บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เรื่องดีๆ นำมาฝากค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ...เพราะมีเหตุ จึงมีผล...

    ไม่เคยมีความคิดที่จะปั้นองค์แม่เลย ปางนี้คือผู้ที่ดูแลรักษา ติดตามมาทุกภพทุกชาติ คอยสอนและปกป้องโพยภัย สอนทั้งโลกและธรรม ชี้ให้เห็นถึงคุณและโทษ

    แม่ย่าเคยบอกไว้ว่าให้บูชาเป็นภาพ ไม่ให้บูชารูปปั้น พระแม่มีทุกภาคทุกอิริยาบถทุกลักษณะ โดยแบ่งเป็นภาคอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ ภาคอิทธิฤทธิ์ลงมาโปรดสัตว์ 108 ปาง ภาคบุญฤทธิ์ลงมาโปรดสัตว์ 108 ปาง โดยกระจายอยู่ทั่วโลก

    ครั้งที่ปั้นองค์ภุชงค์เสร็จก็นำไปไว้ที่ห้องพระ โดยวางไว้ที่ชั้นของพระแม่ซึ่งเป็นรูปภาพ แม่ย่าเคยบอกว่าให้บูชาให้ถูกองค์ถูกตัวถูกตนที่เป็นองค์รักษาของตน และท่านได้บอกไว้ว่าปางบุญฤทธิ์ที่เพิ่งปั้นเสร็จนี้คือญานบารมีที่อยู่กับเรา

    ณ เวลานั้นไม่เชื่อแม่ย่า ด้วยยังหนาแน่นด้วยกิเลส ยังมีความหลงและโลภในรูปลักษณ์ที่ปรุงแต่งไปว่าสวยงาม มีหลายปางดี ในภาพเดียวกัน นั่นคือปางนว หรือเก้าปาง...เมื่อจัดวางองค์ภุชงค์ตามตำแหน่งที่เห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว ก็จุดเทียนและกำยาน สวดองค์ ขอพรให้พระแม่ลงมาประทานพรให้กับรูปปั้นองค์ภุชงค์

    หลังจากกำยานได้ไหม้จนหมดแล้ว จิตก็แว้บขึ้นมาว่า ปั้นสารพัดอย่างได้ ปั้นแล้วก็เอามาวางหน้าภาพพระแม่ ทำไมไม่ปั้นพระแม่ที่เป็นองค์ของตัวเอง ปางที่ถูกตัวถูกตน....นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปั้นองค์พระแม่อุมาเทวี 8 กร หันข้าง ขี่เสือไม่อ้าปาก ภาคบุญฤทธิ์ เมื่อลงมือปั้นมงกุฏก็ได้เห็นว่าที่ยอดมงกุฏนั้นคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขนลุกซู่ ปิติที่ได้รู้ความจริงว่าพระแม่ปางนี้คือองค์พระโพธิสัตว์ซึ่งพาเราบำเพ็ญมาทุกภพชาติ พระแม่ที่เฝ้าติดตามดวงจิตลูกไปทุกหนทุกแห่ง ภาพนิมิตต่างๆ ที่พระแม่เคยประทานให้ได้เห็น แต่ไม่เชื่อ ก็พรั่งพรูเข้ามาอีกครั้งเป็นลำดับๆ เมื่อก่อนเราช่างโง่จริงกับการวางเฉยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ

    วันนี้ได้ปั้นองค์จนสำเร็จแล้วด้วยสองมือนี้ พระแม่ผู้ทรงมีความกรุณาทั่วทั้งจักรวาล ขอน้อมสาธุการ.... โอมมมมม เจมาตากี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วันนี้นำองค์แม่ที่ปั้นเสร็จมาเคลือบสี เห็นน้ำตาขององค์แม่ไหลที่ดวงตาซ้าย นี่เป็นครั้งที่สองที่เห็นน้ำตาขององค์แม่ ครั้งแรกเมื่อ 5-6 ปีก่อนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่

    เกิดความสงสัยว่าท่านร้องไห้ทำไม จึงส่งข้อความไปถามกับผู้มีหน้าที่สื่อ ได้รับสาส์นดังนี้ค่ะ...

    ...สาส์นจากเบื้องบน...

    "ให้มันเป็นไปตามเหตุของโลก
    ผู้มีฌานจะไร้วาสนาด้วยยักษ์ตามผลาญมากมีมา
    แม้ดวงตาแจ้งแต่แล้งจำ
    โอ้ผู้คนจะได้ทุกข์ไม่สุขศานต์
    อันจันทราจะอับแสงให้มัวหม่น
    จะมีเหตุต้องเพทภัยอีกหลายกาล
    จอมมารจะให้ภัยไปทั่วกัน"

    ผู้ส่งสาส์น...อนิรุทเทพ 21/6/60 ; 20.30 น.

