เรื่องเด่น พระพุทธศาสนาคือต้นตำรับในการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย Komodo, 23 สิงหาคม 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    20953005_1063894033741959_674196455326913349_n.jpg

    มีหนังสือพิมพ์เขาเขียนโจมตีว่า การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาไม่ใช่พระพุทธศาสนา อาตมาขอยืนยันว่าพระพุทธศาสนาคือต้นตำรับในการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คืออายุวัฒนกุมาร

    พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมารเป็นพราหมณ์ พาลูกไปหาเพื่อนที่เป็นพราหมณ์ด้วยกัน เพื่อนท่านนั้นมีอภิญญา พอว่ากล่าวเรื่องธุระเสร็จเรียบร้อยก็ลากลับ พอพ่อลา เพื่อนพราหมณ์ก็ให้พรว่า "อายุวัฑฒะโก จงเป็นผู้มีอายุ" พอแม่ลาก็ให้พรว่า "อายุวัฑฒะโก" แต่พอลูกลาบ้าง กลับเงียบ พ่อของอายุวัฒนกุมารก็สงสัยว่าเป็นเพราะอะไร จึงถาม พราหมณ์ที่เป็นเพื่อนบอกว่า "ลูกเธอจะสิ้นชีวิตภายใน ๗ วัน อวยพรไปแล้วไม่มีผล ก็เลยไม่รู้ว่าจะอวยพรไปทำไม" คนเป็นพ่อก็ตกใจ ถามว่า "มีวิธีแก้ไขหรือไม่ ?" พราหมณ์ที่เป็นเพื่อนจึงบอกว่า ตัวท่านเองไม่รู้วิธีแก้ไข แต่พระสมณโคดมน่าจะรู้ ให้พาลูกไปกราบพระสมณโคดมจะดีกว่า

    ตรงนี้เราจะต้องเห็นความดีของท่านสองประการ
    ประการแรกก็คือ ท่านมีทิพจักขุญาณชัดเจน ถึงขนาดว่ากล่าวอะไรที่ไม่ตรงความจริงท่านก็จะไม่พูด
    ประการที่สอง ไม่หวงลูกศิษย์ ไม่หวงพรรคพวก แนะนำให้ไปกราบพระพุทธเจ้าแทน

    พราหมณ์สองสามีภรรยาก็เลยพาลูกไปกราบพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าเหมือนกัน พอพ่อกราบพระพุทธเจ้าก็ให้พร "อายุวัฑฒะโก จงเป็นผู้เจริญด้วยอายุ" พอแม่กราบก็ให้พร "อายุวัฑฒะโก ขอจงเป็นผู้เจริญด้วยอายุ" พอลูกกราบก็เงียบ แม่ก็นั่งร้องไห้ เพราะตรงกับที่พราหมณ์คนแรกพูดเอาไว้

    พ่อจึงได้ถามพระพุทธเจ้าว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามี ให้ตั้งปะรำ ปูผ้าขาว วงสายสิญจน์ แล้วนำกุมารน้อยนั่งอยู่กลางปะรำ นิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน พระพุทธเจ้าถามว่า ทำได้หรือเปล่า ? พราหมณ์ก็บอกว่าทำได้ แล้วพราหมณ์ก็จัดแจงทำพิธีดังกล่าว

    พอถึงวันที่ ๗ พระพุทธเจ้าเสด็จเอง คราวนี้ในเรื่องของเทวทูต หรือที่เราเรียกว่าพระกาล การที่ท่านจะมาเอาใครไป ท่านจะมีวาระเฉพาะของท่าน ถ้าพ้นวาระนั้นไปก็ไม่สามารถที่จะเอาไปได้ เพราะผิดมารยาทผิดธรรมเนียม พอวันสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเอง พรหมเทวดาผู้ใหญ่มากันมาก เทวทูตท่านเป็นระดับผู้น้อยก็ต้องรออยู่ข้างนอก พระพุทธเจ้าท่านก็นั่งอยู่จนเลยเวลา พอเลยเวลาก็บอกว่า คราวนี้ลูกของพราหมณ์ไม่เป็นอะไรแล้ว จะเป็นผู้ที่เจริญด้วยอายุถึง ๑๒๐ ปี เลยตั้งชื่อใหม่ว่าอายุวัฒนกุมาร

