ทำไมพระพุทธเจ้าประเภทปัณยาธิกะ จึงบำเพ็ญบารมีได้ยากกว่าเพื่อนครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Kamen rider, 13 ตุลาคม 2004.

  1. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ผมเคยรู้ว่ามีพระพุทะเจ้า 3 ประเภท และ 20 กว่าองค์ที่ย้อนหลังลงไป จะมี

    วิริยาธิยะ มากกว่าเพื่อน รองลงมา ก็ ศรัทธาธิกะ และที่ผมแปลกใจคือ มีประเภทปัญญาธิกะ องค์ดียว คือ

    พระพุทธเจ้าของเรา คือ พระสมณโคดม เขาบอกกันว่า แบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมียากกว่าเพื่อน ตอนแรกผมนึกว่าบารมีท่านน้อยนะ แค่ 4 อสงไขย กับ อีก แสนมหากัปป์ แต่ตอนหลังมารู้ว่า ปัณยาธิกะนี่แหละ ยากกว่าเพื่อน
     
  2. Star Platinum

    Star Platinum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +1,152
    ในความเห็นของผม

    การเป็นพระพุทธเจ้านี้คือเส้นชัยของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์
    ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรก็เท่ากับระยะทางในการไปเส้นชัยนั้น

    การสั่งสมบุญจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ในระยะเวลาน้อยกว่าคนอื่นนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าท่านได้ทำบุญอย่างยิ่งยวดต่อเนื่องกันทุกๆชาติมากกว่าท่านอืี่น
    ต้องใช้ปัญญามากในการที่จะทำกิจต่างๆให้ลุล่วง โดยได้บุญ บารมี มากๆ

    นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่พระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะบำเพ็ญได้ยากกว่าแบบอื่นๆ

    แต่ผมว่าแบบอื่นๆก็ยากนะครับ แต่ยากกว่ากันคนละแบบ ถ้าเป็นแบบวิริยะกะ
    ก็คงจะบำเพ็ญเพียรโดยใช้เวลานานมากๆ เวียน ว่าย ตาย เกิด มากๆ เจอทั้งสุข
    ทั้งทุกข์มาก มีประสบการณ์มาก รู้มาก

    ถ้าเปรียบเทียบการบำเพ็ญเพียรในการ
    เป็นพระพุทธเจ้ากับการศึกษาระบบปัจจุบันแล้ว:

    ปัญญาธิกะ=นักเรียนที่สอบเทียบ ต้องมีปัญญาดี มีเทคนิคมาก เพื่อที่จะได้แข่งกับคนอื่นๆได้ (ขยันมากๆ ใช้ปัญญาอย่างมาก)
    ศรัทธาธิกะ=นักเรียนที่มีความชอบ สนใจและใส่ใจเรื่องที่เรียนมากๆ มีความตั้งใจมาก (มีความเชื่อมั่นกับเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้)
    วิริยะกะ= นักเรียนที่ขยันเรียนสม่ำเสมอขวนขวายเก็บเกี่ยวความรู้ ใช้เวลาอยู่กับเรื่องที่เรียนมากๆเพื่อให้รู้แจ้ง (ประสบการณ์นิยม เหมือนนักทดลอง)

    ไม่ทราบว่าความเห็นของผมจะถูกหรือผิดอย่างไร ถ้าผิดก็ขอขมาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ใครคิดเห็นอย่างไร บอกกล่าวกันด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2004
  3. cwyp

    cwyp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +529
    คุณ Star Platinum บรรยายได้เข้าท่าครับ

    ความคิดเห็นสมเหตุสมผลมากเลยครับ
     
  4. Star Platinum

    Star Platinum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +1,152
    ขอบคุณครับ คุณ cwyp
     
  5. phoenix

    phoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2004
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +144
    ทำไมพระพุทธเจ้าประเภทปั__าธิกะฯ