    * ++++++++++++++*

    เหตุที่องค์แม่ทรงร้องไห้เพราะสงสารเหล่ามนุษย์ที่ยังคงหลงผิดอยู่ ยังไม่กลับตัวกลับใจเข้าสู่หนทางของศีลและธรรม เบื้องบนกำลังทำสงคราม ญานครูบาอาจารย์ถอยกลับ แต่ไม่มีใครรู้เพราะหลงไปในกิเลส จึงถูกสวมรอยจากมาร

    นับต่อจากนี้เป็นต้นไป ภัยพิบัติจากดิน น้ำ ลม ไฟ จะรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าพระศรีฯ จะลงมาจุติในปี 3000 ขอให้ตั้งตนอยู่ในศีลธรรมเพื่อเป็นเกราะคุ้มครองกายจิต

    ตายเกลี้ยงนะ พวกที่ยังไม่รู้สำนึกและกลับตัวกลับใจ

    ปล. ท่านอนิรุทเทพ คือราชเลขาขององค์พระโพธิสัตว์ นำสาส์นมาสู่เรา เพื่อให้ตักเตือนเหล่าท่าน
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,298
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม สาธุธรรมค่ะ
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เนื่องจากที่ผ่านมาจะสวดมนต์โดยไม่ดูหนังสือสวดเพราะจดจำบทสวดได้ ในอดีตเป็นคนที่มีความจำดี แต่สำหรับยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้มีความยาวถึง 27 คาบ ก็หาอุบายช่วยจำโดยคัดบทสวดลงกระดาษพับๆ เหมือนคัมภีร์ใบลาน ขณะที่คัดไปก็สวดไป

    เพราะยังมีความเชื่อในอานิสงส์ของบทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก มีความคาดหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะเข้าถึงธรรมอันนำพาให้พ้นทุกข์ได้ จึงเกิดคัมภีร์ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ขณะนั้นจะสวดทุกวันหลังจากจบบทสวดอิติปิโสฯ แล้ว

    จิตเข้าสู่ความสงบเป็นสมาธิ เพราะจดจ่อและน้อมเข้ามาทำความเข้าใจในความหมายของบทสวด มีความซาบซึ้ง ความรู้เกิดขึ้นกว้างขวางจากสมถะสมาธิอย่างเดียว เป็นรู้และเข้าใจเรื่องไตรลักษณะต่างๆ เห็นในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้ง 31 ภูมิ จากที่เคยทำบุญเพื่อต้องการไปเกิดบนสวรรค์ อยากเป็นนางฟ้า ก็เปลี่ยนเป็นไม่ต้องการเกิดอีก เพราะเห็นความไม่เที่ยงตามบทสวดที่สาธยายไว้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ธาตุ อายตนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,298
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สาธุค่ะ สวดอยู่หลายปีจําได้ท่อนหลัง๒-๓และกลางกับท่อนแรก๑-๒-๓:(
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เช้านี้รู้สึกคิดถึงบทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นบทสวดมนต์ยาวบทแรกที่ได้นำมาสวด

    ปกติชอบสวดมนต์สั้นๆ แล้วนั่งสมาธินานๆ

    วันนี้ก็เลยนำคำแปลมาฝากกัน

    ๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้รู้แจ้งโลก

    ๒. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เอง ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ด้วยเศียรเกล้า

    ๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นอนุตตะโร คือ ยอดเยี่ยม

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตื่นจากกิเลส

    ๔. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า

    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ด้วยเศียรเกล้า

    ๕. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น รูปขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เวทนาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สัญญาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สังขารขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น วิญญาณขันธ์ เป็นอนิจจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว

    ๖. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ดินจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ไฟจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ลมจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ น้ำจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ อากาศจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์

    ๗. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นยามา

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นดุสิต

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในกามาวจรภูมิ

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ

    ๘. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ปฐมญาน

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ทุติยญาน

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ตติยญาน

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ จตุตถญาน

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ปัญจมญาน

    ๙. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ อากาสานัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ วิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ อากิญจัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ

    ๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระโสดาปัตติมรรค

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระสกิทาคามิมรรค

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอนาคามิมรรค

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอรหัตตมรรค

    ๑๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระโสดาปัตติผล และ พระอรหัตตผล

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระสกิทาคามิผล และ พระอรหัตตผล

