เคล็ดลับการเข้าฌานสี่ ในท่านอน ทำตามวิธีนี้ จะง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 14 มกราคม 2013.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เป็นวิธีที่ดิฉันค้นพบด้วยตัวเอง หลังจากเคยเข้าตอนนั่งมโณฯ หังจากนั้นดิฉันเริ่มสังเกตเห็นว่านิวรณ์มัักจะเป็นภาพที่ปรากฏ จากการผสมผสานสิ่งที่เราฝังใจหรือเห็นบ่อย เอาไปผสมกันกับภาพอื่นๆที่เราก็ฝังใจแต่เป็นเรื่องอื่น วิธีก็คือให้ท่านก่อนจะเข้าฌาณ ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ให้เปลี่ยนพฤติกรรมความสนใจเสียใหม่ ให้หันมาเป็นพฤติกรรมนักสะสมรูปรูปพระพุทธรูป ให้ดูพระบ่อย เซฟเก็บไว้ในคอมก็ได้คะ องค์ไหนสวยๆให้พิจราณา ช่วงเศียรช่วงพระสรีระต่างๆหลังจากนั้น อาทิตย์ถัดมาก็เริ่มได้เลย พอท่านนอน และยังไม่หลับแต่เริ่มง่วง พอมีนิวรณ์ปรากฏเข้ามาในตา ให้ท่านหย่าหลับ หรือปล่อยจิตให้หลับนะคะ แต่จงมองเพ่งไปที่ภาพนิวรณ์จนมันชัดเหมือนมองด้วยตาเปล่า และค่อยเปลี่ยนภาพนิวรณ์ให้เป็นรูปพระพุทธรูปที่เราชอบ แต่ถ้าใครได้ภาพนิวรณ์เป็นรูปพระอยู่แล้วยิ่งดี ให้เพ่งนิวรณ์จนกลายเป็นภาพนิมิต หลังจากนั้น ท่านจะเข้าสู่อาการฌาณสี่ ขอให้โชคดีทุกคนคะ( เคล็ดจะอยู่ตรงที่ว่าเวลาง่วง ร่างกายมันจะปิดการรับรู้จากสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส ทำให้ตัวจิตทำงานได้เต็มที่ การสร้างสมาธิจะง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  2. poppyrose

    poppyrose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +11,525
    ค่อยเปลี่ยนภาพนิวรณ์ให้เป็นรูปพระพุทธรูปที่เราชอบ
    คำว่าภาพนิวรณ์เป็นอย่างไรคะ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขออนุญาตถามนะครับ.
    ๑.ภาพนิวรณ์ในที่นี้..หมายถึงนิมิตรเทียม นิมิตรหลอก.หรือ เป็นภาพที่เกิดจากความคิดที่เกิดจากจิต..
    ที่ไม่เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติ.ที่เห็นภาพแล้วทำให้เกิดความคิดที่เป็นนิวรณ์ขึ้นมา

    ๒.หลักการก็เพื่อจะทรงภาพที่ไม่เกิดประโยชน์ซึ่งอาจส่งผลเสียในทางปฏิบัติเพื่อให้เป็นประโยชน์หรือครับ.
    ๓.หลักการว่าหากเกิดนิมิตรที่ทำให้เกิดเป็นนิวรณ์ จะทำให้เป็นภาพนิมิตรจริง...เพื่อไม่ให้เกิดนิวรณ์เพื่อผลทางสมาธิต่อไป..
    .
    ๔.แค่สงสัยว่า คุณ คิดว่านิวรณ์เป็นความคิด หรือเป็นภาพครับ..เพราะโดยปกติ
    การเกิดนิมิตร.ที่เป็นภาพหากนิวรณ์เข้าแทรกก็จะกลับมาสู่สภาวะปกติ.
    .ยกเว้นนิมิตรหลอก.ที่เราทราบได้..ที่ใช้กำลังสติเพื่อทรงอารมย์ที่จะดูว่านิมิตรจริงๆเป็นอย่างไร​

    ๕.และคุณคิดว่าถ้าภาพนิวรณ์ของคุณที่ปรากฏถ้าไปกำหนดให้เป็นภาพพระอย่างนั้น..
    ไม่คิดว่าจะโดนนิมิตรซ้อนกลหลอกอีกขั้นหรือครับ..เพราะเป็นการใช้ความคิดเราไปกำหนดให้เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ..ไม่ได้เกิดจากจิตที่มีความเป็นทิพย์

    และไม่ใช่เป็นการวางอารมย์เพื่อรอให้สิ่งที่ทำให้เกิดนิมิตรนั้นหมดกำลัง.
    เพื่อให้แสดงของจริงออกมา..ประมาณนี้นะครับ..ขอฝากคำถามทิ้งไว้นะครับ..
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    เป็นวิธีที่ดิฉันค้นพบด้วยตัวเอง หลังจากเคยเข้าตอนนั่งมโณฯ หังจากนั้นดิฉันเริ่มสังเกตเห็นว่านิวรณ์มัักจะเป็นภาพที่ปรากฏ จากการผสมผสานสิ่งที่เราฝังใจหรือเห็นบ่อย

