กรรมที่นำสู่อเวจีมหานรก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 24 มิถุนายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    กรรมที่นำสู่อเวจีมหานรก

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ครบ ๗ วันแล้ว มาลุกขึ้นจากนรกขุมที่ ๘ สักหน่อยดีไหม? ท่านนั่งบ้างนอนบ้างในนรกขุมที่ ๘ คือไม่ใช่อยู่ในนรก แต่ว่าอยู่ที่บริเวณของนรกด้านนอก ไม่ต้องถูกทุกข์ทรมานมา ๒ วัน นั่งชมนรกขุมที่ ๘ ครบ ๗ วัน จะเดินทางไปนรกขุมที่ ๗ ขุมที่ ๖ บ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบเพราะว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไม่ได้สนใจซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะจากนรกขุมที่ ๘ ไปชมนรกบริวาร อันนี้ก็มาพูดถึงปฏิปทาบารมีที่ท่านไปนรกขุมที่ ๘ สักหน่อยดีไหม? ทั้งนี้ก็เพราะว่านรกขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๒ ถ้าเราจะคุยกันว่าเพราะอะไรจึงมานรกขุมนั้นได้

    ก็โปรดทราบว่านรกขุมนั้นที่เขาจะอยู่กันได้ก็มีบารมีไม่ถึงท่านที่มาอยู่ในนรกขุมที่ ๘ มีบารมีต่ำกว่า แต่ทว่าถ้าเรารู้ถึงปฏิปทาของคนที่มานรกขุมที่ ๘ แล้ว ก็พอจะหยั่งลงได้ ว่าปฏิปทาของใครขนาดไหนจึงลงนรกขุมที่ ๑ ขุมที่ ๒ ขุมที่ ๓ ถึงขุมที่ ๗ เรียกว่ามีเจตนาไม่เท่ากับท่านที่ลงนรกขุมที่ ๘ นรกขุมที่ ๘ นี่มีอาการลง ๒ อย่าง ๒ ประเภทด้วยกัน คือบางท่านที่มีบารมีมาก ลงมาตั้งแต่ยังไม่ตาย พอทำกรรมนั้นเสร็จพอสมควรแก่กาลสมัย แผ่นดินทนไม่ได้แยกออก ไม่ใช่ธรณีสูบ ท่านเรียกว่ามีความหนักมาก แผ่นดินทนไม่ไหว แยกออกไปเป็นช่องให้เลยลงนรกไป แล้วก็สำหรับบางท่านที่มีบารมีน้อยไปหน่อย ก็ต้องรอถึงเวลาตายจึงจะลงนรก สำหรับวันนี้ วันพุธนี้ เราพูดกันถึงเฉพาะท่านที่มีบารมีลงอเวจีมหานรก แต่ทว่าคงนำมาไม่ได้ทุกคน เอามาเฉพาะบางท่าน พอสมควรแก่เวลา มีบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหน้า ที่พวกเราสนใจมากที่สุด นั่นก็คือพระเทวทัต ความจริงพระเทวทัตนี่ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นพี่ของพระนางพิมพา ซึ่งเคยเป็นชายาของพระสิทธัตถราชกุมารที่มาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง ความจริงก็เป็นญาติสนิทกัน ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เขาพากันออกบวช ท่านพระเทวทัตก็ออกบวชด้วย เมื่อบวชแล้วก็ได้ฌานโลกีย์ ได้อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินอากาศ เนรมิตอะไรต่ออะไรได้ ต่อมาก็มีความกำเริบใจ เพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ท่านเทวทัตนี่เคยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้ามาหลายแสนกัปเพราะต้นเดิมทีเดียวเป็นคนไม่ดี เป็นพ่อค้า พระพุทธเจ้าก็เป็นพ่อค้า ทีนี้เทวทัตเป็นพ่อค้าทุจริต พระพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าสุจริต วันหนึ่งมีหญิงแก่คนหนึ่งเคยเป็นคนอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีเก่า รับช่วงทอดกันมา มาถึงระยะนั้นก็กลายเป็นคนจน เรียกว่าหลายชั่วคนมาแล้ว มีถาดทองคำอยู่ลูกหนึ่งในตระกูลเศรษฐีนั้นเหลืออยู่ ต่อมาพระเทวทัตไปขอซื้อ แกเอามาขายให้เพราะแกเป็นคนจน ไอ้คนจนจะมีถาดทองคำไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อพระเทวทัตดูแล้วก็ทราบว่าเป็นทองเนื้อดี แต่เห็นว่าเป็นคนจนก็เลยบอกว่า ทองนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ เป็นทองปลอม ก็ตีราคาในฐานะทองปลอมให้ แกก็ไม่ขายเพราะแกทราบดีว่าอันนี้เป็นทองดี คือทองเนื้อบริสุทธิ์ พระเทวทัตก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อแล้วพ่อค้าคนอื่นก็ไม่ซื้อ ไม่ช้ายายคนนี้ก็ต้องจำใจขายให้กับแก ต่อมาพระพุทธเจ้าของเราเป็นพ่อค้าไปพบเข้าเห็นว่าเป็นทองดีจริงๆ ทองเนื้อบริสุทธิ์ ก็ให้ราคาเท่าทองคำธรรมดา แกก็ยอมขาย ท่านพระเทวทัต เมื่อทราบเข้ายังงั้นก็เจ็บใจ จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า หยิบทรายมา ๑ กำมือแล้วก็หว่านลงไปประกาศว่า เราจะขอจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเมล็ดทราย ๑ กำมือนี้ หมายความว่า ๑ ชาติ เท่ากับทราย ๑ เม็ด จนกว่าจะหมดเมล็ดทราย

