เห็นความจริงเพื่อละ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 21 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :):) อวิชชา..คือความไม่รู้ของคุณ-อวิชชาคือ ความไม่รู้ว่าอริยสัจจ์4 เกิดขึ้นมาได้อย่างไร -และจะดับเขาอย่างไร ดังนั้นหากคุณไม่รู้จัก วงจรปฏิจจะสมุห์ปบาท คุณไม่มีทางกำจัด..อวิชชา ได้เลยครับ ..
    ;):(:p เพราะ วงจรปฏิจจะสมุปบาทคือ แผนที่-ที่จะบอกคุว่าจะตัด อวิชชา ตัดให้ขาดได้อย่างไร เท่ากับการตัด อริยะสัจจ์4..ได้นั่นเองครับ ขอเจริญในธรรมทุกๆท่านครับ
     
  2. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ฐีติภูตัง เป็นยังไงครับ
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จิต(แสง)-มโน(นึก-คิด)-วิญญาณ(ลำแสง-ที่ส่งออกไปกะทบฉาก-จะรู้แจ้งในอารมณ์หรือสิ่งนั้นๆ)

    ชอบประโยคนี้ค่ะ

    แต่ประเด็นตรงที่จะห้ามจะตัดความคิด ต้องตัดตรงมโนครับ
    อย่าปล่อยให้ มโน ผ่านมายัง วิญญาณ มันจะกะทบฉาก-แบบสายฟ้าแล็บทันที(นั่นเราแพ้แล้ว-ไม่ทันแล้วครับ) เขามาแบบสายฟ้าแล็บแล้วใครจะห้ามทันล่ะครับ

    สงสัยตรงนี้แหละค่ะ การที่เราแพ้แล้วนั่นคือ เราเกิดอารมณ์กรรมแล้ว ถ้าเราไม่แพ้ก็ต้องเป็น สักว่ารู้ สักว่าเห็น แทน ความคิดที่ร่วมปรุง กับการเห็นความคิด จะแตกต่างกันค่ะ คือ

    เห็นความคิดเกิดขึ้นมาแล้วจิตส่งไปร่วมกับความคิดเกิดเวทนารับต่อความคิดนั้น ๑ ....นี้เป็นอารมณ์กรรมแล้ว

    เห็นความคิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์ที่ต่อเนื่องจากความคิดออกมา แล้วก็จรจากไป๑ ....รู้เท่าทันอารมณ์ อารมณ์จึงดับไป ไม่เป็นกรรม

    เห็นความคิดที่เกิดขึ้นมา แล้วความคิดก็จรจากไปเอง๑...รู้เท่าทันความคิด อารมณ์จึงไม่เกิดร่วมด้วย

    และเห็นความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ความคิดก็หายไป๑....

    ตรงนี้ค่ะประเด็นสำคัญ ถ้าเกิดสติรู้ความคิดจะหยุดไปเอง แต่ถ้าเป็นเสขะผู้ยังศึกษาอยู่เราจะไม่เข้าใจถึงเหตุแห่งอารมณ์กรรมว่ามีปัจจัยเนื่องด้วยอะไรจึงเป็นนิสัยที่เก็บนอนเนื่องเอาไว้ เพราะจะต้องเป็นไปเพื่อกำจัดความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ และความสิ้นไปแห่งโมหะอยู่

    ทีนี้มีสองประเด็นการมาอยู่กับรู้แล้วเห็น กับการมาอยู่กับรู้แล้วดับไป เราน่าจะใช้ได้ทั้งอย่างแล้วแต่กรณี และไม่ควรที่จะดับความคิดอย่างเดียว แต่... น่าจะเป็นการศึกษามากกว่าค่ะ ที่จะตัดความคิดอย่างเดียวเพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์กรรม ไม่น่าจะถูกต้องนัก ควรจะใช้ "มะโนทะศึกษา อุปาทา สุขขา นิพพารา เขติ"


