กรรมใดทำให้เป็น อาการป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย antแอน, 18 มกราคม 2017.

  1. antแอน

    antแอน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    กรรมใดทำให้เป็น อาการป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุ

    ไม่มีใครวิเคราะห์หาสาเหตุได้ ไม่มีผู้ใดรักษาได้

    ผู้ป่วย รู้เพียงอย่างเดียว ทนรับสภาพตัวเองอย่างเดียวคนเดียว ภายนอกดูป่วย โทรม แต่ไม่ได้แสดงอาการป่วยที่ชัดเจน คนไม่รู้จะคิดว่าปกติ แค่ผู้ป่วยจะทรมานด้วยอาการทางกายเอง (มากมายหลายระบบ)

    และไม่มีทางออกที่จะทำให้อาการพวกนั้นหายได้
     
  2. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    อาการเจ็บป่วยมักเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
    - อากาศ
    - อาหาร
    - ความเพียรกล้า (เช่น ทำอะไรแล้วเกินกำลังทำให้เจ็บป่วย)
    - กรรม

    ***การรักษาหมอจะรักษาไปตามอาการที่เกิด***
    ***ทรมานด้วยอาการทางกายหลายระบบ แก้ที่ระบบหายใจที่เดียวจะดีและอาจหายในที่สุด***
    ----อนุโมทนาบุญ---
     
  3. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    อีกหน่อยหลงประเด็น
    โปรดใช้วิจารณญาณ อาการป่วยที่กล่าวเกิดจาก
    - กรรมที่เคยทำแท้ง+กรรมปานาติบาต ส่งผลพร้อมกัน
    ---อนุโมทนาบุญ---
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เด่วช่วยเสริมนะครับ..
    การเจ็บป่วยของร่างกายต่างๆนา
    นอกจากปัจจัยภายนอก
    และรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของเราแล้ว
    และธรรมชาติความเสื่อมของร่างแล้วนั้น...
    การจะเกิดการเจ็บป่วยได้เราเรียกว่า
    ธาตุร่างกายตรงอวัยวะเราตรงนั้นเรามันพร่อง
    พร่องคือ ไม่ขาดก็เกิน หรือไม่เกิดความไม่สมดุลย์
    ของธาตุ ๔ (ดินน้ำลมไฟ)ที่รวมเป็นอวัยวะชิ้นนั้นๆ

    ต่อไปเป็นความเชื่อและควรฟังหูไว้หูนะครับ...
    ถ้าประเภทที่ เป็นเรื้อรัง เป็นวิบากที่เคย
    ทำสัตว์ตัวเล็กๆมาก่อนครับ เช่น พวกแมลงต่างๆนั่นหละครับ...
    พวกนี้ต้องอาศัยการดูและเจรจาในระดับที่ละเอียดหน่อย
    ประเภทเจ็บหนัก เช่น แขน ขาหัก
    เป็นกรรมที่เคยทำสัตว์ใหญ่...พวกนี้ไม่ยากเท่าไรครับ...

    อีกอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
    ก็คือกระแสตกค้างที่มาจากภายนอก
    หรือการไปรับกระแสภายนอกต่างๆเข้ามาครับ...
    ถามว่ามันค้างอยู่ได้อย่างไร
    มันค้างในลักษณะที่เราเรียกว่า วิบาก
    วิบากก็คือจรต่างๆที่วนเวียนเข้ามา....
    จากการที่จิตส่ง ตัววิญญานการรับรู้
    ไม่ว่าทางอายตนะตัวไหนๆ ส่งออกไปรับรู้
    พอรู้แล้ว ก็เลยให้คิดขึ้นได้ นึกขึ้นได้
    ระลึกขึ้นได้ และก็กลายเป็นปรุงแต่งขึ้นมาได้
    ไม่ว่าจะปรุงในด้านหรือไม่ดีก็ตาม
    และในลำดับต่อมาหลังจากมันปรุงแต่งไปแล้ว
    มักก็สะสมค้างจากการ วกเวียนวนอยู่ในความคิด
    ของการปรุงแต่งนั้น หรือไม่ก็วนอยู่
    ในสภาวะในลักษณะของพลังงานต่างๆจากภายนอก
    ไม่ว่าจะไปฝึกมาหรือรับรู้ได้เองโดยธรรมชาติ
    หรือจากสัมผัสทางจิตแบบภายในต่างๆนั้นๆ
    มันไปวกเวียนวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้
    จนฝั่งลึกจนกลายเป็นความทรงจำครับ...
    ตรงนี้จะสร้างคลื่นในสมองตัวหนึ่งให้เกิดขึ้น
    และวนอยู่ภายในศรีษะของเราอยู่ตลอดเวลา
    และมันก็จะไปเกี่ยวเอาการสะสมที่มันกลายเป็น
    ความทรงจำนั้นเข้ามาร่วม ตัวนี้นี่หละครับ...
    ที่มักจะหาสาเหตุไม่ได้แต่ ผู้เป็นจะทราบดี
    และรักษาทางการแพทย์ปัจจุบันก็ไม่หายขาดซักที

