อาการคุมความรู้ไม่อยู่เป็นอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    และจะลงเอยที่เห็นทุกข์ในขันธ์หรือเห็นทุกข์ในจิต ทั้งสองอย่างก็ให้ผลที่ยอมรับได้ในความเป็นจริงแต่ความละเอียดอ่อนย่อมแตกต่างกัน จึงนำไปสู่สติปัฏฐานธรรม เราอาจละได้บางสิ่งแต่จริงๆคงละไม่ได้เพราะสภาวะจิตจะควบคุมทุกๆ ลักษณะ ทั้ง กาย เวทนา จิต และธรรม ย่อมเป็นทางที่คนที่พิจารณาเห็นจะดำรงไว้ซึ่งมรรคคา ลงในกระแสดูเหมือนจะไปพร้อมกันแต่จะเริ่มจากอะไรก็ไม่สำคัญ เพราะกระแสของสติปัฏฐานธรรม คือมหาสติจะมัดรวมลงโดยธรรมชาติ ถ้ารู้ พระศาสดาสอนไว้แบบนี้ใช่ไหมคับ
     
  2. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    เพราะฌาน(สัมมาสมาธิ) และอินทรีย์ 5
    คลุกเคล้ากลมกล่อมกันดีแล้วทำให้เกิด
    มหาปัญญาแบบ อุเทสวิภังค์
    มหาปัญญาแบบ อุเทสวิภังค์ ทำให้เวลาลืมตา
    โยคีมีมุมมองต่อโลกที่เปลี่ยนไป

    หาภาษาบัญญัติมาอธิบายมหาปัญญา
    ให้ใกล้เคียงสภาวะเป็นเรือง อฐานะ

    หากว่าจะใกล้เคียงที่สุด ก็อุปมาว่า
    อาการเหมือนคนที่คิดโจทย์เลขออกอย่างกระทันหัน
    ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่เห็น ที่เป็นอยู่ทุกวัน

    กรณ๊นี้คล้ายกับ "นีโอ" ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย
    แล้วมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นเพียงแค่ code จากสมการแมททริก

    หน้าตาของ นีโอ เฉยนิ่งมาก
    แต่ทุกสิ่งรอบตัวที่"นีโอ" มอง "มันเปลี่ยนไป"
    นีโอ ไม่เคยรับรู้ถึงความเป็นจริง ของทุกสิ่งรอบตัวแบบนี้มาก่อน
    นีโอ รับรู้ได้ทันทีว่า นีโอ มีปัญญาเท่าทันสิ่งเหล่านี้แล้ว

    หาก นีโอ จะเดินไปบอกคนข้างบ้าน
    ว่ากำแพงบ้านของคนข้างบ้าน เป็นเพียงแค่ code จากสมการ
    คนข้างบ้านก็คงจะตะเพิด นีโอ หาว่า นีโอ เป็นคนบ้า

    ขณะที่ นีโอ มีมหาปัญญาแบบนั้น มหาสติของ นีโอ ก็เกิดร่วมด้วย
    เพราะอกุศล หาช่องเบียดแทรกเข้ามา"ไม่ได้เลย"
    แม้ในขณะที่ นีโอ ลืมตาเดินอยู่ข้างถนนแท้ๆ

    แต่นีโอ มองเห็นว่า กำแพงบ้านเป็นเพียงแค่ code จริงๆ
    แต่ไม่มีใครรู้ตามเห็นตาม นีโอ ก็เลยจนปัญญาจะอธิบาย
    นีโอ กล่าวว่า เป็นเรื่อง "อฐานะ"