    ถ้าเราพิจารณาตรงนี้เราจะเห็นว่า เรื่องของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ พระพุทธศาสนามีบอกไว้ชัดเจนมาก

    ข้อมูลเพิ่มเติม : อ้างอิงเรื่องอายุวัฒนกุมารจากพระไตรปิฎก
    อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘
    ๘. เรื่องอายุวัฒนกุมาร [๘๘]

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=18&p=8
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2017
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    เช่นเดียวกับการที่มีคนโจมตีเรื่องทำน้ำมนต์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์ เพื่อสงเคราะห์ชาวไพศาลี (เวสาลี) ที่เกิดโรคระบาด บรรดาอมนุษย์อยู่กันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้คนเจ็บป่วยล้มตาย พอโดนน้ำพระพุทธมนต์เข้าไป ไม่สามารถที่จะสู้พุทธานุภาพได้ จึงเผ่นหนีกันจนกำแพงเมืองทะลายเป็นแถบ ๆ

    บางเรื่องเจอบรรดาท่านที่มีแต่ปัญญา ต้องบอกว่ามีปัญญาแต่ขาดสติ เขาจะเอาแต่ธรรมะแท้อย่างเดียว พวกประเภทนี้เอาธรรมะแท้ ๆ ไปให้ก็รับไม่ได้หรอก เขาคิดกันว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นก็เลยไปวิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อย เช่นเดียวกับเรื่องของวัตถุมงคลที่ทำให้คนยึดติด ต้องฟังคำตอบหลวงปู่ดู่จึงจะชัดเจน ท่านบอกติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล

    พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภท ไม่ใช่บัวสี่เหล่านะ ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้แค่ ๓ เหล่า แต่กล่าวถึงบุคคลไว้ ๔ ประเภท ได้แก่

    อุคฆฏิตัญญู เป็นบุคคลฉลาดมาก ฟังหัวข้อธรรมก็เข้าใจ บรรลุมรรคผลได้เลย
    วิปจิตัญญู ขยายหัวข้อ อธิบายเพิ่มเติม ก็เข้าใจบรรลุมรรคผลได้
    เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญกันอย่างหนัก
    ส่วนปทปรมะ ฉลาดเกินไป ไม่ควรที่จะสอน ปทปรมะไม่ได้โง่นะ ฉลาดเกินมนุษย์ ตามรากศัพท์ ปทปรมะ แปลว่า มากด้วยบทบาท พวกนี้คือ ท่ามาก ฉลาดเกินไป ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำเต็มถ้วย รับอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ปทปรมะไม่ได้โง่ หากแต่ฉลาดเกิน ท่านว่าไม่สมควรที่จะสอน เสียเวลาเปล่า

    พวกเราก็เลยเอาบัวสามเหล่า กับบุคคลสี่จำพวกไปปนกัน กลายเป็นบัวสี่เหล่า ด้วยประการฉะนี้

    ฉะนั้น...เขาจะไปคิดว่าทุกคนเป็นอุคฆฏิตัญญู ย่อมเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับไปบอกเด็กสามขวบว่า เรียนด็อกเตอร์ดีที่สุด ไปเรียนเลย ในเมื่อ ก.ไก่ เด็กยังเขียนไม่ได้ แล้วจะเรียนได้หรือ ? ส่วนใหญ่ปัจจุบันจะมีคนประเภทนี้มาก เพราะฉะนั้น...เวลาเขาวิพากษ์วิจารณ์อะไร ถ้าเราขาดประสบการณ์มักจะคล้อยตามเขาได้ง่าย หรือไม่ก็อาจจะเผลอไปทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้าไปด้วย ตกลงว่าการสะเดาะเคราะห์มีอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยนะ การทำน้ำมนต์ก็มีด้วย

