กระทู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการปรามาส ผมรวบรวมมาให้หมดเเล้วในกระทู้นี้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 2 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล

    ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆ นานา เช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้เรียกว่า อกุศล วิตก การห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทำได้ยาก บุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้ คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี ตรงกันข้าม เมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นาน การ ห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ในที่นี้จะได้กล่าวถึงวิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล 5 วิธีด้วยกัน

    (1) เมื่อใส่ใจในอารมณ์ใดอยู่ อกุศลวิตกเกิดขึ้น ก็ให้ใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน เช่น เมื่อนึกคิดไปในทางราคะ ก็ให้หันมาเจริญอสุภสัญญา พิจารณาว่า ร่างกายนี้เป็นของเน่าเปื่อยไม่สะอาด มีของโสโครกไหลออกอยู่เนืองๆ จะหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งประเสริฐในกายนี้ไม่ได้เลย เมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศล คือ อสุภสัญญา ย่อมละราคะนี้ได้ ถ้าโลภอยากได้ข้าวของเงินทองต่างๆ ก็ให้พิจารณาว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของกลางสำหรับแผ่นดิน ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เป็นเพียงของยืมมาใช้ชั่วคราว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกให้คนอื่นใช้ต่อไป เมื่อมาใส่ใจเรื่องอื่นที่เป็นกุศล คือ ความไม่มีเจ้าของและเป็นของชั่วคราว ย่อมละความโลภในทรัพย์สมบัติได้ ถ้านึกคิดไปในทางเบียดเบียนด้วยอำนาจโทสะ ก็พึงเจริญเมตตาด้วยการระลึกถึงพุทธพจน์ ที่เป็นไปเพื่อคลายความอาฆาต เช่น พุทธพจน์ในกกจูปมสูตร (12/272) ที่ว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้าเอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น ภิกษุมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตาไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น เมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล คือ เจริญเมตตา ย่อมละโทสะได้ เหมือนช่างไม้ผู้ฉลาด ใช้ลิ่มอันเล็กตอก โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก ฉะนั้น

    (2) เมื่อใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรพิจารณาโทษของอกุศลวิตกว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง ทำให้ปัญญาดับ ก่อให้เกิดความคับแค้น ให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เมื่อพิจารณาโทษอยู่อย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวรู้ว่า มีซากศพซึ่งเป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจผูกอยู่ที่คอ ย่อมรีบทิ้งซากศพนั้นโดยเร็ว

    (3) เมื่อพิจารณาโทษของอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงอกุศลวิตกนั้น เมื่อไม่นึกไม่ใส่ใจก็ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ ไม่ต้องการเห็นรูปที่ผ่านมา เขาพึงหลับตาเสีย หรือเหลียวไปทางอื่นเสีย

    พระโบราณาจารย์ก็เคยใช้วิธีนี้ แก้ความกระวนกระวายของติสสสามเณรที่ต้องการลาสิกขา

    เรื่องมีอยู่ว่า ติสสสามเณร คิดจะลาสิกขา จึงแจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบ พระเถระจึงหาวิธีเบนความสนใจของสามเณร โดยกล่าวว่า ในวิหารนี้หาน้ำได้ยาก เธอจงพาเราไปที่จิตตลดาบรรพต สามเณรก็กระทำตาม พระเถระกล่าวกับสามเณรอีกว่า เธอจงสร้างที่อยู่ใหม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะบุคคลหนึ่ง สามเณรก็รับคำ แล้วสามเณรก็เริ่มสิ่งทั้งสามพร้อมๆ กัน คือเรียนคัมภีร์ สังยุตตนิกายตั้งแต่ต้น การชำระพื้นที่ที่เงื้อมเขา และการบริกรรมเตโชกสิณจนถึงอัปปนา เมื่อเรียนสังยุตตนิกายจบลงแล้ว ก็เริ่มทำอยู่ในถ้ำ

