{O}อัตตกิลมถานุโยคคือการบำเพ็ญทุกกิริยาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ {O} <ไม่ใช่ความโง่หลงปฎิบัติผิดทาง>

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 25 พฤษภาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ข้อพิสูจน์ นิรุตติญานทัสสนะ


    พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐
    ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง

    . เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ
    ----------------------------------------

    นี่คือพระโพธิญานชนิดเดียวกับของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    -----------------------------------------------------
    แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด ( คืออย่างแรก )

    (บัดนี้)เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน
    ------------------------------------------------

    ดูก่อนสารีบุตร ด้วยการปฏิบัติอย่างไม่มีใครสู้แม้นั้น ด้วยปฏิปทาแม้นั้น ด้วยความเพียรที่กระทำได้แสนยากนั้น เราก็ไม่ได้บรรลุธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษ พอแก่ความเป็นอริยะ (คือพระโพธิญานอย่างแรกไม่ใช่ฐานะที่จะนำพาสัตว์ออกจากทุกข์ )
    ---------------------------------------------------
    ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะมิใช่ปฏิปทาที่เป็นเหตุบรรลุปัญญาอันประเสริฐ (ยังไม่ประเสริฐเพียงพอสำหรับสถานะและบารมีธรรมของพระองค์ที่สั่งสมมา)
    -------------------------------------------------

    ปัญญานี้แลที่ซึ่งเราได้บรรลุแล้วเป็นของประเสริฐ นำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ เป็นทางสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งบุคคลผู้กระทำอยู่ตามนั้น.

    -----------------------------------------------------
    ทรงสำเร็จแล้ว ซึ่งพระมหาบรมสัมมาสัมโพธิญาน
    -----------------------------------------------------
    พระพุทธเจ้าท่านสำเร็จธรรมตั้งแต่บำเพ็ญทุกรกิริยา จนถึงในตอนที่พระอินทร์ไปทูลขอ เกรงท่านจะเข้าสู่พระนิพพานก่อนประกาศพระศาสนา
    ----------------------------------------------
    จึงทรงเพียรจนบรรลุพระมหาบรมสัมมาสัมโพธิญาน ที่เป็นของพระอริยะนำพาสัตว์ออกจากทุกข์ได้
    --------------------------------------------
    ดูก่อนสารีบุตร คติ ๕ ประการนี้แล. ดู
    สารีบุตร ผู้ใดพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษ พอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูก่อนสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสียไม่ละความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฐินั้นเสีย ก็เที่ยงที่จะตกนรก
    ---------------------------------------------------
    คือใครสอนใครกล่าวว่าพระองค์ทรงหลงทางและไม่สำเร็จธรรมขณะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่จะต้องทุกข์ทนไปชั่วกาลนาน
    --------------------------------------------
    พระโพธิญานมี ๒ สถานะ

    ที่พระพุทธเจ้าทรงสำเร็จก่อนตอนบำเพ็ญ คือพระโพธิญานในสถานะแรก (พระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ก็สามารถเป็นได้ คือมีคีย์เปิดประตูมรรคผลทุกบาน ในสภาวะฐานะที่ทรงบำเพ็ญบารมีธรรมมา)

    พระอินทร์กลัวไม่เกิดพระพุทธศาสนาจึงลงมาทูลขอ
    ไม่อย่างนั้นจะเหมือนพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่ตรัสรู้เฉพาะองค์แล้วดับขันธปรินิพพานเลย

    หลังจากนั้นพระองค์จึงทรงตรัสบอกว่า
    เราได้แสวงหาพระโพธิญานในทางที่ผิด

    หลังจากนั้นก็ทรงเปลี่ยนการบำเพ็ญ( คือ บำเพ็ญจนถึงที่สุดแล้ว ไม่มีใครเทียบท่านได้ เพราะท่านทรงมีมหาปุริลักษณะ สุดยอดอินทรียธาตุ)

    จึงไปบำเพ็ญเพื่อ พระโพธิญานที่เป็นอริยะ
    ที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ได้


