หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระสีวลี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 31 มีนาคม 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    พระสีวลี<O:p</O:p

    ท่านกล่าวว่า สมัยหนึ่ง บรรดาภิกษุ (คำว่า สมัยหนึ่ง ก็คือเวลาต่อมานั้นเอง คือ ไม่ใช่เวลาเดี๋ยวนี้นั้น ) หลังจากฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เพราะเหตุอะไรหนอแล พระสีวลีเถระ จึงเป็นผู้อยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แล้วก็เป็นเพราะกรรมอะไร พระสีวลีจึงได้ไหม้ในนรกเพราะกรรมอะไร จึงได้ถึงความเป็นเลิศในลาภ และมียศเลิศอย่างนั้น<O:p</O:p
    หมายความว่า พระสีวลีนี้ เวลาแม่ตั้งท้อง อยู่ในท้องถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนที่พระสีวลีจะมาเกิด ท่านก็นอนในนรกสิ้นกาลนานเมื่อเกิดแล้ว มาเป็นพระ คราวนี้ มีลาภมาก เทวดาปรารภพระสีวลีแต่เพียงผู้เดียว การทำบุญคราวนี้ เราต้องการถวายหลวงปู่สีวลี หลวงพ่อสีวลีของเราเท่านั้น แม้แค่องค์สมเด็จพระทรงธรรม คือพระพุทธเจ้า ไปด้วยเทวดาก็ไม่ปรารภ พระพุทธเจ้านี้ถ้าเป็นคนที่มีกิเลส เห็นใครเข้ามาบูชาลูกน้องมากกว่า น่ากลัวว่าลูกน้องจะลำบาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าลูกพี่แก่อิจฉาเอา แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้นพระองค์ทรงยกย่อง ถ้าลูกศิษย์องค์ไหนดี ก็ยกย่องว่า เป็นพระดีเป็นพระควรแก่การบูชา<O:p</O:p
    ในลำดับนั้น เวลาที่บรรดาภิกษุทั้งหลายโดยทั่วหน้ากำลังปรารภกันว่าพระสีวลีนี้ เป็นเพราะกรรมอะไร จึงได้อยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเพราะอะไร จึงได้ลงไปในนรกสิ้นกาลนาน เป็นเพราะกรรมอะไร เวลาที่เกิดมานี้ จึงมีลาภมาก จึงมียศใหญ่ เป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย<O:p</O:p
    ในขณะที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายคุยกันอยู่นั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ในพระคันธกุฎีสมเด็จพระพิชิตมารฟังเสียงของบรรดาพระสงฆ์ด้วยทิพโสตญาณ คือหูทิพย์ คุยอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าก็ได้ยิน องค์สมเด็จพระมหามุนินทร์ใคร่จะเปลื้องความสงสัยของบรรดาภิกษุทั้งหลาย สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เสร็จมา<O:p</O:p
    เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จประทับอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกล่าวอะไรกัน (พวกเธอพูดอะไรกัน ) บรรดาภิกษุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปรารภเรื่อง บุพกรรมของพระสีวลี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยว่า ในสมัยที่องค์สมด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เสด็จไปเยี่ยมพระเรวตะคราวนี้ปรากฏว่าพระสีวลีแสดงบุญญาธิการ เป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเทวดาทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดความสงสัยว่า ทำไม พระสีวลีมีบุญญาธิการนาดนี้ จึงต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนจะมาเกิด ก็ได้ตกนรกเสียก่อน<O:p</O:p
    เมื่อมาเป็นคนแล้ว ก็มีบุญใหญ่ มีลาภมาก มียศศักดิ์ ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าข้า<O:p</O:p