    อย่างกรณีพระอเสขะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า...
    1. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ ผู้บรรลุมรรคผลอรหันต์แต่ยังคงขันธ์ 5 ไว้ คือยังทรงชีพอยู่และยังต้องพบกับสิ่งที่เป็นโลกธรรม เพราะความเป็นอินทรีย์ห้า เป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย ย่อมเสวยทั้งอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่

    ตรงนี้แหละค่ะอยากถาม เสวยอารมณ์ทั้งพอใจและไม่พอใจ และยังสุขและทุกข์อยู่ คำว่ายังสุขและทุกข์อยู่ก็ยังพอประมาณได้เรื่องการรับรู้ทุกข์ของกาย แต่การเสวยอารมณ์พอใจและไม่พอใจอยู่ หากพระอรหันต์ยังมีสภาวะนี้ก็แสดงว่า มิได้การตัดเรื่องการรับรู้ใด ๆ แต่เป็นสภาวะที่รู้เท่าทัน ละหมดการยึดถือในอุปาทานขันธ์นะค่ะ 1402990715-saupatises-o.png


    Report this ad
    Report this ad
    Share this:
    แต่ถ้าเป็นอเสขะบุคคลตรงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
     
  4. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :):mad: jittyim..ดีใจที่คุณได้ศึกษา พุทธวจน เทียบเคียงแล้ว..อยากตอบคุณแต่ช่วยพรีเซ้นต์สั้นๆได้ไหม-ใช้ความคิดตนเอง ที่เกิดจากการปฏิบัติ จะทำให้คุณจำ-และเข้าใจ-อย่าพยายามไปลอกเอาข้อเขียนที่อื่นมา หากเลี่ยงไม่ได้ ก็เอาที่มา-ที่ไป-ให้ชัดเจนด้วยครับ เอามาจากเล่มไหน ใครแต่ง -กะทู้ใหม่ของผม จะตอบคำถามนี้ได้หมดเลย สาะธุ
    อนึ่ง อย่าเอาความสำเร็จของ อรหันต์มาเทียบเคียงกับ ผู้เริ่มปฏิบัติของเรา คุณจะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน-คุณจะเชื่อได้อย่างไรว่าที่คุณยกมานั้นเป้นความรู้ที่ถูกต้อง..
    :):):) jittyim ไฟเมื่อสิ้นเชื้อแล้ว ดับไป "ไฟหายไปทางทิศไหน" ไฟหายไปทางทิศ เหนือ-ใต้-ออก-ตก หรือทิศใดตอบมาซิครับ
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    การอยู่กับปัจจุบัน คือ
    การอยู่กับกริยาที่เป็นปัจจุบัน เช่น เดินก็รู้ว่าเดินอยู่ทุกขณะ
    นอนอยู่ก็รู้ว่านอน พอจะเปลี่ยนอริยาบทอื่น ก็ตามรู้ว่า
    กำลังจะเปลี่ยนอริยาบทแล้ว ตามอยู่อย่างนี้ จนเปลี่ยนอริยาบทไป
    ซึ่งถ้าหากว่าเป็น ผู้ที่ฝึกใหม่ การหลุดไปทำสมถะ หรือ เผลอเพ่ง
    แทนการตามรู้อริยาบท ก็ยังมีบ้างตามความเคยชินเดิมๆ
    ที่ได้ฝึกการเพ่ง มาหลายชาติ พอจะฝึกสติ มันก็จะเผลอไปเพ่ง
    ด้วยความเคยชิน ฉนั้น ผู้ฝึกใหม่ต้องแยกให้ได้ว่า อันไหนเพ่ง
    อันไหนรู้ อันไหนตาม อันไหนติด
    แล้วก็ใส่ ความไม่เที่ยง หรือ การเป็นทุกข์มีสุข หรือ ความไม่ใช่ของของเรา
    ผสมลงไป ให้มันเกิดความเบื่อหน่าย ให้มันเกิดความได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
    ให้รู้จักความเกิดความดับ ให้มันเกิดการปล่อยวางในท้ายที่สุด