    ซึ่งจะแตกต่างจาก พระโพธิญานอย่างแรก
    หลังจากสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาน

    ถึงกระนั้นก็ยังทรงเห็นว่ายากท่าจะสอน เพราะสภาวะธรรมละเอียดอ่อนมาก

    ท้าวมหาพรหมทราบวาระจิตเลยมาทูลขอมรรค๘ เปิดประตูพระนิพพานอีกครั้ง

    เรื่องเป็นอย่างนี้

    เขาสอนกันแต่ว่าพระองค์ทรงหลงทาง ไม่สำเร็จ
    เรื่องนี้มีมูลอยู่ แต่ไม่ใช่อย่างเขาเข้าใจกัน



    เราแสดงไปแล้ว
    ๓ ประการนี้ จำเป็นมากสำหรับผู้ใครพิจารณาธรรมและต้องการเจริญในพระสัทธรรม
    ๑.นวังคสัตถุศาสน์ ๒.อนุปุพพิกถา ๓.สัปปุริสธรรม
    เมื่อสามารถเรียนรู้ทั่วถึง จะสามารถพยากรณ์กถาต่างๆ ที่มีมาในพระไตรปิฏกได้เป็นเลิศที่สุด


    ดูก่อนสารีบุตร คติ ๕ ประการนี้แล. ดูกร
    สารีบุตร ผู้ใดพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อย่างนี้ ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมอันยิ่งของ
    มนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษ พอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณโคดม
    ไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วย
    การค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง ดูก่อนสารีบุตร ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสียไม่ละ
    ความคิดนั้นเสีย ไม่สละคืนทิฐินั้นเสีย ก็เที่ยงที่จะตกนรก



    ท่านบอกแล้ว ว่าท่าน ไม่ได้หลง
    แต่ว่า บุคคลในสมัยนี้ ว่าท่านหลง เพราะเป็นอามิสทายาท ติดความสุขสบายไม่อาจบำเพ็ญอย่างท่านได้ เพราะมีความเพียรน้อย และอินทรียธาตุไม่เอื้ออำนวย

    เรื่องนี้ ไม่มีใครเคยวิสัชนาไว้ เพราะจำกัดด้วยฐานญาน จำกัดด้วยภาระที่ต้องแบกรับ

    ท่านบอกแล้ว ว่าท่าน ไม่ได้หลง
    แต่ว่า บุคคลในสมัยนี้ ว่าท่านหลง เพราะเป็นอามิสทายาท ติดความสุขสบายไม่อาจบำเพ็ญอย่างท่านได้ เพราะมีความเพียรน้อย และอินทรียธาตุไม่เอื้ออำนวย


    เรื่องนี้สำคัญ ใครที่รักและหวงแหน ภักดีต่อพระพุทธเจ้า จะเข้าใจพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และใครเข้าใจในเรื่องนี้ ก็เตรียมตัวเจริญในสภาวะธรรมอันเจริญลึกซึ้งขึ้นอีกได้เลย ใครที่ไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยก็รับสภาพไปเหมือนเดิม ตามที่ได้ทรงตรัสเตือนเอาไว้


    นี่คือ น้ำใจที่เราเอื้อเฟื้อโดยไม่ตระหนี่ธรรมให้ เสียดายที่มีผู้เข้าใจน้อย และวิสัชนาธรรมนี้ ไม่มีในอรรถกถา แต่มีใน นิรุตติทัสสนญาน และศรัทธาสัมปทา

    สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ


    ล้างใจให้สะอาดผ่องใสเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 025.jpg
      025.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.3 KB
      เปิดดู:
      947
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2015
  4. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    การบำเพ็ญทุกกิริยาเป็นพุทธธรรมเนียม
    ซึ่งเป็นเหตุให้รู้ว่า ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์

    เป็นผลให้ตรัสรู้อริยมรรคมีองค์ ๘ ทางสายกลางนี้เอง เป็นทางสู่ความดับไม่เหลือของทุกข์
     