    เป็นอันว่า เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลดังนี้แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระสีวลีว่า เหตุที่พระสีวลีต้องไปอยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี เดือน 7 วันเป็นต้น<O:p</O:p
    มาจากกรรมที่เป็นอกุศลอะไร<O:p</O:p
    ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกฺเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกัป 91 กัป นับถอยหลังไปจากนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก<O:p
    สมัยหนึ่ง เสด็จจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครของพระราชบิดาแล้ว (สมเด็จพระวิปัสสี ท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกันพระราชาทรงเตรียม อาคันตุกะทาน<O:p</O:p
    อาคันตุกะทาน คือ ทานแก่พระผู้มา หรือว่าแขกผู้มา อาคันตุกะ แปลว่า แขกผู้มา พระท่านจากที่ไกล ไม่ได้ประจำอยู่เฉพาะ ถือว่าเป็น อาคันตุกะ ทาน แปลว่า การให้ ( หมายความว่า ตั้งใจถวายทานแก่พระอาคันตุกะทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ) เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข<O:p</O:p
    แล้วก็ส่งข่าวให้แก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า ชนทั้งหลายจงมาเป็นสหายในทานของเรา (หมายความว่า พระองค์ให้ส่งข่าวให้ชาวบ้านมาร่วมกันบำเพ็ญทาน ) บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้น ทำอย่างนั้นแล้ว คิดว่า เราก็จะต้องถวายทานแด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเหมือนกัน แต่ชาวบ้านคิดว่า พวกเราจักถวายทาน แด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พวกเราจักถวายทานนี้ ให้ยิ่งกว่าทานของพระราชาถวายแล้ว (เขาเรียกว่า แข่งกันดี หรืออวดดี ไม่ใช่อวดเลว เมื่อราชาถวายทานแบบไหน เราจะทำไม่ให้แพ้พระราชาอย่างนี้เขาเรียกว่าอวดดี ควรอวด )<O:p</O:p
    จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันรุ่งขึ้น แล้วก็แต่งทานถวาย แล้วก็ส่งข่าวไปทูลแด่พระราชา พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรทานของบรรดาประชาชนเหล่านั้นแล้ว ดำริว่า เราจักถวายทานให้ยิ่งกว่า ทานนี้ ( คือ ดีกว่า ประเสริฐกว่าที่บรรดาประชาชนถวายแล้ว )<O:p</O:p
    ในวันรุ่งขึ้น จึงนิมนต์สมเด็จพระประทีปแก้วพร้อมด้วย บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พระราชาไม่สามารถจะให้ชาวเมืองแพ้ได้ (เป็นอันว่า ต่างคนต่างถวายแข่งกันแบบนี้ได้ ชาวเมืองถวายได้ ทำได้ดีกว่าพระราชา พระราชาก็ทำให้ยิ่งกว่าชาวเมือง ชาวเมืองก็ทำให้ยิ่งกว่าพระราชา ว่ากันอย่างนี้เป็นลำดับ)
    แล้วท่านกล่าวว่า ถึงชาวเมืองก็ไม่สามารถให้พระราชาท่านแพ้ได้ ( ต่างคนต่างไม่มีใครแพ้ วันนี้เราถวายเพียงนี้ วันพรุ่งนี้ เขาถวายยิ่งไปกว่า วันรุ่งขึ้นอีก เราถวายไปยิ่งกว่านั้น ) ฉะนั้นในครั้งที่ 6 ชาวเมืองจึงมาคิดว่า บัดนี้ พวกเราจักถวายทาน ในวันพรุ่งนี้ จะทำเรื่องของทานที่เราทำทั้งหมด โดยที่ใครๆก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า วัตถุชื่อนี้ ไม่มีในทานของเรานี้<O:p</O:p