    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอนาคามิผล และ พระอรหัตตผล

    ๑๒. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นอิสสระแห่งชมภูทวีป

    ธรรมะฝ่ายกุศล ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ด้วยหัวใจพระวินัยปิฎก ด้วยหัวใจพระสุตตันตปิฎก ด้วยหัวใจพระอภิธรรมปิฎก

    ด้วยมนต์คาถา ด้วยหัวใจมรรคสี่ ผลสี่ และ นิพพานหนึ่ง ด้วยหัวใจพระเจ้าสิบชาติทรงแสดงการบำเพ็ญบารมีสิบ

    ด้วยหัวใจพระพุทธคุณเก้า ด้วยหัวใจพระไตรรัตนคุณ ธรรมะฝ่ายกุศล มีนัยอันวิจิตรพิสดาร

    ๑๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

    ๑๔. ธรรมะฝ่ายกุศล ของผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา

    ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ธรรมะฝ่ายกุศล พระพุทธเจ้าเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นยามา

    ธรรมะฝ่ายกุศล ด้วยความศรัทธาต่อพระพรหม ด้วยพระบารมีอันยอดเยี่ยมของพระโพธิสัตว์ทั้งห้า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

    ๑๕. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นดุสิต

    ๑๖. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    ๑๗. ธรรมฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้รู้แจ้ง สังขารขันธ์ รูปขันธ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ มิใช่เป็นตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัสดี

    ๑๘. ธรรมะฝ่ายกุศล ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นพรหมโลก ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งตราบเข้าสู่พระนิพพาน

    ๑๙. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยการสวดมนต์พระคาถานี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    ๒๐. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    ๒๑. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    ๒๒. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

    ๒๓. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

    ๒๔. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

    ๒๕. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว

    ๒๖. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว

    ๒๗. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยคำสอนของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยพระธรรมคำสั่งสอน ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    บทสวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่พุทธแทบจะไม่รู้จักเลย ไม่เอาทั้งนั้น บทสวดเทพที่เป็นภาษาเทพทั้งหลาย ไม่เอา ไม่รู้จัก มารู้จักบทสวดองค์ตอนที่ได้พบเจอแม่ย่า สวดองค์ที่รักษาตนเองเป็นบทสั้นๆ ...โอมเจมาตากี... แค่นี้เอง

    ในอดีตมีพระพุทธเจ้าอยู่เต็มในหัวจิตหัวใจ มีพระอริยสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่เต็มหัวจิตหัวใจ ขาดเพียงพระธรรม เพราะไม่รู้จักธรรม ถ้ารู้จักธรรมแล้วคงไม่ทุกข์ จึงเพียรมาตลอด เพียรเพื่อเข้าถึงธรรม แจ้งในธรรมที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกแจ้งแล้ว

    รู้ธรรมก็ยังทุกข์ เพราะธรรมที่รู้มันเกาะอยู่แค่ขันธ์ ไม่เข้าไปถึงจิตถึงใจ ต้องหาอุบายธรรมต่างๆ มาทำให้ใจเปิดรับ แค่ปากพูดไปปาวๆๆ นั่งหลับตาไปเป็นชั่วโมงๆ ยังไม่เรียกว่าทำความเพียรมาก

    การทำความเพียรมากก็คือการสั่งสมบารมี 10 ไม่ให้ขาดไปได้ ต้องทำให้มีให้ครบในทุกวัน บารมี 10 นี้รวมครบเลย ทาน ศีล ภาวนา พรหมวิหาร 4 เนกขัมมะบารมี คือ การละออกจากกามราคะ ฯ

    ใช้บารมี 10 มาเป็นกำลังในการปลดเปลื้องทุกข์ ปลดเปลื้องเหตุแห่งทุกข์

    บารมี 10 มีอะไรบ้าง เคยบอกไปแล้ว ลองไปทบทวนกันเอง
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
    แต่เสือสององค์นี้อยู่วัดเดียวกันได้ค่ะ
    ปั้นถวายวัดพระธาตุโป่งเกลือ จังหวัดพะเยา
    ท่านเจ้าอาวาสขอมา จุดประสงค์เพื่อนำไปตกแต่งศาลาปฏิบัติธรรมค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คนเรามีเหตุปัจจัยในการมาเกิดต่างกัน และก็สร้างเหตุปัจจัยใหม่ต่างกัน เหตุปัจจัยสั่งสมของอดีตรวมกับปัจจุบัน จึงส่งผลแตกต่างกันไป

    ดังนั้นจึงไม่ควรสงสัย หรือใส่ใจกับพฤติกรรมของใคร หันมาสนใจพฤติกรรมของตนดีกว่า เพื่อสั่งสมเหตุปัจจัยที่เหมาะที่ควรในการเดินทางข้ามพ้นห้วงแห่งโอฆะนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ความฝันสอบอารมณ์

    ฝันมาหลายวันแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เล่าเพราะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนทั่วไป แต่ก็มาพิจารณาว่าเรื่องสอบอารมณ์นี้สำหรับนักปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ

    ที่ผ่านๆ มาก็หากินกับความฝันมาตลอด คือจะรู้ชัดในสภาวะธรรมของตนเองจากความฝันทุกครั้ง

    เล่าเลยแล้วกัน แต่จะเล่าเฉพาะเนื้อๆ น้ำๆ ไม่เล่านะ

    ฝันว่าไปยังที่แห่งหนึ่ง แล้วไปหยุดยืนดูชายหญิงว่ายน้ำเล่น น้ำใสสะอาดเชียว แล้วจู่ๆ ก็มีดอกกุหลาบสีชมพูสวยสดลอยน้ำมา ฝ่ายหญิงว่ายน้ำไปเพื่อเก็บดอกกุหลาบนั้น ขณะที่เอื้อมมือไปที่ดอกไม้นั้น ก็พลันมีมือของชายหนุ่มที่ว่ายตามหลังมาคว้าดอกไม้นั้นไว้ได้ก่อน เรายืนมองอยู่บนตลิ่ง นึกชื่นชมว่าคู่นี้ช่างน่ารักจริง ชายเก็บดอกไม้ให้หญิงด้วย กำลังชื่นชมอยู่ก็ต้องแปลกใจ

    ชายผู้นั้นถือดอกกุหลาบมือหนึ่งและว่ายน้ำมือหนึ่ง นำดอกกุหลาบสีชมพูดอกนั้นมาส่งให้เรา ไม่รอช้ารับทันที แล้วก็มองไปที่หญิงที่ยังอยู่ในน้ำนั้น สายตาของหญิงนั้นรู้สึกผิดหวัง เราถามตัวเองว่า"รับมาทำไม อยากได้หรอ" ตัวเองก็ตอบกลับไปว่า "ชอบเพราะเห็นมันสวยดี แต่ไม่อยากได้ ดอกไม้นี้ไม่นานก็ต้องร่วงโรยราไป มันไม่ได้สวยสดเป็นนิรันดร์ คนที่อยากได้คือผู้หญิงคนนั้นต่างหาก" แล้วเราก็ปาดอกกุหลาบดอกนั้นลงไปในน้ำดังเดิม กลีบดอกเมื่อกระทบผืนน้ำก็แตกกระจัดกระจายลงไป

    ชายผู้นั้นมีสีหน้าตกใจพร้อมถามเราว่า " ปาทิ้งทำไม" เราตอบว่า "เราแค่ชอบ ชื่นชม แต่ไม่อยากได้ไว้ครอบครองจึงปาทิ้ง".....จบ

    พิจารณาได้ว่าจิตยังชื่นชมความรัก ความงดงาม แต่ไม่ต้องการอยากได้ นั่นคือสภาวะจิตปัจจุบัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระพุทธปฏิมากัมมัฏฐาโน พระพุทธรูปสีขาว ปางสมาธิ อุณาโลมประดับด้วยอัญมณีศรีปางตาล (พลอยสีม่วง)

    พรรษานี้ตั้งใจเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานค่ะ

    ไม่มีฝีมือ แต่ก็ชอบที่จะทำเพื่อเป็นการเจริญสติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การนอนภาวนาจะได้เห็นลักษณะของสภาวะจิต

    1. จิตเป็นสมาธิเกิดสติตั้งมั่น ไม่หลับ รับรู้ทั้งสภาวะภายนอกและภายใน แต่พอลืมตาขึ้น กลับไม่รู้สึกง่วงอย่างคนอดนอน ตรงข้ามกลับรู้สึกสดชื่น แจ่มใส

    2. จิตตกภวังค์ หลับไปอย่างเป็นสุข พร้อมกับฝันไปในเรื่องราวต่างๆ แต่ตื่นมาลืมหมด เพราะสติอ่อน

    ตั้งแต่ปฏิบัติมาเห็นแค่ 2 ลักษณะ เอามาใช้งานได้ แบบที่ 1 ดีที่สุด เพราะอารมณ์กรรมฐานเกิดต่อเนื่องกันไปในทุกอิริยาบถ ทำให้สติคมกล้า ปัญญาชัดขึ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เสร็จแล้วค้าบ