    +++ คำศัพท์ที่คุณใช้คำว่า "นิวรณ์" นั้นมีคำอธิบายอยู่ใน "จิตมาร" ภาคที่ 3 ในกระทู้ "เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร" หน้าที่ 6 อาการตรงนี้เป็น "ความจำ"

    +++ การที่ตัวดูเลือกที่จะต่อติดกับสภาพต่าง ๆ แล้วกลายมาเป็นการรับรู้นั้น ใช้เพียงแค่ "กิริยาจิต" เดียว ที่เข้าไปต่อติดกับ "วาระจิต" ที่ "ผุดขึ้นมา" และสามารถเก็บเป็น "ความจำ" ได้และ "ความจำ" ที่คล้าย ๆ กันหรือเป็นประเภทเดียวกันนั้น ก่อให้เกิดความคุ้นเคยเรียกว่า "อุปนิสัย" และ "อุปนิสัย" นี้มักจะเรียก "ความจำที่ซ้ำซ้อนอยู่ในหมวดเดียวกัน" นั้นออกมาเป็นชุด ๆ และร้อยเรียงกันออกมาเป็น "ความคิด" โดยที่ต้นกำเหนิดทั้งหมดมาจาก "อนิจจัง" ที่เป็นเพียงขณะจิตเดียว นิสัยตรงนี้เป็นความเคยชิน ยังเป็นแค่ "อุปนิสัย"

    เอาไปผสมกันกับภาพอื่นๆที่เราก็ฝังใจแต่เป็นเรื่องอื่น

    +++ ตรงนี้เอา "อุปนิสัย" เข้ามาทับซ้อน

    วิธีก็คือให้ท่านก่อนจะเข้าฌาณ ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ให้เปลี่ยนพฤติกรรมความสนใจเสียใหม่ ให้หันมาเป็นพฤติกรรมนักสะสมรูปรูปพระพุทธรูป ให้ดูพระบ่อย เซฟเก็บไว้ในคอมก็ได้คะ องค์ไหนสวยๆให้พิจราณา ช่วงเศียรช่วงพระสรีระต่างๆหลังจากนั้น

    +++ จัดได้ว่าเป็นการสร้าง "อุปนิสัย" ใหม่ใน "พุทธานุสติ" โดยจำ "พระพุทธรูป"

    อาทิตย์ถัดมาก็เริ่มได้เลย พอท่านนอน และยังไม่หลับแต่เริ่มง่วง พอมีนิวรณ์ปรากฏเข้ามาในตา ให้ท่านหย่าหลับ หรือปล่อยจิตให้หลับนะคะ แต่จงมองเพ่งไปที่ภาพนิวรณ์จนมันชัดเหมือนมองด้วยตาเปล่า และค่อยเปลี่ยนภาพนิวรณ์ให้เป็นรูปพระพุทธรูปที่เราชอบ

    +++ เป็นการเอา "พุทธานุสติ" เข้าไปทับซ้อน "ความจำ" หากสติรู้เท่าทัน หรือ อุปนิสัยใหม่ เข้มแข็งพอ ก็ทำได้

    แต่ถ้าใครได้ภาพนิวรณ์เป็นรูปพระอยู่แล้วยิ่งดี ให้เพ่งนิวรณ์จนกลายเป็นภาพนิมิต

    +++ สรุปลงมาเป็นการ "เพ่งพระพุทธรูป" หรือ "กสิณพระ" นั่นเอง

    หลังจากนั้น ท่านจะเข้าสู่อาการฌาณสี่ ขอให้โชคดีทุกคนคะ( เคล็ดจะอยู่ตรงที่ว่าเวลาง่วง ร่างกายมันจะปิดการรับรู้จากสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส ทำให้ตัวจิตทำงานได้เต็มที่ การสร้างสมาธิจะง่าย)

    +++ หากเข้ากสิณพระได้ ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าหาก สติ หรือ อุปนิสัยใหม่ ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ คุณ DuchessFidgette ควรจะวางแนวทางในการป้องกันในกรณีนี้ไว้ด้วย มิฉะนั้น อาจเกิดกรณี "อุปนิสัย" ทับซ้อน "อุปนิสัย" และ ทับซ้อน ๆ กันหลาย ๆ ชั้นได้ และด้วยระดับความเร็วของ วาระจิต ในขณะที่มีสมาธิเริ่มเป็นองค์ประกอบ และการสะสมอันยาวนานนับอสงไขยของความเป็นจิต คุณ DuchessFidgette คงพอเข้าใจนะครับ
     
  5. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    เรียกว่าภาพติดตาหรือเปล่า แต่ว่าถึงณาน 4 เลยเหรอ ไม่น่าเป็นไปได้เลย
     
