ำชัยชนะในลักษณะนี้ เป็นการสร้างกระแสให้เกิดขึ้นในสังคม “ดูไว้เป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาเป็นอย่าง” คงไม่มีคำพูดใดเหมาะสมไปกว่าคำนี้อีกแล้ว สำหรับการยืนยันถึงคนที่คิดอยู่เหนือกฎหมาย

    ขอขอบคุณ : pandank

    --------------------------
    ที่มา ::
    http://www.sabaiclub.com/?p=11349

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กรกฎาคม 2017
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476


    รายการพฤหัสอัศจรรย์ เปิดตำนานจอมขมังเวทย์ เสือดำ เสือมเหศวร full version ตอนที่ 1(วันที่ 25 ตุลาคม 2555) และ ตอนที่ 2 (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555) รวม 2 ตอน

    ประวัติคร่าวๆ
    เสือดำ จอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับ เสือใบ เสือฝ้าย เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ระพิน ได้ชื่อว่า เสือดำ
    จากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ แต่เมื่อเวลาออกปล้นจะต้องประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์และปล้นด้วยความสุภาพ
    นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกับเสือใบ

    คาถาอยู่ยงคงกระพัน
    สัธธาธะนุง อาธาธิตุง ทัดตะวานาธาสิ อุมะอะปิดอะอึอุ ''

    เมตตามหานิยม
    อิทะคะมะ อิทิเจ ตะโส ธันหาหิ ธามะสา สัธธาเทวะ ...เห็นหน้ากูทุกคน สานังพุธโธภัคคะวาติ

    เมตตามหานิยม
    อิทะคะมะ อิธิเจ ตะโส คันหาหิ ถามะสา สัตถาเทวะ
    ...เห็นหน้ากูทุกคน สานัง พุทโธภควาติ

    คาถามหาอุตม์
    สัตถาธะนุง อาคาทิตุง ธัตวา นาธาสิ อุมะ อะปิต อะอึอุ
     
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476
     
  4. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476
     
  5. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476
     
  6. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476








     
  7. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476




     
  8. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,289
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำถูกเชิญให้ไปเทศน์ในชุมเสือดำ และระหว่างทางก้มีเรื่องราวต่างๆมากมาย

    สารธรรมนำใจ
    Published on Feb 16, 2018
     

แชร์หน้านี้

Loading...