    อารมณ์ คือ
    การที่พบเจออะไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทางตา
    ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
    ไม่ยอมวางใจเป็นกลาง ไม่ยอมปล่อยวาง
    แต่กลับไป ปรุงแต่งจิต ด้วยการใช้
    ความอยาก หรือ ความไม่อยากของเรา เข้าไปก้าวก่ายจิต
    เผลอจิตไปอยากได้อันนั้น ไม่อยากได้อันนี้ อยู่ร่ำไป

    การหาทางดับทุกข์ คืออะไร
    สมัยก่อนเราฝึกสายวัดป่า ต้องระวังด้านจิตใจเป็นหลัก
    แต่เราไม่รู้ กลับไปเล่นกสินเป็นหลัก ก็เลยติดฤทธิ์
    เราไม่รู้ว่าต้องมี ครูบาอาจารย์สายวัดป่าที่ยังไม่ตาย
    ให้คอยควบคุมอย่างเคร่งครัด จึงจะผ่านสติปัฏฐานได้
    เราจึงผิดพลาดฝึกจิตใจเดี่ยวๆ เราใช้ร่างกายเพียวๆ
    วิ่งเข้าชนป่าหนาม คือ กิเลสของเรานั่นเอง
    พ่อชนแล้วเป็นทุกข์ เราเห็นทุกข์ แต่เราไม่มีอาจารย์คอยแนะนำ
    เราก็เลยใช้ฤทธิ์ ไปชนกับความทุกข์ พอเกิดทุกข์ก็เล่นฤทธิ์ๆ
    ก็รอดตัวทุกครั้งไป แต่ไม่บรรลุธรรม
    ทำอยู่ตั้งหลายสิบปี จนคล่องในญานสี่ แต่ไม่มีสติปัฏฐานเลย
    คล่องขนาดที่ว่า เห็นปู๊บ เสกปั้บ ได้เลย
    ถ้าอันไหนเรื่องใหญ่ อย่างการทำฝนหลวง ก็อาจจะเป็นเดือน
    เราจะคอยตรวจดูว่า ถ้าวัน เค้าทำฝนหลวง
    เราก็จะเรียกลม เรียกฝน มาช่วยเค้าอีกแรง
    เราติดอยู่ที่ โครตภูบุคคล อยู่หลายปีไม่ไปไหน
    ตำแหน่งนี้จะมีอาการ เหมือนๆกับได้เป็น พระโสดาบัน แล้ว
    คือมันแวบๆในจิตว่า เรานะโสดาบัน
    แต่พอตั้งใจวัดตามสังโยชน์จริงๆ มันก็ยังไม่ขาดนี้หว่า
    อ้าว แล้วที่จิตบอกว่า เราเป็นโสดาบันละ คืออะไร
    โครตภูบุคคลจะประมาณนี้

    วันหนึ่งเราไปอ่าน หนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่องที่บอกว่า ไม่ได้บวช แต่ไปแดนนิพพานได้
    เราอ่านไปก็ค้านไป หัวเราะไป สงสารไป
    สงสารไอ้คนที่อ้างว่า ไปแดนนิพพานได้
    มันคงโดนพระหลอกเข้าให้แล้ว มันผิดหลักของพระป่า
    ผมฝึกอยู่ 20-30 ปี แค่บรรลุธรรมยังทำไม่ได้
    แล้วนี้มันฝึกแค่ปีสองปี เสือกอ้างว่า ไปนิพพานได้
    สงสัยจะโม้ทั้ง พระอาจารย์ รวมทั้ง ลูกศิษย์ด้วย
    น่าสงสารจริงๆ แต่ก็เก็บไว้ในใจคนเดียว
    เพราะในที่นั้นมีลูกศิษย์แกอยู่ด้วย
    แกเป็นคนที่เตรียมหนังสือไว้ให้ผมอ่าน
    โดยแกบอกว่า ฝากเอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเลิกงานมาเอาคืน
    (แกมาบอกผมภายหลังที่ ผมดั้นด้นไป บ้านสายลม คนเดียวหลังจากวันนั้น)
    ผมไม่มีอะไรทำ จึงได้หยิบหนังสือแกมาอ่าน
    อ่านไปก็ด่าในใจไปตลอดว่า หลวงพ่อนี้ ท่าจะบ้า
    อะไรๆ ก็เล่นฤทธิ์ อะไรๆ ก็สวรรค์ อะไรๆ ก็นิพพาน อ้างตลอด
    อ่านมาจนถึงที่ หลวงพ่อบอกว่า หากใครได้อ่านหนังสือท่าน
    แม้เพียงคำเดียว ท่านจะมาเก็บตกคนนั้น ไปเป็น ลูกศิษย์ท่าน
    ผมก็ยังปรามาสท่าน ไปอีกว่า คนอะไรจะทำงานที่เทียบเท่า พระพุทธเจ้าได้
    มันก็มีแต่ พระพุทธเจ้า ด้วยกันเท่านั้น กำลังบารมีจึงจะเทียบเท่ากัน
    แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่า เป็นการโปรโปทพระ โปรโมทอาจารย์
    ของเหล่าลูกศิษย์ที่ไม่รู้เรื่องเท่านั้น คงไม่ใช่ความจริงแน่นอน