  5. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าทางพ้นทุกข์ ที่แท้จริงและยั่งยืน คืออะไรนี่ครับ พระองค์จึงต้องทำทุกวิถีทางด้วยตนเอง เพื่อหาทางพ้นทุกข์
    ก็ลองถามตัวเองเอาเถิดว่าถ้าโลกนี้ยังไม่เคยมีใครสอนวิธีพ้นทุกข์มาก่อนเลย แล้วเราไม่รู้ทางพ้นทุกข์ แล้ว เราต้องการจะหาทางพ้นทุกข์ เราจะทำอย่างไร เมื่อเรามองไม่เห็นทางใดใดเลย
    หรือให้พวกท่านลองสมมุติเราเป็นคนตาบอด มีคนจับเราเอาไปไว้ในใจกลางป่าลึกที่กว้างใหญ่ไพศาลกลางหุบเหวที่เป็นหน้าผาสูงชัน มีทางออกจากป่านั้นเป็นทางแคบ ๆ แค่ทางเดียว และเราไม่เคยรู้เลยว่าทางออกจากป่ามันอยู่ที่ไหน เราจะเดินออกจากป่าได้เลยงั้นหรือ?
    มันก็ต้องมีการสำรวจทางก่อนใช่ไหมครับ เมื่อแน่ใจว่าทางไหนไม่ใช่ก็ทิ้งทางนั้น เมื่อแน่ใจว่าทางไหนเดินไปต่อได้ ก็ไปต่อ


    ดังนั้นการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เพื่อหาทางพ้นจากความทุกข์ มันเป็นความวิริยะที่จะหาทางพ้นทุกข์ของพระองค์ เพื่อทำทางให้สาวกทั้งหลายอย่างเรา ๆ ได้เดินตามพระองค์ออกจากป่าแห่งความทุกข์ที่กว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างสะดวกครับ ไม่ใช่ความหลง
    เพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ คือการแสวงหาทางพ้นทุกข์ที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้เลย ในขณะนั้น

    ใครที่คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านหลงตอนบำเพ็ญทุกรกิริยานี่ ผมว่าออกจะคิดตื้นไปแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2015
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ว่าด้วย {O}มหาปุริลักษณะ{O}
    ความสำคัญของ พระมหาปุริลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นสุดยอดอินทรียธาตุนั้น เป็นขันธ์๕ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกธาตุ ถึงทุกข์ที่สุด ถึงสุขที่สุด จึงการันตี สิ่งที่ทรงชี้ ว่านี่ทุกข์ นี่สุข อย่างถูกต้องที่สุดได้ อย่าได้คิดเพียงว่า มีเพียงความงามสมส่วน นั่นไม่ใช่เพียงส่วนฝ่ายเดียว ต้องไตร่ตรองดูที่คุณลักษณะและประโยชน์ขีดความสามารถของในขันธ์๕นั้นด้วย

    ท่านจงตรอง เหตุของการกำเนิด มรรค ๘ คือทางสายกลาง
    ไม่อย่างนั้นจะเหมือนภัทรกัปป์ก่อนๆที่เสด็จมาตรัสรู้ แล้วเสด็จเข้าสู่พระนิพพานเลย ไม่ทรงสั่งสอนมากจึงเป็นเหตุพระพุทธศาสนาอยู่ไม่ได้นาน
    เพราะจริตของเหล่าเวไนยสัตว์ไม่พร้อมกับการบรรลุธรรมอันละเอียดอ่อนนี้
    อัตตกิมถานุโยค..มาเดินทางสายกลางแทน [พระพุทธเจ้า]อดีตก่อนการตรัสรู้ของ พระมหาโพธิสัตว์ทรงมี พระมหาปุริลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นสุดยอดอินทรียธาตุ สำหรับบำเพ็ญมหาวัฏร ของเหล่าพุทธะ คือเป็นวัตรที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงต้องบุพกรรม ต้องทรงบำเพ็ญ
    หลังจากก่อนการตรัสรู้ ที่พระอินทร์ทูลขอให้เปลี่ยนหนทางซึ่งจะนำมาในพระสัมมาสัมโพธิญานและหลังการตรัสรู้ ท้าวสหัมบดีพรหมขอทูลอาราธนาธรรมให้ทรงเปิดประตูคือมรรค ๘อีกครั้ง