    อาการของมหาปัญญา ให้ดูนาทีที่ 2.20




    ธรรมมะ จากหนัง By ลิงจ๋อ
    ปล ลิงพิมพ์
     
  3. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ดูหนังดูละครมากไปหรือเปล่าคับ เพลาๆ ลงนิดจะดีต่อการปฏิบัติธรรม
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมก็อ่านแล้วละคับว่าพระศาสดาใช้คำว่าอะไรตอนเริ่มต้น...มันหมายถึงอะไร...คงน่าจะมีคำตอบจริง คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่....หมายความว่าอย่างไร...มันอฐานะจริงหรือคับ...ผมว่าเลิกดูละครแล้วมาทำจริงๆ จะดีกว่า
     
  5. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    รู้จักสื่อประกอบการสอน อะป่าว ?
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ป่าวนี่คับ ถ้าจะเบื่อ ก็เบื่อสอนที่ใช้สื่อผิดๆ คับ
     
  7. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    แล้วรู้ได้อย่างไร ว่าสื่ออะไรถูกอะไรผิด?
    หนังเรื่องนี้มันตั้งแต่ปี 1999 (เซิซ กูเกิลมาให้มะกี้)
    ผมเคยดูตั้งแต่ยังวัยละอ่อน ดังนั้นผมถึง "จำได้"
    แต่ถ้าเออ ผมเอาหนังที่พึ่งเข้าโรง 2018 มาให้ดู
    ก็เออ ค่อยมาตำหนิ ว่าเอาเวลาไปปฏิบัติธรรมเถอะ อย่าดูหนังมาก

    อนึ่ง ถ้าเวลาสนทนาธรรมกัน แล้วจำมาจับผิด กระจุ๊ก กระจิ๊ก จุ๊กๆจิกๆ
    นี่ผมบ่องตง ว่าไม่ชอบนะ "จะลองภูมิ" จะจับผิด หรืออยากจะถามอะไร
    ก็ให้มันอยู่ในเนื้อความธรรม

    ผมถือว่ามันเสียหน้ากระดาษนะ ที่ต้องมาคอยตอบคำถามติ๊งๆ ต๊องๆ เล็กๆน้อยๆ

    ขอให้เข้าใจด้วยว่า บางครั้ง "อยากคุยธรรมเย็นๆ" ถามตอบถกแบบเข้มข้นก็ไม่ว่า
    ก็เคยมีคนแบบนี้แหละ คุยกับอีกคนอยู่ดีๆ อยู่ๆพี่แกก็ชอบโผล่มา
    จิกกัด กะจุ๊ก กะจิ๊ก มันเหมือนมีผีคอยขี่หัวผมอยู่เลย เผลอปุ๊ป โดนมันตบหัวทันที

    และอีกอย่างหนึ่ง ถึงผมจะดูหนังของปี 2018 จริง มันก็เรื่องของผมนะครับ
    ไม่ต้องมาบอกครับ ว่าให้ไปปฏิบัติธรรม เพราะผมยังไม่ได้ไปฝากตัวให้เป็นศิษย์
    และอีกอย่าง "ผมยังไม่ได้บวช" ผมเป็นฆราวาส

    คนดูหนัง ไม่มีสิทธิ มาสนทธาธรรมชั้นลึก งั้นอะจิ ?

    ปิดจอคอม หรือ จอมือถือ ซะครับ แล้วเข้าป่าก่อนมาจิกกัดคนอื่นนะครับ

    คนในเว็บนี้ไม่ได้มีแต่สายเจโต อย่างเดียวนะครับ
    เอะอะ หลับตา แล้วนั่งลง

    ถ้าผมอยากให้ใครสอนอะไร หรือมีคำถาม ผมจะถามเอง หรือตั้งกระทู้ถามเอง
    เข้าใจนะครับ ?


    รอบก่อนผมถึงงง และแซวไปยังไง ว่า"เมายาดอง"
    ไม่มีปี่ มีขลุ่ย แค่ออนพร้อมกันตอนตี 3 มาด่า ผมเฉยเลย

    งงเต๊ก!!!!

    ไม่ไหวจะเคลียร์

    เปลืองหน้ากระดาษนะครับ เป็นแบบนี้บ่อยๆ ผมไม่คุยด้วยนะครับ
    ขี้เกียจพิมพ์!!!
     