    ต่อมาหลายวัน ผมฝันถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านมายืนยิ้มให้
    แล้วก็มีนางฟ้าใส่ชุดไทยสีชมพู ถือพานมาวางไว้ให้
    โดยรูปร่างของแก เป็นการวาดแบบการ์ตูน
    เราก็งงไปใหญ่ คิดในใจว่า อะไรกันวะ งานพระพุทธศาสนา
    แต่เอาพวกที่เป็นการ์ตูน มาหาเรา มันใช้ไม่ได้สิ้นดี
    อย่างน้อยชุดของนางฟ้า ก็ควรจะเป็นชุดไทยที่เค้าถ่ายรูปไว้
    ไม่ใช่ภาพการ์ตูน นี่จึงเรียกว่า การไม่ให้เกียรติกัน
    แล้วพี่นางฟ้าการ์ตูน ก็พูดกับเราว่า หลวงพ่อใช้ให้มา
    จิตของเราจึงมาตามหา พวกท่านทั้งหลาย
    เราจึงหันไปทางหลวงพ่อ ก็ยิ้มให้เราอีก
    แล้วของท่านที่ว่า ท่านจะเก็บตกทุกคนที่อ่านหนังสือของท่าน
    แล้วสื่อจิตถึงท่านได้ ท่านก็จะออกมาช่วย งานพระศาสนา
    เราก็อ๋อทันที แค่คำเดียว เราก็เกททันที ไม่ต้องพูดกันมาก

    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเล่น เฟสบุค อยู่
    ก็มีทีมงานส่ง คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้
    เราจึงกดเข้าไปอ่าน รู้สึกว่าสนุกดี มีแต่พวกติดฤทธิ์ทั้งนั้น
    สัมผัสได้เลย ทุกคนที่อ่านดู ล้วนมีฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก
    แต่ก็มีภูมิธรรมมากกว่าเรา อีกหลายคน ทำไมน้อ
    อ่านไปอ่านมา ไปอ่านกระทู้ที่ชื่อว่า ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ
    แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

    http://palungjit.org/posts/10664318/
    เราเห็นรูปโปรไฟล์เป็น นางฟ้าการ์ตูนสีชมพู
    เราตกกะใจทันที คิดในใจว่า อ้าวนี้เรื่องจริงนี้หว่า
    กรูก็คิดว่า เป็นเรื่องความฝันของเด็กติดเกมส์
    ที่เล่นเกมส์มากจนเพี้ยนไป เข้ากับใครเค้าไม่ได้
    หลังจากนั้นมา ก็อ่านคำสอนอยู่เวปนี้ ไม่ไปเล่นเกมส์ที่ไหนอีก
    อ่านคำสอนของหลวงพ่อ มันส์กว่าม๊ากกกกกกกกกกกกกก
    ผมจึงแจ้งเกิดจาก กระทู้นี้ด้วยประการฉะนี้ละ ท่านผู้อ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2018
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "กิเลส" มีต้นเหตุมาจาก "การปรุง"