    เป็นอันว่า การแข่ง การทานยิ่งประเสริฐเท่าไร มากเม่าไร เกิดการไม่แพ้กันขึ้นมาแล้ว ชาวเมือง คิดใหม่ว่า ขึ้นชื่อว่าทานทั้งหมด ที่เราถวายในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด จะไม่มีใครมาติได้เลยว่า สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มันไม่มีในที่นั้น จะต้องทุกอย่าง เมื่อต่างคนต่างต่างคิดแล้ว<O:p</O:p
    วันรุ่งขึ้น จึงได้จัดแจงของถวายเสร็จแล้ว ตรวจดูว่ามีอะไรหนอแลที่ยังไม่มีอยู่ในที่นี้อีก มองไปมองมา ก็มองไม่เห็นน้ำผึ้งดิบ จะมีก็แต่น้ำผึ่งสุก น้ำผึ้งดิบไม่มี ส่วนน้ำผึ้งสุกมีมาก บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้นจึงใช้ให้คน 4 พวก นำทรัพย์ไปพวกละหนึ่งพันกหาปณะ คือ หนึ่งพันตำลึงไปยืน อยู่ที่ประตูพระนคร 4 ประตู ( เพราะประตูเมืองมันมี 4 ประตู ) เพื่อต้องการน้ำผึ้งดิบ หมายความว่า ถ้ามีคนเขาเอามา เราก็ไปซื้อ<O:p</O:p
    ครั้งนั้น คนบ้านนอกคนหนึ่ง มาเพื่อจะเยี่ยมพวกชาวบ้านในเมืองก็ไม่เห็นจะอะไรติดมือมา ( เพราะแกอยู่ป่า ) ก็ถือรวงผึ้งมา 1 รวงไล่ตัวผึ้งออกให้หนีไปหมดแล้ว จึงตัดกิ่งไม้ แล้วถือรวงผึ้งนั้นมา พร้อมทั้งไม้คอนเสร็จ จึงเข้ามาสู่เมือง ด้วยคิดว่า เราจะไปให้กับเพื่อนของเราในเมือง<O:p</O:p
    สำหรับคนที่ไปยืนอยู่หน้าประตูเมือง เห็นบรุษคนนี้ถือรวงผึ้งมาเป็นคนบ้านนอก จึงถามว่า ท่านผู้เจริญ น้ำผึ้งนี้ท่านขายไหม คนบ้านนอกบอกว่า น้ำผึ้งฉันไม่ขาย ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน คนทั้งหลายเหล่านั้นจึงบอกว่า ท่านผู้เจริญ ท่านรับเอากหาปณะเท่านี้ ( คือ ท่านขายน้ำผึ้งให้เรา เราจะให้ 4 บาท หรือ 1 ตำลึง ) คนบ้านนอกก็คิดว่า รวงผึ้งนี้ไม่กี่บาท แต่ว่าเจ้าคนนี้สติไม่ดี ให้มากเกินไป เรายังไม่ให้ ต้องขึ้นราคาก่อน ( แกก็เป็นฉวยโอกาสเหมือนกัน)<O:p</O:p
    แกจึงกล่าวว่า เราให้ไม่ได้ ราคา 1 ตำลึง น้ำผึ้งรวงนี้ให้ไม่ได้ ราคามันแพง พวกนั้นก็ขึ้นราคามันแพง พวกนั้นก็ขึ้นราคา เป็น 2 ตำลึง 3 ตำลึง 4 ตำลึง<O:p
    (ก็ว่ากันดะไป) ผลในที่สุด ก็ขึ้นราคาถึง 1000 ตำลึงเท่านั้นนะ (หมด) ขอท่านจงให้น้ำผึ้งแก่เรา<O:p</O:p
    แต่ทว่าบุรุษผู้มาจากป่าแกก็เป็นคนมีปัญญา คิดว่า ต้องมีอะไรพิเศษสักเรื่องหนึ่ง จึงได้ถามว่า ผู้เจริญ ข้าพเจ้ารู้ว่า กรรมที่ข้าพเจ้ารู้ว่า กรรมที่ข้าพเจ้าจะทำในน้ำผึ้งนั้นมีอยู่เพราะเหตุใดท่านจึงมาขึ้นราคาอย่างนี้ พวกนั้นก็ถามว่า น้ำผึ้งท่านจะไปทำอะไร แกก็บอกว่า ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน ฉันเป็นคนอยู่ป่า มาคราวหนึ่งไม่มีอะไรติดมือมามันก็ไม่ดี พวกนั้นก็บอกว่า ฉันมีความจำเป็นเรื่องน้ำผึ้งดิบ อย่างอื่นมีครบ จึงให้ราคาถึง 1000 ตำลึง ความจริงฉันรู้ว่า น้ำผึ้งนี้ราคามันไม่ถึงบาท แต่ด้วยความจำเป็น จึงให้คนนอกจึงถามว่า เรื่องอะไร จึงได้ราคาแพง บอกมาสิ อยากรู้ ถ้าควรจะให้ ก็ให้<O:p</O:p
    บรรดาคนพวกนั้นบอกว่า พวกข้าพเจ้าเตรียมการถวายทานเป็นการใหญ่ เพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่า พระวิปัสสีทศพลผู้มีสมณะ (คือพระ) รวมกันด้วยกันทั้งหมด พระที่เป็นบริวาร 6800000 องค์ และก็มีพระพุทธเจ้าอีก 1 ในมหาทานนี้ อะไรๆของเรามีหมด ไม่อยู่อย่างเดียว คือน้ำผึ้งดิบ เท่านั้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอซื้อรวงผึ้งของท่านด้วยราคาแพง เพราะว่าต้องการจะเอาบุญ เพราะทานคราวนี้มีความประสงค์มีความประสงค์ว่า จะให้มีทุอย่าง ขึ้นชื่อว่า อะไรใน ทานนั้นไม่มี เราต้องการ ต้องการให้มันครบ ฉะนั้น จึงยอมซื้อแพงขอให้ขายด้วยเถิด <O:p</O:p
