อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ความต่างของจิตและสติ

    จิตเป็นแต่เพียงรู้โดยธรรมชาติ จึงไม่อาจรู้เลยไปถึงรู้จักพินิจพิจารณาวินิจฉัยตัดสินอะไรได้ ไม่รู้จักช่วยไม่รู้จักผิดถูก
    เท่าที่กล่าวมานี้อาจยืนยันตามคำของพระศาสดาได้ว่า ถ้าไม่รู้จักผลที่ได้รับในปัจจุบัน จิตจะเศร้าหมอง
    ภพหน้าจะต้องได้รับทุคติเพราะคำกล่าวของพระองค์ ย่อมแสดงให้ชาวโลกที่เป็นพุทธศาสนิกฝ่ายสัมมาทิฏฐิย่อมเห็นพ้องต้องกันว่า
    วิหญฺญติ จิตฺตวสานนุวตฺตี ผู้ประพฤติตามอำนาจจิต ย่อมลำบาก
    ฝ่ายตรงกันข้ามคือ สติ เป็นตัวรู้อำนาจเหนือจิต สามารถรู้เท่าทันจิต และรู้เรื่องของจิตได้ดี
    ขณะที่ติดตามดูจิต จะรู้ทุกขณะว่า จิตดี – จิตไม่ดี
    ถ้าเอาความชั่วปกครองจิตจะทำให้สภาพของจิตต่ำทรามลง
    แต่ถ้าปกครองจิตด้วยความดี ความดีนั่นเเหละเป็นผลของอานุภาพจิตที่ฝึกดี
    การที่จิตฝึกในทางดี ที่มีสติประจำก็เพราะเจ้าของฝักใฝ่สติไปในทางดีด้วย
    ฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า “สติมโต สทา ภทฺทํ” ผู้มีสติย่อมมีความเจริญทุกเมื่อ
    อนึ่งผู้ที่มีสติประจำทุกเมื่อ สตินั่นเองแหละเป็นคุณธรรมที่ช่วยระวังทั้งความดีและความชั่ว
    เมื่อคอยระวังอยู่ย่อมไม่ก่อเวรขึ้นดังที่พระองค์ตรัสไว้ในสุตตันตปิฎก
    ขุ.อุ. ๒๕/๑๕ ว่า (สญญมโต เวรํ น จียติ.)

    ๑๔ กันยายน ๒๕๖๐
    ครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๒๕ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    ที่มา www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=58

    .png

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดงานทำบุญครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๒๕ หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๐
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถ้ากำลังใจพร้อมที่จะสละออก สละออกในทุก ๆ เรื่อง
    ถ้าเรายังรู้สึกว่ายังหวงอยู่ ยังรู้สึกว่ายังจำเป็น นั่นแปลว่ากำลังใจยังไม่เต็ม
    หรือว่าถึงเต็มก็อาจเป็นกำลังใจสาวกภูมิทั่ว ๆ ไป
    แต่ถ้ากำลังใจพุทธภูมินี่ไม่ต้องพูดถึง ตัวเองไม่มีก็ไปหามาให้เขา
    ………………………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญตักบาตรเทโว และทอดกฐินสามัคคี ๓ วัด
    (วัดท่าขนุน-วัดเกาะพระฤๅษี-วัดพุทธบริษัท)
    ณ วัดท่าขนุน ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนุบรี
    วันศุกร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐

    พระอาจารย์เข้ากรรมฐาน ๓ วัน เพื่อรับบาตรเทโวและกฐินสามัคคี

    กำหนดการคร่าว ๆ งานตักบาตรเทโวและทอดกฐิน ณ วัดท่าขนุน

    วันศุกร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐
    ๐๗.๓๐ น. พระภิกษุ-สามเณร เดินขึ้นพระเจดีย์
    ๐๘.๐๐ น. พระภิกษุ-สามเณร เจริญพระพุทธมนต์ก่อนรับบิณฑบาต
    ๐๘.๓๐ น. พระภิกษุ-สามเณร เริ่มเดินลงจากพระเจดีย์เพื่อรับบิณฑบาต
    ๑๑.๐๐ น. ถวายเพลแด่พระภิกษุ-สามเณร
    ๑๓.๐๐ น. ทอดกฐิน ๓ วัด (วัดท่าขนุน-วัดเกาะพระฤๅษี-วัดพุทธบริษัท)