    จึง
    ทรงตรวจดูอุปนิสัยมนุษย์ และร่างกายที่สุดแสน จะธรรมดาล่วงหน้าตลอดอายุพระศาสนา (นี่ยังไม่รวมในอนาคตที่ปรากฎไว้อีก คือทรงรู้เห็น)ปีโดยประมาณ จึงพิจารณามรรค ๘ อันเป็นทางสายกลางให้ เพราะทรงได้พิจารณาแล้ว ว่าหนักกว่านั้นคงไม่ไหว จะทำให้เผยแผ่ศาสนาได้ยาก
    พระพุทธองค์ ทรงลองทรมานกายมาถึง6ปี เป็นเพราะได้บุพกรรมส่งเสริม(ต้องบุพกรรม)
    จึงทรงประกาศพระสัทธรรมสร้างพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่กาลบัดนั้นมาจนมาถึงทุกๆวันนี้

    ขอให้ท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายเจริญในพระสัทธรรมตามกาลเถิด หากท่านรู้สถานะตนล่วงหน้า และในอดีตชาติที่ท่านจะไม่สงสัยอะไรในเหตุและผลที่ตนได้รู้และเข้าใจนั้น ไม่มีคำว่า"บังเอิญ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2015
  7. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,836
    ค่าพลัง:
    +2,232
    การบำเพ็ญทุกข์กิริยา ไม่ใช่ธรรมเนียมครับ
    เพราะพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ก่อนๆ ก็สำเร็จหลังออกเนกขัมมะเพียง 7 วันเท่านั้น

    และข้อสังเกตอื่นคือโดยมากจะมีกับพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีแบบนานหลายสิบอสงไขย
    คือท่านเน้นบารมีเต็มสมบูรณ์มากกว่าเร่งลัดให้บารมีเต็มครบเท่านั้น


    แม้การบำเพ็ญทุกข์กิริยาจะไม่ใช่ธรรมเนียม .. แต่การบำเพ็ญทุกข์กิริยาของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น
    ผมไม่กล่าวว่าหลงขาดปัญญา เนื่องเพราะท่านพิจารณาด้วยปัจจัยหลายประการในขณะนั้นดีแล้วจึงตัดสินใจ
    ส่วนสาเหตุปัจจัยอย่างลึกลับก็คือกรรมเก่าดังที่พระองค์กล่าวไว้หลังได้โพธิญาณระลึกรู้กรรมเก่าย้อนหลังได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2015
  8. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกกิริยาเหมือนกันหมด ยกเว้นแต่ระยะเวลาช้านานต่างกันเท่านั้นอยู่ที่บารมี ผมเคยเห็นผ่านๆในพระสูตรมาครับ



    สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. เมื่อดวงจันทร์ คือ
    พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัย
    ขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก. พระมหา
    วีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำทุกกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรง
    บำเพ็ญบารมีแล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรง
    แสดงพระสัทธรรม อันดับเสียซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข.

    พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๘
    วินัยปิฎก ปริวาร หน้า 224


    [๙๗๕] ส. พระโพธิสัตว์ ได้หยั่งลงสู่ทางอันแน่นอน มีพรหมจรรย์อันประพฤติแล้ว
    ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระนามว่า กัสสปะ หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. พระโพธิสัตว์ได้กระทำทุกกรกิริยา หรือ?
    ป. ถูกแล้ว

    ส. บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ พึงกระทำทุกกรกิริยา หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
    [๙๗๖] ส. พระโพธิสัตว์ ได้กระทำความเพียรอย่างอื่น ได้นับถือศาสดาอื่น หรือ?
    ป. ถูกแล้ว
    ส. บุคคลผู้เข้าถึงพร้อมด้วยทัสสนะ พึงนับถือศาสดาอื่น หรือ?
    ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ


    บทความนี้จากเนื้อหาเว็บอื่นๆ
    1. พระกกุสันโธพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสังไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา มีเขมวตีนคร ของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)

    2. พระโกนาคมโนพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    3. พระกัสสโปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    4. พระศากยมุนีโคดโมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา มีกบิลพัสดุ์นครของพระเจ้า สุทโธทนะเป็น ราชธานี พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

    5. พระอริยเมตตรัยโยพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2015
  9. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,836
    ค่าพลัง:
    +2,232
    "พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกกิริยาเหมือนกันหมด "

    ข้อนี้ไม่เป็นความจริง

    เพราะแค่พิจารณาตรรกะโดยไม่ต้องใช้ญาณก็รู้ได้ครับ

    เพราะอะไร? ก็เพราะทางที่ถูกคือทางสายกลางมันมีอยู่ และทุกข์กิริยาไม่ใช่ทางผ่าน
    ดังนั้น ถ้าดำเนินแบบเรียบๆ ก็เข้าถูกทางก็บรรลุธรรมเร็วครับ

    ถ้านับตั้งแต่หลังเจ้าชายสิทธัตถะเลิกบำเพ็ญทุกข์กิริยา หันมาบำเพ็ญตามแนวทางสายกลาง ..
    ท่านใช้เวลาไม่นานเลย .. ท่านก็บรรลุพระโพธิญาณครับ
     
  10. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    พระพุทธองค์ปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ โดยไม่มีใครทำได้เท่าพระพุทธองค์
    เพื่อลดความเห็นผิดของพราหมณ์ เพราะ สมัยนั้นพราหมณ์มีอิทธิพลต่อกษัตริย์ และประชาชนเป็นอันมาก

    ซึ่งเป็นเหตุให้รู้ว่า ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์
    เป็นผลให้ตรัสรู้อริยมรรคมีองค์ ๘ ทางสายกลางนี้เอง เป็นทางสู่ความดับไม่เหลือของทุกข์

    จึงมาประกาศแก่พราหมณ์ และสัตว์ทั้งหลายเพื่อความดับไม่เหลือของทุกข์
     
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204


    พระโพธิญานมี๒สถานะ ระดับพระปัจเจก และระดับพระสัพพัญญู นี่ยังไม่รวมพระสาวก มาสเตอร์คีย์ไขประตูได้ทุกบาน
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204


    ว่าด้วยร่างกายที่อ่อนแอของมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่มหาปุริลักษณะ ได้มรรค๘ก็สมควรแล้ว ถ้าไม่เข้าใจเรื่อง ร่างขันธ์๕ที่สมบูรณ์ที่สุด จะไม่มีทางเข้าใจ ในเรื่องที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งสุขได้
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ผู้เห็นต่างก้เพราะมีความเพียรน้อย มีปัญญาน้อย ก็ได้เท่าที่ตนเองทำได้ มาตรฐานตนเอง ความอึดความอดทนมีเท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้น การบำเพ็ญอย่างอุกฤษฏ์หรือทานที่ให้ได้ยาก ก็มีเพียง ๐ เท่ากับว่าไปคัดค้านมหาจัตตารีกสูตร อย่างเต็มที่ น่าเวทนานักที่ไม่เข้าใจ ไม่แปลกใจหรอกที่ได้เพียงเท่านั้น ทำตนเอง ก็รับชะตากรรมไปเอง คงบอกได้แต่คนฉลาดๆในธรรมก็พอ
     
  14. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..เหตุของการบำเพ็ญทุกข์กิริยาของพระพุทธเจ้านั้น มีเหตุมาจากบุพกรรมของท่านด้วย..