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เวลาคุณนั่งสมาธิ พยามคุมจิตให้นึกถึงแต่พุทธโธ ๆ
    ใช่ไหมคะ คนที่สมาธิยังไม่ดี จะมีภาพนั้นนี้ เสียงบ้าง
    แทรกเข้ามาเอง นั้นแหละคะที่เรียกว่านิวรณ์
    มันจะมาเองโดยที่เราไม่ได้คิด
     
  7. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เป็นการสร้างภาพพระเข้าไปเป็นสัญญาคะ
    ฌาณสี่จะได้อภิญญาอย่างอ่อน ถอดจิตได้
    ซึ่งตรงนี้คนปฏิบัติต้องรู้เองว่าเป็นอย่างไร
    ไม่ขอพูดสิ่งที่ดิฉันเจอหรือเห็น ไม่เคยคิดว่า
    ตนเองได้ฌาณสี่จน มีพระระดับเกจิฯ
    บอกว่าว่าดฉันได้แล้ว
    ...ส่วนฤทธิ์ที่ได้จากฌาณสี่ที่เคยทำได้
    ก็อย่างเช่นมองเห็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า (เฉพาะเวลาเข้าฌาณนะคะ
    ไม่สามารถอยากเห็นหรืออยากรู้ได้
    มันจะมาของมันเอง อยากไม่ได้คะ)

    มีอยู่ครั้งนึงดิฉันอนหลับในห้องเพราะนอนดึก
    ญาติดิฉันป่วยจะมีแพทย์เปลี่ยนคนรอบใหม่
    มารักษาที่บ้าน ดิฉันไม่ได้ไปเปิดประตูให้หมอ
    กับผู้ช่วยของเขา เพราะง่วง ญาติผู้หญิงคนนึง
    จึงไปเปิดแทน ระหว่างที่นอนยังไม่หลับ
    ดิฉันสามารถมองเห็นหมอกับผู้ช่วยทั้งๆ
    ที่ตัวเองไม่ได้ออกจากห้องนอน คือเห็นขณะหลับ
    รู้ว่าใส่เชิร์ตแขนยาวออกสีชมพู ป็นหมอฝรั่งผมหยักศก
    ผูกเนคไทด์, ใส่แว่น มีผู้ช่วยเป็นผู้หญิง
    สามารถได้ยินที่พวกเขาพูด พอหมอ
    กลับไปดิฉันได้ออกไปถามญาติว่าหมอแต่งตัวแนี้
    หน้าอย่างนี้จริงไหม ญาติก็บอกว่าจริง
    กระทั้งอาทิตย์ถัดมาหมอคนเดิมก็มาอีก
    ทีนีดิฉันไปเปิดประตู ปรากฏ ใช่คนเดียว
    กับที่เห็นในนิมิตขณะหลับคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ดิฉันเคยฝึกมโณยิทธิ แต่คิดว่าไม่มีอาจารย์จะมานำ
    เราได้ตลอด 24ชม คะ ดังนั้นเราต้องเริ่มฝึกด้วยตัวเอง
    โดยไม่ต้องมีคนนำตลอด จะได้เข้าออกญาณ
    ได้คล่อง จึงคิดวิธีดังกล่าวขึ้นมา
     
  9. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    นิวรณ์ หมายถึงเครื่องกั้นความดี คือ

    กามฉันทะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์
    พยาบาท ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
    ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญสมณธรรม
    อุทธัจจกุกกุจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน และความรำคาญหงุดหงิด
    วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด

    ในที่นี้เจ้าของกระทู้คงจะต้องการให้จิตคุ้นเคยกับ พระ โดยอาศัยรูปพระเป็นเครื่องเข้าถึง กล่าวคือ เป็นการทำสมถะโดยอาศัยรูป ในท่านอน

    คงจะให้เกิดความเคยชิน โดยใช้ภาพพระเป็นกสิณให้ถึงฌาน๔ แต่ต้องระวังอย่าให้นิวรณ์ตัวที่เรียกว่า ถีนมิทธะมาทำลายนะครับ เพราะท่านอนนี้ ชวนหลับเสียจริง

    ตอนก่อนนอน หากใครที่ชอบเข้าฌาน หรือที่เรียกว่าฌานหลับ ผมว่า เอาไปลองทำดูก็ไม่เสียหายนะครับ

    ขออนุญาติเอาคำสอนหลวงพ่อมาประกอบครับ

    วิธีหลับในฌาน

    ความจริงถ้าเราสามารถทำจิตเข้าถึงฌานได้ทุกวัน ถ้าทำเข้าถึงฌานได้ทุกวันนี่ การตายของเราทั้งหมด แม้แต่ไอ้เรื่องนรก เลิกกลัวได้ใช่ไหม นี่วิธีเข้าฌานแบบง่ายๆ ก็นอนหลับเข้าฌาน ฌานหลับ อันนี้มันเป็นฌานจริงๆ คือว่าเวลานอนลงไปเราจะภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เป็นกุศล แต่ว่าจะพิจารณาลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ก็ได้ หรือว่าจะพิจารณาขันธ์ ๕ ก็ได้ ถ้าจิตอยู่ในอารมณ์ทั้ง ๓ ประการนี้ก็หลับไป จงทราบว่า ถ้าจิตเราไม่เข้าถึงปฐมฌานเพียงใด มันจะไม่ยอมหลับ