    หมายเหตุ… กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

    หากต้องการใส่อาหารสด แนะนำให้นำไปส่งให้แม่ชีที่โรงครัวเลย เพราะแม่ชีจะได้นำไปจัดเพื่อถวายพระทันเพลครับ หากใส่รวมมากับของอื่น ๆ อาจไม่สามารถแยกอาหารสดของท่านออกมาทัน และสุดท้ายกว่าจะเจอ อาหารก็เน่าเสียแล้วครับ จะไม่คุ้มค่ากับอานิสงส์ที่ท่านตั้งใจครับ

    รับชมการถ่ายทอดสดภาพงานตักบาตรเทโวได้ที่ Youtube Sapanboon
    ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป

    รับชมงานทอดกฐินสามัคคี ๓ วัด ได้ที่ Youtube Sapanboon
    ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. เป็นต้นไป

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๒๕ หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน

    วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐

    ขอบพระคุณภาพจากพี่มะลิแก้ว ตากล้องเว็บวัดท่าขนุนค่ะ

    ที่มา /www.facebook.com/hashtag/post198076">#post198076” target=”_blank”>http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=198076 #post198076

    1505470206_17_งานทำบุญครบรอบวันมรณภา.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถ้าเราพึ่งตัวเองได้เมื่อไร จึงจะมีที่พึ่งที่แท้จริง
    …………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ใบประดู่กำมือเดียว

    ถาม : ขอถามเรื่องการฝึกสมาธิ ไปฝึกสมาธิเรื่องเกี่ยวกับเรื่องจักระค่ะ ?
    ตอบ : พอมีความรู้อยู่นิดหนึ่งจ้ะ เอ้า..ว่าไปเลยจ้ะ

    ถาม : เขาใช้การฝึกจักระโดยการดูดพลังจากธรรมชาติ เวลานั่งสมาธิเขาก็จะนั่งติดกับพื้นดิน แล้วก็นั่งตอนเช้าเพื่อรับแสงอาทิตย์ นั่งริมแม่น้ำเพื่อรับพลังจากแม่น้ำ
    ตอบ : แล้วนั่งกลางคืนแล้วหรือยัง ? โดยเฉพาะคืนวันเพ็ญ

    ถาม : ยังไม่เคยนั่งเจ้าค่ะ
    ตอบ : ระวังไว้ จะหอนได้จ้ะ …(หัวเราะ)… เรื่องนั่งกลางคืนนั้นทำได้ จะได้รับพลังจากดวงจันทร์ด้วย เรื่องหอนพูดเล่นนะจ๊ะ แล้วต่อไปว่าอย่างไร ?

    ถาม : พลังพวกนี้เราสามารถเอามาใช้ได้จริงไหมคะ ?
    ตอบ : สามารถใช้ได้จ้ะ แต่ว่าจริง ๆ แล้ว พลังงานทั้งหมดที่มาจากภายนอก ไม่มีอะไรสู้พลังจิตที่เกิดจากการฝึกฝนที่ดีแล้วได้ วิชาการเหล่านี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่ทราบ พระองค์ท่านทราบดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่ว่าเป็นวิชาที่ขวางกับมรรคผล พระองค์ท่านจึงตัดออกไป

    ดังเช่นในสีสปาสูตรว่าเอาไว้ชัดเจนว่า วันหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จออกมาจากป่าประดู่ลาย พร้อมกับทรงถือใบประดู่มาหนึ่งกำมือ ยกให้ภิกษุทั้งหลายดู แล้วตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย..ใบประดู่ในกำมือตถาคตนี้กับใบประดู่ในป่า อย่างไหนมีมากกว่ากัน ?…พระภิกษุทูลตอบว่า ใบประดู่ในป่ามีมากกว่าจนประมาณไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นั่นแหละ..สิ่งที่ตถาคตรู้ คือใบประดู่ในป่า แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว

    ท่านเลือกเอาใบประดู่กำมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขในปัจจุบันและประโยชน์สุขในอนาคต โดยเฉพาะประโยชน์สูงสุดคือ การหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานมาสอนเราเท่านั้น กำมือเดียวนี่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทั้งป่านี่จะเท่าไร ?