    เมื่อทำกิจทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็แจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบ พระอุปัชฌาย์กล่าวว่า สามเณร ที่อยู่เฉพาะบุคคล ที่เธอทำเสร็จนั้นทำได้ยาก เธอนั่นแหละจงอยู่ สามเณรนั้น เมื่ออยู่ในถ้ำตลอดราตรี ได้อุตุสัปปายะ จึงยังวิปัสสนาให้เจริญ แล้วบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานในถ้ำนั่นแหละ ชนทั้งหลายจึงเอาธาตุของสามเณรก่อสร้างพระเจดีย์ไว้ นี่คือเรื่องของติสสสามเณรที่ถูกพระอุปัชฌาย์เบนความสนใจ ให้ไปกระทำสิ่งอื่นที่เป็นกุศล จนลืมความคิดที่จะลาสิกขา เมื่อไม่ใส่ใจ ไม่นึกถึง ความคิดที่จะลาสิกขาก็ดับไปเอง

    (4) เมื่อไม่นึกถึงไม่ใส่ใจในอกุศลวิตกนั้น อกุศลวิตกก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรใส่ใจถึงเหตุ ของอกุศลวิตกนั้นว่า อกุศลวิตกนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เพราะเหตุไรจึงเกิดขึ้น เมื่อค้นพบเหตุปัจจัยอันเป็นมูลรากแล้ว อกุศลวิตกนั้นย่อมจะเบาบางลง แล้วถึงความดับไปโดยประการทั้งปวง

    (5) เมื่อใส่ใจถึงเหตุแห่งอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็พึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิต เมื่อข่มจิตอย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นเสียได ้เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากจับบุรุษผู้มีกำลังน้อยไว้ได้ แล้วบีบกด เค้นที่ศรีษะ คอหรือก้านคอไว้ให้แน่น ทำบุรุษนั้นให้เร่าร้อน ให้ลำบาก ให้สยบ ฉะนั้น (วิตักกสัณฐานสูตร 12/256)

    วิธีควบคุมอกุศลวิตก ทั้ง 5 วิธีนี้ อาจย่อให้สั้น เพื่อให้จำได้ง่ายดังนี้คือ

    1. เปลี่ยนนิมิต หันมาคิดเรื่องที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน
    2. พิจารณาโทษา พิจารณาโทษของความคิดฝ่ายชั่ว
    3. อย่าไปสน อย่าสนใจความคิดฝ่ายชั่ว หางานอื่นทำ
    4. ค้นเหตุที่คิด หาสาเหตุของความคิดฝ่ายชั่ว
    5. ข่มจิต เอาฟันกัดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน เพื่อข่มจิต

    ผู้ที่ ฝึกหัดตามวิธีทั้ง 5 นี้จนชำนาญ ย่อมควบคุมความคิดของตนได้ เมื่อต้องการความคิดเรื่องใดก็คิดเรื่องนั้นได้ ไม่ต้องการคิดเรื่องใดก็เลิกคิดเรื่องนั้นได้ การควบคุมความคิดได้ดังใจนึกเช่นนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งทางโลกและทางธรรม

    คัดลอกมาจาก
    http://www.geocities.com/wat_thaton/index1.htmlhttp://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1656

    http://palungjit.org/threads/วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล.244022/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2023
  2. potaetae

    potaetae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +41
    อนุโมทนาสาธุครับ

    ขอบพระคุณมากๆ ครับ

    ขอให้ทุกท่านหลุดพ้นจากความปรามาสนะครับ
     
  3. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ทำยังไงดี-คิดไม่ดี อยู่ เรื่อย by ดังตฤณ

    ถ้าคุณเป็นคน หนึ่งที่กำลังทรมานใจอยู่กับความคิดสกปรก ความทรงจำแย่ๆ หรือความลับน่าอับอายเกินกว่าจะให้ใครรู้ว่าเราก็คิดอย่างนี้ได้ ขอให้ทราบเถิดว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว ยัง มีคนอีกทั้งโลกเป็นเพื่อน ที่สำคัญว่าคิดบ้าๆอยู่คนเดียวก็เพราะไม่ได้เปิดอกนั่งจับเข่าคุยกันเท่า นั้นแหละ ใครเล่าจะอยากขุดเอาความคิดเพี้ยนๆเลอะเทอะในหัวของตัวเองออกมาแฉให้คนอื่น ร่วมรับทราบไปด้วย

    ความคิดไม่ดีมาอยู่ในหัวเราได้อย่างไร? และที่ร้ายกว่านั้น ทำไมมันถึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งที่เราเกลียดความคิดแบบนั้นแทบดิ้นตาย?