    นี่ความจริงพระเทวทัตเป็นคนเลวมาตั้งแต่ต้น ต่อมาเมื่อสมเด็จพระทศพลเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ไปเกิดทุกๆ ชาติ เทวทัตก็จองล้างจองผลาญตลอดเวลา ต่อมาชาติสุดท้ายปลายมือสมัยเป็นพระเวสสันดร เทวทัตก็มาเป็นชูชก มาชาติสุดท้ายนี้เทวทัตมาเป็นลูกของลุง มาเป็นพี่เมียเสียอีก พอบวชเข้ามาแล้วได้ฌานสมาบัติ พระเทวทัตก็กำเริบ จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ไปคบกับพระเจ้าอชาตศัตรูกบฏต่อบิดา ตัวเองก็กบฏต่อพระพุทธเจ้า ตามที่กล่าวมาแล้วในตำนาน เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรับฟังกันมาแล้ว จะไม่พูดมาก ในเมื่อพระเทวทัตเลวจัดขนาดนี้ ความดีในการที่จะลงนรกมากเกินไป ในที่สุดแผ่นดินทนไม่ไหว ทนความหนักของความดีไม่ได้ ก็จึงแยกปล่อยให้พระเทวทัตไปยืนกางแขนกางขาเอาหอกเสียบอยู่ในอเวจีมหานรก ตามที่บรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าบุญมากเกินไปต้องลงในสมัยมีชีวิต รองลงมาอีกท่านหนึ่งก็คือ พ่อของพระเทวทัต มีนามว่า สุปปพุทธะ เป็นพระราชา เมื่อทราบว่าเทวทัตลูกชายลงอเวจีมหานรกไปแล้ว ก็เจ็บใจพระพุทธเจ้า บอกกับบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า สิทธัตถะลูกเขยของเราทำให้ลูกสาวของเราเป็นหม้าย แล้วยังทำให้พี่ชายของเมียลงอเวจี วันนี้ เราจะแกล้งลูกเขยของเรา คือว่าเวลานั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วิหารที่ไม่ใกล้นัก ตอนเช้าเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะออกบิณฑบาต ท่านสุปปพุทธะเป็นทั้งลุง เป็นทั้งพ่อตา ก็พาอำมาตย์ข้าราชบริพารมากมาย ไปนั่งกินเหล้าขวางทางเสีย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงตรงนั้น เขาไม่หลีกทางให้ พระองค์ก็ทรงกลับ ถ้าจะถามว่าพระองค์ทรงทราบไหมว่า สุปปพุทธะจะขวางทางโคจร คือขวางทางบิณฑบาต อันนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าทราบ แต่ว่าทางบิณฑบาตมันมีทางเดียวก็ต้องไป ไปแล้วเขาไม่หลีกท่านก็กลับ ยอมอดวันนั้น เรียกว่ายอมอดข้าว แล้วเมืองนั้นถ้าพระราชาเกเรเสียแล้วก็ไม่มีใครจะดีได้ เพราะไม่มีใครสามารถจะละเมิดอำนาจของพระราชา เมื่อกลับมาแล้วท่าน สุปปพุทธะก็สั่งคนมาสอดแนมคอยฟังข่าวว่า ต่อแต่นี้ เราจะจับผิดพระพุทธเจ้า พระสิทธัตถราชกุมารลูกเขยของเรา เธอจงไปนั่งฟังข่าว ว่าการที่เรานั่งขวางทางไม่ให้เธอบิณฑบาต ให้อดข้าวเสีย ๑ วัน เธอพยากรณ์ว่ายังไง

