กระทู้ที่ 3 มีใครทำให้ผมเชื่อ นรก สวรรค์มีจริงๆ 100 % ได้บ้างครับ

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย surer, 4 ตุลาคม 2012.

  1. bindeaw13

    bindeaw13 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +36
    ท่าน surer ก่อนเคยเชี่อ แต่ตอนนี้ไม่เชื่อ 100 เปอร์เซน ทำไมเป็นอย่างนั้นช่วยบอกหน่อยครับ
     
  2. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    มีจริง น่ะ

    อันนี้ผมเห็นมากับตาของตัวเอง

    เคยเห็นเปรต ตัวเป็นๆ เคยเห็นยมบาล ด้วยตาเนื้อ

    ไม่ได้ฝัน ไม่ได้นั่งสมาธิ ผมเนี่ยได้เปรียบคนอื่นๆมาก เพราะคนอื่นยากเห็นไม่เห็น

    ผมอ่ะ ไม่อยากเห็นดันเห็น เสียอย่างเดียวน่ะ พูดให้ใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ

    นี่พูดจริงน่ะ ไม่โกหก เด๋วผิดศีล



    ถ้ามี เปรต มียมบาล มันก็ต้องมีนรกครับ มีจริงครับ


    อ้อ ผมมีวิธีหนึ่งจะแนะนำครับ วิธีเห็นยมบาล



    คือ คุณต้องอยู่ในภาวะที่ใกล้ตาย หรือป่วยหนักจนสาหัส

    ตอนที่จิตคุณจะออกจากร่างเนี่ย คุณจะเห็นวิญญาน ยมบาล หรืออะไรมากก่วานั้น

    แต่มันเสี่ยงน่ะ อาจตายจริงก็ได้ แต่ถ้าไม่ตายก็คุ้มครับ จริงไหม

    เอาเป็นว่าลองดูก็ได้ ทำยังไงก็ได้

    ย้ำ ทำยังไงก็ได้ ให้คุณป่วยหนัก โคม่าเลยยิ่งดี คุณจะมีตาที่สาม เห็นวิญญาน


    นอกเหนือจากการ ถือศีล นั่งสมาธิ ภาวนา

    เอาวิธีผมไปใช้ก็ได้น่ะ

    เพราะตอนผมเห็นยมบาล ผมก็ป่วยนี่แหละ คนอื่นไม่เห็น ผมบอกให้ดูว่ามันยืนอยู่ปลายเตียง

    ไม่มีใครเห็น ผมเห็นคนเดียว
     
  3. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ได้สิง่ายๆรับประกันผล 100% คือใช้วิธีการแบบพระพุทธเจ้า นั่งลงไปเลื้อดเนื้อแห้งเหือดหายไปก็ไม่ลุกจากที่ถ้าไม่เห็นธรรม รับรองว่ายังไม่ทันตายก็เห็นได้ แต่สำคัญที่ใจคุณเอง ถ้ายังกลัวเมื่อยกลัวง่วงก็หมดหวัง ว่า่อย่างไรละ เอาคืนนี้เลย ลองซ้อมดูก่อนก็ได้ คืนนี้นั่งธรรมะแบบตลอดคืน ถ้าทำได้ก็มาคุยกันต่อ ถ้ายังแพ้หมอนก็เลิกบ่นได้แล้ว
     
  4. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    นรก สวรรค์ มีจริง

    ขออ้างวันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลก โดยเหตุการณ์ที่พระโคตมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่เจ็ดของพระองค์หลังจากที่เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนา ในโอกาสนั้น ทรงสำแดงฉัพพรรณรังสี เป็นเหตุให้โลก (ภูมิ) ทั้งหลายตั้งแต่พรหมภูมิไปจนถึงนรกภูมิเปิดสว่างจนแลเห็นซึ่งกันและกันได้
     