    ทีนี้ถ้าเราภาวนาอยู่หรือพิจารณาอยู่ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ แล้วก็หลับไป ขณะหลับตอนนั้นจิตเข้าถึงปฐมฌานแล้วจึงหลับ ในขณะที่หลับอยู่ท่านถือว่าหลับทรงอยู่ในฌาน ถ้าตายเวลานั้นเป็นพรหม นี่หากว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทสามารถทำได้อย่างนี้ทุกวันนะ เวลานอนลงไปภาวนาหรือพิจารณาหรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็จงอย่าบังคับ ถ้ามันจะหลับก็อย่าบังคับให้มันทรงตัวอยู่ ปล่อยให้หลับไปเลย เมื่อเริ่มลงนอนภาวนาว่า พุท ไม่ทัน โธ หลับ ยิ่งดีใหญ่ เพราะฌานนี่เราต้องการเข้าเร็วที่สุดที่จะเร็วได้ ไม่ใช่มานั่งโคลงกันใช่ไหม การเข้าฌานนี่นะเขาต้องการเร็วมาก หมายความว่าอย่างเรานอนหลับๆ พอพ้นจากฐานสุขปุ๊บ รู้สึกตัวเข้าฌานได้ทันที อันนี้เขาต้องการ วิธีที่เข้าฌานเขาต้องการให้เร็วที่สุดที่จะเร็วได้ ไม่ใช่ว่านั่งภาวนาได้นานๆ จิตถึงเข้าฌาน นี่ไม่ทันกิน ไม่ทัน ดีไม่ดีเดินๆ ไปเจอมดตัวเล็กๆ เห็นหน้าแล้วเราชอบใจ หัวเราะก๊ากๆ ตกใจตาย เลยเข้าฌานไม่ทันเลย

    นี่การเข้าฌานถือว่าให้เร็วที่สุด เพราะว่าการภาวนาเป็นการทรงจิตให้อยู่ในสมาธิ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นการทรงจิตให้อยู่ในสมาธิ แต่ว่าสมาธิที่เราจะพึงได้เราต้องการเร็วที่สุดใช่ไหม นี่มันถึงจะทัน เพราะว่าเวลาเราจะตายเรานึกไม่ได้เลย นึกไม่ได้ว่าขณะที่เราจะตายโดยฉับพลันหรือค่อยๆ ตาย เราก็ค่อยๆ คุมใจได้ แต่ถ้ามันตายในฉับพลันเราก็ไม่ทัน ทั้งนี้ก็เป็นการว่าเราจะตายเมื่อไรเราก็ไม่รู้ ตอนก่อนจะหลับ นอนภาวนาให้หลับไป ให้จิตเป็นทิพย์ ถ้านอนภาวนาหลับไปนี่มันจะหลับเร็วขึ้นทุกวันเลย หนักๆ เข้าพอนึกปั๊บเดี๋ยวมันก็หลับ

    พอหลับแล้ว บางทีเราเคยนอน ๘ ชั่วโมง สบายเลย ถ้าเราหลับด้วยการภาวนาหลับ ความจริงแค่ ๒-๓ ชั่วโมง ตื่นมาจะมีกำลังทันทีเพราะจิตมันทรงตัว จิตไม่เหนื่อย

    และก็เพื่อเป็นการป้องกัน ไอ้การที่เราตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นี่มันเป็นวันใหม่ จิตเราอาจจะไม่ทรงอยู่ในคุณความดีตามสมควร ถ้าตายแล้วอาจจะพลาดเป็นอกุศล นี่ตอนเช้ามืดเรานอนอยู่แบบนั้น ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่งก็ได้ พอตื่นขึ้นมาแล้ว แล้วเราก็ภาวนาให้สบาย พอใจสบายแล้วลุกไปทำงาน ถ้าเวลาไม่กระชั้น ถ้าคนนอนตื่นสายไม่ได้แน่ กินข้าวไม่ทันใช่ไหม นี่ถ้าตื่นเช้ามืดก็จับคำภาวนาตามจุดสัก ๕ นาที ๑๐ นาทีตามเวลา ให้จิตสบาย ถ้าจิตสบายเช้ามืดอยู่ในระดับฌานไหนก็ตาม วันนั้นทั้งวันเขาจะถือว่าจิตทรงอยู่ในฌาน แล้วบังเอิญไปตายด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม อย่างเลวที่สุดก็ไปสวรรค์ ถ้าอย่างดีก็ไปพรหม อย่าลืมนะ นี่เป็นการเอาทุนไว้ตั้งแต่เช้ามืดใช่ไหม

    อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากรู้หรือเปล่า โดยเฉพาะพระธุดงค์ เขาจะต้องฝึกจิตแบบนี้เป็นปกติ ธุดงค์นะ ไม่ใช่ธุบ้าน ปักกลดข้างเสาบ้านนั้นไม่ใช่ธุดงค์แล้ว ธุบ้านไม่เกี่ยวนะ ธุนี่ไม่จำเป็น เพราะธุดงค์ป่าลึกนี่เขาต้องคิดอยู่เสมอว่าอาจจะเสือกัดตายก็ได้ ช้างกระทืบตายเมื่อไรก็ได้ ดีไม่ดีนกกระจอกพูดไปพูดมาเป็นลมตาย ฟังเสียงนกกระจอกนะ เราต้องถือ มรณานุสสติกรรมฐาน เป็น อารมณ์ แล้วก็ต้องคิดว่าถ้าตายขณะใดเราจะไปไหน ไอ้คำว่าเราจะไปไหนนี่ ก็มีอยู่ว่าถ้าเราต้องการเป็นเทวดา วันนั้นทั้งวันก็ต้องตั้งจิตทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ ถึงเวลาตายไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ได้

    แต่ถ้าเขาคิดว่า เขาต้องการจะเป็นพรหม วันนั้นทั้งวันจะต้องตั้งจิตขณะที่นั่งคุยกันไป เดินกันไป อันนี้จิตเขาจะต้องทรงอยู่ในขั้นปฐมฌานและทุติยฌาน คือฌานที่ ๑ แล้วก็ฌานที่ ๒ ถ้าหากว่าเขาตั้งใจว่าเขาจะไปนิพพาน ตอนเช้ามืดเขาจะทำจิตให้เป็นฌานถึงที่สุด แล้วก็ถอยหลังอารมณ์ฌานมาพิจารณาสังโยชน์ สังโยชน์ ๑๐ นี่ก็ตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียว แล้วก็เมื่อตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวแล้ว ก็เอาอารมณ์จับพระนิพพานเป็นสำคัญ แล้วก็วันนั้นทั้งวันเขาจะใช้ อุปสมานุสสติกรรมฐาน ประจำ ใจ คือปรารภพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้ถ้าตายเมื่อไรเขาไปนิพพานเมื่อนั้น นี่พระธุดงค์ในแดนลึกเขาก็พร้อมที่จะตายอยู่ทุกวัน ที่เรียกกันว่า มรณานุสสติกรรมฐาน นี่เวลาหมดแล้วล่ะนะ เกิดความเข้าใจกันนะ สวัสดี

    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    ขอบคุณนะคะที่ชี้นำ... ส่วนอยากจะเสริมเรื่องความง่วงที่เกิดขึ้นซึ่งต่อกันระหว่างความตื่นและการหลับ.... หรือที่ใครๆเรียกครึ่งหลับครึ่งตื่นนี้แหละ เป็นเวลาที่เราสามารถติดต่อกับอีกมิติหนึ่งได้เพราะอารมย์ตรงนี้อยู่ในสภาวะคล้ายกับกำลังเข้าสมาธิ เพราะทั้งการเข้าสมาธิและ การอยู่ระหว่่างครึ่งหลับครึ่งตื่นจะคล้ายกันคือ ร่างกายปิดการรับรู้
    ทางสัมผัสสิ่งเร้า,ทำให้จิตทำงานได้เต็มที่ แต่ถ้าท่านปล่อยไม่ทำสมาธิ ร่างกายหลับจิตก็จะแสดงตัวออกมาในรูป สัญญา หรือ ความจำต่างๆที่เราเห็น หรือชื่นชอบ เกลียด ซึ่งพบเจอในตอนกลางวันซึ่งเป็นสิ่งที่จิตเสพเข้ามาจาก พื้นฐานการรับรู้ ความต้องการของร่างกาย เพราะตอนกลางวัน,เวลาตื่น, ทวารทั้งหกเปิด ต่อสิ่งเร้า....เข้าเรื่องต่อก็คือว่า เวลาเราง่วงและทวารร่างกาย หู ตาจมูกปาก ผิวหนัง ปิด การกระตุ้นสัมผัสทางกิเลส ถ้าไม่ทำสมาธิ? จิตจะแสดงตัวตนของมันออกมาซึ่งคือ สัญญาที่จิตเสพไว้เวลาที่ร่างกายเปิดการรับรู้ และนั่นก็คือ ออกมาในรูปของความฝัน ให้สังเกตดู ความฝันมักจะเป็นส่วนผสมระว่างหลายๆสิ่งที่เราซาบซึ้ง ทั้งด้านดีและไม่ดี แต่ถ้าระหว่างง่วง และมีภาพนิวรณ์เข้ามา ให้สังเกตว่าภาพจะชัดมากยิ่งกว่านิวรณ์ที่เกิดยามนั่งสมาธิ ตอนกลางวันเวลาที่ไม่ง่วง- นั้นยิ่งทำให้ขณะง่วงท่านสามารถสร้างกสิณพระได้ชัดมาก และเร็วกว่าการนั่งสมาธิตอนกลางวันและนึกภาพพระหรือ ภวาณา พุทธ โธๆ ซึ่งกว่าจะเข้าฌาณได้ ช้ามาก