    คนทั้งหลายเหล่านั้ก็พากันปลอมเป็นพุทธศาสนิกชนไปนั่งฟังเทศน์องค์สมเด็จพระทศพลเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เมื่อเวลาคนมาครบ พระอานนท์ก็ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สุปปพุทธะขวางทางโคจรของพระองค์ มีความประสงค์จะให้อดข้าว ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบว่าโทษของสุปปพุทธะเป็นประการใดพระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปวันที่ ๗ คือนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สุปปพุทธะจะลงอเวจีติดตามเทวทัตไป เมื่อคนสอดแนมได้ทราบข่าวยังงั้นแล้วก็กราบทูลให้พระเจ้าสุปปพุทธะทรงทราบ เมื่อพระเจ้า สุปปพุทธะทรงทราบก็บอกว่าต่อแต่นี้ไป เราจะจับผิดลูกเขยเรา แล้วก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นที่ ๗ แต่ละชั้นตอนประตู เอานักมวยปล้ำที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงที่สุดยืนอยู่ประตูละ ๒ คน ๗ ชั้นเป็น ๑๔ คน สั่งกับนายประตูทั้ง ๑๔ คนนั้นว่า ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันจะลงมาละก้อ พวกเธออย่ายอมให้ลงนะ จับเอาไว้ ปล้ำเอาไว้ ไม่มีใครทำโทษ ได้ประกาศกับอำมาตย์ข้าราชบริพารและพระบรมวงศานุวงศ์ว่า ทุกคนถ้าหากว่าทั้งหมดนี้เขาจับฉันไว้ละก้อ ใครอย่าไปลงโทษเขานะ จะหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพน่ะไม่ได้ เพราะฉันสั่งเจ็ดวันฉันจะไม่ลง ฉันจะจับผิดพระสมณโคดม เป็นอันว่าตกลงกันแล้ว ๖ วันน่ะเขาอยู่ได้ พอครบวันที่ ๗ เป็นวันที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสไว้ว่าวันนี้สุปปพุทธะจะต้องถูกธรณีสูบ คือว่าลงอเวจี ไอ้ธรณีสูบนี่มันเป็นศัพท์ชาวบ้านนะ อาตมาก็เผลอไป เรียกยังงี้ไม่ถูก พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดยังงั้น เพราะว่าสุปปพุทธะจะถูกบาปบังคับให้ลงอเวจีมหานรกภายในระยะ ๗ วัน คือวันนี้ พอครบถ้วนวันนี้แล้ว วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว คือม้าตัวสำคัญสำหรับออกศึกของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นม้าต้นที่ทรงโปรดมาก กระทืบโรงบ้าง ร้องเสียงดังบ้าง พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้าขึ้นมา วิ่งจากปราสาทชั้นที่ ๗ ลงมาถึงปราสาทชั้นที่ ๑ แล้วนักมวยปล้ำทั้งหมดที่สั่งไว้ไม่มีใครจับ นี่เป็นกฎของกรรม ทุกคนยืนดูเฉยๆ พอลงมาถึงปราสาทชั้นที่ ๑ ก็วิ่งมาถึงพื้นแผ่นดิน หวังว่าจะไปดูม้าว่ามันร้องเพราะอะไร แล้วก็กระทืบโรงเพราะอะไร เพียงเท้าของท่านเหยียบพื้นแผ่นดินเท่านั้น ความหนักของบาปแผ่นดินทนไม่ไหว เป็นเหตุให้ท่านสุปปพุทธะลงอเวจีมหานรกทั้งๆ ที่ยังไม่ตายอีกคนหนึ่ง นี่เป็นคนที่มีบุญใหญ่จำไว้นะ ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เรียกว่ากลั่นแกล้งพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ตานี้ มาดูอีกคนหนึ่ง นันทมานพ นันทมานพนี่ไม่ได้แกล้งพระพุทธเจ้า แต่ว่าแกล้งสาวกของพระพุทธเจ้าองค์สำคัญ คือท่านอุบลวรรณาเถรี ท่านอุบลวรรณาเถรีนี่เป็นพระอรหันต์ขั้นปฎิสัมภิทาญาณ แล้วบวชตั้งแต่อายุ ๑๖ มีความสวยงามมาก ความสวยของท่านสมัยที่เป็นฆราวาส ตามพระบาลีกล่าวว่า ได้มีคนส่งจดหมายหรือส่งทูตมาขอคือมหาเศรษฐีก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ก็ดี พระราชาก็ดี ไอ้ที่จะไม่ส่งทูตมาติดต่อสู่ขอท่านอุบลวรรณาเถรีไปเป็นภรรยาไม่มี ทุกคนมีความต้องการ ท่านบิดาก็เรียกลูกสาวมาถามว่าจะตกลงกับใคร ลูกสาวบอกไม่ต้องการใครทั้งนั้นแหละ ต้องการบวชอย่างเดียว