    เป็นที่ทราบกันดีว่า พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็_บารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นมี 3 ประเภทของการสร้างบารมี คือ ปั__าธิกะ ศรัทธาธิกะ และ วิริยาธิกะ ฃึ่งในแด่ละประเภทจะใช้เวลาในการสร้างบารมีต่างกัน ที่น่าสนใจคือพระโพธิสัตว์ประเภทปั__าธิกะนั้นเกิดยากมาก อาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า พระโพธิสัตว์ประเภทปั__าธิกะนั้นถือว่าเป็น" เพชรน้ำเอก" ของเหล่าพระโพธิสัตว์ เพราะระยะเวลาในการสร้างบารมีสั้นที่สุด บางบทเรียนพระองค์อาจใช้สติปั__าพิจารณาจนแจ้งตลอดโดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง ( อัจฉริยะ ว่างั้นเถอะ ) นอกจากนี้ยังต้องลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีบ่อยมากและในการสร้างบารมีนั้นต้องใช้ขันติบารมีสูงมาก ลองเทียบกับการเรียนในโลกมนุษย์ ถ้ามีหลักสูตรเรียน 16 ปีจึงได้ปริ__า คนที่ใช้เวลาตามหลักสูตรก็เรียนสบาย แต่คนที่ตั้งใจว่าจะขอใช้เวลา 8 ปีก็ต้องเพิ่มความเพียรพยายามมากขึ้นและคนที่ตั้งปนิธานว่าจะต้องสำเร็จหลักสูตรใน 4 ปีจะต้องทุ่มแรงกายแรงใจเท่าใดเพือความสำเร็จบรรลุพระโพธิ_าณ ดังนั้นพระโพธิสัตว์ประเภทปั__าธิกะ จึงมีน้อยมาก เราควรจะภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาในยุคสมัยของพระองค์ แม้ว่าจะไม่มีต้นกัลปพรึกเิกิดในแผ่นดิน และฤทธิ์เดชอาจมีน้อย แต่มนุษย์ก็ใช้ปั__าในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น โทรศัพท์ เครื่องบิน ฯลฯ
    สิ่งที่สำคั_ที่สุดคือ ผู้สร้างบารมีในยุคนี้จะได้เพิ่มแต้มเป็น 2 เท่าซะด้วย....
    ปริศนาก็๋คือ ทำไมจึงหาพระโพธิสัตว์ประเภทปั__าธิกะยากมาก ทั้งๆที่ใช้เวลาบำเพ็_บารมีน้อยที่สุด........ทำไม ทำไม ทำไม และทำไม:confused: :confused: ?????
     
  6. Star Platinum

    Star Platinum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +1,152
    ผมว่าเป็นเพราะการบำเพ็ญแบบนี้ต้องเข้มมาก

    ถ้าหากว่าภายใน4อสงไขยทำบารมีได้ไม่เต็ม
    ก็อาจจะเลยไปเป็น8หรือ16ิอสงไขยเป็นได้

    ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าทำไม
    อาจเป็นเพราะว่าคนที่อธิษฐานแบบปัญญาธิกะมีน้อยมาก หรือว่าพระพุทธสมณโคดมเป็นองค์แรกที่บำเพ็ญเพียรแบบปัญญาธิกะ?

    ใครรู้ก็ผ่านมาตอบหน่อยแล้วกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2005
  7. มารวิกะ

    มารวิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +526
    :) เป็นข้อสงสัยที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน
     
  8. jumpman

    jumpman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +885
    ถ้าถามผม ผมคิดว่าผู้ฉลาดในธรรมหาได้ยาก เพราะเราเกิดจากความไม่รู้นั่นเอง

    นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมแบบปั__าธิกะจึงมีน้อย
    เพราะว่าปั__าอินทรีย์ต้องแก่กล้า และก็ต้องเป็นปั__าในทางธรรม
    ดังนั้นก็เลยหาได้ยาก ถ้าหาง่ายก็คงบรรลุกันได้โดยง่ายและมาก หรือมีพระพุทธเจ้าหลายองค์มาเรื่อยๆ (บำเพ็_น้อย มากันเรื่อยๆได้อย่างรวดเร็ว)
    พิจารณาเหตุและผลได้ครบถ้วน พิสูจน์และเข้าใจรู้แจ้งโดยพลัน
    ไม่ต้องคิดแล้วคิดอีก ไม่ต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    นั่นล่ะปั__าธิกะ ที่ว่าทำไมน้อยนัก
     
  9. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    เอ๋.....ทำไม ต้องถามแบบนี้ด้วยหว๋า
    เราก็มะค่อยรู้ด้วยแหละ..
    แล้วคุณ...เป็นแบบไหนครับ
    คุณว่า การทำความดี ทำบุ_แบบไหนง่ายที่สุด แบบไหนยากที่สุด
    การให้ทาน บริจาคสิ่งของ ข้าวปลาอาหาร กับการวิรัตรักษาศิล กับการปฏิบัต ท่านว่าแบบไหนท่านทำได้บ่อย ได้มากครั้ง แบบไหนนานๆๆทำได้ครั้งสองครั้ง
     
  10. Star Platinum

    Star Platinum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +1,152
    ขอเพิ่มเติมความเห็นหลังจากที่ไม่ได้เข้ามาอ่านเสียนาน บังเอิญว่าผมไปพบความแตกต่างของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้นก็เลยนำมาฝากชาวพลังจิตกันครับ

    ผมคิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละประเภทนั้นบำเพ็ญบารมีความลำบากในการบำเพ็ญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครับ

    จากเรื่อง "อนาคตวงศ์" จากเว็บ 84000.org ในตอนท้ายๆนั้นก็กล่าวถึง ประเภทต่างๆของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้

    "พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่สมควรจะได้ตรัสนั้น ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบๆกันไปตามนัยดังแสดงแล้วแต่หนหลัง ด้วยวาสนาภูมิบารมีของพระบรมโพธิสัตว์สร้างมานั้นต่างๆกัน
    - ที่เป็นอุคฆติตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า ปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญาฯ
    - ที่เป็นวิปจิตัญญูโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๘ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า สัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธาฯ
    - ที่เป็นเนยยโพธิสัตว์ สร้างพระบารมี ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกชื่อว่า วิริยาธิกะ ยิ่งด้วยความเพียรฯ
    ตามประเพณีพุทธภูมิโพธิสัตว์ทั้ง ๓ จำพวก อันมีในคัมภีร์พระอนาคตวงศ์"

    (คัดลอกบางส่วนมาจาก http://www.84000.org/anakot/final.html)

    จากข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์มีสามประเภทเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีสามประเภทเช่นเดียวกัน

    พระโพธิสัตว์ทั้งสามประเภทคือ

    ๑.อุคฆติตัญญูโพธิสัตว์
    ๒.วิปจิตัญญูโพธิสัตว์
    ๓.เนยยโพธิสัตว์

    ซึ่งน่าจะเป็นประเภทของจริตของพระโพธิสัตว์ในแต่ละท่าน

    พระพุทธองค์ได้แบ่งบุคคลออกเป็นสี่เหล่า โดยเปรียบกับดอกบัวทั้งสี่ประเภท คือ

    ๑.อุคฆติตัญญู ได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใด ในขณะที่มีผู้สอนสั่งสอน เปรียบเทียบเหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว พร้อมที่จะบานเมื่อได้รับแสงพระอาทิตย์ในวันนั้น

    ๒.วิปัจจิตัญญู ได้แก่ ผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่านขยายความย่อให้พิสดารออกไป เปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอระดับน้ำ จักบานในวันรุ่งขี้น