    มีเหตุมหัศจรรย์กับพระพุทธปฏิมาฯ องค์นี้อีกแล้ว
    รู้สึกแปลกใจมากกับสีของพระพักตร์ สีที่ใช้คือขาวมุก เป็นสีจากขวดเดียวกันและเป็นสีที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เปิดออกทาให้กับองค์พระที่ปั้นองค์นี้ แต่สีของพระพักตร์ทำไมจึงไม่ขาว กลับเป็นสีเงินยวง ก็ทาทับลงไปอีกสามรอบได้ คือรอให้รอบแรกแห้งแล้วทาซ้ำ รอบสองแห้งทาซ้ำอีก ส่วนของพระพักตร์และเกศก็ยังคงเป็นสีขาวเงินยวงเหมือนเดิม งงมากค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คนบางคนหลงใหลได้ปลื้ม ต่างคิดกันไปว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างโน้น ก็แค่ความคิดที่ปรุงแต่งไปตามเชื้อกิเลสที่มีอยู่ในสันดานตน ผลกระทบจึงส่งมาไม่ถึงเรา เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรสักอย่างเลย บนโลกแห่งความจริงก็แค่ก้อนเนื้ออันอุดมไปด้วยเลือด น้ำเหลือง มูก คูตฯ ที่ยังมีลมหายใจ แล้วก็จะสลายหายไปในวันหนึ่งข้างหน้า แต่ตราประทับนี่ซิมันจะติดอยู่ในใจไม่รู้ลืมสำหรับผู้ที่ยังหลงคิดปรุงแต่งกับสิ่งต่างๆ
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สอนธรรมผิดๆ เผยแพร่พระสัทธรรมผิดๆ จัดเป็นวจีกรรม ผิดศีลข้อที่ 4 คือมุสาวาทาเวรมณี ย่อมส่งผลเป็นอกุศลกรรมวิบากทั้งชาตินี้และชาติหน้าค่ะ และเมื่อตายไปก็ลงสู่อบายภูมิ 4

    ดังนั้นจึงต้องไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบก่อนการเผยแพร่ว่าธรรมที่นำมาบอกต่อ หรือจัดพิมพ์นั้น ถูกต้องตรงกับพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ บิดเบือนพระธรรมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางโลกธรรมหรือไม่ ต่างๆ เหล่านี้

    ผู้ที่ยังไม่ข้ามฟากฝั่งจากแดนปุถุชนสู่แดนอริยชนล้วนมีกิเลสหนาแน่นด้วยกันทั้งนั้น แม้จะนุ่งขาวห่มขาว หรือห่มอะไรก็แล้วแต่ เครื่องนุ่งห่มไม่อาจบอกได้ว่าบุคคลผู้นั้นมีธรรมหรือไม่มี ข้ามโคตรแล้วหรือยัง

    เชื่อพระพุทธองค์ดีที่สุดค่ะ

    เคยมี case study นะแต่หาไม่เจอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ชีวิตหนี้...

    ใครก่อหนี้ก็ต้องกลายเป็นคนมีหนี้ เกิดทุกข์เมื่อถูกทวงหนี้ หากโชคดีมีผู้เข้ามาชดใช้หนี้แทนให้ ทุกข์คราวนั้นก็ได้ผ่อนคลายลงไปแค่เพียงระยะหนึ่ง เพราะหนี้นั้นก็ยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงเปลี่ยนเจ้าหนี้เท่านั้นเอง เรายังคงต้องชดใช้หนี้อยู่ดี ชีวิตประเภทนี้จึงเป็นชีวิตหนี้ไม่จบสิ้น

    หนทางที่ไม่ต้องเป็นหนี้ จึงต้องมีสติและปัญญา รู้จักบริหารกายไม่ให้ตกไปในวงล้อของสังคมที่ฟุ่มเฟือย และค่านิยมต่างๆ รู้จักบริหารจิตไม่ให้ตกลงไปในวงล้อของอุปาทาน ตัณหาและกิเลส ไม่ไหลไปตามความโลภในใจ ใช้ชีวิตพอเพียง สันโดษ รู้จักพึ่งพาตนเอง

    กามคุณล้วนให้สุขน้อย แต่มีทุกข์มาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ชีวิตที่มีแค่วันเดียว จิตจะระลึกถึงกิจที่จะต้องทำ กิจที่จะต้องเพียรเพื่อให้ครบสมบูรณ์ที่สุด และลงมือทำกิจนั้นๆ ทันที