  8. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    จริงครับบางทีชวนสนทนาธรรมให้ใคร่ครวนให้คิดทั้งสองฝ่าย เผื่อจะมีอะไรเป็นประโยชเกิดขึ้นบ้างบางท่านตีโพยตีพายไปใหญ่เลยจนไม่เป็นคุยธรรมละ เอากิเลสมาล้วนๆ จะคุยด้วยก้ได้เห็นแล้วว่าน่าจะเป็นผู้สนธนาธรรมกันได้ พอยกข้อธรรมขึ้นเท่านั้นหล่ะ ...โผล่เลย
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    อ่า ขออภัยครับ
    ไม่ได้กล่าวว่าท่านใด อยู่สายใด
    การกล่าวถึงนิโรธสมาบัตินั้นหมายถึงผู้ปฏิบัติครับ
    เอาตรงๆคือ บอกท่านที่กำลังอยู่บนทางครับ
    ไม่ได้กล่าวหาท่าน
    ผมพิมพ์เป็นกลางๆไม่ได้ว่าอะไรท่านใด
    หากเป็นโทษก็ขออภัยด้วย
    เพียงชี้ทางแก่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
     
  10. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ยังไงก็ขออนุญาตเคลียร์ให้ทราบสักนิดนะครับ

    ที่ไม่ได้ไปตอบโต้อะไรอีก ก็เพราะคิดได้ว่า ต้นทางเราตั้งใจมาดีก็ดีแล้ว อย่าให้มาเสียมาลุแก่อำนาจกิเลสดีกว่า คนเราควรตั้งความปรารถนาดีต่อกัน เมตตากันเสมอ ในเมื่อช่วยกันไม่ได้ก็อย่าไปทำลายทรัพย์กัน มันจะเสียเจตนารมณ์เดิม ไม่ควรทำน่ะครับ ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นว่า เราเขียนด้วยมือแต่ดันลบด้วยเท้า การทำลายทรัพย์นี้เผลอๆจะมากกว่าสอง คือใครเข้ามาอ่าน เกิดมีอคติขึ้นมา ก็อาจทำเขาเสียทรัพย์ที่ควรจะได้ไปอีก

    อีกอย่างเราพูดเป็นมรรคเป็นทางมา เป็นสัมมาวาจา เคารพปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ อยู่ดีๆ จะไปก้าวล่วงไม่เชื่อฟังไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ตามมรรคมีองค์ 8 แล้วไปลุแก่อำนาจกิเลสถึงขนาดจะทำร้ายทำลายชื่อเสียงกัน อันนั้นก็ไม่ใช่ศิษย์พระตถาคตแล้วครับ ศีลขาดด่างพร้อยเพียบ ไม่ทำเอง ยินดีเมื่อผู้อื่นกระทำก็ไม่ต่างกันน่ะครับ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ มีให้ปฏิบัติชัดทุกข้อเลยครับ ผมถึงว่าไง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่สัมมาสติ ในความเห็นผม ทรงสอนมรรคมีองค์ 8 ครบ แต่ใครจะเก็บเกี่ยวทรัพย์อะไรไปได้บ้างเท่านั้นเองครับ
     