    อาการที่สะท้อนความทรมาน ใจกับความคิดในหัวแต่ ละครั้งอาจแตกต่างกันไป ถ้าอาการน้อยหน่อยก็อาจแค่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่กับตัวเอง แต่ถ้าอาการหนักหน่อยก็อาจทำท่าฟึดฟัดงุ่นง่าน จนคนอยู่ใกล้ต้องหันมาถามว่า "เป็น อะไร?" อย่างอดสงสัยไม่ได้

    ยิ่งหากคุณ รู้สึกว่าความคิดที่เสียดแทงหัวหูอยู่นั้น เป็นเรื่องน่าอับอายเกินกว่าจะปรึกษาใคร เรียกว่าไม่กล้าเปิดเผยกันตลอดชีวิต ก็ยิ่งย้ำติดและคิดหนัก เช่น คำหยาบที่โยงเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือความคิดทางเพศกับญาติเชื้อ แม้คุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากอยู่ข้างเดียวกับความคิดพรรค์นั้น มันก็ยังคงวนเวียนเยี่ยมหน้ามาไม่เลิก ราวกับมีศัตรูตามราวีตนอยู่ในตัวเอง


    *****ผม ขอให้คุณๆมองอย่างนี้ครับว่า ยิ่งหาทางแก้ความคิดไม่ดี ก็ยิ่งตอกย้ำให้กลุ้มว่าเราคือเจ้าของความคิดไม่ดี อย่าไปทำอย่างนั้นเลย หาทางเป็นคนละข้างกับมันดีกว่า

    วิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยาก และสามารถทำได้จริง คือ ในแต่ละครั้งที่ความคิดเลวร้ายมันผุดขึ้นในหัว ให้ดูว่ามันมาเอง เราไม่ได้เชิญ!

    ก็ถ้าเราไม่ได้ พามันมา เราไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญมัน แล้วทำไมมันจะต้องเป็นความรับผิดชอบของเราด้วย?


    พอพิจารณาอย่าง ละเอียดเท่านี้ คุณจะเริ่มโล่งใจ สบายใจขึ้น อย่างน้อยก็มีแก่ใจจะรับมือกับความคิดเลวร้ายอย่างถูกต้อง นั่นคือ ไม่ไปให้ "อาหาร" หล่อเลี้ยงมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซ้ำซ้อน ทั้งในทางคล้อยตามมันไป และในทางต่อต้านปฏิเสธจะไม่ยอมให้มันมา

    ทำไม จึงไม่ควรต่อต้าน?อย่างที่ผมกล่าวแล้วว่ายิ่งเกลียด แปลว่ายิ่งยึด ส่วนการต่อต้านก็คือยิ่งตอกย้ำ ความเกลียดเข้าไปใหญ่ แล้วเมื่อไรใจจะเลิกยึดได้เล่า?

    ท่าทีที่ถูก ต้องคืออย่างไร? ประการแรกคุณต้องยอม รับตามจริงโดยดุษณีว่าความคิดเลวร้ายมันเกิดขึ้นในหัวของคุณ และนอกจากจะเห็นมันมาเองโดยคุณไม่ได้เชิญแล้ว ยังต้องเห็นว่ามันไปเองได้โดยไม่ต้องขับไล่อีกด้วย ขอแค่ใจเย็น เฝ้าดู และไม่แคร์ว่าจะต้องดูกี่ร้อยกี่พันรอบก็ตาม

    พอคุณเฉยๆในอาการยอมรับ ว่ามัน มาเองและไปเอง ขณะนั้นจิตของคุณจะประกอบด้วยสติ รับตามจริง รู้ตามจริง ไม่หลอกตัวเอง บ่อยครั้งเข้าในที่สุดจะได้ข้อสรุปเป็นความสบายใจอย่างมีสติรู้ ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่เห็นจะต้องไปให้ความร่วมมือหรือต่อต้านมันเลยแม้แต่นิดเดียว

    ผล พลอยได้ที่ตามมาคือคุณ จะไม่ใช่พวกรักแรงเกินไป เกลียดแรงเกินไป คือรักได้และเกลียดได้นะครับ แต่ไม่เกินขีด ไม่แปรความรักและความเกลียดมาเป็นความยึดแน่นให้เป็นทุกข์เปล่า

    ดัง ตฤณ
    จากบทความ "ทำยังไงดี"
    นิตยสาร Miracle of Lifeฉบับ เดือนพฤษภาคม ๕๓