  5. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    คุณสร้างเกราะความคิดว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริง ซึ่่งก็เป็นการไม่เชื่ออย่างหนักแน่น คุณมีสิทธิไม่เชื่อ และคุณจะยึดติดกับความคิดนี้ตลอดไป ไม่มีใครทำให้คุณเชื่อได้ หากแต่วันหนึ่งวันใด จิตใจคุณน้อมเข้าหาธรรมะ แล้วเห็นความจริงว่า มนุษย์ มีเกิด คงอยู่ และดับไป ตลอดเวลา การเกิด คงอยู่ และดับไปมีอยู่ตลอดเวลา เป็นสัจจะธรรม คุณไม่ต้องเชื่อหรอก คุณทำอะำไรก็ได้ หากความตายใกล้เข้ามา คุณจะรู้เอง ว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนนี้ไม่มีคำตอบ หรือใครทำให้คุณเชื่อได้ มีตัวคุณคนเดียวที่จะต้องลดมิจฉาฐิทิ ลงให้เป็นจิตเป็นอุเบกขาแล้วใช้สติพิจารณา ต่อไป
     
  6. ณัฏฐนิต

    ณัฏฐนิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +253
    ไปบ้านสายลมซะน้า
     
  7. ณัฏฐนิต

    ณัฏฐนิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +253
    มโนมยิทธิสิจะได้รู้กันซะที
     
  8. sherfah

    sherfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +193
    เชื่อเพราะเห็น
    ไม่เชื่อเพราะไม่เห็น
    ก็ถูกแล้ว..
    แต่ไม่ใช่ว่า สวรรค์ นรก มันไม่มี แต่เพราะไม่เห็นจึงบอกไม่มีไม่เชื่อ
    ถ้าอยากจะเชื่อก็ต้องปฎิบัติเพื่อให้เห็น เห็นแล้วจึงเชื่อ
     
  9. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    ผมว่าเป็นคำถามที่ดีนะครับ เอาอย่างนี้สิครับพอดีเคยมีคนแนะนำสำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ ภพภูมิต่างๆ ให้ไปหาป่าช้าที่ไหนก็ได้ที่เฮี้ยนที่สุด หรือที่เมรุวัดไหนก็ได้ที่เค้าเป็นแบบเปิด แบบสมัยเก่า ที่เพิ่งจะเผาศพไป ให้คุณไปที่นั้นตอนซัก ตี1 หรือไม่ก็ที่บริเวณที่มีคนตายเยอะแบบโค้งร้อยศพ หรือที่ศาลไหนก็ได้ที่คิดว่าท่านแรงจริงๆ ไปท้่าทายท่านได้เลย อยากเห็นอยากพบเจอก็บอกท่านเลย เพราะถ้าท่านมาหา หรือคุณเกิดอาการเจ็บป่วยแบบแปลกๆประหลาดๆละก็ จะได้มั่นใจนะครับ แต่ทางแก้นี่ต้องตัวใครตัวมันกันละ เพราะผมไม่สงสัยครับ
     
  10. inkpan

    inkpan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +543
    100% ?
    ต้องรู้เอง เห็นเอง เชื่อเองแล้วละ
    ฟังเอา อ่านเอา จากของคนอื่นก็ไม่ 100% อยู่ดี ต่อให้คนหลายคนมาตะโกนบอกทุกวันก็สงสัยอยู่ดี
    พิสูจน์เองเลย มีหลายวิธี ช้าหน่อย แต่ตอบข้อสงสัยได้ว่ามีจริงไหม
    หรือเลือกไม่เชื่อตอนนี้ แล้วทำผิดทำเลว ค่อยไปเสียใจเสียดายตอนรู้ว่ามีอยู่จริง ก็ได้
    คุณต้องเลือกเอา พิสูจน์เอาเอง เค้าว่าพุทธเราเป็นวิทย์สุดแล้ว พิสูจน์ได้ แต่ต้องลองดู ต้องรู้เอง เห็นเอง
    มาถูกทางแล้วครับ
    สงสัย ตั้งคำถาม หาแนวทางคำตอบ พิสูจน์
     
  11. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    ท่านพ่อพระยายมจัดให้จามคำขอ
     
  12. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,666
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ทำให้เชื่อได้แต่นรกง่ะ
    ลองตายดูสิ ตายปุ๊บเชื่อเลย
     
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    55555 อันนี้โดนใจค่ะพี่ softkid9