    ดังนั้น..วิชาการเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่แล้ว แต่พระองค์ท่านเห็นแล้วว่ายากที่จะทำให้บรรลุได้ กลายเป็นวิชาที่ขวางกับการปฏิบัติสายตรง พระองค์ท่านจึงไม่สอน แต่ว่าคนปัจจุบันนี่เขาเก่ง พยายามที่จะสอนกัน เราเองเก่งได้อย่างเขาบ้างก็ดีเหมือนกัน จัดเป็นความรู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา

    แต่ให้จำไว้ว่า ถ้าเรามุ่งมรรคผลโดยตรง ก็ทำให้เราเสียเวลา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปรารถนาธรรมที่ไม่เนิ่นช้า อะไรที่ทำให้ช้าพระองค์ท่านไม่เอาด้วย

    ถาม : ผู้ที่เล่นกสิณ หรือเล่นทางอิทธิฤทธิ์ ก็ลักษณะเดียวกัน ?
    ตอบ : ลักษณะเดียวกัน แต่อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงต่อท้ายไว้ด้วย พระองค์ท่านมีวิปัสสนาญาณต่อท้าย แต่พวกที่เล่นในสมัยก่อนอย่างพวกพราหมณ์นี่ เขาเอาฤทธิ์เดชโดยตรงอย่างเดียว ไม่มีการเลี้ยวเข้าหามรรคผลเลย ดังนั้น..สิ่งไหนที่สามารถเลี้ยวเข้าหามรรคผลง่าย ๆ กำลังสูงพอที่จะกดกิเลสหรือตัดกิเลสได้ พระพุทธเจ้าถึงได้สอน ถ้าไม่สามารถที่จะทำได้ พระองค์ท่านก็ปล่อยให้เป็นใบประดู่ในป่าต่อไป

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    เราจะเกิดเป็นคนได้ ก็ต้องมีคุณธรรมของความเป็นคนมาก่อน
    การทำผิดศีล ๕ ทำให้คุณธรรมตรงนี้ลดลง
    ฉะนั้น… ใครที่ทำผิดศีล ๕ ก็หมายถึงว่าเขากำลังทำลายความเป็นมนุษย์ของตนเองให้ ลดลงไปเรื่อย ๆ
    ทำให้ตัวเองต้องไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนลงไปเรื่อย ๆ
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    -ก็ต้.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    “ในเรื่องของการทำบุญ ต้องมีปัญญาประกอบ รู้จักเลือกเนื้อนาบุญ อย่างท่านอังกุระเทพบุตร
    สร้างโรงทาน ๘๐ โรง เลี้ยงคนทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลาสองหมื่นปี ไปเกิดเป็นเทวดามีบุญน้อยที่สุดในดาวดึงส์ เทวดาองค์ไหนมาก็ต้องหลีกให้เขา เพราะว่าท่านเกิดในช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา ช่วงนั้นคนไม่ได้อยู่ในศีลในธรรม

    พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา อินทกะเทพบุตรและอังกุระเทพบุตร มากราบพระพุทธเจ้าพร้อมกัน ท่านนั่งอยู่ซ้ายและขวา เมื่อเทวดาที่มีศักดานุภาพใหญ่กว่ามาถึง อังกุระเทพบุตรต้องหลีกให้เขา ท่านก็ถอยไปเรื่อย..ถอยไปเรื่อย แต่อินทกะเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม

    ท้ายสุดพอประชุมเทวดาครบถ้วน อังกุระเทพบุตรอยู่สุดขอบจักรวาลพอดี แต่อินทกะเทพบุตรยังนั่งอยู่ที่เดิม แม้แต่พระอินทร์มา อินทกะเทพบุตรยังไม่ต้องหลีกเลย พระพุทธเจ้าก็เลยถามบุรพกรรม ทั้ง ๆ ที่พระองค์รู้แต่ทรงถามให้เจ้าตัวเล่าเอง

    อังกุระเทพบุตรจึงได้เล่าให้ฟังว่าในอดีตชาติ ท่านเกิดมาในช่วงที่มนุษย์มีอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี ช่วงวาระสุดท้ายบั้นปลายชีวิตตั้งโรงทาน ๘๐ โรง เนื่องจากเป็นมหาเศรษฐี ท่านเลี้ยงคนทั้งกลางวันกลางคืนเป็นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ก็มีบุญอยู่แค่นี้ เพราะอยู่ในช่วงโลกว่างจากศาสนา คนไม่ได้อยู่ในศีลในธรรม

