หน้า 4 #69 เรซิ่นที่ไม่เหลืองถึง 25 ปี

ฮ่องกงนำเข้าพระแก้วรุ่นสองคือรุ่นหน้าตัก 4 นิ้ว ไปวาดลายจีวรด้วยสีทอง ในราคาสูงขึ้นอีก 2 เท่าเศษ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับองค์พระแก้ว

ทราบมาว่า เงินที่ได้นำไปทำบุญพอ ๆ กับที่ตูน บอดี้สแลมวิ่งช่วยการกุศล

 

องค์นี้ผมให้ช่างปั้นสิบหมู่โดยเฮียตือสิบหมู่ให้ช่างพิษณุเป็นคนปั้น

 

ในเมื่อโรงงานแก้วทุกโรงงานในไทย ไม่มีการพัฒนางานสร้างพระแก้วขึ้นอีกในไทยแม้แต่ปางเดียว กำลังปล่อยให้ฝรั่งเขารุกคืบมาเรื่อย ๆ เช่นของลาลีค ของบัคคาร่า และของสวาร๊อฟสกี้ที่กำลังบุกตลาดพระพุทธรูปหน้าตัก 3 - 4 นิ้วในราคาองค์ละประมาณ 3 - 5 หมื่นบาท

ก็อาจเป็นหน้าที่ของคนไทยที่ต้องการเห็นพระแก้วปางอื่น ๆ เกิดขึ้นในไทย และควรทำให้ได้ดีและสวยเทียบเท่าของฝรั่งด้วย ทุกท่านสามารถเข้าไปในโรงงานหลอมแก้วแทบทุกแห่ง เข้าไปปรึกษากับผู้จัดการหรือเจ้าของโรงงานได้โดยตรง ถ้าหากเขาเห็นว่า เขาทำไม่ได้ เราอาจขอให้เขาแนะนำโรงงานที่น่าจะสร้างได้ในสายตาของเขา ซึ่งโรงงานแก้วส่วนมากมักให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา

โรงงานหลอมแก้วทุกโรงมีขีดความสามารถสร้างพระแก้วได้ เพียงแต่เขาจะขาดหรือไม่ขาดเครื่องมือหรืออุปกรณ์บางชิ้นที่จำเป็นหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเขาบอกว่า เขาขาดเครื่องมือตัวไหน ราคาประมาณเท่าใด ท่านสามารถหาโรงงานหลอมแก้วโรงอื่นได้ ถ้าหาไปสัก 2 - 3 โรงงานก็ไม่มีใครมี เราอาจช่วยเหลือเขาจัดหาได้ เพราะเครื่องมือบางอย่างไม่แพง ถ้างานของท่านมีจำนวนมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วเท่ากับการซื้อเครื่องมือเท่ากับเฉลี่ยองค์ละไม่กี่สิบบาทหรือไม่กี่ร้อยบาท ก็น่าจะทำนะครับ

 

โรงงานหลอมแก้วที่ควรเข้าปรึกษางานด้านพระแก้วนั้น ส่วนมากอยู่แถวบางแค ถนนเพชรเกษม และออกไปถึงพระประโทน ไปถึงนครปฐม และอาจมีเลยออกไปอีก สามารถเข้าไปปรึกษางานได้ทุกโรงงานครับ ที่สำคัญอย่าลืมว่า การออกแบบ การสร้างแม่พิมพ์เหล็ก จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พระแก้วสวยหรือไม่ ?

ขนาดหน้าตักแค่ 5 นิ้วก็เพียงพอ หากท่านไม่ใช่คนที่สุดโต่งแบบผม ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างให้มีขนาดใหญ่กว่านั้น ที่ผมสร้างให้ถึงหน้าตัก 9 นิ้วนั้น เพราะต้องการพิสูจน์ขีดความสามารถของช่างแก้วไทยนั่นเอง ซึ่งโรงงานหลอมแก้วที่เหลืออยู่ขณะนี้ น่าจะไปไม่ถึงฝันนั้นแล้ว เพราะการที่ทายาทสายตรงเลิกกิจการไป น่าจะไม่มีคนสู้ขนาดนั้นอีกแล้ว ยกเว้นมีแรงบันดาลใจที่ผลักดันอย่างมหาศาล