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-by-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A4%E0%B8%93.243711/
     
  4. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    ขออนุโมทนาสาธุ

    กำลังพยายามอย่างยิ่งกลัวมากๆกับการปรามาส ยิ่งถ้าพระท่านเป็นพระอรหันต์ยิ่งแล้วใหญ่เลยอะนรกกินหัวแน่ สาธุๆๆ ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    .คิดผิดคิดใหม่..คนที่เคยปรามาส.หลวง ตา.เหตุการณ์นี้หนักถึงปากเบี้ยว.(ที่มาขอมาก็สาธุ)<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="text_white_head" width="90%">...คิดผิดก็คิดใหม่....สำหรับใคร ที่เคยประมาท-ปรามาสครูบาอาจารย์พระอริยสงฆ์
    </td></tr></tbody></table>



    [​IMG]




    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="9%">
    </td><td class="text_green_big" valign="top" width="79%">

    ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550
    โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน


    โยมมาจากกรุงเทพฯ : ผมมาจากกรุงเทพ เคยพูดจาสบประมาทท่านตั้งหลายหน เมื่อ ๓ เดือนก่อนผมยังพูดจาชัดเจน เดี๋ยวนี้กลายเป็นพูดไม่ได้แล้ว ขอความกรุณาหลวงตางดโทษให้ผมด้วยครับ

    หลวงตา : ประมาทว่ายังไงว่ามาซิ
    โยมมาจากกรุงเทพฯ : ทุกคนบอกว่าหลวงตาเสร็จกิจแล้ว ผมว่าไม่หรอก เพราะท่านไม่เมตตานายกฯชวนเหมือนท่านทักษิณ พระอรหันต์จะต้องเมตตาเท่ากัน ผมผ่านวัดหลวงตาหลายครั้ง ไม่เคยจะนึกเข้ามากราบท่าน แม้แต่เณรอายุ ๑๐ ขวบผมก็ยังกราบ แต่ไม่เคยศรัทธาหลวงตาเลย ผ่านที่นี้หลายครั้ง


    หลวงตา : เอ้าว่าไปซิผู้กำกับ (โยมอุปฐาก) อธิบายให้ฟัง
    โยมอุปฐาก : เขาได้ยินข่าวมาว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่เขาไม่เชื่อเพราะว่าหลวงตาไม่เมตตานายชวน หลีกภัย ไปเมตตานายทักษิณ ชินวัตร เขาบอกไม่ยุติธรรม เรื่องมันนานแล้วครับเมื่อ ๗ ปีก่อน เขาเคยผ่านมาที่วัดนี้บ่อยๆ เขาก็ไม่เข้ามากราบ แม้เณรเขาก็กราบ แต่หลวงตาเขาไม่เข้ามากราบ เขาเลยพูดไม่ชัด จึงมาขอขมาหลวงตาครับ

    หลวงตา : เป็นยังไงจึงต้องมาขอขมา
    โยมอุปฐาก : เขาดีๆ อยู่ไม่เป็นอะไร พอไปคิดอย่างนี้เลยทำให้พูดจาไม่ชัด เขาเลยคิดว่าเป็นเพราะเขาประมาทพลาดพลั้งในองค์หลวงตา จึงมาขอขมาครับ

    โยมมาจากกรุงเทพฯ : ในชีวิตผมก็ทำบุญมาเยอะ ผมสร้างพระไตรปิฎกมา ๒๐ กว่าล้านบาท ผมทำบุญในพระพุทธศาสนามามากกว่า ๔๐ ล้านบาท ทั้งโรงพยาบาลต่างๆ พิจารณาเห็นว่ามีแต่เรื่องนี้ที่ผมทำบาป

    หลวงตา : เขาว่าไง
    โยมอุปฐาก : เขาบอกเขาทำบุญมามากมาตลอดทั้งในพระพุทธศาสนาและโรงพยาบาลต่างๆ เขาคิดดูแล้วไม่มีเรื่องอื่นที่ทำให้เขาพูดจาไม่ชัด คิดว่ามีเรื่องเดียวเกี่ยวกับองค์หลวงตา จึงมาขอขมาครับ

    หลวงตา : เพราะอะไรกับเราจึงขอขมา
    โยมอุปฐาก : เขาบอกได้ประมาทหลวงตาเกี่ยวกับไม่เมตตาคนให้เสมอกัน ไปเมตตาทักษิณมากกว่านายชวน เขาคงเป็นพรรคพวกของนายชวน ประชาธิปัตย์ครับ

