กระทู้นี้ผมขอตั้งว่า "ความจริงของสิ่งสมมุติ" ^_^

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย TheKunKeng, 10 พฤศจิกายน 2016.

  1. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +920
    "โลกนี้คือสิ่งสมมุติ" ความจริงแล้วไม่ใช่แค่โลกหรอก ทั้งกาแล็กซี่และจักรวาลก็เป็นสิ่งสมมุติด้วยเช่นกัน แล้วสิ่งที่รวมจักรวาลแต่ละจักรวาลเข้าไว้ด้วยกัน เราจะเรียกรวมๆ ว่า "อนันตจักรวาล"ก็สมมุติเช่นหรือ อาจจะมีอะไรที่ครอบคุม อนันตจักรวาลอีกที่หนึ่งที่บรรจุหลายๆ อนันตจักรวาล หลายๆอนันตจักรวาลเข้าไว้ด้วยกัน หรืออาจจะมีอะไรที่ครอบคุม แบบนี้เป็นทอดๆ ที่ใหญ่ๆขึ้น เรื่อยๆ จนไม่มีที่สิ้นสุดสุดจะประมาณก็ได้ แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามีแบบที่เราคิดเข้าใจแบบนี้จริงๆหรือว่าแท้จริงแล้วไม่มีอยู่จริงตามที่เราคิดแบบนี้ มันหาจุดปลายไม่เจอ และอีกนั่นแหละมันก็หาจุดต้นไม่เจอด้วยเหมือนกันเพราะเราไม่รู้ว่าจักรวาลเกิดมาได้อย่างไร สิ่งใดเป็นตัวทำให้เกิดจักรวาลที่เวิ้งว้างไร้ขอบเขตนี้ขึ้นมา แล้วจักรวาลแรกที่กำเนิดขึ้นเป็นจักรวาลแรกมีจริงหรือเปล่า ถ้าพยายามคิดเราจะปวดหัวมากหาผลของทางออกในความคิดเรื่องนี้ให้เราไม่เจอ เพราะสติปัญญาเราได้แค่นี้ จริงๆ ผมยอมรับว่าผมเคยคิดเรืองนี้มาก่อนตอนเด็ก ว่าจักรวาลมีที่สิ้นสุดหรือไม่ ขอบจักรวาลมีจริงมั๊ย หรือแม้กระทั่งอะไรที่อยู่ข้างนอกจักรวาลที่เวิ้งว้างดำหมืด จะมีอยู่หรือไม่ พอคิดแล้วนานๆ มันจะปวดหัวขึ้นมา เองเพราะมันเกิดอาการคิดตันไปต่อไม่ได้ (พ่อผมยังเคยบอกห้ามคิดเรื่องนี้เลย) แต่พอผมเริ่มโตขึ้นมาจนถึง ณ ตอนนี้ ผมได้เปลี่ยนความคิดอีกแบบแล้วว่า เมื่อผมมองไปในจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ผมมองในด้านที่มีแต่ความดำ,มืด,ทมึน ที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ และในความมืดที่มีเนื้อที่เยอะๆนั้น ก็มีแสงสว่างอยู่ เป็น จุดๆ ทั้งใหญ่บ้าง,กลางบ้าง,เล็กบ้าง จนไปถึงเล็กมากๆที่สุด จนสายตาผมมองแทบไม่เห็นในเวลากลางคืน แสงพวกนั้นเกิดจากดาวเคราะห์และดาวฤกษ์น้อยใหญ่ที่ในห้วงจักรวาล พอผมมองดาวที่มีแสงที่เปล่งประกายแข่งกัน เพื่อต้องการเอาชนะความมืดดำอันกว้างใหญ่กว่าตัวดาวนั้นๆ หลายเท่านัก ทำให้ผมคิดมาแท้จริงแล้ว คนสมัยก่อนที่เค้าบรรลุธรรมกันจนถึงขั้นละทุกอย่างในสิ่งสมมุตินี้ได้ จนไปถึงแดนนิพพาน เพราะเค้ามองท้องฟ้าเห็นดาวในยามค่ำคืนกันหรือไม่ เพราะมองดวงดาวที่ประกายแสงท่ามกลางห้วงดำมืดของจัรวาล นานๆ แล้วจะเป็นปรัชญาสอนจิต คนๆ นั้นได้บ้างว่า ในความดำยังมีความสว่างและในความสว่างยังมีความดำ และถ้าเราเอาปรัชญานี้มาคิดวิเคราะห์ตัวเราเองและความจริงที่เป็นสัจธรรมของทุกสิ่ง โดยถ้าเน้นที่มนุษย์ อย่างเดียว เราก็พอมองออกได้เยอะแล้วว่า ถ้าเปรียบความดำมืดของจักรวาลเหมือนความทุกข์ทั้งปวงแล้วก็รวมถึงความชั่วทั้งหลายด้วยแล้ว