    ถ้าเราจะแก้ตรงนี้ อย่างน้อยต้องหาทางให้ร่างกาย
    ได้คลายกระแสพวกนี้ออกโดยธรรมชาติครับ
    เช่น ในเวลาช่วงเช้า หรือเย็น รู้จักไปยืนเหยียบดิน
    หรือหญ้าด้วยเท้าเป่า จนรู้สึกว่า ร่างกายเรามันเบาครับ
    หรือด้วยการหัดปล่อยวาง รู้จักช่างมันใน ทุกๆเรื่องที่ออกไปรู้ ไปเห็น
    ไปรับรู้ หยุดการปรุงแต่งทุกเรื่อง ที่มันคิดขึ้นได้
    นึกขึ้นได้ ระลึกขึ้นได้ทุกๆเรื่องครับ...
    ยกเว้นเรื่องทำมาหากินครับและ
    รู้จักอโหสิกรรมออกจากจิตตนเอง
    ในทุกครั้งที่ระลึก นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้
    ปรุงแต่งได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
    และรู้จักอุทิศส่วนกุศลให้ออกจากกลางจิต
    ของเรา ตรงกลางหน้าอกซ้ำลงไป
    เพื่อเอากระแสเย็นที่เกิดขึ้น
    เพื่อไปผลักกระแสตกค้างพวกนี้ให้ออกไปจากร่างกายเราครับ
    และทำร่วมกับการกรวดน้ำร่วมด้วย
    ก็จะทำให้การคลายกระแสตกค้างได้ดียิ่งขึ้น
    เพราะน้ำเป็นตัวน้ำกะแสได้ดีครับ......

    และอาการเรื้อรัง หรืออาการพร่องหรือขาดสมดุลย์
    ต่างๆของอวัยวะต่างๆในร่างกายมันก็จะ
    ค่อยๆกลับมาเป็นปกติ ตามเหตุตามสภาพ
    ของมันตามอายุไขของมันได้เองครับ...

    แต่การกระทำอย่างนี้ ไม่ได้ประกันว่าอวัยวะเราจะ
    ไม่เสื่อมนะครับ มันมีเสื่อมเป็นธรรมดา
    และสุดท้ายยังทุกคนก็ต้องตายครับ
    ถ้าร่างกายมันพังจนใช้ไม่ได้จริงๆ
    ยังไงจิตมันก็ไม่อยู่กับร่างกายที่พังครับ..
    เนื่องจากเป็นธรรมชาติครับ
    ถ้าตอนที่มีร่างกายอยู่
    ตัวจิตก็ชอบตัววิญญานการรับรู้ออกไปภายนอก
    หรือชอบออกไปรู้ ออกไปเที่ยว แล้วก็มาปรุ่งแต่ง
    นี่ก็ธรรมชาติของจิตในขณะที่ร่างกาย
    ยังใช้ปกติเช่นกันครับ
     
  5. antแอน

    antแอน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2



    หรือจากสัมผัสทางจิตแบบภายในต่างๆนั้นๆ
    มันไปวกเวียนวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้
    จนฝั่งลึกจนกลายเป็นความทรงจำครับ...
    ตรงนี้จะสร้างคลื่นในสมองตัวหนึ่งให้เกิดขึ้น
    และวนอยู่ภายในศรีษะของเราอยู่ตลอดเวลา
    และมันก็จะไปเกี่ยวเอาการสะสมที่มันกลายเป็น
    ความทรงจำนั้นเข้ามาร่วม ตัวนี้นี่หละครับ...
    ที่มักจะหาสาเหตุไม่ได้แต่ ผู้เป็นจะทราบดี
    และรักษาทางการแพทย์ปัจจุบันก็ไม่หายขาดซักที



    เรียกว่าอาการทางจิต รึป่าวคะ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ไม่ใช่อาการทางจิต หรือว่าเป็นโรคจิตนะครับ
    อาการทางจิต คือปรุงแต่งไปเรื่อย
    จนเรื่องที่ปรุงเป็นตัวเราจริงๆ
    ยกตัวอย่างให้พอเข้าใจเช่น คนขาขาด ฝันว่าตัวเองวิ่งได้
    ลืมตาขึ้นมาก็จะนึกว่าตัวเองมีขาจริงๆ
    ทั้งที่ความเป็นจริง
    หรือใครก็รู้ว่าเค้าขาขาด พอนึกภาพออกไหม