    คุณจขกท. อย่าว่ากันนะคะ คือ อ่านแล้วขำจริงๆ :p

    แนะนำให้คุณจขกท.ลองทำดู หรือไม่ก็ลองฝึกมโนมยิทธิดูค่ะ ฝึกแล้วยังไม่ต้องเชื่อ เพราะคนเราถ้ายังมีขันธ์ 5 จิตเรายังมีกิเลสอยู่มากมาย เห็นภพภูมิต่างๆได้ยาก ต้องฝึกไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องสงสัย ทำไปแบบคนไม่รู้อะไรเลย

    จนจิตมีสมาธิ และมีวิปัสสนาญาณดีพอเมื่อไหร่ จึงจะเห็นสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอน และเมื่อเห็นแล้ว ยังไม่ต้องเชื่อนะคะ ให้ถามท่านว่าจะมีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วเมื่อไหร่ที่มีเหตุการณ์ต่างๆมาเรื่อยๆ จะเข้าใจเองค่ะ
     
  14. kamio

    kamio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    646
    ค่าพลัง:
    +756
    ผมทำได้ครับ เป็นการพิสูจน์กฎแห่งกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาโดยใช้พลับุญช่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วยซึ่งเกิดจากการผิดศีลนั่นเองครับ สนใจสามารถสอบถามได้ครับ ผมรู้วิธีที่จะรวยแบบง่ายๆ และหายป่วยแบบง่ายๆด้วยครับ ใครสนใจpmมานะครับ แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่การรักษาโรค แต่เป็นการพิสูจน์กฎแห่งกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น เป็นการพิสูจน์ว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง และนรกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปตอนตาย แต่ลงตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ คือมีอุปสรรค์ในชีวิต เจ็บป่วย มีปัญหาต่างๆ เช่นปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน ปัญหาจิตใจ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดมาจากการทำผิดศีล5ทั้งสิ้น ตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าทำผิดศีลแม้นข้อใดข้อหนึ่ง จะทำให้ชีวิตมีปัญหา มีความทุกข์ในด้านต่างๆ เช่นเจ็บป่วย จน จิตใจไม่สงบ และปัญหาครอบครัว ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากการผิดศีล5ทั้งสิ้น ท่านถึงสอนให้คนรักษาศีล5 เพราะถ้ารักษาได้ จะเป็นผู้ที่มีความสุขมาก จะมีกำแพงแก้วคุ้มกาย
     
  15. colapop

    colapop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +15
    ผมก็ไม่เชื่อ เท่าไหรนะ เพราะเห็นมาเยอะ คนสมัยก่อนมีจำนวนเท่าไหร แล้วปัจจุบันมีมากกว่าสมัยก่อนขนาดไหน ลองคิดดู แล้วทุกคนเกิดมาต้องมีทำบุญกรรม มาก่อนทุกคน แล้วส่วนที่ จำนวนคนที่เกินมาก กว่าคนสมัยก่อน เค้าจะเอากรรมเก่าหรือบุญเก่าจากที่ไหน ในเมื่อสมัยใหม่ คนมันกว่าเดิมขนานไหน หรือคนสมัยก่อน ตายแล้วเกิดมาเป็น 100 คนในสมัยนี้
     
  16. อีกยาวนาน

    อีกยาวนาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    746
    ค่าพลัง:
    +3,940
    ข้อความนี้ สุดยอดแล้วครับ
     
  17. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    พระพุทธเจ้าไง ผู้เดียวที่ทำให้คุณเชื่อได้ 100%
    ลองไปอ่านพระสูตรดู สัก 2-3 พระสูตร
    ถ้าโชคดีบุญเยอะหน่อย ก็เชื่อเลย
    ถ้าบุญน้อยหน่อย ก็อาจจะต้องอ่านสัก 10 พระสูตร

    ผมเองก็ไม่ได้เชื่อในทีเดียวเหมือนกัน
    แต่ตอนนี้ผมอ่านพระสูตรมาเกิน 100 พระสูตรแล้ว
    ตอนนี้เชื่อแระ...