    พอพระพุทธเจ้าถามอินทกะเทพบุตร อินทกะเทพบุตรก็เล่าว่าในชีวิตทำบุญครั้งเดียว ท่านเป็นชาวป่ามีอาชีพตัดฟืนขาย อยู่กับแม่และน้องสาว หลังคาบ้านก็รั่ว ผ้าก็ขาด วันหนึ่งมีพระธุดงค์ผ่านไป ๖ องค์ อินทกะเทพบุตรเห็นเข้าก็ดีใจ ได้ข่าวว่ามีพุทธศาสนาเกิดขึ้นมานานแล้ว มีพระสงฆ์มานานแล้ว

    อยากทำบุญแต่ติดด้วยเรื่องทำมาหากิน เพราะว่าท่านตัดฟืนขาย กว่าจะได้ฟืนก็หมดไปครึ่งค่อนวัน กว่าจะไปถึงตลาด กว่าจะขายฟืนหมด ไหนจะต้องซื้ออาหารกลับมาเลี้ยงแม่และน้องก็หมดวันพอดี ไม่มีโอกาสไปกราบพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ไม่มีโอกาสไปกราบพระสงฆ์เพื่อฟังธรรม

    พอเห็นพระเข้าก็เลยดีใจ นิมนต์พระขอถวายอาหาร อินทกะเทพบุตรก็เอาอาหารแค่ในส่วนที่มี ส่วนใหญ่ก็เป็นข้าว กับข้าวก็เป็นพวกผัก ถวายอาหารแด่พระสงฆ์ ๖ รูป ถือเป็นสังฆทานเพราะว่าครบองค์สงฆ์คือเกิน ๔ รูปขึ้นไป

    อินทกะเทพบุตรถวายอาหารครั้งเดียวในชีวิต เกิดเป็นเทวดามีศักดานุภาพเกินเจ้านาย (พระอินทร์) เสียอีก เพราะพระทั้ง ๖ องค์นั้นเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

    ดังนั้น..ในเรื่องของการทำบุญ ถ้ารู้จักเลือกเนื้อนาบุญ อานิสงส์บุญก็จะได้มากกว่าปกติ ถ้าถามว่าทำบุญแล้วยังอยากได้บุญอยู่ ก็ถ้าไม่อยากได้แล้วทำไปทำซากอะไร? เพียงแต่ว่าอย่าหลงในบุญ เรารู้ว่าบุญนั้นดีเราก็ทำ เรารู้ว่าบาปนั้นชั่วเราก็ละ ทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ยึดเกาะทั้งดีทั้งชั่ว ท้ายสุดจะพ้นบุญพ้นบาปไปเอง อาจจะยากหน่อยแต่ว่าทำได้แน่”

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    -ต้อ.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    วาระบุญ…เมื่อมาถึง อะไรก็กั้นไม่ได้
    ส่วนวาระกรรมนั้น…ถ้าหากว่ามาถึง หนีไปไหนก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
    ………………………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1347&page=3

    -เมื่อมาถึง-อะไร.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    วิชาโลก วิชาธรรม

    ถาม : …………………
    ตอบ : จำไว้...หลวงปู่มหาอำพัน ท่านเขียนติดหัวเตียงไว้ว่า

    “วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ
    พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล
    วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ
    ย่อมพบพานจุดจบสบสุขเอย”


    ฉะนั้น วิชาโลกเรียนไปเถอะ จบอย่างหนึ่งก็มีอีกอย่างหนึ่ง มีไปเรื่อย ๆ วิชาโลกเปรียบเหมือนกับเริ่มจากต้นน้ำออกสู่ทะเล จะมีแต่กว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่วิชาของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนย้อนจากทะเลกลับสู่ต้นน้ำ จะแคบลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบจุดจบเอง

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


    -วิชาธรรม.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ทุกอย่างเวลาประดังเข้ามา ถ้าเรามีสติ เราจะแยกแยะได้ก่อนว่าอันไหนก่อน อันไหนหลัง ถึงแม้มันจะมาห่างกันเพียงแค่วินาทีหรือครึ่งวินาที ก็ยังมีความก่อนหลัง เราค่อย ๆ แก้ไขทีละอย่าง แต่ถ้าหากเราไปปล่อยให้มันประดังเข้ามา แล้วเราไปคิดว่ามันมาพร้อมกัน กลายเป็นปัญหาเดียวกัน มันจะใหญ่ จะหนักไม่น้อย
    ………………………………………..
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส

    ถาม : ถ้าเราป่วยแล้วใกล้ตายมากเมื่อไหร่ เราก็จะรู้สึก…?
    ตอบ : อารมณ์นั้นน่ะจำเอาไว้แล้วเอามาใช้ให้ได้ทุกวัน มาถึงตอนนั้นก็ปล่อย ๆ วาง ๆ ไว้แม้กระทั่งนิพพานก็ไม่เกาะแล้ว เต็มอยู่ในใจของเราแล้วจะต้องไปเกาะทำไม เหมือนเราเดินขึ้นบันไดมาเราเกาะราวบันได พอมาถึงห้องแล้วเราจะไปเกาะราวบันไดให้เสียเวลาทำไม เพราะฉะนั้นที่มันยึดมันเกาะจริง ๆ น่ะตอนแรกแต่หลังจากนั้นก็ปล่อยหมดแล้ว นิพพานก็ไม่ต้องเกาะแล้วเต็มอยู่ในใจของเรานี่แหละ

    เขาจะรู้เลยว่าตายตอนนี้ก็ไปนิพพานตอนนี้แหละ มันจะไม่มีความสุขไปได้อย่างไร ไอ้ทุกข์ ๑๐๘ ที่เขาแบกไว้พอถึงเวลาอยู่ตรงหน้าเราไม่มีอะไรเลย มีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น กระทั่งมารก็กลายเป็นครูที่ดี กระทั่งทุกข์ก็กลายเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าที่หาได้ยาก ตะเกียกตะกายมาตั้งกี่ชาติกี่ภพกว่าจะได้พบได้เห็นมัน

    ก็ลองดูถ้าเกิดว่าเราไปขุดหาทองขุดจนลิ้นห้อยชาติแล้วชาติเล่าไม่เจอ อยู่ ๆ ไปเจอทองเข้าจะต้องไปนั่งกลุ้มมันหรอ มันก็ต้องดีใจใช่มั้ย ? พอถึงเวลาโลกมันจะพลิกกลับสิ่งที่ไม่ดี มันจะเห็นว่าดีหมด

    ถาม : พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ?
    ตอบ : คล้าย ๆ อย่างนั้นเลย สิ่งที่เคยเห็นว่าไม่ดีไม่งามเห็นเป็นของดีไปหมด จำเป็นจะต้องเห็นถึงมันไม่เห็นก็ต้องบังคับให้มันเห็น พยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่ามันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วอยากได้อีกมั้ย ?

    ถาม : บางทีเวลาเดินไปแล้วไปเห็นคนจนจะถามตัวเองตลอด ?
    ตอบ : ไม่ต้องจนหรอก ดูหน้าใครก็ได้ ยิ่งตามป้ายรถเมล์น่ะยิ่งดี ดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก มากี่คันก็ไม่ใช่คันที่เราจะไปซักที คิดดูเถอะใจมันกระวนกระวายขนาดไหน แบกทุกข์ไว้ทั้งนั้น เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันเจ้านายจะด่า เดี๋ยวเขาก็จะขีดเส้นแดงแล้ว โอ๊ย…ประสาทจะกิน แค่ป้ายรถเมล์ป้ายเดียวมันก็จะบรรลุอยู่แล้ว

    ถาม : มันจะถามตัวเองว่าถ้าเกิดมาแล้วเราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้ แล้วเกิดเป็นอย่างนั้นจะเอามั้ย เป็นหมาหรือเป็นหมาขี้เรื้อนเราก็ไม่รู้ว่าเราทำบาปอะไรไว้บ้างถ้าเกิดมาอย่างนั้น ใจมันบอกไม่เอา ๆ ?
    ตอบ : อาจจะทุเรศกับมันด้วย (หัวเราะ) นั่นแหละดีที่สุดเลยย้ำมันบ่อย ๆ ตอกหัวตะปูให้มันจมให้มิดให้ได้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะถูกฆ่า จะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรมเข้ามา แต่ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามา การปล่อยปลาตรงนี้จะทำให้ชีวิตสะดวกสบาย
    …………………………………
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    สิ่งที่สะดุดใจเรา คือสิ่งที่ตรงกับอารมณ์ใจของเราตอนนั้น
    สิ่งที่เราทำหรือเกินมาแล้ว จะไม่สะดุดใจ
    ……………………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์