    ๓.เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พากเพียรพยายาม ฟัง คิด ถาม ท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรมวิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจากน้ำ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากน้ำ แต่จะโผล่แล้วบานขี้นในวันต่อๆ ไป

    ๔.ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถาม ท่อง แล้วก็ไม่สามารถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม รังแต่จะเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่า

    คัดลอกมาจาก: (http://www.rtaf.mi.th/news/a02/m_arsanhabucha/arsanhabucha.html)

    หลังจากที่ผมตรึกตรองสักพักผมก็มีความคิดใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า บุคคล ๔ ประเภทที่กล่าวมานี้มิได้หมายความว่าบุคคลบัวพ้นน้ำจะฉลาดกว่าอีกแบบหนึ่ง แต่ผมเห็นว่าลักษณะของการเรียนรู้ในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันมิใช่ว่าใครเหนือกว่า ดังที่ผมได้อธิบายไว้ในความเห็นด้านบนของกระทู้นี้โดยการเปรียบเทียบกับนักเรียนในแต่ละแบบ แต่ละบุคคลมีความต่างกัน เช่น คนบางคนช่างคิด คนบางคนชอบจินตนาการ หรือคนบางคนชอบค้นคว้าทดลอง แต่ก็มิได้มีใครเหนือกว่ากัน

    ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ พระโพธิสัตว์แต่ละประเภทก่อกองบุญไว้ต่อหน้าพระพุทธเจ้าในพระชาติที่ได้รับพุทธพยากรณ์ไม่เหมือนกัน แต่ละองค์อาศัยปัญญา ศรัทธาและ วิริยะในการทำบุญกองนั้นๆ แต่มีความเด่นต่างกัน ซึ่งดูได้จากอนาคตวงศ์และพระพุทธโคดม

    เช่น บางองค์ได้บริจาคชีวิตเป็นทานต่อหน้าพระพุทธเจ้า อาจเป็นแบบศรัทธาธิกะ บางองค์ดำเนินไปพบพระพุทธเจ้าจนถลอกปอกเปิกด้วยความพยายามอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นจริตว่าเป็นวิริยาธิกะ หรือแบบพระพุทธโคดมเราบำเพ็ญมาแบบปัญญาธิกะ บุญที่ได้ทำไว้ในตอนที่ได้รับพุทธพยากรณ์คือ พาดตัวเป็นสะพานให้พระพุทธองค์และพระสาวกเสด็จข้าม (เรียกว่าทำบุญโดยอาศัยปัญญา ศรัทธาและวิริยะ แต่ก็เด่นด้วยปัญญาที่ท่านใช้ทำบุญใหญ่ครั้งนี้)

    นี่ก็เป็นข้อคิดที่ได้จากการสังเกตของผมนะครับ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าถูกหรือผิดไปอย่างไร (จริงๆแล้ว อาจจะเป็นเรื่องอจินไตยก็ได้)

    สุดท้ายนี้ผมขอฝากไว้ให้คิดเรื่องพระพุทธเจ้าประเภทต่างๆ โดยส่วนตัวผมคิดว่าพระโพธิสัตว์แต่ละองค์มีจริตต่างกันแต่จะมีความรู้ความสามารถเท่าเทียมกันเมื่อสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สิ่งที่ต่างๆกันอาจเป็นอายุ ขนาดของพระวรกาย อายุพระศาสนา ฯลฯ โดยผมขอทิ้งท้ายด้วยการเปรียบกับธรรมชาติของดาวฤกษ์ซึ่งมีหลายขนาด เช่น

    ดาวแคระแดงเป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็ก มวลน้อย ความสว่างน้อย แต่มีอายุยาว การเปลี่ยนแปลงน้อย
    ดาวฤกษ์ขนาดกลางแบบดวงอาทิตย์ในสุริยจักรวาลของเรา เป็นดาวฤกษ์ขนาดกลาง ทุกอย่างกลางๆ
    ดาวยักษ์แดงหรือน้ำเงิน เป็นดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ มวลมาก ความสว่างมาก อายุสั้น การเปลี่ยนแปลงรุนแรง