    จะว่าเป็นพุทธประเพณีก้อคงจะว่าได้ จะว่าทรงกระทำไว้เพื่อให้พอรู้บอกสอนว่าเราได้กระทำมาแล้วเป็นหนทางที่ไม่ถูกต้อง เวลาบอกสอนเหล่าสาวกจะได้บอกสอนอย่างเต็มปากเต็มคำ
    "เอ่ออ เราได้กระทำมาแล้วนะ วิธีแบบนี้อย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง เธอทั้งหลายอย่าได้กระทำเลย"

    สนิท........ใจ
     
  15. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +494
    ท่านคงละอาสวะขันธ์ มากกว่าละขันธ์เพื่อรองรับความรู้ของวิญญาณธาตุ ญาณบังเกิด ณ ขันธ์ เติมเต็มร่างกาย
    ***แก้ว่านั่งสมาธิเพลิน***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กันยายน 2015
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    หลวง พ่อ ท่าน วางแผนการอะไรกันไว้กันหนอ พวกท่านจะพิสูจน์และแจ้งเตือนอะไร?

    ท่านต่างก็คงทราบใช่ไหมขอรับว่า จะมีลูกหลานในอนาคตตีความ พรหมจรรย์๔ของสมเด็จพระบรมมหาศาสดาออก ทิฏฐิ๖๒จึงสมบูรณ์

    นี่เท่ากับยอมรับได้ว่า ที่สอนกันมาว่าทรงหลงทางปฎิบัตินั้น หมายจะเข้าสู่พระนิพพานเลย โดยไม่ทรงไขว่คว้าพระโพธิญานของพระอริยะอันนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้

    ขออภัยที่พึ่งจะได้เห็นคำท่าน ขออนุโมทนาฯครับหลวงพ่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2017
  17. ouam

    ouam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +285
    ธรรมนำหน้าเสมอ

    ทานทั้งหลายที่คนส่วนใหญ่ พึงเห็นประโยชน์
    แต่ธรรมมะ คือ การปฏิบัติที่ลี้ลับ และแยบคายนัก หาใช่จะสอนหมู่เหล่า คนชอบธรรมได้ทั้งหมด เพียงแต่ต้องสรุปข้อบัญญัติที่ถูกต้องให้ได้ และตัดคำกล่าวหาที่ว่า "หลงผิดในการบำเพ็ญทุกกิริยา" ออกไปเสียก่อน เพราะการบำเพ็ญทุกกิริยาหรือ การทุกข์จากเวทนานั้น เป็นเหตุ ทำให้เห็นทุกข์ และการค้นหาทางดับทุกข์นั้น ต้องใช้หลักแห่งปัญญา เพื่อการดับทุกข์

    9.11.60

     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เพื่อให้ก้าวข้าม โมกษะ และ สิทธศิลา เพื่อค้นหาความจริงในนั้น
    ด้วยพระมหาปุริลักษณะเป็นทุนและพระทัยอันแน่วแน่จึงนำพระองค์เขาสู่ วิถีสูงสุดของพรหมจรรย์ ๔ พระนิพพานจึงเปิด ยังพระสัทธรรม ๓ อันมี ปริยัติสัทธรรม ปฎิบัติสัทธรรม ปฎิเวธสัทธรรม จึงเจริญรุ่งเรือง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    " เคยได้ยินติดหูมานานแสนนานจนไม่รู้ว่าได้ไปฟังมาจากไหน มีใจความประมาณนี้ " ฟังเพียงคนเดียวจะประเสริฐอะไร?สายตึงเกินไป ก็ขาด สายหย่อนเกินไปก็ไม่ไพเราะ ถ้าหากตัดใจทำให้สายตึงและสายหย่อนเสียแล้ว จะดีดไปให้ใครฟัง โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย"

    ผู้เล่นคือใคร?

    ผู้ฟังคือใคร?

    เครื่องดนตรีอันไพเราะนั้นคืออะไร?

