อายตนะทั้ง ๖ เช่นมีตาเห็นรูป เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 5 มกราคม 2016.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ไฟกิเลส
    พระธรรมเทศนาหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    www.youtube.com/watch?v=YvV_ZlKITvg
     
  2. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ..ท่านให้วางทั้งสุขและทุกข์ การวางทั้งสองได้
    นี้เป็นสัมมาปฏิปทา ท่านเรียกว่าเป็น ทางสายกลาง

    คำว่า "ทางสายกลาง" ไม่ได้หมายถึงในด้านกาย และวาจาของเรา
    แต่หมายถึงในด้านจิตใจ เมื่อถูกอารมณ์มากระทบ

    ถ้าอารมณ์ที่ไม่ถูกใจมากระทบกระทั่ง ก็ทำให้วุ่นวาย
    ถ้าจิตวุ่นวายหวั่นไหวเช่นนี้ ก็ไม่ใช่หนทาง

    เมื่ออารมณ์ที่ดีใจเกิดขึ้นมา แล้วก็ดีอกดีใจ
    ติดแน่นอยู่ในกามสุขัลลิกานุโยโค อันนี้ก็ไม่ใช่หนทาง..

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา ทางสายกลาง
    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/The_Middle_Way_Within.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2018
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    IMG_4780.JPG


    ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต


    "สิ่งใดที่เกิดขึ้น" อันนั้นเป็น "สัญญา"


    อะไรที่ผ่านมาเป็น "ความรู้" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น "สิ่งที่เกิดขึ้น"..."จะต้องดับไปทั้งหมด"


    "จิต" ของเรา "ไม่ใช่เป็นของเกิด"


    "ความรู้" ของเรา "ไม่ใช่เป็นของเกิด"


    "ความรู้" ของเรา "รู้" สิ่งที่เกิด ที่ดับ ทั้งนั้น


    ถ้าหาก "ความรู้" ของเราเป็นของเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับเราจะรู้ได้อย่างไร เพราะหากความรู้ก็เป็นของเกิดของดับ เวลาสิ่งที่มันเกิดดับมันเกิดขึ้น แล้วที่นี้...ถ้าความรู้ของเรามันดับ แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร...นี่...เรียกว่า.."ความรู้ไม่ใช่ของเกิดดับ"


    แต่ ก็ไม่ได้ "ติดรู้" ไม่ใช่ "ยึดความรู้อันนั้น" ความรู้อันนั้นก็จะเป็น"อัตตา" ขึ้นมา รู้แล้วปล่อยวาง รู้แล้วละ พระนิพพาน แปลว่า ดับทุกสิ่งทุกอย่าง


    “อะสังขะตาวา” แปลว่า “ธรรม” ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ปัจจัยใดๆเข้าไปไม่ถึง “อะสังขะตาวา”


    "หยั่งเข้าหาจิต" ของเรานี่ หยั่งเข้าหาจิตขณะใด ธรรมทั้งหลายจะเป็นธรรมส่วนใดๆก็ช่าง ดับทันที ดับพร้อมขณะที่ใจของเราหยั่งเข้าหาจิต หยั่งเข้าถึงจิต พอเข้าหาที่มัน ยังไม่ถึง ถึงแล้วมันดับทันที


    จึงเป็นหลักที่จะต้องยึดเอามาปฏิบัติ มันอดที่ไปลูบๆคลำๆลูบอยู่อย่างนั้น ลูบอย่างนี้ มันก็เหมือนอย่างที่ ดับไฟ ดับไปดับไป ก็ตายซ้ำ (ตายเลย) ตามไป ตามไปดู ยิ่งตามก็เหมือนเอาเชื้อไฟไปใส่มัน ดับให้ถูกจุด จุดที่ไฟจะดับ ก็คือสวิสท์เพราะไฟเกิด มันจะเกิดตรงนี้


    "จิต" อันนี้ "แสดงเหตุ" เป็น "มหาเหตุ"..