    ดิฉันเคยมีประสบการณ์ถอดจิตระหว่างเข้าฌาณด้วยท่านอน และออกไปเจอวิญญาณจนกระทั้งลุกตื่นจากการเข้าฌาณยังได้ยินเสียงวิญญาณอยู่เลยก็มี ถึงรู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล และท่านสามารถเข้าฌาณสี่ได้เร็ว
    ดิฉันเคยเป็นโรคหอบหืดหายใจไม่ออก ความดันโลหิตต่ำ และแต่ก่อนเป็นบ่อยจนเวลาเหนื่อยก็จะมานอน ยกแขนเหยียดยาวๆเหนือหัว เพราะมันอึดอัดหายใจไม่ออก ซึ่งหลายครั้งทั้งเหนื่อยปนง่วง จนรู้สึกว่ากำลังจะตาย จึงเริ่มฝึกเข้าฌาณระหว่างง่วง อารมย์ ระหว่างเหนื่อยกำลังจะตายและร่างกายปิด สัมผัสการรับรู้ระบบประสาท หู ตาจมูกลิ้น ผิวหนัง ทำให้ดิฉันสามารถเข้าฌาณระหว่างง่วง และสามารถบังคับตัวเองให้ไม่หลับได้โดยทำสมาธิในระหว่างที่รู้สึกเหนื่อยเหมือนกำลังจะตาย ทำให้ดิฉันรู้สึกดีมาก ที่สมาธิที่ทำในระหว่างนั้นทำให้ตัวเองได้มีพลังจิตที่เข้มแข็ง และไม่สะทกสะท้านแม้ร่างกายจะเหนื่อยและทรมานก็ตาม หลังจากนั้นทำให้ดิฉันสามารถบังคับจิตให้เข้าฌาณระหว่างง่วงโดยไม่หลับหรือฝันได้ และสามารถบังคับฝันได้ด้วยคะ ไม่มีอะไรเกินความสามารถของจิต ให้ผู้ปฏิบัติทุกคนจงคิดว่า ท่านทำได้ ตอนนี้ที่ทำไม่ได้คือ ฌาณสี่ระหว่างตื่น โดยไม่ต้องใช้อาจารย์นำ คือถ้าใช้อาจารย์นำ ดิฉันก็ทำได้แล้ว แต่อยากเข้าออกฌาณได้โดยไม่ต้องพึ่งอาจารย์ เพราะความเป็นจริงไม่มีใครนำเราได้เวลาเรากำลังจะตาย เป็นสิ่งที่ยากที่สุดของดิฉันตอนนี้คะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  11. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    โมทนากับคุณ DuchessFidgette ด้วยนะครับ เรื่องแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ใครทำคนนั้นก็รู้
     
  12. นิราศสองภพ

    นิราศสองภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +78
    อยากทราบค่ะ ว่า อารมณ์ หรือความรู้สึก การเข้าฌาน4 เป็นอย่างไรคะ
     
  13. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    แต่จากที่ตัวเองเจอ และได้เล่าในเวปนี้ไปไม่รู้กี่รอบแล้ว คือ วิญญาณสามารถออกจากร่าง, สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ทั้งที่หลับตา แต่สามารถเห็นสิ่งของตามความจริงและชัดเหมือนเปิดตา ทั้งที่หลับตา อย่างถ้าคนที่ไม่ได้ฌาณสี่ ถ้าหลับตาและบอกให้เขาจินตนาการภาพพระขึ้นมา ภาพจะขาดๆหายๆ เห็นไม่ชัด เช่นเห็นเฉพาะเศียรบ้าง และจาง เหมือนภาพความคิด ถ้าฌาณสี่เมื่อไร หลับตานึกภาพพระจะชัดแจ๋วเหมือนมองด้วยตาเปล่า ไปลองทำดูคะ ใครทำได้เมื่อไร เมื่อนั้นจะรู้อาการฌาณสี่เป็นยังไง มันจะเริ่มจากเห็นภาพที่เราสร้างขณะหลับตาชัด จะปิดระบบประสาทร่างกาย ไม่มีการรับรู้จากระสัมผัสภายนอก ยิ่งคนที่ฌาณสูงกว่าฌาณสี่ ถ้าโดนไฟเผา หรือมีดแทงก็ไม่เจ็บเพราะอารมย์สมาธิไม่ได้จับที่ร่างกายแล้ว แต่ไปจับที่นิมิตทีกำลังเข้าอยู่ หลังจากนั้นจะมีแสงสีขาวรอบตัว และจะมองเห็นห้องที่เรานั่งสมาธิได้ทั้งที่หลับตา แต่จะเห็นเอง และขอย้ำว่าชัดเหมือนมองด้วยตาเปล่า หลังจากนั้นตัวจะลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆสามารถไปไหนก็ได้เพียงแค่คิด กสิณนี้ก็เหมือนกันนะคะ ว่าไปไม่ได้ต่างจากมโณยิทธิ แต่กสิณจะดีกว่าตรงที่เราฝึกและเข้าฌาณได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งเสียงอาจารย์นำ ฝึกแล้วเข้าออกฌาณได้เองบ่อยๆ แต่ข้อเสีย ใช้พลังสมาธิ เยอะ เหมาะแก่คนที่ีหัวศิปะชอบจินตนาการภาพ จะฝึกกสิณได้เร็ว
     