    ไม่แปลกที่ต้องขอให้แสดงและขอฟังด้วย

    เรียกว่าสำเร็จทั้งประโยชน์ตนแล้วจึงชี้แนะส่งเสริมให้ผู้อื่นนั้นสำเร็จด้วย

    ปหารฯสูตร

    ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่
    เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
    พ. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ
    มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ใน
    ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ
    มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ
    ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการ
    ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่า
    อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึง
    อภิรมย์อยู่ ฯ

    นี่ยังไม่กล่าวถึงอัคคิขันธูปมฯสูตร การให้โอวาทปาฎิโมกข์ที่มีพระสงฆ์กระอักเลือดตายและบอกลาสิกขาลาสึกหรือหนีสึกอีก

    ถ้าทรงแสดงตามบทนี้แต่แรกเริ่มใครกันบ้างหนออยากจะคิดบวชตาม จึงทรงแสดงธรรมโดยมีเหตุ มิใช่ไม่มีเหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2017
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    สมดังที่ได้ทรงโปรดแสดง"พรหมชาลสูตร"เอา ไว้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าทรงบรรลุและข้ามพ้น"โมกษะและสิทธศิลา"

    แล้วเห็นว่ายังไม่ถึงที่สุด ยังไม่ใช่ญานทัสสนะวิสัยอันบริสุทธิ์ ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางอันทรงตั้งน้ำพระทัยเอาไว้ เพราะข้ามพ้นแล้วจึงแสดง"พรหมจรรย์๔"เอาไว้อีกระดับเพื่อยืนยันการปฎิบัติและการเข้าถึงเอาไว้ แน่นอนที่สุดทรงทำฌานสมาบัติได้อย่างสมบูรณ์เป็นทุนรอนเดิมอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นเหตุว่า ทำไมพระองค์ยังทรงตรัสและอุทานเสมอๆว่ายังไม่ได้อะไรเลย ในที่นี้คือสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยเอาไว้ เมื่อข้ามพ้นจึงทรงปลงพระทัยในการปฎิบัติเช่นนั้น
    และในการที่จะรู้ว่ามีหนทางอันยิ่งหรือเข้าสู่ยังสภาวะข้ามพ้นได้จะต้องเข้าสู่สภาวะที่ยิ่งกว่านั่นก็คือ"พระโพธิญานระดับ๑ระดับใดอย่างจริงแท้" ในพรหมชาลสูตรแสดงให้เห็นชัดว่า ทรงทราบชัดเจน อีกทั้งยังทรงแสดง"ปัจเจกพุทธปาทาน"ไว้อีกนี่แสดงว่าได้ข้ามพ้นโมกษะและสิทธิศิลาและบารมีธรรมที่สั่งสมมาจึงทำให้เข้าสู่สถานะของพระปัจเจกพุทธหรืออย่างใดอย่างหนึ่งที่ใกล้เคียงและรองรับพระพุทธบารมีของพระองค์นั้นได้ ฉนั้นแล้วการตรัสรู้ธรรมนั้นจึงมีอยู่แต่ก็ยังมิใช่ประโยชน์อันสุดอันนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ ในสภาวะนี้ไม่แปลกใจอะไรที่เหล่าปัญจวัคคีย์จะผินหน้าออกห่างเพราะในสิ่งที่เขาต้องการคือ การบรรลุมรรคผลในทางอันสูงสุด ในชาตินั้น และเมื่อทรงบรรลุธรรมย่อมทรงทราบว่ายังมีทางอื่นคือ มรรค๘ และผู้ไม่รู้ มรรค๘ จะเอามรรค ๘ มาแต่ไหน และถ้ารู้แต่แรก ทำไมจะไม่ทรงปฎิบัติตามมรรค๘นั้นเลย เพราะนั่นไม่ใช่กาล จะมีใครคนไหนยอมอดข้าวน้ำเจียนตายแล้วมาคิดได้ภายหลังว่าไม่ใช่หนทาง หายากและไม่ใช่ฐานะเอาแค่อด๗วันให้ได้ก่อน นี่ทรงอดด้วยพระมหาปุริลักษณะนั้นด้วย หิวยิ่งหิวกว่าผู้ใดด้วยประสาทอันเลิศนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...