 

โรงงานแก้วที่เหลืออยู่ขณะนี้ น่าจะมีขีดความสามารถสร้างได้ไม่เกินหน้าตัก 5 นิ้ว และอาจมีบางโรงเท่านั้นที่สร้างได้หน้าตัก 7 นิ้ว ส่วนหน้าตัก 9 นิ้วนั้นน่าจะไม่มีอีกแล้ว

 

ค่าสร้างพระแก้วหลอมจากทรายทะเลแค่องค์ละ 300.- บาท +-


เมื่อก่อนที่โรงงานหลอมแก้วที่เพิ่งเลิกกิจการไปนั้น ผมรับทราบจากเจ้าของโรงงานว่า มีวัดวัดหนึ่งมาสั่งสร้างพระแก้วหน้าตัก 5 นิ้ว โดยให้แม่พิมพ์เหล็กมาสร้าง ให้สร้างแบบเนื้อแก้วใสและฝ้าขาวตัน ๆ คือไม่มีโพรงอากาศเหมือนรุ่นก่อน ๆ ทางโรงงานสร้างและขายให้วัดนั้นไปในราคาองค์ละ 300.- บาท แล้ววัดเอาไปปล่อยในราคาสูงกว่านั้นมาก ส่วนกำไรก็เท่ากับว่าวัดซึ่งเป็นเจ้าของโครงการก็ได้เงินไปบูรณะวัดนั่นเอง

ผมนอกจากรับทราบแล้ว ยังเห็นพระแก้วองค์นั้น ปางนั้นด้วย ผมเคยถามโรงงานแก้วอื่น ๆ อีกบางแห่ง เขาก็บอกว่า ราคาก็ประมาณนี้แหละ 300.- บาท + - จะสวยแค่ไหนอยู่ที่แม่พิมพ์เหล็กที่เจ้าของงานส่งมา

น่าสนใจไหมครับ ถูกกว่าเรซิ่นพลาสติคเสียอีก ใสไม่ขุ่นตลอดกาล ทำไมคนเราจึงสร้างแต่พระเรซิ่นพลาสติค ทำไมไม่แก้วล่ะครับ

ผมไม่รับติดต่อให้นะครับ ขอเชิญติดต่อโรงงานแก้วที่ยังสร้างได้อยู่นะครับ ก่อนที่จะสายเกินไป ค้นหาเถอะครับ จะเจอโรงงานหลอมแก้วที่สร้างได้ในราคานี้แน่นอนครับ

 

คลิปแสดงให้เห็นถึงวิธีกดปั๊มแก้ว pressed glass นาทีละ 1 ชิ้น ซึ่งในคลิปนี้ยากกว่าการสร้างพระแก้วเสียอีก


วิธีการสร้างพระแก้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันกับการสร้างไฟหน้ารถยนต์หรือจานขาสูงใส่ผลไม้นี่เลย เหมือนกันทุกอย่างทุกประการ เพียงแต่แม่พิมพ์เหล็กเป็นรูปพระแก้วที่เขาเลือกรูปทรงไว้อย่างไร องค์พระก็จะออกมาอย่างนั้น ที่ผมบอกว่านาทีละ 1 องค์นั้น อาจจะบอกนานเกินไปด้วยซ้ำ ความจริงในคลิปนี้ดูให้ดี ๆ เผลอ ๆ นาทีละ 2 ชิ้น 3 ชิ้นยังได้เลย

 

การหล่อ casting ด้วยแก้วตะกั่ว หรือแก้วนม milk glass ที่มีลักษณะสีทึบคล้ายกระเบื้อง

 

คลิปหลังที่ Daniel Clay นี่น่าเรียนมาก เพราะการขึ้นรูปเป็นวิธีหล่อแบบคล้าย ๆ เททองเหลืองของไทย ชิ้นงานเป็นเนื้อแก้วสีกระเบื้องที่ทำได้ทุกสีที่ทึบแสง เป็นแก้วตะกั่วก็จริง แต่ไม่มีพิษเมื่อขึ้นรูปเสร็จแล้ว สามารถทำเป็นภาชนะใส่อาหารร้อนได้