  14. SiamK

    SiamK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +54
    คุณDuchessFidgetteครับ ภาพนิวรณ์นี่สมาธิของเราต้องอยู่ในขั้นไหนเหรอครับ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นตอนที่เราหลับตาแล้วสักพักมันเห็นเป็นคล้ายๆกลุ่มควันสีต่างม่วงบ้างแดงบ้างกลมๆบ้างลอยไปลอยมาแบบนี้รึป่าวครับแล้วพยายามนึกมารวมให้เป็นรูปภาพพระที่เราเพ่ง
    ขอบพระคุณครับที่แนะนำ
     
  15. rapeepat

    rapeepat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +138
    ปัจจัตตัง

    เด็กน้อยในแดนธรรม
     
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ภาพนิวรณ์ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันนะคะ อย่างที่ตอบไป คือ นิวรณ์จะเกิด 2 เวลาดังนี้


    1.) ขณะนั่งสมาธิ เกิดเฉพาะคนที่ยังมีสมาธิไม่แข็ง ยังสมาธิไม่ค่อยดี พึ่งฝึก มันจะมาไม่เหมือนกัน เร็วมาก เป็นเสียงบ้าง ภาพบ้าง แต่จากการเฝ้าสังเกตและทดลองกับตัวเอง นิวรณ์จะเป็นภาพที่เกิดมาจาก สิ่งที่เราฝังใจ เช่นสมมุติ ท่านชอบฟังเพลงเพลงนีมันเพราะ เวลาเริ่มนั่งสมาธิ ถ้อยคำในเพลงที่ฟังบ่อยๆมันก็จะแว๊บเข้ามาในหัวระหว่างนั่งสมาธิ ทำให้นั่งสมาธิไม่ค่อยดี ไม่สงบ หรือ บางทีก็เป็นภาพแว๊บเข้ามาก็มี และภาพนิวรณ์โดยมากจะชัดมากเพราะมันจัดเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง



    2.)นิวรณ์เกิดระหว่างภาวะง่วงกำลังจะหลับ ก็จะมีความชัดเหมือนกันเป็นภาพ หรือเสียงแทรกเข้ามาในตา ในความคิด เป็นครั้งคราวชัด สั้นไม่นาน ถ้าร่างกายไม่สะดุ้งตื่น และปล่อยร่างพักผ่อน นิวรณ์เหล่านั้นจะเกดต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราวหรือที่เราเรียกว่าความฝันนั้นเอง


    นิวรณ์ก่อเกิดมาจากกิเลส ตัณหา เรื่องราว ภาพ รูปรส กลิ่นเสียง ทางประสาทสัมผัสที่จิตเสพเข้าไว้ในสัญญา ระหว่างที่ร่างกายเราตื่น ประสาท สัมผัส หู ตา จมูก ปากเปิดการ ทำงาน ดังนั้นนิวรณ์จะเกิดกับผู้มีกิเลส แต่จะไม่เกิด หรือเกิดแต่บังคับได้กับผู้ที่จิตฝึกมาดีแล้ว และควบคุม อารมย์ได้ คือ เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ได้ ชอบ หรือเอามาเก็บไว้ในสัญญา


    การนั่งสมาธิที่ดีไม่ควรมีนิวรณ์คะ เพราะจะรบกวรสมาธิเราให้เฉไฉ ไปตามนิวรณ์นั้นๆ ดังนั้นดิฉันถึงให้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ให้รักษาศีลไปด้วยก็จะดีมาก ดูรูป พระ ทำอะไรก็ได้ที่เปลี่ยนสัญญาเราให้เป็นเรื่องพระถ้านิวรณ์มันจะเกิดมันก็จะเป็นในเรื่องพระ ทำให้ง่ายต่อการสร้างนิมิตพระคะ
     
  17. SiamK

    SiamK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอบพระคุณมากๆครับ ผมจะลองนำไปปฏิบัติครับ
     