    ส่วนชีวิตที่มีหลายวัน จะแชเชือน เลื่อนไปก่อน รอๆๆ จะมีแต่วันพรุ่งนี้เรื่อยไป วันเวลาที่ผ่านไปจึงเป็นการสั่งสมกิเลส เพาะพืชพันธุ์แห่งตัณหาให้เจริญงอกงาม
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    บอกตรงๆ เราไม่เอาเลยนะทั้งบุญและบาป ตายแล้วจบกัน ใครอาจจะมองว่าเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่เราเห็นว่ารูปนั้นนามนั้นดับไปแล้ว บุญและบาปเกิดพร้อมรูปนาม ย่อมเป็นของรูปนาม และดับไปพร้อมรูปนาม

    บุญเป็นเหมือนน้ำอมฤตชุบให้จิตชุ่มเย็น ส่วนบาปเหมือนน้ำคลำพอกจิตให้มืดดำและหม่นหมอง

    ตายแล้วไม่สูญ หากยังไม่นิพพาน บุญและบาปย่อมตามเป็นเงาของจิต หรือที่เรียกกันว่าวิบากกรรม การที่วิบากกรรมไม่มีผลต่อจิต เนื่องเพราะจิตไม่ติดข้อง เมื่อเราไม่ได้ยึดมาตั้งแต่ต้น ทำบุญเพื่อประโยชน์ท่าน เราพอใจแค่นั้น ท่านได้รับประโยชน์แล้วก็แล้วกัน ทำบุญเพื่อให้จิตได้ลิ้มรสความชุ่มเย็นตามกาล

    ส่วนเรื่องการแสดง มันเป็นของโลก โลกที่ต้องแสดงก็แสดงไปตามโลก

    ใครจะมาชักจูง เอาบุญมาล่อ เอาบาปมาล่อ มันก็รู้อยู่ในใจ จะทำ จะก่อกรรม เมื่อเห็นประโยชน์ที่แท้จริงเท่านั้น มองไปไกลๆ แบบไร้ซึ่งตัวตน ทำอะไรๆ ก็ไร้ซึ่งตัวเรา สบายยยยยยยย

    พิมพ์ไปก็งงไป ใครมาอ่านก็คงจะงงตาม 555
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ก๊อปมาฝาก...แบ่งกันอ่านค่ะ

    ผู้อยู่ในสถานะใดที่มีโอกาสเข้าสู่กระแสพระนิพพาน
    โดย MGR Online
    20 ตุลาคม 2551 22:26 น

    ปุจฉา
    ผู้อยู่ในสถานะใด ที่มีโอกาสเข้าสู่กระแสพระนิพพาน


    วิสัชนา
    พระพุทธเจ้าบอกว่า สัตว์นรกยากต่อการที่จะมาเดินทางพระนิพพาน สัตว์เดรัจฉานก็ยาก เพราะมีความทุกข์เป็นอารมณ์อยู่ จึงมีคำพูดเอาไว้ 2 ประเด็นว่า เทวดา พรหม ยากต่อการที่จะเข้ามาเดินทาง เพราะหลงในสุข เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ยากต่อการจะเข้ามาเดินในทางมัชฌิมาปฏิปทา เพราะติดอยู่ในทุกข์ มีบุคคลผู้เดียว ประเภทเดียวเท่านั้น ที่พระศาสดาทรงเรียกว่าเป็นทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา เป็นเอกวิถีและเป็นเอกหนทางทั้งหลาย เป็นเอกบุคคล เป็นเอกบุรุษ ที่จะเดินเข้าไปได้ในหนทางแห่งคนคนเดียวเดินไปได้


    คำว่าคนคนเดียวในที่นี้หมายความว่า ไม่มีลูก ไม่มีผัว ไม่มีเมีย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีทั้งข้าราชบริวารทั้งหญิงชาย ไม่มีอะไรๆ แม้แต่ตัวกูของกูก็ต้องไม่มี มันจึงจะเดินเข้าไปในทางนี้ได้ มันเป็นทางแคบๆ สำหรับสัตว์นรกและเทวดา แต่มันเป็นทางกว้างๆ สำหรับคนที่มีค่าและมีสติปัญญา นั่นคือ มัชฌิมาปฏิปทา


    และเมื่อเดินทางเข้าไป มันจะยิ่งกว้างใหญ่โตมโหฬาร จนทำให้ชีวิตเข้าไปถึงพระนิพพาน สติปัญญา สมาธิ พลังอำนาจ ก็กว้างใหญ่โตตามไปด้วย มีลักษณะเช่นนี้ แต่ทางเข้ามันช่างแคบ สังเกตดูได้ว่า การที่เรา มาบวชนี้ เพียงเพื่อจะทำให้ชีวิตของตนมีสัมมาทิฐิ คือ ความเห็นที่ตรงและถูกต้อง