    ท่านพ่อก็ดีใจ อนุญาตให้บวช เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ มีฤทธิ์มาก แต่ว่านันทมานพนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มีความรักอยู่นาน ต้องการอยู่นาน ท่านอุบลวรรณาเถรีท่านไม่ต้องการด้วยก็เลยเจ๊ากันไป ต่อมาวันหนึ่งทราบว่าท่านอุบลวรรณาเถรีไปจำพรรษาอยู่ในป่า สมัยนั้นวัดไม่เกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ พระต้องอยู่ในป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำกัน ทำกระท่อมเล็กๆ เข้าไว้ ตอนเช้าไปบิณฑบาต ตอนที่ท่านไม่อยู่ นันทมานพก็แอบมานอนอยู่ใต้เตียง เอาเครื่องบังมาบังเข้าไว้ เวลาท่านอุบลวรรณาเถรีกลับมาจากบิณฑบาตมาเหนื่อย แล้วก็ผ่านแสงอาทิตย์มันร้อนกล้าหน้ามืดก็ยังไม่ฉันข้าว มานอนพักอยู่บนแคร่ คือบนที่นอนก่อน นันทมานพเห็นสบโอกาสก็เลยขึ้นไปทำมิดีมิร้ายท่านอุบลวรรณาเถรี ร่วมรักเสีย ท่านก็บอกว่านันทมานพอย่าทำอย่างนี้ ท่านจงอย่าเป็นผู้ฉิบหายเลย นันทมานพก็ไม่ฟัง ทำจนสำเร็จความใคร่ พอสำเร็จความใคร่แล้วก็ก้าวลงจากแคร่ ท่านอยู่องค์เดียวนี่ อยู่ในป่า จะร้องแรกแหกกระเฌอให้ใครมาช่วยก็ไม่ได้แล้ว ไม่มีใคร เมื่อนันทมานพสำเร็จความใคร่ ก้าวลงจากแคร่ พอเท้าถึงดิน บุญมากเกินไป แผ่นดินทนน้ำหนักบุญไม่ไหวก็เลยดึงมาอเวจีมหานรก แผ่นดินแยกออกไป ลงอเวจีมหานรก สำหรับท่านอุบลวรรณาเถรีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หลวงตาแก่ทั้งหลายสมัยนั้นวิพากษ์วิจารณ์ว่า พระอรหันต์ไม่ใช่ไม้ผุ การสัมผัสแบบนั้นจะไม่มีความยินดีไม่ได้ เพราะเรื่องมันกระทบอยู่กับตัว พระพุทธเจ้าทราบเข้าก็เรียกมาบอกให้ทราบว่า พระอรหันต์น่ะไม่มีความรู้สึกในเพศ ถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับทำกับตุ๊กตา คือตุ๊กตาย่อมไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เหมือนกัน มีสภาพฉันนั้น เป็นอันว่าเล่ากันอย่างย่อๆ ไม่ใช่มานั่งอธิบายธรรมะ นี่คนที่ ๓ แล้วนะ ที่ทำกับพระอรหันต์ ตานี้ คนที่ ๔ นางจิญจมาณวิกา นี่เบียดเบียนพระพุทธเจ้าเข้าเหมือนกัน คือว่าพวกปริพาชก บุคคลศาสนาอื่น เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีลาภสักการมาก ก็คิดจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า จ้างนาง จิญจมาณวิกา นางจิญจมาณวิกานี่ ชาติก่อนเป็นนางอมิตตดาเมียชูชก แต่ชาตินี้ไม่ได้เกิดมาเป็นเมียพระเทวทัต พลัดตระกูลกัน ไม่พบกัน นางก็เลยทำแกล้งเป็นคนท้องให้เขากลึงไม้นูนๆ คล้ายๆ กับคนมีท้อง สาม สี่เดือน แล้วก็ผูกไว้ที่เอว ผูกไว้ข้างหน้ามีอาการเหมือนท้อง เมื่อเวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ก็ไปร้องบอกว่าท่านสมณโคดม จะมามัวนั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีท้องมีไส้อย่างนี้ฟืนตองก็ไม่ไปตัด อย่ามามัวนั่งเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย ไปตัดฟืนไว้สำหรับอยู่ไฟเพื่อฉันดีกว่า เดี๋ยวลูกของเราเกิดมาแล้วมันจะลำบาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ทรงสดับ แทนที่พระองค์จะทรงปฏิเสธก็หยุดเทศน์ กล่าวว่า ภัคคินิ ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยหรอกนะมีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นแหละจะรู้กัน อ้าว กลับพูดยังงี้เสียอีก ถ้าเป็นชาวบ้านสมัยนี้ก็คงจะนินทากันลั่น ว่าพระพุทธเจ้าทำให้นางจิญจมาณวิกามีท้อง แต่ความจริงไม่ได้เป็นยังงั้น ชาวบ้านสมัยนั้นเขามีเหตุผล ไม่เหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้ ที่ดีก็มีมาก มีเหตุมีผล บางคนก็ไม่ไหวเหลือเกินนี้พูดกันตรงๆ นะ อย่าว่าแต่คนเลยพระก็เหมือนกัน พระที่ไม่มีเหตุผลก็เยอะ แม้อาตมาเองก็เหมือนกัน เคยเป็นคนไม่มีเหตุมีผลมาเหมือนกัน แม้ประเดี๋ยวนี้ ไอ้ความเลวมันก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่จะดีกว่าชาวบ้านหรอก ฟังไปแล้วก็รู้ไว้ด้วยว่าคนพูดนี่ยังไม่ใช่คนดี ถ้ายังเห็นว่าคนอื่นเลวอยู่ ตัวเองก็ยังเลวอยู่เหมือนกัน แต่มันอดไม่ได้ มันอยากจะเลวก็ปล่อยมันไป ตอนนั้นก็เลยร้อนถึงพระอินทร์ พระอินทร์ก็เลยแปลงเป็นหนูเข้าไปกัดเชือกไม้หล่นลงมา บรรดาประชาชนที่ฟังเทศน์ของพระบรมศาสดาเห็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น ก็พากันไล่ตีนางจิญจมาณวิกา เอาดินขว้างบ้าง เอาไม้ขว้างบ้าง นางจิญจมาณวิกาก็วิ่งหนีไป วิ่งหนีไม่ได้เท่าไร เพราะอาศัยบุญบารมีมากเกินไป มีน้ำหนักมาก แผ่นดินก็แยกลงอเวจีมหานรกไป มองไปดูข้างหน้า เห็นยืนอยู่ข้างหน้า ยิ้มเผล่ ที่ยิ้มนั่นไม่ใช่อะไรหอกมันเสียบปากเข้าไป ตรึงเข้าไว้ หุบปากไม่ลง เห็นไหม