    +++ การ "ฝึก" ทั้งหลายก็หมายเอาที่ "ตัด/พ้น" การปรุงเป็นหลัก

    +++ หยุดปรุงได้เมื่อไร "กาย รู้สึกกาย จิต รู้สึกจิต" ก็ปรากฏมาเอง

    +++ นี่จึงเป็น "เบื้องต้น" ของมหาสติโดยฝึกผ่าน "ปัฏฐาน ทั้ง 4 ประการ"

    +++ เมื่อผ่าน "ปัฏฐาน ทั้ง 4 ประการ" ได้แล้ว

    +++ คำว่า "มหาสติ" ก็ไม่ต้องไปหาจากที่อื่นใด "มันอยู่ที่นั่น มันมีอยู่แล้ว" โดยธรรมชาติของตัวมันเอง

    +++ "มหาสติ" คือ "จิตสงบ" ที่หากันจนสุดขอบฟ้า แท้จริงแล้วมันโดน "การหา" นั่นแหละ "พราง" เอาไว้

    +++ หยุดหาเมื่อไร "สิ่งที่พรางเอาไว้" ก็ย่อม "เปิด" ออกมาเอง

    +++ สิ่งที่พรางเมื่อเปิดออกแล้ว ก็เหมือนกับ เปลวเทียนที่ดับหายไป

    +++ หากจะถามว่า "สิ่งที่พรางหายไปไหน" ก็ตอบได้ว่า "มันหายไปกับ วิญญาณขันธ์" นั่นแล...

    +++ เมื่อนั้นแล พระอานนท์ ท่านก็ถึง อิริยาบทนอน เอวัง ...
    +++ หยุดปรุง หยุดหา แล้วอาการ "อยู่เฉย ๆ ก็รู้เอง" ก็ปรากฏมาทันที

    +++ ก็ "อยู่กับรู้" นั่นแล... เป็น "ปัจจุบันขณะ" ในตัวมันเองอยู่แล้ว ...
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ แสงที่ "กระทบฉาก" นั้น ไม่มีปัญหา "มโน" ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

    +++ แต่อาการที่ "ไม่มีฉากเอาเสียเลย" นั่นซิ "ภาพปรากฏ โดย ไร้มโน" คืออะไร

    +++ คุณ jityim ลองทำการบ้านแบบเล่น ๆ ดูนะ

    +++ แล้วจะ "รู้" ได้เองว่า "รู้ โดยไร้มโน (นึก-คิด)" มีได้จริงอย่างไร ...

    +++ เอาคำตอบแบบ "ไร้การบรรยาย ไม่ต้องเหตุผลแบบตรรกะแยะ"

    +++ เอาคำตอบแบบ "คำศัพท์ แบบ คำ ๆ เดียวพอ" จะได้ไม่ต้องฟุ้ง นะครับ
     
  8. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :):p อารมณ์ คือการที่จิตไปเสพไปเห็น-สิ่งใดแล้วเกาะอยู่ อาศัยอยู่ ปักอยู่ เราเรียกสิ่งนั้นว่าอารมณ์ ที่คุณตอบมาสะเปะสะปะมากเลย "nilakarn,:):p

    :oops: เรื่องที่คุณเล่ามา นั่นคือ ภาพมายาทางความคิดของคุณ สร้างภาพขึ้นมาเองในสมาธิ..ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์อะไรเลย ทุกคนก็เป็นครับ
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,429
    ค่าพลัง:
    +3,201
    การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ หากเรานึกตรึกพิจารณาเรื่องใดในใจอยู่ การรู้โดยไร้มโน-ความคิด ก็คือการรู้ธรรมที่ปรากฎขึ้นในใจเฉพาะหน้า๑ ด้วยการเห็นและเข้าใจธรรมที่ปรากฎและรู้ได้อย่างไร้ข้อแม้หรือข้อกังขาใด ๆ ทำให้เรารู้สึกสลดใจและเบื่อหน่ายบ้าง และบางครั้งก็เห็นสัจธรรมที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าตามสภาวะตามความเป็นจริง๑ ใช่แบบนี้หรือเปล่าค่ะที่ท่านธรรม-ชาติ ต้องการจะสื่อนะค่ะ
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    พี่ธรรมชาติคับ ผมอยากขอคำชี้แนะอีกนิดนึงคับ...พระธรรมคัมภีร์ที่ปรากฎเราจำเป็นต้องรู้หมดทุกบทไหมคับ...และเราจำเป็นต้องเลือกไหมคับว่าบทไหนใช้ตอนไหนใช้เวลาไหน..หรือชีวิตจริงต้องเจอทุกบทเลยต้องใช้ทุกบท...และบทแรกกับบทสุดท้ายของชีวิตจะเป็นบทแรกและบทสุดท้ายของธรรมในพระสัััััััััััััััััััััััััััััทธรรมจะเป็นบทเดียวกันไหมคับ
     