    และเป็น "จิตที่รู้แจ้งในเหตุอันนั้น"


    รู้แจ้งแล้วไม่ใช่จะไปยึดไปถือนะ อันนั้น จะเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ให้ปล่อยวางไป มันไม่มีอะไรจะไปยึดหรอก พิจารณาให้ยิ่ง พิจารณาให้ลึกซึ้ง พิจารณาไตร่ตรอง พิจารณาให้ซ้ำๆซากๆ


    หลวงพ่อแบน ธนากโร
    ที่มา
    https://www.facebook.com/JD.PHADANG/
     
  4. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :mad::eek: ก็ถามเอง-ตอบเองว่า "อายตนะ6" เป็นของร้อน..แล้วจะใช้อายตนะ-ให้เกิดภาวนาทำไมครับ..
    :p อายตนะ6..ต้นกำเนิดมาจาก "จิต" วิ่งไปเกาะอะไร-อารมณ์ใด ก็ปรุงแต่งให้เกิดกิเลส ร้อนเป็นไฟ -จึงควรถามว่า จะปิดอายตนะ6 ให้หยุดทำงานอย่างไรครับจึงจะถูก
    :mad: จิต ตัวเดียววิ่งไปรับรู้ถึง6 ช่องทางในรูปอายตนะ6..แล้วเราจะให้ "จิต" วิ่งไปเข้ากองไฟเพื่อ..ทำไม ..เหตุใดไม่ตัดที่ต้นเค้าของ "อายตนะ6" คือไม่ควรใช้อายตนะ6 ในการภาวนา แต่ควรใช้ "จิต"กำหนด เกิด-ดับ ของอาตนะทั้ง6 เสียจึงจะถูก..พี่เสขะของน้อง รอก่อน รอก่อน รอน้องด้วย
     
  5. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :p:mad: ตื่นเถิดพี่เสขะ ของน้อง ท่านหลับมานานแล้ว สัญชัย ก็ตื่นแล้ว..อย่าเมาตำราให้มากนัก อักษรสัญญา สังขาร สมมุติ มันพาเมาหนัก ..ไปดื่มมันเพียวๆก็เมาตายดิ..เดี๋ยวก็ได้ โสดา-โซดา ไวหรอกพี่ เสขะ ของน้อง อิอิ
     
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    หมายความว่า ต้องมีสัมมาสมาธิเป็นฐาน ในการเห็นเกิดดับ แบบนี้ต้องชำนาญในสมาธิมากๆเลยสิครับ ถึงจะเห็นทั้งความดับไปของอายตนะหกและความเกิดขึ้นมา
    กำหนดรู้เกิดดับได้จนเบื่อหน่าย หลุดพ้นประมาณนั้น
     
  7. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ตาม
    ตามหาแผนที่ถูกต้อง ที่เหมาะลงใจอยู่ครับ
    ตื่นกันหมดอ.สัญชัย อ.นิวรณ์ พี่เกิดก็ไม่มีลูกศิษย์สิครับ อิอิ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    คุณคร้าบ

    เวลา ตาคุณเห็นรูปของหวาน ตาคุณสัมผัสรสหวาน หรือ ลิ้นครับ

    สภาพธรรมที่ ตา รับรู้รสหวานไม่ได้ ลิ้นเท่านั้น ทำกิจรับรู้รสหวาน

    นั่นแหละ เขาเรียกว่า กำหนดรู้การดับของตา

    ความที่ อายตนะแต่ละส่วน ทำกิจ แล้ว อายตนะอื่น แทรกไม่ได้
    ในขณะจิตนั้นๆ นอกจากจะใช้ ตามเห็น ความเกิดดับ ของวิญญาณ
    ได้แล้ว ยังทำให้กำหนดรู้ ความเป็นอินทรีย์ ความเป็นพละ ด้วย

    บุคคลที่ตามเห็นความดับ รู้ชัดความเป็นอินทรีย์ ความเป็นพละ
    เขาก็เรียกบุคคลนั้นว่า "..................."