  11. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ตอบสั้นๆ ผมไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น ผมตอบคำถามลงไปตรงที่ความเป็นฐานะหรืออฐานะ เรื่องกิเลสผมรู้ว่ามีแม้ท่านอื่นๆก็มี แต่กาารจะเผาพลาญหรือลดทอนกำลังของกิเลสเป็นเรื่องเฉพาะตน พระสูตรหลักไม่แยกจำแนกสายผมไม่มีหลักฐานมายืนยันให้ได้แต่หลักฐานทางเหตุผลสติปัญญาที่ต้องตอบตัวเองให้ได้คือ พระศาสดาใช้แยกเพื่ออะไร แต่เรื่องแบบนี้คงใช้คำว่าอฐานะของจริงได้ เหตุผลคือ ต้องยอมรับได้เมื่อมีคนทักถามหรือติเตียน ถ้ารู้ก็บอกว่ารู้ ถ้าถูกก็บอกว่าถูก คำถามแบบว่าแล้วมันผิดตรงไหน...ผมก็ยกตัวอย่างให้ดูอีกเรื่องก็ได้....หลายคนชอบยกพระสูตรบทนั้นบทนี้มา แต่ไม่กล่าวอะไร เพราะตัดสินลงไปว่า พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้วชอบแล้ว ผมบางทีก็อยากจะถามต่ออีกเหมือนกันว่าคนในโลกนี้มีสติปัญญาชาญฉลาดเท่ากันอย่างนั้นหรือ...ถึงคิดว่าคนจะรู้หรือคิดเหมือนกันกับเรา...ยิ่งถ้าเข้าใจบริบทแห่งพระธรรมผิดไปการจะอะไรก็ตามที่เป็นไปตามอำนาจกิเลสตนจะขึ้นโดยปกติวิสัย...ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะตำหนิใครผมไม่ใช่ผู้รู้แค่พยายามจะเรียนรู้ ในนี้มีคนทั่วไปที่ไม่รู้ว่าเป็นคนทั่วไปมากพอดู และในนี้มีคนที่ไม่ทั่วไปมากแต่ไม่มากเท่า ผมตอบอีกครั้งผมขออภัยที่อ่านเรื่องราวแบบนั้นแล้วไม่เข้าใจ...จึงตอบดังนั้นว่าด้วยถ้าเบื่อจะเป็นเพราะสิ่งนั้นเพราะมันทำให้เราไม่เข้าใจ...ก็เท่านั้นจริงๆ ไม่มีเจตนาจะไปตำหนิใครๆ ขออภัยท่านทั้งสองที่ อาจมีบางอย่างไม่เข้าใจ
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,200
    อาการนี้น่าจะเป็นอาการของผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นะค่ะ ที่รับรู้ได้ว่าเป็นสักแต่ว่าธาตุ เป็นคำพูดมิใช่เป็นคำพูด เห็นสิ่งที่พูดลอยมาเป็นอากาศธาตุ หรือ เป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านไป เห็นคำพูดสะท้อนส่งมาไม่มีผลต่อจิตใจให้ยีดมั่นเลย เพราะคืออากาศดี ๆ นี่เอง แล้วฝึกอย่างไรจึงได้อย่างนั้นค่ะ ที่จริงรู้แล้วเห็นแล้วก็เป็นมหาสติมหาปัญญาด้วยเหมือนกันนะค่ะ
     
  13. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    หมายถึงใครครับผมไม่ได้หมายถึงท่านนะ
     
  14. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถ้าติดค้างเรื่องหนัง..ผมก็ดู แต่เหตุผลคือ จะบอกว่าหนังเหมือนชีวิตหรือชีวิตเหมือนหนัง ท้ายสุดผิดทั้งสองทาง เพราะอะไรผมก็ไม่รู้...ที่จริงผมเองก็พึ่งทราบว่ามีพระอรหันต์บุคคลสองลักษณะ....ที่เหลือก็ไม่เกี่ยว เมื่อผมได้ยินคำว่าพระอรหันต์หรือพระขีณาสพ สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ ปลื้มปิติยินดีอนุโมทนา สิ่งอื่นไม่มี ทีนี้ถ้าเราเอาเรื่องอื่นมาแปะ เช่น พระชื่อนั้นเป็นอรหันต์ คนชื่อนั้นเป็นอรหันต์ สิ่งที่จะเกิดคำถามคือ เราเชื่อในชื่อในคนหรือเราเชื่อในอรหันต์คุณ แน่นอนข้อนี้มีคำตอบหนึ่งเดียว สิ่งนี้ต่างหากจะเป็นการเยียวยา ถ้าชื่อหรือคนเป็นไปในทางเดียวกันกับอรหันตคุณ ย่อมเชื่อได้ย่อมกรราบได้...ถ้าไม่...ก็ไม่ใช่ว่าเราจะด่าทอที่หลอกเรา...เพราะยังมีคำท้ายว่าเขาปราถนาจะทำ...ขอโทษทีคับที่ยืด...จบดีกว่า...เอาเป็นว่า...ต่อไปจะดูอย่างเดียวไม่ทำให้สะดุดแล้วกัน...ถ้าถามจะระบุ..ว่าถามใครคนไหนแล้วกันในกรณีสงสัย...เอาเท่านี้แล้วกันคับ
     