    อย่างไรก็แล้วแต่ทุกดวงก็คือดวงอาทิตย์เหมือนกันทุกดวง เป็นแสงสว่างแก่จักรวาลอันมืดมิดและไม่สิ้นสุดนี้ทั้งนั้น เฉกเช่นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มีความแตกต่างกันบ้าง แต่ก็เป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน โดยทุกพระองค์ได้ยังสรรพสัตว์ทั้งหลายอันมีจำนวนไม่สิ้นสุดนี้ให้เข้าถึงพระนิพพาน

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
     
  11. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    894
    ค่าพลัง:
    +577

    ได้เพิ่มแต้มเป็นสองเท่าคืออะไร
    (อย่างกับบัตรเครดิตกรุงศรีแน่ะ)
     
  12. kiatkiat

    kiatkiat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +825
    นั่นสิ .. ผมสงสัยเช่นกัน ครับ ...


    ว่าอะไรคือเพิ่มแต้ม 2 เท่าครับ

    แต่อ่านแล้วเห็นด้วยกับุคน Star platinum ฟังดูมีเหตุผลครับ
     
  13. cwyp

    cwyp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +529
    เหตุผลของที่ว่าทำไมการบำเพ็ญบารมีพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะจึงทำได้ยากกว่าเพื่อน

    เหตุผลของความยากง่ายในการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้ามีดังนี้ครับ
    ในการบำเพ็ญบารมีนั้นมีสิ่งที่จะใช้เป็นตัวนำอยู่ 3 แบบคือ ปัญญา ศรัทธา และวิริยะ
    ซึ่งในองค์ธรรม 3 อย่างนี้ ปัญญามีอำนาจในการประหารกิเลส และกำหนดรู้เท่าทันกิเลสได้มากที่สุด ส่วนศรัทธานั้นหากมีศรัทธาแกล้วกล้าก็จริงแต่ยังขาดการพิจารณาถึงสภาวะธรรมต่าง ๆ การกำหนดรู้เท่าทันกิเลสจึงอ่อนกว่าปัญญา ส่วนวิริยะนั้นเป็นความพยายามมุ่งมั่นในการกระทำแต่ถ้าหากไม่มีการพิจารณากำหนดรู้เท่าทันกิเลสต่าง ๆ ย่อมจะใช้วิริยะไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การทำทุกรกิริยาเป็นต้น ซึ่งไม่ใช่ทางที่ถูกต้องทำให้ล่าช้ามากในการบำเพ็ญบารมี จึงนับได้ว่าผู้ใดใช้ปัญญาเป็นตัวนำสร้างบารมี บารมีย่อมเต็มได้เร็วกว่าศรัทธาและวิริยะมากครับ เพราะกำลังในการพิจารณากิเลส รู้เท่าทันกิเลสนั้นมากที่สุด

    เหตุผลนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่านะครับ เป็นความคิดเห็นของผมเอง หากผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะด้วยครับ
     
  14. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ปัญญาเป็นของใหญ่ครับ.....

    ... คนเข้าใจยาก.... พระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ ท่านเน้นให้คนมีปัญญา ซึ่งคนปรกติ ในยุคท่าน ไม่มีหน่ะสิครับ

    ..(ความเห็นนะ ผมไม่รู้)
     