    และไม่มีสติทางธรรมคอยกำกับและควบคุม
    จึงปรุงและยึดจนเป็นตัวเองไปทุกๆเรื่อง
    ตามเรื่องที่ปรุงไปแบบไม่มีตัวกำกับครับ

    ส่วนที่ถามมาทางปฎิบัติเรียกว่าเตลิดครับ
    เตลิดคือมากไป เนื่องจากจิตไม่ยอมวาง(เกิดตลอดเวลา)
    จิตเลยพร้อมที่จะทำงานอยู่ตลอดเวลา
    ซึ่งตรงนี้มักจะเป็นกันได้อย่างคาดไม่ถึง
    โดยเฉพาะคนที่มีสัมผัสเกี่ยวกับเรื่อง
    นามธรรมต่างๆ มักจะเป็นกันทุกคน
    บ้างก็เรียกว่าจม ว่าแช่ ว่ายึดมั่นถือมั่น ฯลฯ
    แบบไม่รู้ตัว นานๆเข้าจะทำให้จิตพิการได้
    พิการทางจิตคือจิตไม่เคยคลายตัวเอง
    จากเรื่องต่างๆ จากภายนอกที่ดึงเข้ามา
    หรือจากภายในที่สร้างขึ้นนั้นเอง(กิริยาคือจิตเป็นวงกลมอยู่)
    ตรงนี้ มันจะเป็นตัวขวางในเรื่องของปัญญาทางธรรม
    เพราะปัญญาทางธรรม มันต้องอาศัยความเป็นกลางของจิต
    คือไม่มีอะไรมาทำให้จิตเกิดได้เลย ณ เวลานั้น
    เพื่อปล่อยให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ด้วยใจเป็นกลางนี้ โดยมีสติทางธรรมคอยกำกับ
    โดยที่ไม่มีเราเข้าไปแทรกแซง ก็จะเกิดเป็นปัญญาทางธรรม
    ขึ้นมาได้ ปัญญาที่เกิดตัวนี้นี่หละครับ

    จะเป็นตัวที่ทำให้จิต ละ คลายเรื่องต่างๆ
    ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอกที่เผลอดึงเข้ามา
    แล้วทำให้จิตเกิดจนเลยไปปรุ่งแต่งได้เหมือนใน
    อดีตที่ผ่านมานั่นเองครับ

    พอจิตไม่ยึด ไม่ติด ละได้ คลายได้
    จิตก็จะคลายตัวเองได้ในลำดับต่อมาของมันเอง
    ตามธรรมชาติ (ไม่เป็นวงกลม ไร้รูปร่าง)เมื่อผ่านตรงนี้ได้แล้ว
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรม สัมผัสต่างๆ
    ทางนามธรรม ตลอดจนการเกิดเครื่องรู้ทางนามธรรมต่างๆ
    มันก็จะค่อยๆดีขึ้น ลึกขึ้น ละเอียดขึ้น
    ได้ของมันเอง ตามแต่ระยะเวลาที่จิต
    สามารถคลายตัวได้ของมันเองมากน้อย
    แค่ไหนนั่นเอง

    ท่านที่เราเชื่อว่าพ้น หรือเป็นอรหันต์
    คือท่านที่จิตคลายตัวเองโดยธรรมชาติได้ทั้งวันนั่นหละครับ
    แม้ว่าอยู่บนโลก เรื่องภายนอกต่างๆมีเหมือนเดิม
    แต่มันไม่ได้มาเกาะจิตท่านให้เกิดได้ เหมือนบุคคลทั่วไป
    เป็นที่มาของการรู้อะไรก็ตามแบบละเอียด
    และทะลุทะลวง ตามแต่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตท่าน
    ที่ได้สะสมมาไม่ว่าด้านไหน แตกต่างกันในแต่ละท่าน
    นั่นหละครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ความทุกข์มีหลากหลายรูปแบบ

    การแก้ไข ย่อมพิจารณาเป็นกรณีๆไป ไม่อาจชี้ชัดลงไปได้

    ทุกข์ที่เกิดกับกาย ย่อมมีผลต่อจิต ทุกข์ที่เกิดกับจิตย่อมมีผลต่อกาย

    เพราะกายและจิตทำงานร่วมกัน มีเพียงอริยะบุคคลเท่านั้นที่จำแนกแยกกายแยกจิตได้

    สำหรับปุถุชนแล้ว ควรต้องฝึกอบรมให้เอาชนะทุกข์ แก้ไขทุกข์ให้ได้แบบพระอริยะ นั่นหมายความว่า

    ท่านต้องเข้าใจอริยะสัจสี่ การดับทุกข์ จึงเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด

    การแก้ไข เราแก้ไขที่ปลายเหตุ ซึ่งอาจไม่ใช่วิธีที่จะดับทุกข์ได้ถาวร

    การแก้ไขที่ต้นเหตุ นั่นคือวิธีที่ดับทุกข์ได้ถาวร

    ความจริงแล้วเมื่อเราพิจารณา กายก็ดี ใจก็ดี รวมลงที่ขันธ์5 มันไม่มีอะไรเป็นของเราเลย

    สุดท้าย กายแท้จริงไม่มีเป็นเพียงสภาวะของธาตุ ที่รวมตัวกันอย่างเหมาะสมอาศัยกรรมเป็นเครื่องกำหนด

    จิตก็คล้ายกัน อาศัยกรรม อนุสัย เจตสิกของจิตที่สั่งสมมายาวนานเป็นเครื่องหล่อหลอมให้เป็นจิตใครจิตมัน

    และหากพิจารณาใหแยบคาย พลังจิตนี่เองที่เป็นเครื่องก่อกำเนิด สังขารก่อกำเนิดวิญญาณ ก่อนกำเนิดให้เกิดมีกายแบบนั้นแบบนี้ คืออาศัยกำลังของจิตนี่เอง

    สรุปคือ ทุกข์ที่เกิด เมื่อจะทำการดับ ย่อมดับที่เหตุนั่นคือ การดับที่จิต ดับอย่างไร ก็ให้ไปฝึกสติปัฏฐานสี่ เอาอริยะสัจสี่เป็นเครื่องมือ เมื่อนั้นย่อมเกิดปัญญาณรู้แจ้ง ดับทุกข์ลงได้ในที่สุด

    ในขณะเดียวกัน การแก้ไขที่ปลายเหตุก็ต้องมีเช่นกัน เพราะทุกข์บางอย่างมีผลรุนแรงกระจายวงกว้าง เมื่อเรายังดับที่ต้นเหตุไม่ได้ ก็ต้องรู้จักดับที่ปลายเหตุเพื่อเป็นการบรรเทาความรุนแรง บรรเทาทุกข์ให้เบาลง เยียวยาให้กายใจเราดีขึ้น

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมต้องพิจารณาประกอบกันไป ความเหตุปัจจัย ตามผลกระทบหรือผลที่ได้รับ ตามความเหมาะสม ครับ สาธู
     
  8. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    หรือจากสัมผัสทางจิตแบบภายในต่างๆนั้นๆ
    มันไปวกเวียนวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้
    จนฝั่งลึกจนกลายเป็นความทรงจำครับ...

    (อาการทางด้านจิตใจ)
    ตอบ ตรงนี้เรียกจิตใต้สำนึก มันจะผุดขึ้นมาบ่อย ๆ ให้เรารู้สึก
    จนมันกลายเป็นการย้ำคิดย้ำทำขึ้นมานั่นเอง ซึ่งมันเป็น
    บ่อย ๆ จนทรมาน นั่น แระ (รู้สึกทรมาน)

    ตรงนี้จะสร้างคลื่นในสมองตัวหนึ่งให้เกิดขึ้น
    และวนอยู่ภายในศรีษะของเราอยู่ตลอดเวลา
    และมันก็จะไปเกี่ยวเอาการสะสมที่มันกลายเป็น
    ความทรงจำนั้นเข้ามาร่วม ตัวนี้นี่หละครับ...

    ตอบ มันสร้างสื่อทางประสาทขึ้นมาครับ เพื่อการรับรู้รับทราบ
    เหมือนถูกระบบประสาทมันสั่งงานให้เราคิดนั่่นแระครับ ซึ่งเกิดมาจาก
    ความทรงจำของเราที่เก็บเป็นข้อมูลไว้

    ที่มักจะหาสาเหตุไม่ได้แต่ ผู้เป็นจะทราบดี
    และรักษาทางการแพทย์ปัจจุบันก็ไม่หายขาดซักที

    ตอบ เป็นโรคกรรมครับ (ที่ว่าส่วนมากมักหาสาเหตุไม่ได้)

    โปรดใช้วิจารณญาณ
    สำหรับวิธีรักษา
    ๑. ทานยาตามหมอสั่ง
    ๒. ทำบุญเพื่อหนีบาป (ไปอ่านเรื่องขอวิธีแก้กรรมที่ผมโพสต์ไว้จะเข้าใจครับ)
    ๓. อย่าน้อยใจ (หน้าที่เราชดใช้ ไถ่ถอน ผ่อนหนักให้เป็นเบา เบาเป็นหาย ครับ)
    ๔. คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่ครับ
    ---อนุโมทนาบุญ---

     

แชร์หน้านี้

Loading...