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ลืมๆไปบ้างก็ได้เรื่องอดีต...ผมขอโทษถ้านั่นเป็นการทำให้เกิดตำหนิในใจ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผมหรือใครหลายคนจะต้องผิดใจไม่เข้าใจ...ผมขอโทษและขอให้ท่านทั้งหลายอโสิกรรมให้ด้วย...หากท่านทั้งหลายเคยทำให้เกิดตำหนิแก่จิตผม ผมก็ขออโหสิกรรมแก่ท่านทั้งหลายเช่นกัน...ให้มันจบไปอย่าไปเอามาใส่ใจอีกเลย...ขอจงเกิดผลแห่งสติให้เป็นกำลังสืบไปทั้งท่านทั้งหลายและตัวกระผม...สาธุคับ
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ส่วนเรื่องออกจากเพศฆราวาสไปเป็นภิกษุเข้าป่า...ผมเห็นด้วย...แต่ดูจะตัดทอนกำลังใจคนธรรมดาเกินไป...ถ้าคนที่รู้จักป่าเคยเห็นป่าแม้คนธรรมดาก็จะเรียนรู้ได้สอมสามเรื่อๆ หนึ่งความน่าสะพรึงกลัว สองความเปลี่ยนแปลงไปโดยธรรมชาติและสามคือความอยู่รอด...พอมองย้อนกลับมาที่สถานะปัจจุบันในเมืองคอนกรีตมีรถรามีเครื่องบินมีอาวุธทำลายล้าง..ก็ยังคงให้สามสิ่งนั้นเหมือนกัน...แต่ภาระที่มีก็แตกต่างกันจึงมีเหตุผลว่าจะรอเข้าป่าแล้วค่อยรู้หรือรู้ก่อนเข้าป่า...เท่าที่ทราบส่วนมากรู้ก่อนเข้าป่าและเข้าป่าทำให้รู้นั้นจบสงสัย...ดีแล้วที่คิดแบบนั้นสำหรับผมแต่ไม่ว่าจะคามวสีหรืออรัญวสีย่อมมีผลในแบบเดียวกันถ้ารู้
     
  17. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ทราบครับ แค่อาศัยโอกาสกล่าวเป็นมรรคเป็นทางเช่นเดิม เติมอีกหน่อยก็ได้ว่า อย่าเผลอไปดูถูกดูแคลนเรื่องการปฏิบัติที่กล่าวมา ว่าเป็นเรื่องพื้นๆ เชียวนาครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นปลาตายน้ำตื้นน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2018
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,200
    แต่ถ้าหากไม่ได้อยู่ในสภาวะนี้ได้ตลอดเวลา มีอีกวิธีหนึ่งค่ะ ที่หลายคนสงสัยคลางแคลงใจเรื่อง เขาพูดว่าให้ใช้ลมหายใจดูความคิดไม่ใช่ใช้ความคิดดูความคิด ถ้าความคิดดูความคิดจะไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเป็นความคิดเหมือนกัน