    คนบ้านนอกแกก็บอกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เพื่อน ข้าพเจ้าก็จักไม่ให้ด้วยราคา <O:p</O:p
    ( เรื่อง ไม่ยอมขาย ) แต่ท่านทั้งหลาย จะยอมให้เราร่วมบุญร่วมกุศล จะให้<O:p</O:p
    บรรดาคนพวกนั้น จึงได้ส่งข่าวไปหาหัวหน้าในเมือง บอกว่า เวลานี้เจอะคนคนน้ำผึ้งดิบมาแล้ว แต่ว่าเค้าไม่ยอมขาย แต่ถ้าเราไม่ยอมขาย แต่ถ้าให้เขาร่วม<O:p</O:p
    บุญด้วยละก็ เขาจะให้ เมื่อชาวบ้านทราบศรัทธาที่เขามี จึงได้ยกมือสาธุ ดีแล้วๆ พ่อคุณเอ๋ย มาร่วมบุญร่วมกุศลด้วยกันเถิด เรื่องบุญนั้นไม่หวงที่ต้องการน้ำผึ้ง ที่ต้องซื้อ เพราะเกรงว่าจะไม่ยอมทำบุญด้วย จึงกล่าวว่าขอเขาจงเป็นผู้มีส่วนได้บุญ มาร่วมบุญกัน<O:p</O:p
    บรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว ก็ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ มีพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้มาเสวยภัตตาหาร ถวายข้าวต้มถวายของเคี้ยว<O:p</O:p
    ที่นี้เขาบอกว่า ให้คนนำเอาถาดทองคำใบใหญ่มาแล้ว แล้วบีบรวงผึ้งลงไป เอาน้ำหวานออก แม้กระบอกนมส้ม อันมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นนำมาเพื่อต้องการเป็นของกำนัล มีอยู่ เขาก็เทนมส้มเหล่านั้น ลงไปในถาดทองคำ เคล้ากับน้ำผึ้งนั้น ได้ถวายแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข น้ำผึ้งนั้นก็ทั่วถึงแก่บรรดาพระภิกษุทุกรูป<O:p</O:p
    อย่าลืมว่า มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว มีพระสงฆ์ถึง 6800000 องค์ น้ำผึ้งรวงเดียว กับนมส้มหน่อยหนึ่ง ที่เขาผสมกัน พอดิบพอดี ( เหลือจากพระเสียอีก ) ท่านกล่าวว่า ผู้รับเอาจนพอความต้องการ ( หมายความว่า บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพอหมดแล้ว แถมเหลือเสียด้วยซ้ำ )
    ตอนนี้พระบาลีท่านกล่าวว่า ใครๆ ก็คิดว่า น้ำผึ้งน้อยขนาดนั้น จะพอเพียงกับภิกษุ 6800000 องค์ได้อย่างไร ท่านกล่าวต่อไปพระสูตรว่า จริงอยู่ ถึงได้ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ( น้ำผึ้งนั้นมีมากมาด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า ) ขึ้นชื่อว่า พุทธวิสัย ใครๆ ก็ไม่ควรคิด<O:p
    ท่านบอกว่า จริงอยู่มีเหตุ 4 อย่างที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นเรื่องที่ใครๆ ไม่ควรคิด ใครๆ เมื่อคิดถึงเหตุเหล่านั้นเข้า ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า (เ อาละสิ ) ท่านบอกว่า สิ่งเป็น อจินไตย ไม่ควรคิด ถ้าคิดก็บ้าเปล่าๆไม่รู้เรื่องรู้ราว เหตุ 4 อย่างที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้ากล่าวคือ<O:p</O:p
    1. พุทธวิสัย วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดไม่ได้ ขืนคิดอยากจะรู้เท่าทันพระพุทธเจ้า เราก็บ้า เพราะว่า เรารู้ไม่ได้<O:p</O:p
    2. ฌานวิสัย วิสัยของบุคคลผู้ทรงฌาน ถ้าเราไม่สามารถได้ฌาน สมาบัติ เราอย่าไปคิด เรื่องฌานสมาบัติ ยิ่งคนสมัยปัจจุบัน ย่อมอยากจะพูดกันถึง เรื่องพระนิพพานบ้าง เรื่องวิสัยของอรหันต์บ้าง แต่ความจริงแค่ฌานโลกีย์เท่านั้น พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ถ้าเรายังไม่เข้าถึง ก็ไม่ควรจะคิด คิดเท่าไรมันก็ผิด<O:p</O:p