    ธรรมะนั้นไม่ยาก ยากเพราะไม่ใส่ใจ เอาแต่นั่ง งง แล้วไม่รู้ว่า งง
     
  9. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :p สมาธิ ในพุทธวจน..มี 9 ลำดับ แค่ละอกุศลก็สามารถกำหนดเกิด-ดับได้แล้ว แค่ปฐมฌานเองไม่ต้องถึงขนาด สมาธิเต็มกำลังหรอกครับ
    :mad:พุทธวจน กล่าวว่า สมาธิทุกลำดับสามารถหลุดพ้นได้หมด ตั้งแต่1-9 ด้วยธรรมเพียงบทเดียว แสดงว่า แค่ปฐมฌาน กำหนดไป กำหนดไป นิ่งไป นิ่งไป สติตื่นดี-กำหนดได้ดี-ตื่นอยู่-เครียดก็คลาย ตึงก็ค่อยๆคลาย จดจ่อจ้องดูแบบผ่อนคลาย ทำจิตเป็นอุเบกขาให้ได้ตื่นอยู่ แต่มีสติอย่าหลับนะครับเห็นเมื่อใด"สภาวะ" เขาจะดึงกันเองเป็นสายน้ำเลย .. นั่นคือ"สภาวะ" สมาธิครับขณะกำลังเกิด พื้นฐานเราต้องสงบดิ่งมากๆครับแต่มีสตินะครับ(ตกม้าตายตรงนี้มากมาย-หากไม่สังเกตุอาการตนเอง-ต้องมีคนมาบอก-เพราะเราไม่เคยผ่านสภาวะสมาธิมาก่อน ยังไงก็ตามสภาวะไม่ทัน แต่จะรู้ว่า กำลังจิตเรากล้าหาญมากๆ- คิด-ทำอะไร มันคมกริบ เฉลียวฉลาดฯลฯ นี่ภายในเรา-เห็นช้างมาคุกเข่าให้นั่นมันแค่กำลังสมาธิหรอกยังไม่ถึงไหนเลย อิอิ)
    :p ภาคปฏิบัตินี่คนไม่เคยฝึกหรือลิ้มรสสภาวะสัมมาสมาธิ ไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ สภาวะสมาธิที่เกิดนี่ หากเกิดกับใครแล้วในช่วงเริ่มกระทำ หรือเริ่มปฏิบัติ หากจิตสงบเมื่อใด มันจะยิ่งสงบๆๆๆๆ-จนเข้าเขตสมาธิเองแต่คุมสติให้ดีครับ..สติต้องมีในสมาธิ แค่ละอกุศลจิตก็นิ่งไปส่วนหนึ่งแล้ว นิ่งๆๆๆ ดิ่งๆๆ(ไม่ใช่ธรรมกวยนะครับ-อาการจิตครับ)เดี๋ยวเจอดีเองครับ
    ยังไงก็ตาม พี่เสขะ ต้องรอน้องก่อน รอก่อน ยังก่อนครับ เข้มแข็งและมีเกียรติ์ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2017
  10. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ขอบคุณครับ รับไปพิจารณาครับ
     
  11. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
  12. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    IMG_4897.JPG