  11. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมแปลกใจนิดนึงคับ อารมณ์ทำไมคืออาการที่จิตไปเสพ...จิตมีอะไรใช้เสพคับ...ถ้าจิตมีช่องทางที่ใช้เสพจริง...คือ...จิตจริงๆมันมีทางเข้าทางออกไหมคับ เสพแล้วมันจะเจริญเติบโัตหรือเหี่ยวไหมคับ..คือ....สงสัยว่าจิตมันเสพเองหรือเราเสพแล้วไปโยนความผิดให้จิต...นำไปสู่จิตเป็นเราหรือไม่เป็นเรากันแน่คับในแง่นี้
     
  12. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เออแต่ผมเคยได้ยินและได้เห็นภาษาไทยเขาแปลไว้ว่าจิตเสวยอารมณ์ ฟังแล้วเหมือนจิตมันไปกินไปเสพ...ตำราก็ว่าไว้...แต่นึกสงสัยทุกที...ไปกินไปเสพ...บาลีเขาเขียนไว้อย่างไรกันแน่...เพราะอ่านภาษาไทยก็สับสนนะ...จิตเสพจิตเสวยอารมณ์...ในบาลีเขาเขียนไว้อย่างไรหรือถ้าพูดถึงจิตเสพหรือเสวยอารมณ์นี่....อันนี้แค่คิดนะยังไม่ได้...ใช้จิตจริงๆที่จะรับรู้...
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    คุณนี่น่าจะเป็น พวกสายปัญญานำ เหมือนเดิม
    ผมขอให้คุณอ่านแค่ สองส่วนก็พอ
    คือ ส่วนที่หนึ่งการอยู่กับปัจจุบัน
    กับส่วนที่สอง อารมณ์ หรือ การเสวยอารมณ์
    นอกนั้น จะเป็นคำสอนของท่านที่เป็น
    พวกศรัทธานำ กับ พวกวิริยะนำ จึงจะอ่านเข้าใจได้
    กำลังสมาธิไม่พอ อ่านมากไปจะเพี้ยนเปล่าๆ
     
  14. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    รู้แค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า อย่างไม่หวั่นไหว
     
  15. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ความรู้สึก ที่เกิดจาก ผัสสะ
    แต่อารมณ์หมายถึง การทนไม่ได้ต่อสิ่งเร้า
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตอบแบบนี้ ไม่มี ไตรักยาน เลยนะ

    ทำลม กับ รู้ตำจี ต่างกันนะ

    ทำลม เหม็น ตุตุ นิ่งแต่เน่า
     
  17. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    เป็นคำสอนของหลวงพ่อวิริยังค์ ขอรับ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ขุนหลวงหาวัด "วัก"อื่นดีกว่าไหม

    แถวนั้น โจนเยอะ

    โจน นอหนู ภิผุมหาโจน


    ปล. นะภะวานา ควร สึกษา ก่องกางลงทุน
    ควรเข้าวัดป่า เกินกว่าสองวัด โปรดสดับ
    "ยา" เมา ที่ "พระป่าท่านจะไม่ติดฉลาก"
    ซัดกะโถน ชี้ ออกทะเล กึ่ง มาเก้ตติ่ง
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ที่จะสื่อคือ "ณ ขณะที่ อยู่กับรู้" นั้น สัพสิ่งที่ "ถูกรู้" สามารถ "มีฉาก" ได้หรือไม่