    บรรดาท่านพุทธบริษัท เห็นหรือเปล่า เห็นก็เห็น ไม่เห็นก็แล้วไป พูดให้ฟัง จะเห็นได้ยังไง ตานี้ มาคนที่ห้า นันทยักษ์ ยักษ์คนนี้ คือเทวดานั่นเอง ยักษ์เขาแปลว่าบุคคลอันควรบูชา หรือว่า แปลว่าเทวดา แปลได้ ๒ อย่าง เหาะมากับเหมตายักษ์ ไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณกลับมา ท่านพระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติ เกิดเหาะข้ามไม่ได้ อากาศเป็นสูญญากาศ ก็มองลงมาดูข้างล่างเห็นพระสารีบุตรนั่งอยู่ ก็คิดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูแกล้งขวางทาง (นี่เขาเรียกว่าเทวดาอันธพาล) ก็เลยลงมา จะตีหัวพระสารีบุตร ท่านเหมตายักษ์เป็นพระโสดาบันห้ามไว้ ว่าอย่าทำนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2009
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    สาวกของพระสมณโคดมนี้มีอานุภาพมาก ถ้าท่านทำจะมีกรรมหนัก นันทยักษ์ก็ไม่ยอม เอากระบองล่อหัวพระสารีบุตรเข้าให้ แต่ว่าไม่เป็นไร การตีอย่างนั้น ถ้าจะตีภูเขาสัก ๑๐๐ ลูกก็พัง แรงมาก แต่พระเข้านิโรธสมาบัติไม่สะเทือนเลย ผมหวั่นไหวนิดหนึ่ง ตัวไม่เป็นไร พอตีแล้วนันทยักษ์เป็นคนมีบุญใหญ่ แผ่นดินก็เลยแยกนำลงไปอเวจีมหานรก โน่น ยืนอยู่มุมโน้น มุมทางด้านซ้ายมือ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มองไปทางแถบซ้ายมือใกล้จะถึงมุมสุดด้านโน้น นันทยักษ์ยืนมีหอกตรึง หวั่นไหวไม่ได้ ตานี้ มาว่ากันถึงคนธรรมดา ทำบุญอะไรจึงจะลงอเวจีมหานรก อันนี้ลงกันเมื่อตายนะ เวลาเหลือประมาณ ๖ นาที หรือ ๗-๘ นาทีอะไรนี่ จะค่อยๆ พูดให้ฟัง ตัวอย่างคือญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี หรือ ปทุมุตตระก็ไม่ทราบ ไม่ได้ดูตำรามามันจำไม่ชัดนี่ เอาสมัยพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็แล้วกัน มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระราชกุมาร คือพระราชโอรส ๔ พระองค์พอใจในการถวายทาน เวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารเป็นนายเสมียน เป็นเลขาน่ะ ท่านก็เลยสั่งให้จัดการถวายทานแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านเลขาทำงานหนัก มันชักจะทนไม่ไหว ก็ไปเอาญาติมาหลายคนด้วยกัน มาช่วยกันทำ บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้น ในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศลดี แต่มาตอนกลางๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้ว ทีแรกก็เป็นทายก ต่อมาก็เลยเป็นทายัก ของอะไรดีๆ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมีย เอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อดีๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดีๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง บางทีไม่ยักของสด