    มีคนมาพูดบ่อยๆ บอกว่า “ฉันอยากอยู่เงียบๆ”
    .
    “ทำไมมาอยู่เงียบๆ”
    .
    “ที่บ้านมันยุ่ง มีเรื่องมาก”
    .
    “อ้าว! ต้องไปสู้ที่บ้าน อย่ามาสู้ที่เงียบ สู้ที่เงียบแล้วมันจะได้อะไร หัดมวยแล้วไม่ขึ้นชกบนเวที แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเก่งขนาดไหน มันต้องขึ้นชก ไม่ขึ้นชกแล้วจะรู้ว่าเราเก่งอย่างไร ต้องชกกัน ไปอยู่บ้านแหละ”
    .
    “ไม่ไหวค่ะ เรื่องมาก”
    .
    “เอ้า! เรื่องมากยิ่งดี จะได้ต่อสู้ จะได้ทดสอบตัวเองว่ามีปัญญาขนาดไหน มีความอดทนขนาดไหน มีอะไรขนาดไหน มีอะไรขนาดไหน ไปต่อสู้ด้วยสติปัญญา อย่ามาอยู่วัดเลย ไปสู้มัน สู้ให้ได้ก่อน เอาชนะให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาอยู่วัด”
    .
    ไปหายทุกรายไป ไม่เห็นมาสักที เขาสอนให้ไปทำ แล้วก็ไม่ไปทำ จะหนีท่าเดียวแหละ ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่คนหนีนะ โยมจำคำนี้ไว้ด้วย…ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พวกหนี แต่เป็นพวกสู้กับอารมณ์ สู้กับมัน มีอะไรก็ต้องสู้ด้วยสติ ด้วยปัญญา อย่าหนี หนีมันไม่ได้สู้นี่ เมื่อไม่ได้สู้แล้วเราจะรู้กำลังใจได้อย่างไรว่าเราเก่งขนาดไหนล่ะ จะไปคุยกับใครว่า “ฉันใจสงบ”
    .
    เขาถามว่า “สงบอย่างไร?”
    .
    “ฉันอยู่คนเดียว สงบ” “อยู่คนเดียว มันก็สงบน่ะซิ เพราะไม่มีใครมาด่ามาชี้หน้านี่”
    .
    ทีนี้ถ้าออกไปมีคนถามว่า “คุณนี่ไปอยู่วัดกี่วันแล้ว”
    .
    “ไปอยู่มาเดือนหนึ่งแล้ว”
    .
    “เฮ้ย! ไม่ได้ความเลย” เดี๋ยวก็ปังขึ้นมาทันที อย่างนั้นอย่างนี้
    .
    เหมือนกับคุณคนหนึ่ง ไปคุยกับโยมคนหนึ่ง “ดิฉันหมู่นี้ไม่ยึดไม่ถืออะไรแล้ว” อย่างนั้นอย่างนี้ คุยเพลินไป ลืมตัวแล้ว สักประเดี๋ยวโยมคนนั้นก็พูดอะไรขึ้นอย่างหนึ่ง ในเรื่องที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของแก พอพูดจบ แกว่า “โอ๊ะ! ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ยอม” อ้าว! แล้วกัน
    .
    พอพูดแกอย่างนั้น โยมคนนั้นก็ว่า “เอ้า! ไหนว่าไม่ยึดไม่ถือแล้วไง”
    .
    “ฮื้อ! ไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องเอาหน่อย” นี่แสดงว่ายังไม่ดี…ยังแพ้อารมณ์อยู่ พออะไรมากระทบแรงก็ปังขึ้นมาทันที ยังสู้ไม่ได้ ต้องหนักแน่น อดทน ต้องอยู่เหมือนกับเสาหิน ใครจะมาทำอะไรก็ไม่หวั่นไหว เสาหินไม่หวั่นไหว จิตใจก็ต้องอย่างนั้น เรียกว่ามีน้ำอดน้ำทนอย่างแท้จริง ทนต่ออารมณ์ที่มายั่วที่มายุ เฉย…ไม่แสดงอาการอะไร ถ้าอย่างนี้แล้วก็ใช้ได้
    .
    จิตใจเป็นสุขได้ในที่ทุกสถาน อยู่ในป่าเป็นอย่างใด อยู่ในบ้านก็เป็นอย่างนั้น อยู่คนเดียวอย่างใด อยู่ในหมู่คนก็เป็นอย่างนั้น มีเสียงมากระทบก็เฉยๆ มีรูป มีกลิ่น มีรสมากระทบอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็ไม่หวั่นไหวโยกโคลง…นั่นแหละใช้ได้
    .
    เรามาเรียนมาศึกษานี่เพื่อเอาไปสู้นะ ไม่ใช่เรียนเพื่อจะหนี โยมเข้าใจว่าเรียนแล้วจะหนี “ฉันจะไปอยู่คนเดียว” อยู่ได้อะไร อยู่คนเดียว มันต้องอยู่ในสังคม อยู่กับครอบครัว อยู่กับลูกหลาน อยู่ร่วมงานร่วมการกับใครๆ แล้วเราไม่เป็นทุกข์เพราะการอยู่ร่วมกับคนเหล่านั้น นั่นแหละคือประโยชน์ของธรรมะ ไม่ใช่เรียนธรรมะแล้วเก็บตัวเข้าป่าเข้าดงไปเลย ไม่สู้ใครแล้ว
    .
    ท่านปัญญานันทภิกขุ
    ที่มา https://www.facebook.com/watpah/