    ข้อมูลเพิ่มเติม : อ้างอิงเรื่องการทำน้ำมนต์จากพระไตรปิฎก
    อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ รัตนสูตรในขุททกปาฐะ

    เรื่องกรุงเวสาลี (ไพศาลี) : การนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=7
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2017
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าสอนให้ร้องเพลงก็ยังมี เอรกปัตตนาคราช ท่านเกิดในสมัยพระพุทธกัสสป บวชเป็นพระจำพรรษาอยู่สองหมื่นปี แต่ไปทำต้นตะไคร้น้ำขาด ตะไคร้น้ำนะ...ไม่ใช่ตะไคร่น้ำ ไม่ได้แสดงอาบัติ มรณภาพเสียก่อน จึงไปเกิดเป็นเดรัจฉานมีฤทธิ์ คือ พญานาค

    ท่านเป็นพญานาคที่สามารถระลึกได้ว่าตัวเองเคยเป็นนักบวชมาก่อน จึงรอว่าเมื่อไรจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น เอรกปัตตนาคราชจึงแต่งเพลงเป็นปริศนาธรรม แล้วให้ลูกสาวปรากฏตัวเป็นนางมนุษย์สุดโสภา ยืนร้องเพลงอยู่บนศีรษะของพญานาคราช ประกาศว่าถ้าใครแก้ปริศนาธรรมนี้ได้ จะยอมเป็นภรรยาผู้นั้น เหล่าบรรดาชายทั้งหลายจึงพากันไปแก้ปริศนาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีใครแก้ได้สำเร็จ

    วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเล็งดูอุปนิสัยสัตว์โลก เห็นวิสัยของอุตรมาณพว่าจะได้เป็นพระโสดาบัน แล้วในอดีตก็เป็นเนื้อคู่กับลูกสาวเอรกปัตตนาคราช พระพุทธองค์จึงไปดักรออุตรมาณพ ฝ่ายอุตรมาณพทราบข่าวว่ามีผู้หญิงงามเหมือนเทพธิดามาร้องเพลง และถ้าใครร้องเพลงแก้ได้ก็จะยอมเป็นภรรยา อุตรมาณพเกิดความสนใจ อยากได้นางเป็นภรรยาจึงเดินทางไปพบ

    อุตรมาณพเดินทางไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางได้พบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกให้อุตรมาณพแวะเข้ามา อุตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าก็บังเกิดความเลื่อมใส พระพุทธเจ้าจึงสอน และแนะนำว่าถ้าเขาร้องเพลงลักษณะอย่างนี้ให้ร้องแก้ว่าอย่างนี้....

    พอได้ดังนั้น อุตรมาณพจึงไปร้องแก้ เอรกปัตตนาคราชพอได้ยินเข้าก็ดีใจ มีคนแก้ปริศนาธรรมได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลก เอรกปัตตนาคราชดีใจจึงเอาหางฟาดน้ำ กลายเป็นคลื่นกวาดชาวบ้านตกทะเลเป็นจำนวนมาก จึงต้องเสียเวลาค่อย ๆ ช้อนคนขึ้นมา แล้วก็แปลงร่างเป็นมนุษย์ไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมโปรด อุตรมาณพได้เป็นพระโสดาบัน นางนาควิกาและเอรกปัตตนาคราช เป็นเดรัจฉานจึงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ตรงนี้กล่าวไว้ชัดเจน แต่ว่าทิพยสมบัติดีขึ้น เพราะฟังธรรมด้วยความเลื่อมใส เอรกปัตตนาคราชได้ทำตามสัญญาด้วยการยกลูกสาวให้อุตรมาณพ