    ไอ้ของสำเร็จรูปที่เขาไม่ทันจะถวายพระก็ยักเอาไว้เสียบ้าง พูดถึงตรงนี้ก็สงสัยพวกทายก ของดีๆ เอาถวายพระพุทธรูป เอาถวายเสียมาก เวลาพระฉันอิ่มแล้วจะได้กินกัน ตกอยู่ในสภาพนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบนะ เจตนาของเขาเป็นยังไง อาตมาไม่ทราบ แล้วก็มีหลายราย ทายกชอบยกของที่เขาถวายพระเข้าบ้าน จำไว้ด้วยนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจำไว้ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินนิดหนึ่ง กระเบื้องหักๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม อันนี้ถ้าเราถือไปเข้าบ้านด้วยอาการของขโมย-เสร็จ สะเด็ดไม่เหลือลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัดเราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์ สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้ว ตกลงกันว่ายังไงต้องปฏิบัติไปตามนั้น ขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ อันนี้ แม้แต่ดอกไม้บูชาพระก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอกับเด็กวัด อันนี้มันไม่ถูกไม่ต้อง ลงอเวจี เป็นอันว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ตายแล้วลงนรก สิ้นระยะ ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้วก็มาตกยมโลกียนรก คือผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกียนรกตามลำดับ มาเป็นเปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็นเปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ ถ้าถอยหลังไปแล้ว ถ้าเป็นพระปทุมุตตระ ก็เห็นจะเป็นประมาณแสนกัป ถ้าเป็นพระวิปัสสีก็เห็นจะเป็นประมาณ ๙๑ กัป อันนี้อาตมาจำไม่ได้ เรียกว่าสิ้นเวลานาน แล้วต่อมาเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญกับพระพุทธเจ้า เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็มาส่งเสียงให้ปรากฏ