นี่ขนาดอเมริกา ประเทศที่เขาไม่ใช่ต้นตำรับ แต่เขารู้คุณค่าและสืบทอดกันอย่างเป็นหลักวิชา ทำให้เป็นตลาดวิชาการไปเลย

อีกไม่กี่ปีจากนี้ไป หากไทยเรายังไม่มีใครทำงานนี้ให้จริงจังยิ่งขึ้น เราจะอยู่ในสภาพร้างจากวิชาแก้วไปแล้วแน่นอน อย่างพระแก้วนี้เราเคยเด่นที่สุดในโลก ตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรแล้ว ราคาสร้างก็ถูกกว่าเรซิ่น แต่ทำไมคนไปสร้างแต่เรซิ่น อาจเป็นเพราะความสวยขององค์พระไม่เท่าเรซิ่น เนื่องจากเจ้าของโครงการสร้างพระแก้วที่ไปสร้างพระแก้วไม่เลือกแบบให้สวย ไม่สร้างแม่พิมพ์ให้สวยก่อนการสร้างนั่นเอง

 

ผมไปถ่ายออกมาจากคลิปไหนผมจำไม่ได้แล้ว ในคลิปนั้นเกี่ยวกับเคมีผสมแก้ว ที่เห็นสีส้ม ๆ นี่แหละครับ คือ red lead oxide ซึ่งผมถ่ายภาพทันทีที่เห็นเขาใช้วิธีนี้ คือปั้น red lead oxide ให้เป็นก้อนก่อน นี่คือวิธีที่ฉลาดมาก ทำให้ตัวตะกั่วอ๊อกไซด์ไม่พุ่งเป็นควันลอยขึ้นในอากาศตอนที่เทลงปากเบ้าหลอม ฝรั่งนี่เขาฉลาดจริง ๆ ครับ


ในภาพนี้จะเห็นการใช้พลั่วตักทรายทะเลสีขาวที่คลุกเคล้าสารเคมีหลายตัว โดยมีเจ้าตัว red lead oxide ชนิดก้อนเพื่อป้องกันการพุ่งสวนออกปากเบ้า เพราะเจ้าตัว red lead oxide ไวต่อความร้อนมาก ทันทีที่เข้าปากเบ้าถูกความร้อน 1,480 C เท่านั้น มันพุ่งออกเป็นควันพวยพุ่งแรงสวนออกมาทางปากเบ้าเลยทันที คนที่ตักเทเข้าไปหนีไม่ทัน หายใจเข้าไปก็โน่นแหละครับ มะเร็งครับ


หลังจากเขาตักทรายคลุกเคล้าเคมีที่ปนกับสารตะกั่วแดงชนิดก้อน ตักเข้าเบ้าแล้วด้วยวิธีค่อย ๆ เติม ใช้เวลาเติมประมาณ 7 - 12 ชั่วโมง คือประมาณ 17.00 น. ถึง 24.00 น. หรือบางครั้งอาจถึง 05.00 น. ของอีกวันหนึ่ง ( อันนี้แล้วแต่สูตรใครสูตรเขานะครับ ไม่เหมือนกันเลย เพราะบางคนใช้ตะกั่วอ๊อกไซด์ชนิดแดง บางสูตรใช้ตะกั่วอ๊อกไซด์ชนิดเหลือง แต่สารเคมีอีกประมาณ 8 ชนิดหรือ + - ก็ไม่เหมือนและไม่เท่ากันเลยแต่ละสูตร )

การที่เขาเอาเศษแก้วสีใสตักปิดหน้าทุกครั้ง ก็เพื่อใช้แก้วใสเป็นตัวป้องกันการพุ่งสวนออกมาของควันตะกั่วนั่นเอง เป็นวิธีที่ฉลาดมาก ผมถึงบอกว่า ฝรั่งเขาฉลาดจริง ๆ

 

อย่าปล่อยให้เมืองนอกเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปแก้ว หากเขาจะสร้างลักษณะเพื่อเป็นแค่สัญลักษณ์ หรือชนิดตัดรายละเอียดออกหมด เหลือแค่นี้เอง
ราคาสูงถึง $ 100,000.- หรือประมาณ 3,500,000.- บาท
( สามล้านห้าแสนบาท )

 