    พระพุทธเจ้าของเราตรัสว่า ธรรมะของเราเป็นธรรมะที่ฝืนโลก คือ ธรรมะที่รักษาโรค บางคนเป็นแผลแล้วก็ไม่อยากใส่ยา เพราะมันแสบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าใส่ยาแล้วก็จะหาย แต่ก็ไม่ยอมใส่ แล้วแผลนั้นก็เน่าเฟะ เพราะฉะนั้น การใส่ยาให้แก่ตัวเองก็ถือว่าเป็นการเดินเข้าไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา เริ่มต้นด้วยความคับแคบต่างจากสัตว์นรก เทวดา พรหม อันมีหนทางที่กว้าง


    หนทางพระนิพพาน หนทางการทำความดีนั้้น เป็นหนทางที่เดินเข้าไปยากมันแคบเท่ารูเข็ม แต่ตอนที่จะออกมันง่ายเหลือเกิน ลองถามดูก็ได้ว่าการบวชนี้ลำบากไหม ถ้าลำบากก็แปลว่ายังไม่ชิน เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายที่มานั่งอยู่ที่นี่ ก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลที่เข้ามาสู่หนทางของบุรุษผู้เอก สตรีผู้เอก คือไม่มีอะไรต้องแบกเอาไป ถ้าแบกเอาไปคงไปไม่ได้ไกล ก็คือความตายเข้ามาหา แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนกับเขาอีกสักครั้งหนึ่งหรือเปล่า เพื่อที่จะเข้าสู่หนทางอันนี้อีก คงจะเป็นไปได้ยาก


    สัตว์นรกนั้นจะเกิดมาเป็นคนนั้นยาก คนจะเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย พรหมและเทวดาจะจุติมาเป็นคนนั้นก็ยาก แต่พรหมและเทวดาจะจุติเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย มนุษย์จะเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็ยาก เพราะฉะนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเป็นคน ถือว่าเป็นบุญลาภอันวิเศษ ที่เราต้องเดินเข้าไปปลดระเบิดเวลาให้เร็วที่สุด


    อะไรคือชนวนระเบิดของเรา ความตายของเรายังไงล่ะ ความตายที่เขาวางมาให้ว่า 20 ปีจะต้องตาย โดยที่ 20 ปีนี้ จะเดินเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไหม เข้าถึงนิพพานได้ไหม เข้าถึงนิพพานก่อนตาย เวลานี้อันนี้ก็ถือว่าชนวนมันฝ่อไม่ต้องกลับมา แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะเดินเข้าไปได้ และยังหลงระเริงประมาทละเมอเพ้อพก หมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร มีความฉิบหายในอารมณ์ต่อไปไม่จบสิ้น ก็ถือว่าคนเราเดินเซเหมือนคนเมา สุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องตาย แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาเป็นคนอีก


    เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกพวกเราลูกหลานทั้งหลายว่า รักตัวเองบ้าง อย่าให้คนอื่นเขามารักตัวเองนัก ไม่ต้องรอให้คนอื่นเขามารักตัวเอง และก็ไม่มีใครเขารักเราเท่ากับเรารักตัวเอง และเมื่อใดที่เรารักตัวเองได้ ก็ถือว่าเรารู้จักประโยชน์ตัวเองแท้ๆ ไม่ใช่การมีเมียมาก มีลูกมาก มีรถมาก มีเรือนใหญ่ มีสมบัติเยอะ มีเงินกองโต มีเกียรติยศอันมั่นคง


    ประโยชน์ของตัวเองที่ แท้จริง คือการเรียนรู้ชีวิต และศิลปะภายในการดำรงชีวิตของตนว่า ทำยังไงเราถึงสามารถเข้าไปอยู่ในหนทางแห่ง มัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคปฏิบัติได้ หนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรงแนว ทำความเห็นข้อแรกให้ถูกต้อง มีสติพิจารณา มีการกล่าววาจาอย่างมีสติ มีความตั้งมั่นใน สิ่งที่ถูกต้องตรงแนวบริสุทธิ์และยุติธรรมต่อไป เราต้องสามารถทำความเห็นให้เป็นปกติ โดยเฉพาะการเห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย


    ส่วนใหญ่แล้วพวกวัยดอกไม้บานจะมีข้อเสีย เพราะชีวิตเป็นดอกไม้ที่รื่นเริงบันเทิงอยู่ในหมู่ภมรมนตรีและแมลงภู่ผึ้งทั้งหลาย โดยไม่ใส่ใจว่าตัวเองต้องเหี่ยวอับเฉาในที่สุด การที่เรารีบเบ่งบานขึ้นมารับแสงเดือน แสงตะวันนั้น มีประโยชน์แล้วก็ยังมีโทษมหันต์ เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่จะรับแสงเดือนแสงตะวัน บางทีเราก็ต้องเหี่ยวเฉาไปในเร็ววัน นั่นคือ ความตายเข้ามาหา