    -คือสิ.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    อุเบกขาในฌาน

    ถาม : จริง ๆ ก็ตัวอุเบกขา ?
    ตอบ : นั่นเป็น อุเบกขาในฌาน

    มีตั้งแต่อุเบกขาในเมตตา รักหวังสงเคราะห์เขา แต่ยังทำไม่ได้ จึงต้องวางไว้ก่อน

    อุเบกขาในกรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์แต่ยังทำไม่ได้ จึงต้องวางไว้ก่อน

    อุเบกขาในมุทิตา ถึงจะพลอยยินดีด้วยก็ตาม แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นยังไม่ใช่เรื่องของธรรมของวินัยอย่างแท้จริง เราก็พยายามรักษาอารมณ์สงบใจของเราไว้

    อุเบกขาในอุเบกขา ถ้าหากว่าหมดทางจริง ๆ ก็จำเป็นต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม

    ถาม : อย่างนี้ ถ้าผมเดินไปเจอคนง่อยเปลี้ยเสียขา ผมก็แค่ให้เงินเขากินข้าว แค่นี้ถือว่าพอไหมครับ ?
    ตอบ : ก็เหลือเฟือแล้ว สงเคราะห์เขาในด้านที่เราทำได้ แต่ไม่ใช่ไปฝืนกฎของกรรม

    เขาขาดเสื้อผ้าให้เสื้อผ้าเขา เขาขาดอาหารให้อาหารเขา ขาดที่อยู่อาศัย ถ้าสามารถช่วยได้ ก็หาที่อยู่อาศัยให้เขา แต่ไม่ใช่ไปทำให้เขาหาย ยกเว้นเราจะรู้จริง ๆ ว่า วาระกรรมของคน ๆ นั้นหมดลงแล้ว ก็ทำให้หายวิ่งปร๋อเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้

    พระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ ในปฐมสมโพธิกถาบอกไว้ว่า คนตาบอดก็กลับเป็นคนตาดี คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็กลายเป็นคนขาดี นักโทษที่โดนจองจำอยู่ก็หลุดจากเครื่องจองจำทั้งปวง ผลไม้ที่ไม่ใช่ฤดูก็ออกดอกออกผลกันหมด แสงสว่างไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ แม้กระทั่งอเวจีมหานรกที่มืดมิดอยู่ตลอด ก็ยังสว่างขึ้นมาวูบหนึ่ง ต้องระดับนั้น ต้องบารมีระดับสี่อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย จึงเปลี่ยนทุกอย่างจากร้ายกลายเป็นดีได้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    การที่ให้ทุกท่านกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกนั้น นอกจากจะสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น เพื่อให้จิตมีกำลังในการตัดกิเลสแล้ว ที่สำคัญก็คือ ถ้าความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้า ก็จะเป็นการอยู่กับปัจจุบันธรรม

    การอยู่กับปัจจุบันธรรมนั้น จะทำให้การดำรงชีวิตของเรามีทุกข์น้อยมาก นอกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติของร่างกายนี้แล้ว ทุกข์อื่นที่เกิดจากความคิดของเราจะไม่มี เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ในปัจจุบันนี้เราทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง คิดแล้วไม่สามารถที่จะหยุดความคิดนั้นได้ ส่วนใหญ่เราไปคิดโหยหาอดีต ไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต แค่เริ่มคิดก็เริ่มทุกข์แล้ว

    ในภัทเทกรัตตสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ คือ บุคคลไม่บังควรหวนคำนึงถึงอดีต และไม่บังควรที่จะฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ การอยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้าเท่านั้น จึงจะทำให้รู้แจ้งเห็นจริงได้