     
  18. patiphat2499

    patiphat2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +183
    แต่ก่อนผมก็คิดเหมือนคุณเคยเชื่อ และสงสัย ตอนนี้เชื่อไม่มีสงสัย ลองศึกษาเอาความดียิ่ง ในพระพุทธศาสนา 4อย่าง คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2014
  19. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เสียดายจัง มาเจอกระทู้นี้ช้าไป

    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน



    The late Dr. Ian Stevenson, Founder of the Division of Perceptual Studies
    October 31, 1918-February 8, 2007



    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.)นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้”และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า 47 ปี ได้เสียชีวิตแล้วที่ ชาร์ลลอตวิลล์ เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2007(2550) ด้วยอาการปอดบวม ศิริอายุได้ 88 ปี นับว่าโลกได้สูญเสียบุคคลสำคัญไปอีกท่านหนึ่ง นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกาได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการยากที่จะปฏิเสธได้” นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ท่านเป็นเหมือน กาลิเลโอ ในยุค 2000”

    เนื่องจากในสมัยของ กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เช่น นิโคลัส คอบเปอร์นิคัส (Nicholas Copernicus) โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler) รวมทั้งกาลิเลโอ ได้เฝ้าสังเกตดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆ แล้วมีความเห็นว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” แต่ความเห็นนี้ไปขัดกับคำสอนและความเชื่อทางศาสนาต่างๆ เช่น ศาสนาฮีบรู(ยิว)ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์

    เพราะศาสดาของศาสนาต่างๆเหล่านี้บอกว่า พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดิน แผ่นน้ำ คือโลก(สมัยนั้นศาสนิกชนของศาสนาเหล่านี้เชื่อว่าโลกแบน) ก่อนที่จะสร้างดวงดาว ศาสนิกชนของศาสนาเหล่านี้จึงเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

    ความคิดของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงขัดกับหลักคำสอนของศาสนาเหล่านี้ โดยเฉพาะไปขัดกับคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งคริสต์จักร มีอิทธิพลเหนือการเมืองการปกครองและความเชื่อความเห็นของผู้คนในยุโรป อเมริกา และประเทศราชอื่นๆในสมัยนั้น ผู้ที่เห็น คิด หรือเชื่อแตกต่างจากคำสอนของศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า พวกนอกรีต(Heresies) ซึ่งเขามีวิธีการลงโทษพวกนอกรีตด้วยวิธีการที่โหดร้ายเกินบรรยาย เช่น ชาวบ้านชาวเมืองจะใช้ศาลเตี้ยตัดสินเอง โดยใช้ก้อนหินรุมขว้างจนตาย หรือการเผาทั้งเป็น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในสมัย กาลิเลโอ ก็ถูกอิทธิพลทางศาสนาคริสต์กดดัน ไม่ให้พูดหรือเผยแพร่ความคิดเรื่อง “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต และมีบางท่านถูกลงโทษแบบศาลเตี้ยจนเสียชีวิต

    ส่วน กาลิเลโอ ก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องใต้ดินในบ้านของตัวเอง โดยพระสันตะปาปา(Pope)ประมุขของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก และมีการขอให้ กาลิเลโอ ถอนและปฏิเสธคำพูด ความคิด ความเห็น ในเรื่องนี้แล้วจะไม่ถูกลงโทษ แต่ กาลิเลโอ ไม่ยอมปฏิเสธทฤษฎีนี้ จึงต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องใต้ดินในบ้านของตัวเอง จนกระทั่งล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด ต่อมาผลงานของ กาลิเลโอ กลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในทางวิทยาศาสตร์และทำให้โลกยกย่องให้ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกท่านหนึ่ง

    ในปัจจุบันนี้ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราทราบแล้วว่า “โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” และดวงดาวต่างๆ เช่น ดวงอาทิตย์ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ถือกำเนิดขึ้นก่อนโลกของเราหลายล้านปี และเมื่อโคลัมบัส ได้เสี่ยงล่องเรือไปในมหาสมุทรจนค้นพบทวีปอเมริกาและสามารถลบล้างความเชื่อเดิมที่เชื่อว่าโลกแบนได้ (เพราะเชื่อว่าโลกแบนในสมัยนั้นจึงไม่มีใครกล้าล่องเรือไปในมหาสมุทร เพราะกลัวว่าจะตกขอบโลก)

    เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปมากจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก คริสต์จักรเพิ่งจะออกมาขอโทษนักวิทยาศาสตร์และครอบครัวทายาทของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี ค.ศ.1992(พ.ศ.2535)นี่เอง ในการตัดสินโทษที่ผิดพลาด ในสมัยนั้น
    เช่นเดียวกันกับ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน

    ในยุคสมัยนี้ ที่ท่านทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้”และ “การกลับชาติมาเกิด” มากว่า 47 ปี ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1960(2503) ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆทั่วโลกทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย อัฟริกา และทวีปเอเซีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า 3,000 ราย ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็กที่จำอดีตชาติได้จำนวนมหาศาล ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน(Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย

    ท่านได้เขียนผลงานการศึกษาวิจัยของท่านออกมาเป็นรายงานทางวิชาการในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1964(2507)จนถึงปัจจุบัน มากกว่า 200 เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่านเป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอนและความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู(ยิว) คริสต์ และอิสลาม ที่เชื่อว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วก็จะอยู่ในหลุมฝังศพ(ไม่เผาศพ) จนกระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าจะบันดาลให้โลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่(วันสิ้นโลก) ทำให้มนุษย์เราทุกคนตายกันหมด จากนั้นพระเจ้าจะทรงให้คนที่ตายไปแล้วตั้งแต่แรกจนถึงวันสิ้นโลกกลับเป็นขึ้นมาอีกครั้ง(การเกิดใหม่อีกเพียงครั้งเดียว) จากนั้นทุกคนก็จะเข้าแถวให้พระเจ้าทรงตัดสิน

    ถ้าใครเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า ถึงแม้ระหว่างที่มีชีวิตจะไม่เชื่อในพระเจ้า จะทำชั่วช้ามายาวนานสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าก่อนตายเกิดเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าขึ้นมาก็จะได้รับรางวัล คือได้ไปอยู่อย่างมีความสุขบนสวรรค์อยู่กับพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์ แต่ถ้าใครที่เคยเชื่อและศรัทธาในพระเจ้ามามากมาย ยาวนานเพียงใดก็ตาม หากก่อนตายไม่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเสียแล้วก็จะได้รับการลงโทษ ให้ไปทุกข์ทรมานอยู่ในนรกชั่วนิจนิรันดร์เช่นเดียวกัน คือขอให้เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างเดียวทุกอย่างหลังตายไปแล้วจะดีทั้งหมด

    แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้าอย่างมากมายมั่นคง จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หรือทุกข์แสนสาหัสอย่างไร ครอบครัวและตัวเองจะลำบาก ถูกเอาเปรียบ ถูกคดโกง ถูกใส่ความ ถูกว่าร้าย ถูกทรมาน ถูกฆ่า ให้ถือว่าเป็นการทดลองจากพระเจ้า ขอให้อดทน จงเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเพียงอย่างเดียว แล้วชีวิตหลังการตัดสินจะมีแต่ความสุขบนสวรรค์ และจะได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และได้อยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นจนชั่วนิจนิรันดร์

    นั้นคือความเชื่อหลักของ 3 ศาสนาใหญ่ของโลก แต่ผลการศึกษาวิจัยของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน ในปัจจุบันนี้ กำลังบอกกับโลกว่า ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆเหล่านี้ เพราะผลการศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริงทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์
    ถึงแม้ว่าท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป สุดท้ายเมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริงและได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป

    และการที่ นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ ยกย่องท่านว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ท่านเป็นเหมือน กาลิเลโอ ในยุค 2000” ก็คงเป็นเพราะ ถ้าหาก ดร.เอียน สตีเวนสัน อยู่ในยุคเดียวกันกับ กาลิเลโอ ผลงานการศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของท่าน คงจะทำให้ท่านต้องถูกกักบริเวณโดยพระสันตะปาปา ถูกชาวบ้านขว้างปาด้วยหิน หรือถูกเผาทั้งเป็น จนเสียชีวิต เหมือนอย่าง กาลิเลโอ และนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ถูกลงโทษในยุคนั้น เพราะท่านได้พิสูจน์และยืนยันสิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง แต่ขัดแย้งกับคำสอนทางศาสนา อย่างรุนแรงยิ่ง เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เป็นความคิดของพวก "นอกรีต" อย่างแท้จริง

    แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู(ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต(Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต(Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์และจากผู้คนทั่วโลก นับตั้งนี้เป็นต้นไป



    ผู้เขียนขอแสดงความอาลัยต่อนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน








    Dr. Ian Stevenson


    ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปี ค.ศ.1918(2461) ในเมืองมอลทรีออลส์ บิดาของท่านเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ The Time of London ในกรุงอ็อตตาวา ประเทศแคนาดา(ในขณะนั้น) และต่อมาได้เป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ New York Times ท่านเรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุได้ 16 ปี และได้ทุนศึกษาต่อทางด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในสก็อตแลนด์ ศึกษาอยู่ 2 ปี จึงได้เปลี่ยนมาเรียนแพทย์จนสำเร็จการศึกษาสูงสุด เกียรตินิยมเหรียญทองอันดับ 1 จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา เคยทำงานที่คลินิกโอชส์เนอร์ และที่มหาวิทยาลัยตูเลน ที่นิวออร์ลีนส์ เคยทำงานที่โรงพยาบาลนิวยอร์กและวิทยาลัยแพทย์คอร์แนล ซึ่งทั้งที่ตูเลนและคอร์แนลท่านได้ทุนวิจัยมาโดยตลอด ต่อมาท่านได้ร่วมทำงานวิจัยกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยส์เซียน่าเป็นเวลา 7 ปี และสุดท้ายท่านได้มาเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์และเป็นหัวหน้าแผนกจิตเวช อยู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ชาร์ลอตวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (University of Virginia) ท่านเป็นอาจารย์สอนจิตแพทย์ ที่มีความรู้ความสามารถสูง มีผลงานดีเด่นในการรักษาโรคจิตประสาทในระดับผลงานอัลฟ่าและโอเมก้าอัลฟ่า และได้รับรางวัลเกียรติยศอีกมากมาย

    ซึ่งช่วงอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียนี้เอง ที่ท่านได้มีโอกาสรวบรวมและนำเสนอเรื่องราวกรณีของผู้ที่จำอดีตชาติได้ 44 กรณีแรก ที่รวบรวมได้จาก หนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ พร้อมทั้งแสดงความเห็นประกอบไปว่า “มีความเป็นไปได้ที่จะทำการพิสูจน์สอบสวนเรื่องราวเหล่านี้ให้กระจ่างได้ ถ้ามีการค้นพบกรณีของการจำอดีตชาติได้มากขึ้น และมีการติดตามศึกษาตั้งแต่ต้นด้วยความรอบคอบ” เพื่อเสนอเข้าชิงรางวัลจาก American Society for Psychical Research ในปี 1960(2503) ซึ่งท่านได้รับรางวัลชนะเลิศ
    ต่อมาท่านได้ทุนจำนวนหนึ่งจากประธานของ Paraphychology Foundation นิวยอร์ก ให้ไปสอบสวนกรณีของผู้จำอดีตชาติได้กรณีหนึ่งที่ประเทศอินเดีย แต่พอไปถึงก็ได้พบกรณีศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 5 ราย หลังจากนั้นอีกประมาณ 4 สัปดาห์ท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้เพิ่มเป็น 25 ราย ซึ่งมักจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันในหลายๆประเทศที่ท่านไปสืบหา สอบสวน และพิสูจน์กรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในเวลาต่อๆมา
    หลังจากที่ท่านได้พบและได้สอบสวนผู้ที่จำอดีตชาติได้มากขึ้น 3 ปีหลังจากนั้น ในปี 1964 ท่านก็ได้เขียนหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Twenty cases Suggestive of Reincarnation และในปีนี้เองที่ท่านเริ่มได้รับทุนในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารคนแรกของโลก แต่ยังไม่มากนัก