    3. กรรมวิสัย คือ กฎของกรรม เรื่องกฎของกรรมก็เหมือนกันอย่าไปคิด มันคิดไม่ออกหรอก นอกจากว่า เราจะได้วิชชาสาม อภิญญาหกแล้วก็เป็น พระอริยเจ้าขั้นอรหันต์ จึงจะพอคิดถึงเรื่องกรรมได้ ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปคิด คิดแล้วมันก็จบลงไม่ได้<O:p
    4. โลกจินไตย เรื่องของโลก เรืองของโลกนี้เราจะคิดว่า มันจะไปจบลงตรงไหน อย่าไปคิด มันมีทางจบ คือ โลกหาที่สุดไม่ได้<O:p</O:p
    จำไว้ให้ดีว่า เหตุ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ควรคิดถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่าๆ นั้นก็คือ 1. พุทธวิสัย 2. ฌานวิสัย 3.กรรมวิสัย 4.โลกจินไตย<O:p</O:p
    สำหรับบุรุษนั้น เมื่อทำทานประมาณเท่านั้นแล้ว ท่านกล่าวว่า ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ ก็บังเกิดในเทวโลก เป็นเทวดาท่องเที่ยวไป สิ้นกัปมีประมาณเท่านี้ คือ 91 กัป (เป็นเทวดาเกาะกะๆ อยู่ 91 กัป)
    ในสมัยหนึ่ง จุติจากเทวโลกแล้ว ก็มาบังเกิดในกรุงพารณสี โดยกาลที่พระชนกทิวงคตแล้ว (เขามาเกิดเป็นลูกพระราชาในตระกูลพาราณสี) เมื่อพระบิดาตาย (ทิวงคต เขาแปลว่า ตาย สวรรคต) จึงได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา<O:p</O:p
    มาในครั้งหนึ่ง ท้าวเธอคิดว่า เราจะยึดเราพระนคร นครหนึ่ง ซึ่งมีกำลังน้อยกว่าให้ได้ จึงได้เสด็จไป แล้วก็ล้อมพระนครนั้นไว้ แล้วก็ส่งสาส์นกับชาวเมืองว่า ท่านจะให้ราชสมบัติ คือ สมบัติ แก่เรา หรือจะให้เราการรบบรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้นตอบว่า เราจะไม่ให้ราชสมบัติ และเราก็จะไม่ให้การรบ เราจะปิดประตูเมือง (ประตูใหญ่) แต่ว่าชาวเมืองก็อาศัยประตูเหล็ก ออกไปหาฟืน หาน้ำ มาทางประตูเหล็กทำธุรกิจทุกอย่าง การล้อมของพระราชาจึงไม่มีผล<O:p</O:p
    ต่อมา เมื่อพระราชปิดประตูเมือง 4 ประตูของเขาล้อมไม่ให้เขาออก ไว้สิ้นเวลา 7 ปี ยิ่งด้วย 7 เดือน 7 วัน (ล้อมเอาไว้ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน) ต้องการให้คนเมืองเขาอดตาย จะได้ยอมแพ้ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเขาออกทางประตูเล็กมาหากินกันได้<O:p
    ในกาลต่อมา พระราชชนนี คือ มารดาพระราชาองค์นั่ง ตรัสถาม บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า ลูกชายของเรา เขาทำอะไร บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ไปล้อมเมืองไว้พระเจ้าข้า ล้อมประตูใหญ่หมดท่านจึงตรัสว่า พุทโธ่เอ๋ย ลูกชายของฉันนี้ มันไม่น่าจะโง่อย่างนี้เลย ก็ไปล้อมประตูใหญ่ แล้วก็ไม่จงล้อมประตูเล็ก เสีย ประตูช่องเล็กๆ ปิดมันเสีย ชาวเมืองออกมาไม่ได้ประเดี๋ยวมันก็ยอมแพ้<O:p</O:p
    อำมาตย์จึงได้ส่งข่าวกับพระราชา ท้าวเธอทรงสดับคำของพระราชชนนีแล้ว ก็มีคำสั่งให้ปิดประตูเล็ก คือ กันคนออกทางด้านประตูเล็กเสียอีกฝ่ายชาวเมืองเมื่อออกไปหากินภายนอกไม่ได้ก็เริ่มอด อดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ในวันที่ 7 จึงพากันปลงพระชนม์พระราชาตนเสีย แล้วก็ได้เปิด ประตูเมืองรับพระราชาองค์นั้น ถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์<O:p</O:p