    โยมมาจากกรุงเทพฯ : ไม่ใช่ครับ ผมนับถือคนที่มีคุณธรรม

    หลวงตา : อ้าว ทีนี้แก้ใหม่ ถ้าหากว่าเราประมาท เราเมตตาทั้งนายชวนทั้งลูกศิษย์นายชวนด้วย ทั้งทักษิณก็ลูกศิษย์ด้วย เมตตาด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่ากัดกันเราไม่ใช่หมา เข้าใจไหม เท่านั้นละพอ
    โยมอุปฐาก : เขายังติดใจว่าหลวงตาให้อภัยเขาหรือเปล่าครับ

    หลวงตา : ให้ คิดผิดก็คิดใหม่เสียซิ

    โยมมาจากกรุงเทพฯ : เมื่อสองวันก่อนผมไปกราบพระอาจารย์ทุยที่วัดป่าดานวิเวก ท่านบอกว่าผมต้องมาวัดป่าบ้านตาดมากราบหลวงตา แล้วทุกอย่างจะดีเอง



    หลวงตา : ตะกี้นี้พูดมีข้อข้องใจตรงไหน
    โยมอุปฐาก : ที่ว่ามากราบขอขมาที่พูดไม่ชัดนี่ คนนี้หรือเปล่าที่ว่าที่หลวงตาบอก หลวงตาเมตตาทั้งนายชวนทั้งบริษัทบริวารนายชวน นายทักษิณ บริษัทบริวารนายทักษิณเท่ากันหมด


    [​IMG]



    หลวงตา : ก็เมตตาไปแล้ว
    โยมอุปฐาก : แล้วก็หลวงตาบอก เขาคิดอย่างนั้นไม่ดี ตอนนี้กลับไปคิดใหม่ในทางที่ดี

    หลวงตา : แล้วปากเป็นอะไรที่ว่าพูดไม่ชัด
    โยมอุปฐาก : ปากไม่ค่อยจะดีครับ ปากเสีย

    หลวงตา : ไหนว่าไง
    โยมอุปฐาก : ปากเบี้ยวแล้วพูดไม่ค่อยชัดเจน สามเดือนก่อนยังหล่ออยู่เลย

    หลวงตา : มันเบี้ยวนี่ก็เบี้ยวใหม่เสีย เข้าใจไหม มันเบี้ยวทางหนึ่งมันผิดไป เบี้ยวใหม่เสียก่อน เท่านั้นละ เข้าใจไหม เบี้ยวให้ถูกเสีย
    โยมอุปฐาก : หลวงตาจับให้ตรงหน่อย

    หลวงตา : ไม่ว่าใจใครละมันคึกคะนองเหมือนกันหมดแหละ เป็นแต่เพียงไม่พูดออกมาเฉยๆ มันคึกคะนองอยู่ในใจ มันคิดซอกแซกซิกแซ็กบ้านั้นบ้านี้เป็นบ้า ใจคนเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่มีอะไร จะให้อภัยอะไรอีก
    โยมอุปฐาก : หลวงตารับขมาเขาเขาก็คงจะสุขภาพสมบูรณ์ดีครับ หายเบี้ยวครับ

    หลวงตา : ก็มีเท่านั้นละไม่เห็นมีอะไร



    [​IMG]



    ที่มา จากเว็บไซต์หลวงตา เทศน์วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550
    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4300&CatID=2

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td height="20">ที่มา เว็บไซต์วัดป่า</td></tr></tbody></table><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="text_yellow" rowspan="2" width="13%" align="middle">1442</td><td rowspan="2" width="68%">...คิดผิดก็คิดใหม่....สำหรับใคร ที่เคยประมาท-ปรามาสครูบาอาจารย์พระอริยสงฆ์ [​IMG] </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    http://palungjit.org/threads/คิดผิด...รณ์นี้หนักถึงปากเบี้ยว-ที่มาขอมาก็สาธุ.68573/
     
  6. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ยาวจัง ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ
     
  7. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    ผมขอขมาพระรัตนตรัยก่อนนอนทุกวัน