    ต่อมาท่านได้เป็นประธานคณะจิตเวช แต่ท่านตัดสินใจลาออกจากประธานคณะจิตเวชมาเป็นหัวหน้าแผนกบุคลิกภาพศึกษา ซึ่งเล็กกว่าคณะจิตเวชมาก เพื่อจะได้มีเวลาทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้อย่างเต็มที่ โดยมี เชสเตอร์ คาร์ลสัน ผู้สนับสนุนทุนวิจัยมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะจิตเวชแทน หลังจากนั้นไม่นาน เชสเตอร์ คาร์ลสัน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้ท่านคิดว่าคงจะไม่มีเงินทุนสนับสนุนการวิจัยของท่านแล้ว แต่เมื่อมีการเปิดพินัยกรรมของ เชสเตอร์ คาร์ลสัน ปรากฏว่าเขาได้เขียนพินัยกรรมมอบเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และอีก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับท่านเพื่อใช้เป็นทุนในการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ต่อไป ด้วยความตั้งใจเด็ดเดียวที่จะบริจาคเงินเพื่อทำประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว
    และด้วยทุนวิจัยก้อนนี้เองที่ทำให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นศาสตราจารย์คาร์ลสันทางจิตเวช แห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย มีเงินเดือนประจำ และมีค่าใช้จ่ายในการออกเดินทางไปสืบหาผู้จำอดีตชาติได้จากทั่วโลก และในประเทศไทย มาเป็นเวลากว่า 45 ปี นับแต่นั้น

    ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้จำอดีตชาติมานานกว่า 47 ปี นับตั้งแต่ท่านเริ่มรวบรวมเรื่องราวของผู้จำอดีตชาติได้จาก หนังสือ หนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ เพื่อส่งเข้าชิงรางวัลเมื่อ ปี

    ค.ศ.1960(2503) จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตเมื่อ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 ด้วยอาการปอดบวม ศิริอายุได้ 88 ปี ท่านใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิตทุ่มเทให้กับการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ ซึ่งท่านได้ค้นพบพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่งแล้ว ถึงกระนั้น ท่านไม่เคยบอกให้ใครเชื่ออย่างที่ท่านเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่ท่านมักจะตอบคำถามเมื่อมีคนถามว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมายืนยันได้ว่ามันไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังที่จะให้การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ของข้าพเจ้าไปมีผลต่อความเชื่อต่างๆ แต่ขอให้มาดูเถอะว่าข้าพเจ้าค้นพบอะไรบ้าง ลองพิสูจน์ทดสอบตรวจสอบสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นพบได้ตามต้องการ ลองคิดว่ามีข้อข้องใจสงสัยตรงไหนหรือไม่ ลองค้นหาสิ่งที่ข้าพเจ้าอาจจะพลาดไป และถ้ามีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากกว่านี้กรุณาบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วย”สำหรับในประเทศไทยนั้นท่านและคณะศึกษาวิจัยได้เคยมาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายครั้ง โดยความร่วมมือจากคณะคนไทยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วหลายท่าน ได้แก่ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ , อาจารย์นาซิบ สิโรรส , อาจารย์เต็ม สุวิกรม , ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล เป็นต้น ซึ่งท่านได้เขียนไว้ใน กิตติกรรมประกาศ(Acknowledgments) ในหนังสือ Reincarnation and Biology ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1977(2520) และยังมีอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน เช่น คุณประสิทธิ์ การุณยวณิชย์ , ดร.บุญย์ นิลเกษ , อาจารย์สุตทยา วัชราภัย และ ดร.วิเชียร สิทธิประภาพร ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมศึกษาวิจัยกับคณะ ของท่านคนปัจจุบัน



    ขอเชิญท่านที่สนใจศึกษาหาความจริงเกี่ยวกับ


    จิต วิญญาณ ชีวิตหลังความตายและการเกิดใหม่
    เข้ามาศึกษาหาข้อมูลในเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวม
    ข้อมูลการศึกษาทางวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผลงานการศึกษาของ ดร.เอียน สตีเวนสัน มากกว่า
    370 กรณีศึกษา
    ชมคลิปวีดีโอ คนระลึกชาติ วิญญาณออกจากร่างฯลฯ
    ร่วมติดตามศึกษากรณีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดแบบ Real Time



    เข้าไปที่นี่


    www.reincarnation.tk


    หรือที่


    http://sites.google.com/site/reincarnationthailand
     
  20. sassygile

    sassygile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +217
    คำตอบที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ถอดจิตไปดูไม่ได้
    คือ ตายเมื่อไหร่ ก็รู้เอง อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...