บันทึก การหลอมละลายทรายทะเลสีขาว + เคมีภัณฑ์หลายชนิด เพื่อให้ได้น้ำแก้วสุกนำมาขึ้นรูปพระพุทธรูปแก้ว ที่สามารถหลอมได้ทุกเฉดสีนั้น ผู้หลอมแก้วท่านอื่นเป็นเช่นไร ผู้เขียนไม่ทราบได้ แต่ผู้เขียนใช้วิธีตามด้านล่างต่อไปนี้ จะได้เขียนบันทึกไว้ เพื่อผู้ที่อาจมีวันหนึ่ง มีผู้ต้องการหลอมทรายทะเลสีขาวมาเป็นแก้ว จะได้มีไกด์ไลน์ไว้ในใจ

 

วิธีคิดไว้ในใจถึงการหลอมละลายทรายทะเลสีขาว + เคมีภัณฑ์เพื่อเป็นน้ำแก้วสุกมาสร้างพระพุทธรูป

ทราย ! ทราย ทรายคืออะไร ทรายคือเม็ดอะไรที่ความจริงคือสีใส ลูกกลม ๆ หรือ รี ๆ หรืออาจเป็นเม็ดหัก ๆ สีใส แต่อาจปรากฏกับสายตาว่า เป็นสีใส หรือ สีขาวนม หรือบางเม็ดก็อาจเป็นสีขุ่นมาก ๆ แต่นึกไว้ในใจว่า มันคือสีใสที่มีเปลือกแข็งห่อหุ้ม

 

ทรายล้วน ๆ 100% ทรายบริสุทธิ์ล้วน ๆ 100% ที่ไม่มีสิ่งอื่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเจือปนเลย คือสิ่งที่หลอมละลายได้ยากที่สุด ต้องใช้ความร้อนถึงประมาณ 2,200 C และใช้เวลาในการหลอมนานถึง 24 ชั่วโมงในเบ้าหลอมขนาด 600 kg ( แต่เติมทรายไม่ให้เต็ม 600 kg อาจเติมเต็มที่ได้ไม่เกิน 500 kg ) [ หรือหากใช้เบ้าขนาด 350 kg อาจเติมเต็มที่ได้ไม่เกิน 300 kg ] ไม่เหมือนทรายที่เติมหรือผสมเคมีภัณฑ์ที่สามารถเติมได้ค่อนข้างเต็มกว่า

ทรายล้วน เม็ดทรายกลม ๆ เล็ก ๆ เท่าปลายเข็มหมุด นับพันล้านเม็ดมากองรวมกันในเบ้าหลอม มันคือความท้าทายว่า ผู้หลอมจะเข้าใจถึงธรรมชาติของมันแค่ไหน และรู้หรือไม่ว่า หากท่านหลอมมันได้ยังไม่ละลายเต็มที่ มันจะเป็นแก้วเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน

มันจะกลายเป็นเหมือนน้ำแก้วสุกเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่เนื้อแก้วที่ดีเหมือนกับแก้วที่เขาขึ้นรูปแล้วลดอุณหภูมิได้ดีเท่ากัน

 

เอาไว้โอกาสหน้าจะมาเขียนบันทึกต่อไปครับ ท่านที่สนใจโปรดติดตามโอกาสต่อไป

 