    เราจะเห็นความเป็นอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้าว่า ในการสงเคราะห์คนเพื่อมรรคผล แม้แต่ต้องสอนเขาร้องเพลงพระองค์ท่านก็ทำ เพราะพระองค์ท่านทรงรู้จริงว่าเขาจะได้มรรคผล


    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ ณ บ้านอนุสาวรีย์
    เดือนมีนาคม ๒๕๕๒


    ข้อมูลเพิ่มเติม : อ้างอิงเรื่องการร้องเพลงในพระไตรปิฎก
    อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔
    ๓. เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ [๑๕๐]

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=24&p=3
     
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    น้ำมนต์เป็นไสยศาสตร์ ?!?

    ถาม : การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?

    ตอบ : ไม่ต้องห่วง..! จริง ๆ แล้วที่โบราณใช้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั่นชัดเลย เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างก็เหมือนกับมีด ไปแตะด้านคมเข้าก็มีหวังมือขาด..!

    จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเราไม่เชื่อแล้วเงียบ ๆ ไว้ ก็ยังปลอดภัยกว่า เพราะเราก็รู้อยู่ว่า ที่เขาพูดเขาหมายเอาว่าต้องการตัวธรรมะที่บริสุทธิ์ไปเลย แล้วจำไว้ว่า ธรรมะบริสุทธิ์นั้นเหมือนกระดูกทั้งแท่ง แทะกันไม่เข้าหรอก ต้องใส่เนื้อใส่น้ำบ้าง ตัวคนพูดเองก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก

    เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือดีแต่ติคนอื่น ปราศจากการเตือนตัวเอง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองไม่เป็น รู้จักแต่ว่าคนอื่นเขา รังแต่จะสร้างโทษให้แก่ตนเองมากขึ้น ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าท่านคงไม่สั่งให้พระอานนท์ทำ ในรัตนสูตร บทนั้นท่านให้เอาไว้ทำน้ำมนต์ โดยเฉพาะที่ขึ้น “ยานีธะภูตานิ สมาคะตานิฯ” เพราะว่าตอนนั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคระบาดขึ้น จึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าไปแก้ไข พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ไปทำน้ำมนต์ไปพรม พวกอมนุษย์ต่าง ๆ หนีกันชนิดที่กำแพงเมืองพังไปแถบเลย

    ถ้าไม่มีผลจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่สั่งให้ทำหรอก ทีนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นศึกษาไม่ครบยังไม่พอ ใจคอยังคับแคบอีกต่างหาก เจออะไรที่ไม่ตรงกับกิเลสตัวเองก็ตำหนิเอาไว้ก่อน นี่ใช้คำพูดหนักไปไหม ?

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    ฝากถึงเพื่อน ๆ สมาชิกเว็บพลังจิตและกัลยาณมิตรชาวพุทธทุกท่าน

    ทุกวันนี้หลายท่านไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก
    แต่ชอบวิจารณ์ว่าพระทำอย่างงั้นไม่ถูก พระทำอย่างนี้ไม่ถูก
    และชอบอ้างว่าในพระไตรปิฎกไม่เคยสอนไว้

    ใจจริงแล้วไม่อยากจะเตือนมาก เพราะไม่อยากอธิบายมาก
    แต่เห็นว่าถ้าไม่เตือนแล้วจะยิ่งทำให้หลายท่านถลำลึก
    และไม่เกิดผลดีต่อพระพุทธศาสนา

    ดังนั้นจึงขออนุญาตนำคำสอนของพระอาจารย์มาลง
    พร้อมทั้งได้ค้นคว้าข้อมูลจากพระไตรปิฎกอ้างอิงไว้คู่กัน
    รวมทั้งได้ทำลิงค์ให้ท่านเข้าไปศึกษาข้อมูลจากพระไตรปิฎกได้

    ฝากไว้เท่านี้นะครับ

    ด้วยความปรารถนาดีจาก

    ทีมงานเว็บพลังจิตดอทคอม
    ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...