    เคยอ่านเจอในหนังสือชาโดว์อะไรเนี่ยแหละ

    ท่านแนะนำมา
     
  8. xlovemum

    xlovemum สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +24
    ถ้ามันคิดขึ้นมาเอง แล้วเราไม่คิดมันต่อ ดับความคิดที่เกิดขึ้น แล้วก็ทำตัวให้สบลาย จะเป็นไรมั้ยครับ
     
  9. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +3,168
    ก็ถ้าคิดแล้วไม่สบาย ทำตัวให้สบายก็ไม่คิด ทำตัวไม่คิดก็สบาย
    ถ้าสบายแล้วเป็นไรไหม ที่เป็นไรเพราะไม่สบาย ที่ไม่สบายก็เพราะคิด
     
  10. xlovemum

    xlovemum สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +24
    แล้วถ้ามันวูบคิดขึ้นมา แล้วเราไม่คิดต่อ แต่มันก็ห้ามไม่ได้ จะเป็นอะไรไหมครับ
     
  11. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +3,168
    งั้นก็ยึดเจตนาที่แท้ไว้เป็นเรา ที่เหลือไม่ใช่เรา
    ถ้ากังวลก็เป็นเรา ไม่ใช่เราก็ไม่กังวล
    วางอุบายให้ใจ ได้หยุดคิด

    คิดเจอคิดก็กองคิด ไม่คิดเพิ่ม กองคิดก็เสื่อมลงได้ ตามไตรลักษณ์ วางอุบายให้ใจวางคิด วางคิดได้ก็สบาย
     
  12. xlovemum

    xlovemum สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +24
    ถ้าไหว้พระพุทธรูปอยู่ มองไปที่พระพุทธรูปแล้วนึกคิดสิ่งที่ไม่ดีโดยมันวุบขึ้นมาเอง จะเป็นบาปหนักมั้ยครับ
     
  13. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +3,168
    ถ้าบาปคือความไม่สบายใจ
    ถ้ามันวูปก็มันบาปมันก็ไม่สบายใจ ถ้าเราวูบก็เราบาปเราก็ไม่สบายใจ
     
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ในกระทู้นี้บอกหมดเเล้วครับคุณ xlovemum เดาว่าคุณ xlovemum ไม่ได้อ่านหมดทุกอันนะครับ รบกวนกลับไปอ่านให้หมดทุกอย่างจ้า ผม post ไว้ให้หมดเเล้วที่หามาได้ พูดมาถึงนี่ละ ขอบอกวิธีปฏิบัติไปเลยเเล้วกันครับ เวลาเราคิดปรามาสเเบบไม่ตั้งใจเเบบอยู่ดี ๆ จิตด้านมืดก็คิดขึ้นมาเอง วิธีปฏิบัติคือให้เรานึกภาพเรากราบพระพุทธรุปอยู่แล้วให้คิดว่าเราขอขมาท่านครับ ตามนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2023
  15. xlovemum

    xlovemum สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +24
    ผมเป็นนักดนตรีนะครับ เวลาเล่นดนตรีนะครับ อยู่ดีๆก็นึกคิดสิ่งที่กระทำไม่ดี คำที่ไม่ดี ต่อสิ่งศักสิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจนะครับ ผมก็วางความคิดตรงนี้ทิ้งไปเลยนะครับ เพื่อให้มีสติในการเล่นดนตรี แต่ว่าผมสวดมนต์ขอขมาพระทุกคืนเลยครับ อย่างนี้จะเป็นบาปหนักมั้ยครับ ที่ไม่ขอขมาพระขณะที่เราคิดไปแล้วนะครับ
     