ทรายล้วนบริสุทธิเมื่อถูกหลอมละลายด้วยอุณหภูมิที่ประมาณ 2,200 C นานประมาณ 24 ชั่วโมง ให้นึกในใจเอาไว้ว่า เปลือกที่ห่อหุ้มมันแตก กระเทาะ ถูกหลอมละลาย ทำให้เนื้อในสีใสที่อยู่ภายในได้รับการเชื่อมต่อกันทุกอณูก็จริง หากแต่เนื้อในสีใสที่เชื่อมต่อกันแล้วนั้น ยังต้องการการหลอมละลายอีกชั้นหนึ่งด้วย ( ใช้จินตนาการนึกตามเวลาหลอมไปถึงชั่วโมงที่ 24 เพราะแก้วที่กำลังหลอมละลายจะมองไม่ออกว่าใสหรือยัง สีแก้วที่กำลังหลอมละลายจะเห็นเป็นสีส้มแดงจัด มองไม่เห็นเหมือนตอนที่แก้วเย็นตัวลงอย่างถูกต้อง ) หากเราจะสร้างชิ้นงานง่าย ๆ เช่นแก้วปูพื้นทางเดิน เราสามารถนำขึ้นมาขึ้นรูปแก้วปูพื้นทางเดินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอต่อไป แต่หากเราต้องการสร้างชิ้นงานที่ดีขึ้น ๆ ชนิดที่ว่า แก้วต้องใส ไม่ขุ่นมัว ไม่มีเส้นใยเหมือนวุ้นเส้นในเนื้อแก้วเลย ยังต้องเร่งความร้อนต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง และปาดหน้าน้ำแก้วหน้าเบ้า ซึ่งการปาดหน้าเบ้านี้ จะกวาดเอาฟองอากาศเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่บนด้านบนสุดของเบ้าหลอม การปาดหน้าเบ้านี้จะถี่หรือจะห่าง ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำแก้วที่เราต้องการ หากต้องการคุณภาพดีเยี่ยม ต้องปาดถี่หน่อย และอาจเร่งความร้อนช่วยเพื่อให้น้ำแก้วหน้าเบ้าได้รับอุณหภูมิหน้าเบ้าร้อนพอที่จะเปิดทางให้ฟองอากาศไหลขึ้นได้ง่าย การเร่งความร้อนได้แก่การปิดฝาดินทนไฟปากเบ้า ฉาบน้ำดินทนไฟตามรอยรั่วปากเบ้า แล้วปิดด้วยแผ่นเหล็กหน้าปากเบ้า เพื่อเพิ่มอุณหภูมิ จากนั้นเปิดปากเบ้ามาปาดทุกชั่วโมง จนกว่าจะได้น้ำแก้วที่ดีที่ฟองอากาศน้อยที่สุด ก็ประมาณชั่วโมงที่ 36 นั่นแหละในกรณีทรายล้วนบริสุทธินะครับ น้ำแก้วจึงจะมีคุณภาพพอใช้ได้ หากต้องการคุณภาพเลิศที่สุด อาจต้องปาดหน้าเบ้าไปถึงชั่วโมงที่ 48 หรือกว่านั้น เช่น 50 หรือ 52 ชั่วโมง คุณภาพน้ำแก้วที่ไร้ฟองอากาศก็เริ่มนิ่ง และเนื้อแก้วก็จะไม่มีวุ้นเส้น

อย่าลืมว่า ที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือ การหลอมทรายแก้วบริสุทธิล้วน ๆ ซึ่งจะต่างกันแก้วอื่น ๆ

 

แต่โรงงานหลอมแก้วทั่ว ๆ ไปส่วนมาก ไม่ต้องการหลอมทรายบริสุทธิล้วน ๆ 100% เพราะมันยาก และ นาน จึงใช้เคมีภัณฑ์หลายชนิดผสมกับทรายบริสุทธิ์ คลุกเคล้ากันดีแล้ว นำมาหลอม โดยสามารถลดอุณหภูมิการหลอมลง จากประมาณ 2,200 C ลงมาเหลือแค่ประมาณ 1,480 C แต่ก็มีหลายโรงงานที่เลือกใช้วิธีลดอุณหภูมิลงมาอีก ให้เหลือแค่ 1,400 หรือน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นคือประมาณ 1,200 C แต่ดึงให้ระยะเวลานานกว่าสูตร 1,480 C ซึ่งเป็นสูตรมาตราฐาน

 

ระยะเวลาการหลอมของโรงงานแก้วทั่วไปก็ลดลงด้วย หากใช้เคมีภัณฑ์ผสมกับทราย จะใช้เวลาการหลอมเหลือเพียงประมาณ 8 - 14 ชั่วโมงในกรณีทั่วไป แต่อาจใช้ระยะเวลาการหลอมนานถึง 48 ชั่วโมงได้ หากต้องการคุณภาพดีเลิศที่สุด ซึ่งมักไม่มีโรงงานไหนยอมทำให้เลย ยกเว้นในต่างประเทศที่เคร่งครัดเรื่องคุณภาพ เช่น ลาลีคของฝรั่งเศสเป็นต้น