  18. sasiwatth

    sasiwatth สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เขาเรียกว่าอะไร

    ไม่เคยรุ้มาก่อนว่านี่คือฌาน ผมก็เคยเป็น สอง สามครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนกินยานอนหลับ ถ้าลักษณะที่ว่าคือฌาน ผมไม่แน่ใจว่า ที่เป็นคือฌาน หรือเปล่า แต่รู้สึก อิ่ม และ ตัวเบา มีความสุข นอนทั้งที่ยังนอน และจิต เหมือนมีความสุขมาก ก่อนจะเกิดอาการแบบนี้ ตอนนอน และ หูจะไม่ได้ยินอะไรเลย แล้ว เหมือนมีอะไรพาเข้าสู่โหมดมีความสุข และ ครั้งที่ สอง สาม มันเกิดขึ้นด้วยการตั้งใจให้เกิด หลับตาจิตอยู่กันสิ่งหนึ่ง แล้วจากนั้น หู จะไม่ได้ยินอะไรเลย หวืดเดียว เท่านั้นละครับ มันสุขอย่างบอกไม่ถูก ผมจะเป็นตอนนอนหลับเท่านั้น ผมพยายาม ทำตอนกลางวัน ไม่สามารถทำได้ ผมไม่ได้มองเห็นนิมิตร หรือ ใบ้หวยอะไรนะ แต่ มีหลายต่อหลายครั้ง คือเหมือนผมรู้สึกว่าเคยทำมันมาก่อน ที่ตรงนั้น ตรงนี้ เหมือนมันเกิดขึ้นแล้วอย่างบอกไม่ถูก และที่ตะลึงเคยฝันเห็นสิ่งๆ หนึ่ง คือสถานที่ท่องเที่ยวที่เชียงใหม่ ที่เป็นหน้าผา ที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จากสื่อไหน และเคยบอกแฟนว่า ตนไปเที่ยวหน้าผามา สัก สาม อาทิตย์ ผ่านไป อยู่วันหนึ่งตื่นเช้ามา แฟนก็กดแชร์ที่เที่ยว ที่แห่งนั้น คือมันเหมือนในฝันมาก ทางเดิน ลักษณะสี ทางเดิน สะดุ้ง อึ้งอยู่ช่วงหนึ่ง ยังบอกตัวเองไม่ได้ว่า มันคืออะไร
     
  19. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    โหมดนี้เปนโหมดแบบออโต้ ไม่ต้องเน้นอะไรมากครับ จะเกิดขึ้นทุกครั้งก่อนตัวเราจะหลับ
    โดยธรรมชาติ คนเราจะหลับได้ จิตเราต้องสบายไม่คิดอะไร ปล่อยวางสิ่งรอบข้าง เมื่อได้ที่จิตเผลอไป ก้หลับทันที ซึ่งจะใกล้เคียงกับอาการของคนเริ่มเข้าฌาน คือมีความสบายและใจเราปล่อยวางจนง่วงแล้วหลับ ไม่ร้สึกตัว

    แต่โหมดนี้ ต้องเน้นๆหน่อย เปนโหมดแบบmanual ก้คือใครฝึกบ่อยๆคนนั้นทำได้ ไม่ใช่จะทำได้ หรือให้เกิดเองเหมือนแบบแรก แล้วเกิดแบบสั้น เพราะ สมาธิไม่ได้ตั้งอย่ได้นาน
    มีความคิด และสิ่งที่กระทบอารมณ์มารบกวนจิตอย่ครับ แต่ทำในโหมดที่2 จะดีและมั่นคงกว่าแบบแรกมากๆ เพราะอาศํยสติและสมาธิที่มั่นคงกว่า เปนแรงขับเคลื่อนจนรู้สึกได้ว่าเหมือนเราได้ฌานนิดๆ

    นี่เปนผลพวงของการได้สมาธิแบบสั้นๆครับ คือมีความสุขและปิติเปนแรงหนุน จิตขณะนั้นจะสบายอย่างงั้นนานๆ แต่ว่ารุ้ได้ไม่มาก ซึ่งบอกได้เลยว่า สิ่งนี้เปนสิ่งที่ดีครับ แต่ถ้าบอกได้ว่า "สิ่งนี้มันคืออะไร??" แสดงว่าตอนนั้นปัญญาเราเกิดครับ ตอบโจทย์ในส่ิงที่เราสงสัยได้ด้วยตัวเอง!!
     
  20. babae

    babae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +470
    เข้าฌาณสี่เป็นอย่างไรนะ อิอิ
    มันไม่ยากครับ แต่อาศัยชั่วโมงบินและการวางใจนิดหน่อย
    จำอารมณ์ได้ก็เข้าได้แล้ว เอิ้กๆ แต่กว่าจะได้คล่องก็ผ่านมาแล้วยี่สิบกว่าปีเอิ้กๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...