  15. phoenix

    phoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2004
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +144
    การสร้างบารมีเพื่อที่จะบรรลุพระโพธิญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบ่งเป็น3ระดับ จากบารมีธรรมจนถึงปรมัตถบารมี ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิเปรียบเหมือนนักเรียนที่ต้องมีอาจารย์มาดูแล การสร้างบารมีเหมือนการเรียนที่ต้องมีการประเมินผลการเรียนว่าผ่านหรือไม่ ต้องแก้ไขปรับปรุงอะไรบ้าง เช่นการบำเพ็ญทานบารมีนั้นขั้นต้นก็ให้เป็นสิ่งของ เงิน เป็นต้น มีใครบอกได้ไหมว่า ต้องให้เท่าไรจึงจะผ่าน มีเกณฑ์อะไรเป็นตัววัด ที่สำคัญคือใครเป็นผู้ประเมิน ผู้ปรารถนาในพุทธภูมินั้นต้องให้ชีวิตและ บุตร ภรรยาเป็นทาน จึงจะถือว่าผ่านการสร้างปรมัตถทานบารมี พระพุทธเจ้าของเราให้ลูกเป็นทานก็เกือบจะไม่ผ่านเพราะฃูชกตีลูกต่อหน้าทันทีและในเวลานั้นเป็นช่วงว่างศาสนาพุทธ พระเวสสันดรไม่รู้จักพระพุทธเจ้า แต่รู้คำว่าต้องทำเพื่อพระโพธิญาณ เมื่อพระองค์ทำใจให้แน่วแน่ในทานบารมีแล้วจึงวางอาวุธลง พระองค์จึงผ่านการทดสอบ ปรมัตถทานบารมีจึงสมบูรณ์ บารมีที่ต้องเรียนรู้มีตั้ง 30 ทัศ กว่าจะผ่านแต่ละขั้นยากมาก
    นอกจากนี้ยังเรียนรู้อุปนิสัยของสรรพสัตว์โดยเฉพาะของมนุษย์ว่าแต่ละอุปนิสัยมีแนวคิดอย่างไร แนวทางดำเนินชีวิตทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ฯลฯ
    ผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้นคือผู้ที่จะเป็นครูของโลกจึงต้องเรียนรู้ชีวิตโดยการเวียนว่ายตายเกิดจนนับครั้งไม่ถ้วน จนตัวรู้ฝังอยู่ในจิตจนครบตามกำหนดหรือที่เรียกว่าบารมีเต็ม จึงจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นอกจากนี้ยังต้องเกิดเป็นสตรีเพื่อเรียนรู้อุปนิสัยสตรีด้วย เพราะจะต้องจัดหมวดหมู่ธรรมในการที่จะให้สาวกนำไปปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น(นิพพาน)
    พระโพธิสัตว์ที่มาสร้างบารมีในยุคปัญญาธิกะจะผ่านเกณฑ์ง่ายกว่าและเร็วกว่ามาสร้างในยุคอื่นๆ เพราะธรรมะถูกจัดไว้ดีเรียบง่ายแต่ลึกฃึ้ง ดังนั้นคะแนนที่ได้จึงได้ง่ายและมากเหมือนคูณ2
    เมื่อสร้างบารมีมาถึงระดับหนึ่งแล้วจะไม่สามารถลาออกได้ โดยเฉพาะถ้าได้รับการพยากรณ์แล้วจะไม่สามารถลาได้เลยเหตุผลง่ายๆคือถ้าลาได้แสดงว่าคำพยากรณ์ไม่ถูกต้อง เป็นไปได้ไหม?? ที่ลาได้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่ตัวจริงอาศัยเกาะกระแสการมีพระพุทธเจ้าจึงอยากเป็นบ้าง แต่พอเริ่มสร้างไม่สามารถทนต่อความลำบากได้ เหมือนเรียนไม่ไหวก็ลาออกฃะ ส่วนที่ทนไหวก็สร้างต่อไปเรื่อยๆ จะเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง ครูและผู้ปกครอง(ทายฃิว่าใคร)ก็จะประคับประครองจนสำเร็จจนได้ ในสายปัญญาธิกะนั้นผู้ที่จะสำเร็จได้นั้น born to be ปัญญาธิกะหรืออัจฉริยะของพระโพธิสัตว์ จะพบน้อย ส่วนใหญ่ที่อยากเป็นปัญญาธิกะนั้นมักเป็นศรัทธาธิกะมากกว่าเพราะแนวการสร้างบารมีไม่ต่างกันมากนัก
    ขันติคือแกนกลางของบารมี ปัญญาคือแสงสว่างส่องทางบารมี ใจที่แน่วแน่ในโพธิญาณเท่านั้นที่จะทำให้บรรลุในจุดหมาย
    ภาระที่ยิ่งใหญ่ งานที่ยากลำบาก เป็นของบุคลที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
    สรรพสิ่งมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่ใจ สำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ใจเช่นกัน
    ขอให้พุทธภูมิทุกท่านบรรลุในสิ่งที่หวัง
     