    ถูกต้องเลยค่ะข้อความดังกล่าวต้นที่กล่าวมานั้น เพราะเมื่อเป็นสิ่งใดแล้วย่อมไม่เห็นในสิ่งนั้นหรือปิดบังการเห็นไปทันที เข้าไปในความคิดก็เป็นความคิด ความคิดที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ปัจจัยที่เป็นเหตุนั้นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่าประสบเหตุการณ์ชีวิตในอดีตตัดสินใจต่อเหตุนั้นอย่างไร? และจำอารมณ์นั้นไว้อย่างไร?เมื่อเข้าไปเป็นอารมณ์แล้ว นิสัยและอุปนิสัยย่อมดำเนินไปตามที่เห็นถูกหรือเห็นผิดนั้น

    โยโสมนสิการพิจารณาโดยแยบคายเป็นอุบายให้ใจได้รู้และเข้าใจความจริงกับสิ่งที่เป็นผลถึงเหตุส่งผลให้ได้รับ ตัดสินใจผิดกระทำผิดก็พิจารณาหาเหตุผลสัจจะความจริงให้เห็นเป็นสัมมาทิฐิใหม่ ย้อนรอยทวนกระแสแห่งอารมณ์ที่ไหลไปตามวิญญาณเสียใหม่ ตั้งสัจจะแก้ไขแก่ใจตน ให้ใจเป็นใหญ่ด้วยสัจจะบารมี เพราะผู้ที่บ่มเพาะเป็นนิสัยอุปนิสัยที่เป็นอกุศลกรรมแล้ว เมื่อเกิดการกระทบแล้วตามรู้อารมณ์ไม่ทัน เข้าไปเป็นอารมณ์ย่อมเกิดกรรม แต่จะมีบางอย่างที่เป็นสัจจะในความเป็นใหญ่ของใจ คอยฉุดยั้งกั้นเตือนไว้ไม่ปล่อยใจไหลไปตามอารมณ์ กระแสที่กั้นระงับใจชั่วขณะ เกิดเป็นสติรู้ รู้อารมณ์ ไม่ไหลไปตาม หยุดเพียงแค่นั้น แล้วก็เกิดการเห็นกระแสอารมณ์ก็ดับไป เหมือนแขกมาเยือนแล้วก็เลือนหายไป

    บารมี๑๐ สัจจะบารมี ล้วนสำเร็จได้ด้วยใจ ทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่หากพิจารณาแล้วได้ความจริง การเพ่งความคิด ก็เข้าไปเป็นความคิด เพ่งอารมณ์ก็เข้าไปเป็นอารมณ์ การเพ่งคือการเข้าไปเป็น หรือการเข้าไปยึดกับสิ่งนั้น เป็นสิ่งเดียวกับสิ่งนั้น ไม่มีความรู้ตัวเลยเพราะกำหนดเข้าไปเป็นในสิ่งนั้นแล้ว แต่โยโสมนสิการพิจารณาโดยแยบคายมักจะมากับตัวรู้เสมอ จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวในเหตุผล ผลที่ได้จากการตั้งมั่น คือสัจจะที่เป็นปัญญาออกมาจากจิต และผลที่ได้ตามมาอย่างเด่นชัดหลังจากพิจารณา คือพลังจิตที่เข้มแข็งและแกร่งขึ้นรู้สึกว่ามีชีวิตชีวา แตกต่างกับการเข้าไปในความคิดหรือคิดพิจารณาไม่รู้ตัว กำลังจิตถดถอยหมดแรงและอ่อนล้าค่ะ

    มีคำถามเกิดขึ้นมาในใจตนเอง คือ การรู้อารมณ์ เห็นอารมณ์ขณะมีสติ ตามรู้เท่าทันอารมณ์ เห็นอารมณ์ดับไป แล้วหายไป หาก ณ เวลานั้น ถ้าเรายังไม่เป็นมหาสติ และขณะหนึ่งขณะใดตามอารมณ์ไม่ทัน คิดว่าสิ่งที่เห็นไว้แต่แรกนั้นจะเกิดเป็นปัญญายับยั้งอารมณ์ได้ไหมค่ะ การหยุดอารมณ์ต้องพร้อมด้วยสาม คือ ศีล (อบรมใจตนเอง ยับยั้งชั่งใจตนเองได้) สติ สมาธิ และ ปัญญา

    บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมมีศีล บุคคลมีศีลได้ ย่อมเพราะมีปัญญา

    พุทธพจน์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล มีปัญญา มีใจมั่นคงดีแล้ว ปรารภความเพียรตั้งตนไว้ในกาลทุกเมื่อ ย่อมข้ามโอฆะที่ข้ามได้ยาก ดังนี้

    http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/214511

    อ้างอิงค่ะ
    “โยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ
    ธรรมข้ออื่น ที่ได้รับยกย่องคล้ายกับโยนิโสมนสิการนี้ ในบางแง่ ได้แก่ อัปปมาทะ (ความไม่ประมาท - earnestness; diligence), วิริยารัมภะ (การปรารภความเพียร, ทำความเพียรมุ่งมั่น - instigation of energy; energetic effort), อัปปิจฉตา (ความมักน้อย, ไม่เห็นแก่ได้ - fewness of wishes; paucity of selfish desire), สันตุฏฐี (ความสันโดษ - contentment), สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว, สำนึกตระหนักชัดด้วยปัญญา - awareness; full comprehension); กุสลธัมมานุโยค (การหมั่นประกอบกุศลธรรม - pursuit of virtue); ฉันทสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งฉันทะ - possession of will), อัตตสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งตนคือมีจิตใจซึ่งพัฒนาเต็มที่แล้ว - self-possession; self-realization), ทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิ - possession of right view), และ อัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อมแห่งอัปปมาทะ - possession of earnestness)
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อุเทสวิภังค์เป็นธรรมเพื่อใช้ ในการ "พ้น เกิด ตาย รวมทั้ง ทุกข์ และ สมุทัย" (เข้านิพพาน)

    +++ อุเทสวิภังค์เป็นธรรมเมื่อ "ทำ" แล้ว "ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัย" ย่อมเกิด "ไม่ได้"

    +++ 639 พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดยอาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ภายในและไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่มีความเกิดแห่งชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตดังนี้ ครั้นแล้วพระองค์ผู้สุคตจึงเสด็จลุกจากอาสนะ เข้าไปยังพระวิหาร ฯ

    +++ อากรของ "อุเทสวิภังค์" เป็นอาการดังนี้

    +++ 1. ไร้นิวรณ์ 5 (ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก)(ไร้ สัญญา+สังขาร)
    +++ 2. ปราศจาก ฌาน (ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน)(ไร้ สัญญา+สังขาร+ธัมมารมณ์)
    +++ 3. ไม่ใช่ขันธ์ (ไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น)(ไร้ สัญญา+สังขาร+กิริยาจิต)
    +++ 4. "รู้ได้" โดยอาการที่ "เมื่ออยู่กับรู้" (ภิกษุพึง "พิจารณา" โดยอาการที่ "เมื่อพิจารณาอยู่")

    +++ สรุป "อุเทสวิภังค์ คือ อยู่กับรู้" อย่างอื่น "ไม่เกี่ยว" เท่านั้น นะครับ

    +++ ตรงนี้คุณ jityim หากสามารถทำ "อยู่กับรู้" ได้แม้เพียง "ช่วงสั้น ๆ" ก็ให้ลองทำดู ก็จะ "รู้ชัดเจน" ได้ด้วยตนว่า "มันตรงกันมั้ย" นะครับ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,200
    ใช่ค่ะ ตรงกัน ถ้าอยู่กับรู้จะปราศจากสัญญา สังขาร ธรรมารมณ์ เป็นปัจจุบันขณะ คือรู้ธรรม เห็นธรรมเฉพาะหน้า ไร้การนึกคิดค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...