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ผมไม่เเน่ใจครับคุณ xlovemum เเต่เพื่อความ sure ขอขมาตอนหลังนึกจะดีที่สุดครับ แต่สวดบทขอขมาพระรัตนตรัยทุกวันหลังตื่นหรือก่อนนอนก็เป็นเรื่องที่ควรกระทําอย่างแน่นอนครับ เวลาผมคิดปุ๊บผมจะนึกภาพที่ผมกราบพระพุทธรูปพร้อมกับนึกขอขมาท่านเลยทันทีครับ เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2023
  17. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ถ้าอย่างนั้นผมก็ถือว่าเรามีวาสนานะครับ การที่มารจะมาทำแบบนี้ได้ก็เพราะว่าเรารักในพระพุทธศาสนารักการปฏิบัติ เพราะถ้าเทียบกับคนทั่วไปที่หลงมอมเมาอยู่กับโลก มารจะไม่มาทำแบบนี้ เพราะว่าพวกที่หลงโลกนี่เป็นของสบาย ไม่สนใจธรรมอยู่แล้วสำหรับมาร คล้อยตามง่าย แต่อย่างเราที่โดนกันแบบนี้เพราะว่าจิตมีธรรม ก็ถือว่าเรายังมีวาสนามากกว่าพวกที่หลงโลกอยู่ครับ ฉะนั้นเราเป็นแบบนี้แปลว่าเราเดินมาอีกก้าวนึงแล้วฉะนั้นเราอย่าย่อท้อ จงสู้ต่อไป จงก้าวไปด้วยสติ และอย่าไปสนใจมัน อย่าไปหมองหม่นกับมันจิตมันคิดแต่ไม่เกี่ยวกับเรา เราแค่เป็นผลของจิต ที่เราทุกข์ก็เสร็จมัน
    ไม่สนใจเสียก็เท่านั้นแล้วเราก็ปฏิบัติของเราไป พระพุทธเจ้า เทพ เทวา ท่านใจดี ท่านเข้าใจเราว่ามันเป็นกรรมท่านไม่โกรธหรอก ท่านมีแต่จะช่วย ฉะนั้นเราไม่ต้องกลัว สู้ต่อไป จงปล่อยมันไม่ต้องไปสนใจ ถ้าหากว่าเราตั้งใจทำจริงเราก็พูดแล้ว เราก็ลงมือทำแล้วเราก็คล้อยตามแล้ว ถ้าเราตั้งใจจริงเราไม่มานั่งทุกข์กันแบบนี้หรอก ฉะนั้นคนเราห้ามจิตคิดเป็นไปไม่ดี แต่ปล่อยมันได้ไม่สนใจมันได้ ยิ่งไปทุกข์ยิ่งเป็นหมูหวานสำหรับมัน ฉะนั้นสดใสร่าเริงเข้าไไว้ ไม่ส่นใจ ไม่เกี่ยวกับเราเว้ยเราไม่สน เราก็ทำบุญต่อไป ทำกุศล ปฏิบัติต่อไป ยิ่งทุกข์ยิ่งเสร็จมันนะครับ ต้องเข้าใจว่าจิตเรานี้ผ่านอะไรมาก็มาก มากยิ่งกว่าที่เรารู้ ฉะนั้นรสชาติของความสนุกของโลกจิตบางด้านก็ผ่านมาเยอะก็อาจจะหลงๆอยู่ จิตเรายังขาวปนดำอยู่เราก็ตั้งใจปฏิบัติต่อไป อย่าไปยอมต่อจิตที่มันเปื้อน ไม่สนใจซะปล่อยมันไป บ่อยๆเข้าเดี๋ยวก็ชินไม่ทุกไม่ร้อน ตั้งใจทำดี ทำอกุศลต่อไป ทำไปเรื่อยเดี๋ยวมันก็จะค่อยขาวขึ้นๆ เหมือนกับว่าเราได้ซักผ้าที่เปื้อน ค่อยซักไปๆ เดี๋ยวมันก็จางเองด้วยการปฏิบัติ ด้วยการชำระจิต ด้วยการทำดีทำบุญ ทำกุศล ทำต่อไปเรื่อยๆ อย่าย่อท้อนะครับ ตั้งใจ ผมเชียร์ทุกท่านให้เข้าถึงพระนิพพานนะครับ และอนุโมทนาสำหรับทุกท่านด้วยครับที่ใจมีธรรมะ ยิ่งมันต่อต้านเราก็ยิ่งจะทำบุญทำกุศลเอามันมาเป็นแรงผลักดันเป็นแรงต่อต้านเป็นแรงที่จะสู้ เป็นกำลังใจ ที่ให้สู้กับมัน เอามันมาเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่า นี่หนอ กิเลสหนอ มารหนอ ด้านมืดของใจหนอ อกุศลของใจหนอ เราไม่คิดตามมันก็จบ เอามันมาเป็นข้อเปรียบเทียบเป็นแรงผลักดันให้เรานะครับ อย่าไปทุกข์อย่าไปเดือดร้อนกับมัน มีคนเป็นแบบนี้เยอะแล้วก็มีมานานแล้วฉะนั้นอย่าไปกังวลครับ เดี๋ยวเสร็จมันนะ สู้สู้ครับ
     