  16. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    เรียนถาม อ.คนเมืองบัว มาแล้วครับ
    ท่านบอกว่า พุทธภูมิแบบ วิริยาธิกะ ยากที่สุดครับ
     
  17. คล้ายๆ กัน

    คล้ายๆ กัน บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
  18. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ดิฉันเข้าใจว่าอย่างนี้นะคะ...

    ที่ว่าพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะมีปรากฏได้ยากเพราะคนที่อาศัยปัญญา ต้องมีทั้งศรัทธาและวิริยะด้วยจึงจะบรรลุเป้าหมาย คือตั้งเป้าไว้ เชื่อว่าตนเองจะทำได้ และมีความพยายามใช้สติปัญญาคิดหาหนทางที่ตรงที่สุด สั้นที่สุด

    หากอาศัยศรัทธานำ บวกวิริยะ ก็สำเร็จได้ แต่ใช้เวลานานกว่า แบบใช้ปัญญาสองเท่า เปรียบเหมือนว่าเราเชื่อว่าอย่างไรเสียเราก็บรรลุเป้าหมายได้แน่ แค่พยายามต่อไป

    และหากไม่มีทั้งปัญญาและศรัทธา อาศัยลองผิดลองถูกไปเรื่อย ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือไม่ แต่ไม่ลดละ ก็บรรลุเป้าหมายได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เวลานานกว่าแบบศรัทธาอีกสองเท่า

    ปัญญาธิกะ= ปัญญา + ศรัทธา + วิริยะ (ใช้เวลา x หน่วย)
    ศรัทธาธิกะ= ศรัทธา + วิริยะ (ใช้เวลา 2x หน่วย)
    วิริยะกะ= วิริยะ (ใช้เวลา 4x หน่วย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2005
  19. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    ไม่มีใครมาให้คะแนนให้แต้มกันหรอกครับ มีแต่ผลกรรมเท่านั้นแหล่ะ เค้าจดผลกรรมกันครับ
    เรื่องบารมี เรื่องบัวสี่เหล่าน่ะถูกแล้วครับ
    คนไม่มีปัญญา ไม่กล้าทำปรมัตถบารมีหรอกครับ ใจไม่ถึง
    อย่างถ้าสมมุติว่าตอนนี้คุณถือพุทธภูมิ แล้วไปทราบมาว่ามีคนต้องการเปลี่ยนไตข้างนึง คุณจะให้มั้ยครับ นี่แค่อุปปบารมีเท่านั้น
    พระสมนโคดมตอนเป็นพระโพธิสัตว์ คิดด้วยปัญญาแล้วว่า การให้ชีวิตเป็นปรมัตถบารมี เป็นบุญใหญ่ สมควรกระทำ คิดแล้วก้ออาราธณาเทวดามาทั้งจักรวาล ให้อนุโมทนาบุญ แล้วค่อยโดดให้แม่เสือกิน (แม่เสือกำลังจะกินลูกตัวเองเพราะไม่มีอาหาร)

    ถึงหาปัญญาธิกะยากงัยครับ

    ท่านพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
    ท่านทำยังไงกับ forward เมล์ทั้งหลายที่เรียกร้องให้ท่านบริจาคไขกระดูก ไต รึว่าเลือดครับ
    ท่านเดินไปบริจาค แค่ forward รึว่าลบเมล์ทิ้งครับ