    +++ ณ ขณะที่ "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" นั้น สภาวะธรรมที่เกิดมี "ตรึก นึก-คิด มโน" ได้หรือไม่

    +++ การ "รู้ โดยไร้มโน (นึก-คิด)" นั้น "สภาวะที่ ถูกรู้ ต้องอาศัย ฉาก" หรือไม่

    +++ แม้กระทั่ง "กิริยาจิต (ตรงนี้หยาบที่สุด)" ก็ยัง "ไม่มี ฉาก เป็นองค์ประกอบ แม้แต่น้อย"

    +++ "ฉาก" เป็นตัวยืนยัน ว่า "เป็นการเห็น โดยมโน"

    +++ อาการที่ "เห็นโดยสติ หรือ รู้ที่กลายเป็นเห็น" นั้น เป็นการเห็นที่ "ไร้ฉาก"

    +++ ลอง "ทำเล่น ๆ โดยไม่ซีเรียส" ดูนะครับ

    +++ ไม่น่าเกิน 7 วัน ก็น่าจะข้ามไปอีกระดับหนึ่งได้
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่จำเป็น ผมเอง ก็ไม่รู้ทุกบท
    +++ ถ้ามัวแต่เลือก คง ไม่ทันการณ์ ทั้งหมดต้องมีรากฐานมาจากการปฏิบัติ

    +++ สำหรับผม ผมเลือกเฉพาะ "บทปฏิบัติ" เท่านั้น ซึ่งเป็น "มหาสติปัฏฐาน 4"

    +++ จริง ๆ ได้มาจาก "อานาปานสติ" ที่ หลังจาก "ทิ้งลมหายใจ และ คำบริกรรมแล้ว"

    +++ สิ่งที่เหลืออยู่ คือ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" หลังจากนั้นแล้ว

    +++ ทุกครั้งที่ปฏิบัติ ผมเข้าที่ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" แบบตรง ๆ

    +++ และ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" แบบตรง ๆ มีอยู่แล้ว "ตลอดเวลา ที่ กายเนื้อ ยังมีอยู่"

    +++ ดังนั้นจึง "ใช้เวลาไม่มาก" ในการพัฒนา

    +++ อย่าประมาท "อายุในการใช้ กายเนื้อ มีได้ไม่นานเท่าไร" หรอกนะ
    +++ ทุก ๆ บท "เป็นประวัติศาสตร์" แต่เหตุการณ์ที่ต้องเจอ เป็น "ปัจจุบันขณะ"

    +++ ดังนั้น "ใช้ปัจจุบัน ผจญ ปัจจุบัน" ย่อมได้ผลมากกว่า "ใช้อดีต ผจญ ปัจจุบัน"

    +++ อย่าลืมว่า "ความจำในอดีต คือ ภาพหลอนใจ" ชนิดหนึ่ง

    +++ การฝึกให้ "อยู่กับปัจจุบัน" ได้ คือการ "ดำรงค์ (อยู่) + สติ (รู้) + มั่น (ไม่เป็นอื่น)"

    +++ แล้วจิตจะทำงาน "ด้วยตัวของมันเอง" โดยมี "สติ" เป็นพี่เลี้ยง

    +++ ทุกบท ผ่านมา แล้วทุกบทก็ ผ่านไป เท่านั้นเอง
    +++ ชีวิต สามารถ "แปรปรวน" ไปได้ทั้งหมด ตั้งแต่ "บทแรก ถึง บทสุดท้าย"

    +++ ส่วน บทปฏิบัติในพระสัทธรรม "เอกายนมัคโค" เริ่มที่ "สติผ่านฐานทั้ง 4 จน สติเป็นอิสระจากทุก สภาวะธรรม"

    +++ บทปฏิบัติในพระสัทธรรมตรงนี้ "เริ่มที่สติ จบลงที่ สติบริสุทธิ์" (ไม่ใช่การระลึก แต่ชี้ที่ สภาวะรู้) นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...