    ท้าวเธอทรงทำกรรมแบบนี้ ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ (หมายความว่า เวลาที่ตายแล้ว) ก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก ไหม้อยู่ใน อเวจีมหานรกนั้น ตราบเท่ามหาปฐพี (คือ ผืนแผ่นดิน) นี้หนาขั้นประมาณ 1 โยชน์ (โทษ ของการล้อมเมืองเขาทำให้เขาฆ่าพระราชาของเขาลงนรกอเวจีด้วย ให้แผ่นดินหนาขึ้น 1โยชน์ มารู้เวลาเท่าไร )<O:p</O:p
    ครั้นจุติจากอัตตภาพ (คือพ้นจากนรก) นั้นแล้ว ก็มาปฏิสนธิในท้องของมารดาแม่สิ้น 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แม่ต้องถูกทรมานด้วยเพราะการแนะนำกับลูก แต่บังเอิญ แม่ไม่ได้ตกนรกด้วยก็เพราะอาศัยการแนะนำกับลูก แต่บังเอิญแม่ไม่ได้ตกนรกด้วยจึงคลอด เพราะโทษที่แม่ต้องรับโทษด้วย เพราะว่า สั่งให้ปิดประตูเล็ก 4 ประตู (นี่เป็นกรรมของพระสีวลีที่ต้องตกนรก และก็อยู่ในท้องแม่ )<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกฺขเว ดุก่อนภิกษุทั้งหลายพระสีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลนานประมาณเท่านี้ เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนคร และยึดไว้ในกาลนั้น และถือปฏิสนธิของมารดานั้นนั่นแหละ อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น ( 7ปี 7 เดือน 7 วัน )ก็เพราะว่าความที่เธอปิดประตูเล็กทั้ง 4 ต่อมา เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภมาก และมียศเลิศ ก็เพราะว่าการที่เธอถวายน้ำผึ้ง ด้วยประการฉะนี้<O:p</O:p
    ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า แม้สามเณรผู้เดียว ทำเรือน 500 หลัง เพื่อภิกษุ 500 รูป มีลาภมีบุญน่าชมจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับถ้อยคำเช่นนั้นแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีบุญ ไม่มีบาป ก็เพราะว่าบุญบาปทั้งสองของเธอสละเสียแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาว่า บุคคลใดในโลกนี้ พ้นเครื่องข้องทั้งสองอย่าง คือบุญ และ บาป เราเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่โศก ปราศจากกิเลศเพียงดังธุลี ผู้หมดจดว่าเป็นพราหมณ์<O:p</O:p
    เป็นอันว่า ท่านทั้งหลาย เรื่องราวของบุคคลตัวอย่าง จงจำไว้ด้วยว่า กฎของกรรมของพระสีวลี ท่านมีลาภมาก มียศยิ่งใหญ่มาก การที่มีลาภก็เพราะว่า ถวายรวงผึ้ง แต่ว่าต้องลงนรก เพราะอาศัยที่ไปปิดล้อมเมืองเขาไว้ และมารดาผู้เป็นต้นคิด ก็มีปัจจัยร่วมเช่นเดียวกัน<O:p></O:p>
    เอาละ สำหรับเรื่องราวของ บุพกรรมของพระสีวลี ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์มงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่านสวัสดี<O:p</O:p

    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน<O:p</O:p

    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี<O:p</O:p



    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  2. Ugood

    Ugood ธรรมชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +490
    อนุโมทนา ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ___________
    ธรรมคือธรรมชาติ
     
  3. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348
    ลิงค์ธรรมะในเว็บต่างๆของหลวงพ่อ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...