     
  13. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

    สมเด็จพระญาณสังวรฯ-รู้เกิดดับของ กาย เวทนา จิต ธรรม
     
  14. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

    "อายตนะและสังโยชน์"
    พระธรรมเทศนาสมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
     
  15. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    292271_293093474095676_641758900_n.jpg

    ธรรมะเป็นของมีที่สุด โลกอันนี้ไม่มีที่สุด
    พุทธศาสนาสอนให้ถึงที่สุด สอนลงที่ “ใจ” แห่งเดียว
    “ใจ” คือความเป็นกลางในสิ่งทั้งปวง

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    อายตนะทั้ง ๖
    http://tesray.com/afterhours-50
     
  16. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    19884200_1591737130899502_4581475005797332060_n.jpg

    "ให้เอา พุทโธ เป็นอารมณ์ของจิตไปก่อน

    เมื่อบริกรรม พุทโธ จนจิตเป็นสมาธิแล้วให้วาง พุทโธ แล้วกำหนดผู้รู้คือจิต

    เมื่อพักอยู่ในความสงบพอควรแล้ว ให้ถอนจิตขึ้นมากำหนดพิจารณากายเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก่อน พิจารณาอยู่จุดเดียวจนเกิดความชำนิชำนาญแล้วจึงขยายต่อไปสู่ส่วนอื่นจนทั่วทุกส่วนของร่างกาย

    เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา พิจารณาให้รู้ให้เข้าใจหมดสงสัยทั้งกายตนกายผู้อื่น ทั้งหญิงทั้งชาย พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์อย่าให้จิตส่งออกภายนอกกาย

    เอากายนี้เป็นเป้าหมายในการพิจารณา เอากายนี้เป็นมรรค เอากายนี้เป็นผล

    ถ้าผู้ปฏิบัติส่งจิตออกรู้ภายนอกจากายนี้ เป็นการปฏิบัติที่ผิดทาง

    การเจริญภาวนาโดยยึดเอาอายตนะภายใน ๖ อย่าง มาเป็นอารมณ์เพื่อทำให้ใจสงบ การพิจารณาต้องน้อมนำเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็จะวางเอง

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้กล่าวไว้ว่า "เหตุก็เขาเก่านี้แหละ แต่ไม่รู้ว่าของเก่า"

    ของเก่านี้ได้แก่ ขา แขน ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อเวลาปฏิบัติภาวนาก็ให้พิจารณาอันนี้แหละให้รู้แจ้งภายใน นักปฏิบัติต้องพิจารณาตรงที่ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ให้พิจารณากาย พิจารณาใจ ให้เห็นให้เกิดความเบื่อหน่าย ผู้ปฏิบัติต้องน้อมเข้าหาสมมุติ ให้เกิดเป็นวิมุตติ พิจรณาให้รู้แจ้งสมมุติให้เกิดเป็นวิมุตติ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อันนี้ ให้เห็นถึงของเก่าซึ่งไม่จิรัง ยั่งยืน จะต้องผุ เน่า เปื่อย ไปในที่สุด"

    ....หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    ที่มา..

     
  17. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    IMG_6888.JPG

    ..ลองคิดดู

    เมื่อราคะ ความกำหนัด เกิดขึ้น มันร้อนไหม ?

    โทสะ เกิดขึ้นมันก็ร้อน โมหะ เกิดขึ้นมันก็ร้อน

    มันร้อน ความร้อนนี่แหละ ที่ท่านเรียกว่าไฟ

    เมื่อไฟมันเกิดขึ้นมันก็ร้อน เมื่อมันดับ มันก็เย็น

    ความดับนี่แหละ คือ นิพพาน

    นิพพาน คือ สภาวะที่เข้าไปดับซึ่งความร้อน

    ท่านเรียกว่าสงบ คือดับซึ่งวัฏฏสงสาร

    วัฏฏสงสาร คือความเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น

    เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็คือการเข้าไปดับซึ่งความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง

    อันนั้น เรียกว่าการดับราคะ ดับโทสะ ดับโมหะ

    ก็ดับที่ใจของเรานั่นแหละ คือใจถึงความสงบ..