    ถ้าคุณใจถึง เดินไปให้เค้าตัดไต ก้อได้แค่อุปปบารมี กว่าบารมีจะเต็มก้อนานหน่อย ให้เดาเล่นๆก้อคงซัก แปดอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปป์เป็นงัยครับ

    รึว่าถ้าคุณสงสาร แต่ช่วยไม่ได้ เสียดายไต บริจาคเงินนิดหน่อย รึแค่ forward ต่อก้อยังดี นี่ซักสิบหกอสงไขยคงจะเต็ม แน่นอนว่าเวลานานขนาดนี้ คนไม่มีความเพียรจริงคงเลิกไปแล้ว ส่วนอันบนนั้น ถ้าไม่มีศรัทธาจริงคงไม่เดินไปบริจาคหรอกครับ

    ใครสนใจปัญญาธิกะบ้างครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2005
  20. ก้อง

    ก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +397
    ปัญญาธิกะพุทธเจ้า จะต้องบำเพ็ญบารมี 4 อสงไขยแสนกัปเมื่อบารมีเต็มแล้ว
    จะต้องรออยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต
    ศรัทราธิกะพุทธเจ้า จะต้องบำเพ็ญบารมี 8 อสงไขยแสนกัปเมื่อบารมีเต็มแล้ว
    จะต้องรออยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ประชาชนคนศรัทราในศาสนาของพระองค์จะมั่งคง
    ในศีล 5 อยู่เย็นเป็นสุข ยิ้มแย้มแจ่มใสอายุยืนยาว ความอดอยากยากแค้นเข็ญใจและความเดือดร้อนในการทำมาหากินจะไม่มี
    เพราะบารมีที่บำเพ็ญร่วมกันมาด้วยดีจนถึง 8 อสงไขยแสนกัปเลยบารมี
    ของสาวกภูมิทั่วๆไปอีกด้วย
    วิริยะธิกะุพุทธเจ้าต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีนานกว่ามากเป็น 2 เ่ท่าคือ 16
    อสงไขยแสนกัป ท่านลองนึกดูว่าเิ่นิ่นนานสาหัสขนาดไหน ที่พระโพธิสัตว์จะต้องทนทุกขเวทนาแบกสังขารของตัวเอง แล้วยังต้องแบกทุกข์แบกสังขารของคนอื่นอีกจนครบ 16 อสงไขยแสนกัป
    พุทธบริษัทในยุคนี้จะมีความสุขมากกว่ายุคใดๆจะมีอายุยืนยาวมากเพราะต่างคนต่าง
    ได้บำเพ็ญบารมีมามากด้วยอธิฐานติดตามพระโพธิสัตว์ผู้นำของตนมาจน 16 อสงไขยแสนกัป จึงนับได้ว่าบารมีของผู้ติดตามพระวิริยะธิกะพุทธภูมินั้นล้นแล้ว
    เพราะผู้ที่ปรารถนาเพียงสาวกภูมิของพระพุทธเจ้าองค์ใดๆนั้นเพียงบำเพ็ญแค่ 1 อสงไขยแสยกัปเท่านั้นเอง รวมความว่าพุทธบริษัทในยุคของวิริยะธิกะพุทธเจ้า จะมีความสุขมาก มีสัญญาดี มีปัญญาดี ยิ่งกว่ายุคใดๆทุกคนจะร่ำรวยมาก
    ถึงพร้อมด้วยทาน ศีล สมาธิ ปัญญา พวกนอกศาสนาจะเข้าไม่ได้เลย เพราะบารมีความดีไม่เสมอกัน และจะเข้าสู่นิพพานในชาติสุดท้ายเหมือนกัน
    หมด
     

แชร์หน้านี้

Loading...