    การเกิดมามีชีวิตแล้ว ทุกคนย่อมต้องทำหน้าที่ของตัวเอง บุคคลที่เกิดมาก็เหมือนกับเกิดมาเล่นละคร มาเล่นเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นตา เป็นยาย ฯลฯ ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะเล่นบทบาทของตนได้ดีแค่ไหน พอตายแล้วก็แปลว่า เขาเลิกจ้าง


    ชีวิต คือ โรงละคร พอตาย แล้วไม่สามารถจะเอาอะไรติดตัวไปได้


    เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสพระนิพพานเกิดได้ในสัตว์ทุกประเภท มันขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นสัตว์ประเภทไหน คนประเภทไหน หมายถึงมีสติปัญญาระดับไหน ขนาดไหน ที่สามารถจะรู้ว่าชีวิตของตนนั้นมีสาระแก่นสารอะไรบ้าง และการดำเนินชีวิตของตน เกิดมาเพื่ออะไร ที่หลวงปู่เคยเขียนไว้ว่า ท่านมาทำไม... มาเพื่ออะไร... มาแล้วได้อะไร และถ้าไป... ไปอยู่ที่ไหน แล้วเกิดประโยชน์อะไรกับการมา สุดท้ายต้องบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า... เราต้องตาย


    ถ้ารู้จักถามตัวเองอย่างนั้นบ่อยๆ ก็คงจะทำอะไรอย่างมีสติ และให้เป็นไปตามบทบาท คนเป็นพ่อแม่ก็เหมือนกัน เลี้ยงลูกมาจนแก่ใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ยังเลี้ยงกันต่อไป จริงๆ แล้วไม่ได้เลี้ยงลูกหรอก เลี้ยงกิเลสของลูกมากกว่า


    หลวงปู่จึงบอกกับลูกหลาน ตอนมาบวชเณร แล้วเณรร้องไห้ อยากกลับบ้าน แม่ก็โอ๋ พ่อก็โอ๋ จะเอาลูกกลับ แล้วคนที่ร้องไห้แต่พ่อแม่ไม่ให้กลับ วันสึกเณรไม่อยากกลับบ้านอีก แสดงว่าตอนที่ร้องนั้นมีกิเลส แต่ตอนที่ไม่ร้องนั้นไม่มีกิเลส พ่อแม่ไม่เข้าใจจึงพยายามที่จะเอาใจลูก สนับสนุนลูกให้ทำความชั่วตามกิเลสที่คำนึงนึกถึงไป


    หลวงปู่ก็ถามว่า จะเลี้ยงลูกเอาตัวลูกหรือเอากิเลสของลูก แต่ถ้าเลี้ยงเพื่อจะเอาตัวลูก พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้โดนเคาะ ขัดเกลา ถ้าคิดจะเอาทั้งลูกตัวเองและเอาทั้งกิเลสด้วย ก็หอบลูกออกไปจากวัดได้เลย สำหรับพระเณรทั้งหลาย เขาฉันอาหารเพื่อให้กิเลสตาย แต่ชาวประชาหน้าใสและชาวบ้านทั้งหลาย กินเพื่อให้กิเลสโต หลวงปู่ขอบอกความจริงกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสนิพพานนั้น มันมีด้วยกันทุกคน เว้นแต่ใครจะเดินไปหรือไม่เท่านั้นเอง และทุกคนก็มีสิทธิจะเดินหรือหยุดเดิน สิทธิอันนี้พระเจ้าองค์ใดก็ไม่ได้ดลบันดาล เราเป็นผู้ดลบันดาลชีวิตเรา ให้ยอมเดินหรือไม่ยอมเดินเท่านั้นเอง แล้วมีกี่คนที่จะรู้ขนาดนั้น มีกี่คนที่จะวาง ละเว้นสิ่งที่เป็นเครื่องล่อ ต้องบอกว่า มันเป็นเครื่องล่อให้หยุดการเดินทาง เช่น กิน กาม เกียรติ โกรธ อะไรก็แล้วแต่ โลดโผนโจนทะยานออกไปแล้ว กระโดดออกไปนอกทาง จะเข้ามาอีกก็ไม่ได้แล้ว


    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายเอก เป็นของบุคคลผู้เอก คือ บุคคลเดียวที่เดินได้เท่านั้น ขึ้นต้นด้วย ความคับแคบ แต่เต็มไปด้วย ความกว้างขวางในอนาคต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...