    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    อยู่กับงูเห่า
    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Living_With_the_Cobra.php
     
  18. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    35446CC3-DC98-4069-A0E5-B2DF5513B501.jpeg


    ..ผู้ใดพิจารณาอนิจจังบ่อยๆ ทุกขังบ่อยๆ อนัตตาบ่อยๆ ก็คือผู้นั้น ต่อสู้กับอวิชชาบ่อยๆ นั่นเอง อวิชชาความโง่ ความเขลา ความหลง จะพาให้ก่อชาติก่อภพ


    ..นิมิตอื่นๆมีดาษดื่นถมเถที่ภาวนา เราต้องสันโดษในนิมิต นิมิตเดิมที่เราตั้งไว้ คือภาวนา หลักภาวนา นิมิตแปลว่าเครื่องหมาย


    เมื่อเห็นเทวดามาก็ไปหมายเทวดา เมื่อเห็นเทวบุตรมาก็ไปหมายเทวบุตร เมื่อเห็นแสงสว่างมาก็ไปหมายแสงสว่าง ทีนี้ มันเป็นหมาตาเหลือง เห็นไฟที่ไหนก็วิ่งใส่ นิมิตแสงสว่าง เราก็ไปเหนี่ยวรั้งมาให้เสียเวลา


    นิสัยของผมไม่ได้เป็น พอเห็นนิมิตอันไหนมาก็ตาม นิมิตไกล นิมิตใกล้มาก็ตาม ไม่ลืมอนิจจังเลย มันเป็นเอง มันเกิดขึ้นเอง มันแปรปรวนเอง มันดับเอง เราไม่ได้สมมติให้มันเกิดขึ้น เราไม่ได้สมมติให้มันแปรปรวน


    เราไม่ได้สมมติให้มันดับไป มันเป็นเอง มันมีลินมีลาย(ฟังไม่ชัด)เท่านั้น มันก็มา เราก็เห็นเท่านั้น จะไปเห็นอื่นอีกก็ไม่ได้ แต่เราจะไปยึดถือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นเราเป็นเขาหรือไม่ อันนี้เป็นเรื่องเราจะทวนกระแสเราต่างหากอันนี้


    ตาก็มีเป็นจริงตามตา หูก็มีเป็นจริงตามหู จมูกลิ้นก็เหมือนกัน กายก็เหมือนกัน ใจก็เหมือนกัน ยืนเดินนั่งนอน นึกคิดก็เหมือนกัน ก็เป็นจริงตามยืนเดินนั่งนอนนึกคิด สิ่งเหล่านี้อยู่ใต้อำนาจอนิจจังทั้งนั้น


    ผู้ใดพิจารณาอนิจจังบ่อยๆ ทุกขังบ่อยๆ อนัตตาบ่อยๆ ก็คือผู้นั้น ต่อสู้กับอวิชชาบ่อยๆ นั่นเอง อวิชชาความโง่ ความเขลา ความหลง จะพาให้ก่อชาติก่อภพ


    ผู้นั้นจะเปิดประตูหนทางเบื่อหน่ายคลายเมาในวัฏสงสาร..


    บางส่วนจากพระธรรมเทศนา หลวงปู่หล้า เขมปัตโต - หนทางหลุดพ้น
    cr. หวาน หวาน
     
  19. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    20121018171403_ajan_cha.jpg

    ..ที่เรียกว่า "เกิดๆ ดับๆ" นี้คืออะไร ?

    คืออารมณ์ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นมา

    ในทางธรรมะเรียกว่า การเกิดดับ มันก็มีเท่านี้

    ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์มันก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้ว ทุกข์ก็เกิดขึ้นมา นอกเหนือจากนี้ไปก็ไม่มีอะไร มีแต่ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็จะเห็นแต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ

    เมื่อเห็นการเกิด-ดับอยู่เสมอ ทุกวันทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้..

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา อยู่กับงูเห่า
    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Living_With_the_Cobra.php
     
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

แชร์หน้านี้

Loading...