  18. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ขอขอบคุณ คุณ วิญญาณนิพพานที่นำสิ่งดีดีมาให้ผู้ ปฏิบัตินะครับ เป็นข้อคิดที่ดีเป็นสิ่งที่ดีมากเลย ขออนุโมทนาด้วยครับ ขอให้เจิญๆ ในธรรมเข้าถึงพระนิพพานโดยเร็วนะครับ ขอบคุณมากครับผม
     
  19. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ขอเพิ่มนะครับ คนเราจะทำดีย่อมมีมารมาขวางเป็นธรรมดา ขนาดพระพุทธเจ้าท่านเป็นที่สุดของที่สุด ท่านยังมีมารมาขวางเลย แต่ท่านก็ผ่านมันด้วยการนิ่งไม่สนใจ การวางเฉย ไม่สนปล่อยมัน ฉะนั้นเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็เป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นเราก็วางเฉยไม่ต้องไปสนใจไม่เกี่ยวกับเรา
    ปล่อยมันไป ไม่ไปทุกข์ไปร้อน ไม่สนใจมัน ไม่ไปหม่นหมอง ไปวิตกกังวลกับมัน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำดีต่อไป ทำไปเรื่อยๆยิ้มสู้นะครับ อิอิ แล้วก็สวดมนต์ขอขมาพระรัตนตรัย และพระพุทธองค์ไปเรื่อยๆ เอามันมาเป็นแรงผลักดันเอามันมาเป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นว่านี่นะคือสิ่งที่ไม่ดีนะ เราไม่ตามมันไม่สนใจมันก็จบ แล้วก็ทำตามหน้าที่ชีวิต ตั้งหน้าตั้งตาทำดี ทำบุญ สร้างสิ่งที่ดี สร้างกุศล สร้างรอยยิ้ม สร้างสิ่งที่ดีให้ทั้งทางโลกและทางธรรมต่อไปเอามันมาเป็นแรงผลักดันให้เราตั้งใจทำบุญเยอะๆ ตั้งใจปฏิบัติ แล้วก็ขอขมาพระรัตนตรัยไปเรื่อย ทุกอย่างจะสดใสขึ้นแน่นอนครับ ศาสนาพุทธเราเป็นเพื่อความสดชื่นความเบิกบานเป็นไปด้วยความสุขความสงบ ถ้าไปทุกข์ไปหม่นหมองย่อมไม่ดีแน่ ฉะนั้น อย่าไปทุกข์อย่าไปหม่นหมองทำให้ตัวเราเองสดชื่นที่สุดสงบที่สุดหรือมีความสุข อะไรที่ไม่ดีที่เป็นทุกข์เลี่ยงซะ สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจเรานี่แหละครับ ถ้าหากเราจะตาย วาระสุดท้ายเราหม่นหมอง ฉะนั้นไปที่ที่ไม่ดีก่อนแน่นอน ฉะนั้น เราควรมีสติ อยู่เสมอ ทำตัวให้สดชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ทำตัวให้ไม่ทุกข์ไม่หม่นหมองอะไรที่เป็นทุกข์ก็หลีกเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็วางเฉย ว่ามานเป็นแบบนี้นะ นี่แหละโลกนะเป็นเรื่องปกตินะมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้นะ แล้วก็วางไปไม่สนใจจิตใจก็จะไม่หม่นหมอง ไม่ทุกข์ และฝึกสมาธิก็เพื่อช่วยให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นสงบมากขึ้น มีสติ ไม่ทุกข์ไม่หม่นหมองนะครับ เรื่องอะไรผุดขึ้นมาก็วางซะไม่สนใจมันก็จะค่อยๆสงบๆขึ้นเอง ฉะนั้นหมั่นทำตัวให้สดชื่นเบิกบาน อยู่เสมอ มีสติ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หลีกเลี่ยงเรื่องที่ทำให้หม่นหมอง และก็หมั่นปฏิบัติ และสร้างกุศล แล้วก็ทำตามหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดครับ
     
  20. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,244
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,001
    ผมชอบที่คุณ Reynolds พูดจังครับ คุณ Reynolds พูดได้อย่างถูกต้องที่สุดครับ อ่านแล้วคิดได้เป็นฉาก ๆ เลยจริง ๆ ขอบคุณครับเพื่อนร่วมทางธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...