    เมื่อองค์สมเด็จบรมสุคตพระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงพยากรณ์บอกว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงอะไร เป็นเสียงญาติของพระองค์ ตายไปจากอเวจีแล้วก็มาเป็นเปรตต้องการขอส่วนบุญ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ให้ทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตทั้งหลายเหล่านั้น เขาจึงได้เป็นเทวดา นี่แหละท่านผู้ฟังและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ เรื่องของคนที่จะลงอเวจีนี่มันของไม่ยาก ของสงฆ์นี่ระวังให้มากนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวว่ากรรมบถ ๑๐ ความจริงกรรมบถ ๑๐ เป็นของธรรมดาๆ ที่เราชอบ เราก็ควรจะปฏิบัติตามนั้น ทุกคนแหละต้องการให้คนอื่นมีกรรมบถ ๑๐ แต่ตัวเองไม่ต้องการกรรมบถ ๑๐ เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง จะพูดอีกสักคน คือว่าสุพรรณมัจฉา ปลาสีทอง สุพรรณมัจฉาปลาสีทองตัวนี้เด็กเขาได้มา เอาตาข่ายไปขึงปลามาติด แล้วพ่อแม่เห็นเข้าว่าปลามีเกล็ดเป็นทอง ไม่ควรจะเก็บไว้เอง ก็นำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นเป็นของแปลกก็นำไปทูลถวายพระพุทธเจ้า ว่าปลาตัวนี้ทำบุญอะไรไว้ เกล็ดจึงเป็นสีทอง ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็บอกว่า ปลาตัวนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ที่มีเกล็ดเป็นสีทองก็เพราะว่าอาศัยเคยปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมในตอนต้นด้วยความเคารพ แต่ว่าในตอนปลายมือเป็นพระคณาจารย์ ด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายที่มีความผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง โดยเจตนาร้าย เวลาตายไปแล้วเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีมหานรก มองอยู่โน่น อยู่ทางด้านซ้ายมือเหมือนกัน ใกล้มุมสุดด้านเหนือ เป็นรูปพระยืนกางแขนกางขาอย่างพระเทวทัต แล้วก็เมื่อกรรมเบาลงมาก็เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นปลาทอง มีเกล็ดเป็นทอง แต่ว่าปากเหม็นเพราะด่าพระ พระพุทธเจ้าจึงถามว่า กปิลมัจฉา เดิมทีเดียวเธอบวชเป็นพระใช่ไหม พอปลาอ้าปากตอบว่าใช่ กลิ่นก็เหม็นฟุ้งไปทั้งพระวิหาร ถามว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงตกอเวจีมหานรก เธอก็บอกว่า เพราะอาศัยที่เป็นพระปากร้าย ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีเหตุ ไม่มีผล อิจฉาริษยาพระด้วยกัน กล่าวร้ายด้วยการนินทาได้ร้ายบ้าง นี่ชาวบ้านก็เหมือนกันนะที่ปากไม่ดีแบบนี้ ไปด่าพระด่าเจ้า ด่าผู้ทรงศีล ก็มีสภาพอย่างเดียวกับกปิลมัจฉา เมื่อจะถามต่อไป มันก็หมดเวลา เป็นอันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าถามจบ ถามถึงพี่ชาย บอกว่าไปนิพพานแล้ว ถามถึงแม่กับน้องสาว บอกว่าไปอเวจีมหานรกเหมือนกัน เพราะทำกรรมอย่างเดียวกัน สำหรับพี่ชายไม่เล่นด้วย ก็เลยเป็นพระอรหันต์แล้วไปนิพพาน น้องชายไปอเวจี เมื่อปลาตอบเท่านี้ก็เสียใจ เอาหัวฟาดอ่างถึงแก่ความตาย กลับลงไปอเวจีมหานรกใหม่ นั่นยืนอยู่ข้างท้ายเลยท่านนันทมานพไปหน่อยหนึ่ง เห็นไหม ยืนกางแขนกางขาอยู่เหมือนกัน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านและพระคุณเจ้าที่เคารพ เวลาหมดเสียแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .

    ที่มา หนังสือไตรภูมิ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    䵃?? - ?̓촍?҅Ԣ?<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  3. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
     
  4. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    ขอบคุณค่ะ, เสียววจีกรรมนี่แหละ พูดไม่คิด ชีวิตตกนรก..
     
  5. พหุปราชญ์

    พหุปราชญ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2010
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +39
    นี่คือ 5 ผู้ตกนรกอเวจีโดยแท้ เป็นอุทาหรณ์ชั้นดีครับ
     
  6. thexjeab

    thexjeab เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +685
    ขอบคุณมากครับได้ความรู้เพิ่มมากเลยครับ

    ขออนุโมทนาสาธุครับ
     
  7. มัทธิว

    มัทธิว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +5
    ...............................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2011
  8. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    อยากลองตกดูจริงๆ อเวจีมหานรกเนี่ย อยากลองดูว่ามันจะทรมานซักขนาดไหน จะได้เตรียมรับมือ เผื่อชาติหน้าเผลอทำเข้า จะได้รู้ว่ามันจะเป็นยังไง แล้วถ้าเราลองถอดกายทิพย์ออกแล้วไปนรกไปบอกยมบาล ให้พาเราไปลองตกเล่นๆดูซัก 30 วินาที มันจะได้มั้ยครับ แบบไม่ทำบาปข้อพวกนั้นเลย แต่อยากตกเป็นอุทาหรณ์ดู แปปเดียว คนที่ทำแบบผมว่านี่มีใครเคยทำมาก่อนมั้ยครับ ลองถามๆเล่นๆดูอย่าซีเรียสนะครับ เผื่อลองได้
     
  9. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    อนุโมทนา สาธุๆๆ ท่านหลวงพ่อ และเจ้าของกระทู้ด้วย แต่ว่าพออ่านจบแล้ว ตกอเวจีมหานรกนี่มันไม่ยากเลยนี่นา เอาของวัดมานี่ผมคิดว่าน่าจะมีเกือบทุกคนน่ะครับ ผมก็หยิบเอาหนังสือ ของใช้ ฯลฯ ออกมาเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ก็คงไม่ต้องคิดลองแล้ว เพราะคงตกแน่ น่ากลัวจัง
     
  10. aumking

    aumking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +814
    อนุโมทนาสาธุครับ

    กรรมคือการกระทำ ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น สาธุ!!!
     
  11. ทางสวรรค์

    ทางสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +347
    เป็นเรื่องที่สนุกและน่าติดตามมากๆครับ อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ทำบาป

    ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากๆและขออนุโมทนาด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...