    การที่เราส่งความคิดไปในอดีต ก็เปรียบเหมือนกับรถยนต์ที่ออกจากท่ารถไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคร่ำครวญถึง เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะขึ้นได้ทัน แต่ถ้าเราส่งความคิดฟุ้งซ่านไปในอนาคต ก็เปรียบเหมือนกับรถยนต์ที่ยังไม่เข้าเทียบท่า เพราะยังไม่ถึงเวลาของตน เราไม่สามารถที่จะขึ้นเพื่อไปสู่จุดหมายได้เช่นกัน เราจึงต้องหยุดกำลังใจไว้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ คือรถยนต์ที่เทียบท่าอยู่ตรงหน้าเรานี้ ต้องขึ้นรถยนต์คันนี้จึงจะไปสู่จุดมุ่งหมายของเราได้

    การที่เราจะอยู่กับปัจจุบันธรรมนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือผูกกำลังใจทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ลมหายใจผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาจากท้อง ผ่านกึ่งกลางออก มาสุดที่ปลายจมูก

    ถ้าเรากำหนดอย่างนี้เอาไว้ จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวมั่นคง เกิดความแนบแน่นของสมาธิขึ้น ก็จะมีสภาพของการภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาก็สามารถที่จะเกิดขึ้นเองและต่อเนื่องไปเรื่อย ถ้าถึงระดับนี้เราก็แค่เอาสติจดจ่อประคับประคอง อย่าให้การภาวนาอัตโนมัตินี้หลุดหายไปก็พอ

    ถ้าท่านใดทำได้ยิ่งกว่านี้ ก็แปลว่าสติสมาธิของท่าน ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงกว่าปฐมฌานละเอียด ถ้าอย่างนั้นบางทีลมหายใจก็เบาลง หรือคำภาวนาหายไป บางท่านก็เกิดความรู้สึกรวบเข้ามาสู่ส่วนกลางส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ก็คือรู้สึกเหมือนกับมือเท้าของเราเกิดชา แข็งขึ้น ๆ รวบเข้ามา ๆ

    บางทีก็รู้สึกเหมือนโดนสาปแข็งเป็นหินไปทั้งตัว หรือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า เหมือนโดนเขามัดติดหลักไว้ ตึงเป๋งไปทั้งตัว อย่าได้กลัวเมื่ออาการดังนั้นเกิดขึ้น แค่ให้กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้อาการเป็นดังนี้

    ความรู้สึกทั้งหมดเมื่อรวบเข้ามา ๆ แล้วก็จะสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่งที่เรากำหนดไว้ อย่างเช่นว่าตรงหน้า ในศีรษะ ในอก ในท้อง เป็นต้น ความรู้สึกจะสว่างไสวมาก สดชื่นเยือกเย็นมาก ประสาทหูไม่รับรู้เสียงภายนอก ถ้าหากว่าเป็นดังนั้นก็แสดงว่าท่านทรงระดับอัปปนาสมาธิถึงฌาน ๔ แล้ว

    ความรู้สึกทั้งหมดจะจดจ่อต่อเนื่องอยู่เฉพาะหน้า สภาพจิตไม่ส่งไปในอดีตและไม่ส่งไปในอนาคต ความทุกข์ที่เกิดจากความคิดอื่น ๆ ก็ไม่มี กรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นแม้เล็กน้อยอย่างมโนกรรมก็ไม่เกิด เพราะว่าเราหยุดอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้ฟุ้งซ่านไปสร้างมโนกรรมขึ้นมา

    เมื่อสภาพจิตของเราดำเนินไปจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะค่อย ๆ คลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ เหมือนอย่างกับคนเดินไปจนชนกำแพงแล้วไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ก็ต้องถอยหลังกลับออกมา

    ถึงวาระนี้ให้ทุกท่านระมัดระวังเป็นที่สุด เพราะว่าถ้าเผลอ จิตใจก็จะฟุ้งซ่านไปสู่ รัก โลภ โกรธ หลง เองโดยอัตโนมัติ และจะฟุ้งซ่านไปได้อย่างหนักแน่นมั่นคงมาก เพราะเอากำลังสมาธิของเราไปใช้ในการฟุ้งซ่าน เราจึงต้องรู้จักนำวิปัสสนาญาณมาให้จิตได้คิดและพิจารณา

    อย่างเช่นว่า มองให้เห็นทุกข์ในอริยสัจ และสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ๆ เมื่อเราไม่สร้างสาเหตุ ความทุกข์นั้นก็ไม่เกิด หรือว่ามองแบบไตรลักษณ์ เห็นทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ หรือตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ มองให้เห็นการเกิดดับของสังขารร่างกายและวัตถุธาตุทั้งปวง

    ไปจนกระทั่งถึงท้ายสุดก็คือการปล่อยวางในสภาพสังขารนี้ ไม่ยินดียินร้ายเมื่อเกิดสิ่งที่ดีหรือไม่ดีขึ้น ดูแลรักษาสังขารนี้ไปตามสภาพเพื่อเอาไว้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถ้าร่างกายนี้จะตายจะพังลงไป ก็ไม่ได้เกิดความห่วงหาอาวรณ์ใด ๆ ถ้าท่านสามารถรักษากำลังใจในการพิจารณาได้ดังนี้ จนสภาพจิตยอมรับ การก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้นก็ไม่ใช่ของยาก

    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๔


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    เหตุที่กลัวตายก็เพราะไม่รู้ ที่ไม่รู้ก็เพราะอวิชชามันบัง ขาดความรู้ ขาดความมั่นใจ ก็ย่อมเกิดความกลัว
    …………………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน
    เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์


    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    1506683226_966_ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุ.jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐
    พระอาจารย์รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรม เวลา ๑๘.๐๐ น.
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    ถาม : ถ้าทำบุญกับพระที่ปฏิบัติไม่สมควรแก่ความเป็นพระ อย่างนี้จะได้บุญหรือไม่?

    ตอบ : ได้บุญ ถ้าตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ต่อให้ท่านเละเทะแค่ไหนก็ตาม อานิสงส์ก็เต็มเหมือนกับถวายแด่พระสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพราะว่าสังฆะ หมายถึง หมู่สงฆ์ทั้งหมด ผู้ที่รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ในปฐมสมโพธิกถา บอกว่าท้ายสุดของพระพุทธศาสนา เพศของพระจะเหลือเพียงผ้าเหลืองพันข้อมือ หรือ ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู พอเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น ศีล ๒๒๗ ข้อ เหลือแค่ ๔ ข้อ ก็คือยังรักษาปาราชิก ๔ ข้อเอาไว้ได้ นอกนั้นขาดเกลี้ยง

    พระองค์ท่านตรัสว่า เพศพระและศีลเหลือเพียงนั้นก็ตาม แต่บุคคลตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์ก็ยังคงเท่าเดิม เพราะว่าคนรับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น

    ตัวอย่างในธรรมบทอีกเรื่องก็คือ เศรษฐีเขาถวายทาน นิมนต์พระไปรับที่บ้าน เศรษฐีก็ถวายทานด้วยความเคารพ ด้วยความนอบน้อม ทีนี้ของมีเยอะ ท่านก็หิ้วไปส่งที่วัด ตอนที่พระท่านจะขึ้นกุฏิท่านต้องล้างเท้าก่อน ก็ขอให้เศรษฐีช่วยส่งขันล้างเท้าให้หน่อย เศรษฐีท่านก็เอาเท้าเขี่ยให้ คนเห็นก็สงสัยมาก ว่าเมื่อครู่ยังถวายด้วยความเคารพนอบน้อมสุดจิตสุดใจ แค่จากบ้านมาวัดกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน

    ทีนี้คนสงสัยเขาดี เขาไม่ได้สงสัยเฉย ๆ แต่เขาถามด้วย เศรษฐีก็บอกว่าโดยส่วนตัวไม่ได้เคารพท่านนี้เลย เพราะสักแต่เป็นนักบวชเท่านั้น แต่เมื่อครู่ที่ถวายสังฆทาน คำว่า สังฆะหมายถึงสงฆ์ทั้งหมด ท่านจึงต้องถวายด้วยความเคารพ แต่เมื่อโดยส่วนตัวไม่ได้เคารพ ในเมื่อท่านขอขันล้างเท้าให้ นี่เขี่ยให้ก็นับว่าดีแล้ว ยังดีที่ไม่ขว้างใส่

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    -ถ้าทำบุญกับพระที่ป.jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...