ความมีแสงสว่างที่ได้จากดาวที่เปล่งแสงออกมาแต่ละดวงนั้น คือ หนทางสู่แสงสว่างที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงและก็ขจัดความชั่่วร้ายทั้งหลายไปได้ด้วย ซึ่งแสงก็เป็นความหวังเดียวในจักรวาลที่จะเอาชนะความมืดที่มีอยู่แต่เดิมได้ และก็อีกปรัชญาหนึ่งคือ ดูการหมุนเปลี่ยนแปลงของโลกในแต่ละวัน ทำให้เกิดกลางวัน-กลางคืน ในระบบจักรวาลก็เหมือนกัน กาแล็กซี่ก็หมุนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน รวมถึงจักรวาลที่กว้างใหญ่เองก็ไม่หยุดนิ่งเช่นหันมีการขยายออกไปเรือยๆ แล้วก็อาจจะมีหดตัวบางช่วงได้ กลับมาที่ภาคส่วนของดวงดาวต่างๆ และกาแล็กซี่ ทั้งที่มันไม่หยุดนิ่ง หมุนวนเป็นวงกลม,วงรี ต่อตัวเองและก็ต่อดาวฤกษ์ที่ควบคุมมันอะนะ มันยังไม่จีรังอยู่ไม่ตลอดอีก มีการบุบสลายเปลี่ยนแปลงรูปไปจากเดิมเช่น ถูกสะเก็ดดาว,อุกกาบาต,ดาวหาง ชนเป็นหลุมหรือบิดเบี้ยว หรือไม่ก็ถูดดาวที่ขนาดเล็กกว่า,เท่ากันหรือใหญ่กว่าเข้ามาชนปะทะทำให้บุบเบี้ยวหรืแตกสลายไป อีกทั้งยังมีมหันตภัย มฤตยูดำมืดอย่าง หลุมดำ(Black Hole) ที่จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปไม่เลือกแม้แต่จะเป็นดาวเคราะห์น้อยใหญ่หรือดาวฤกษ์ที่เป็นแกนกลางของกาแล็กซี่อย่างดวงอาทิตย์ ถ้าหลุมใหญ่พอก็จะดูดกลืนเข้าไปได้หมด เผลอๆ ดูดไปทั้งกาแล็กซี่เลย สิ่งที่ได้หลังจากการดูดสิ่ง ต่างๆเข้าไปแล้วนั้น ก็คือความมืดดำของห้วงจักรวาล กลับไปเหมือนก่อนที่จะกำเนิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา เหล่านี้ทำให้เราหวนกลับมาคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่แน่นอน มันมีการเคลื่อนเปลี่ยนแปลงอยู่ในทุกสิ่ง ถ้าเราตีความสิ่งเหล่านี้เป็นปรัชญาเราก็จะได้ว่า "ทุกสิ่งที่ดูเหมือนเป็นอัตตา(ตัวตนที่คงรูปแบบเดิมไว้)นั้น แท้จริงแล้วมันไม่เป็นอัตตา มันคืออนัตตา(สิ่งที่ไม่เป็นตัวตนที่คงรูปแบบเดิมไว้)มาแต่เดิมอยู่แล้ว" เพราะมันเกิดขึ้นจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ก็คือ ห้วงจักรวาลไม่มีตัวตน,ไม่มีรูปร่างและไม่มีขอบเขต มีแต่ความมืดมิดที่เป็นแหล่งรวมสิ่งต่างๆที่เราได้เห็นเป็นรูปร่างจับต้องสัมผัสได้ทั้ง รูป,รส,กลิ่น,เสียง กันทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละครับ นั่นคือมันเป็นอนัตตาทำให้เกิดอัตตา และอัตตาสลายไปสู่อนัตตา ก็คือสิ่งสมมุติที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ถ้าเรามาพูดการเคลื่อนในสิ่งทุกสิ่งที่ไม่หยุดยิ่ง มันไม่มีสิ่งที่ใดที่แน่นอน ว่าจะสิ่ง ต่างๆ เหล่านั้นจะเคลื่อนไปในเว็คเตอร์ทิศทางไหน มันอาจจะมีเว็คเตอร์ เดิมๆ อย่างที่เราเข้าใจในตรรกะความรู้ความเข้าใจของเรา แล้วก็มีตรรกะอื่นที่แยกย่อยแตกแขนงสาขาออกไปอีกมากมายนับไม่ถ้วนก็ได้ ถ้าเราจะกำหนดเว็คเตอร์ของตรรกะเรา เป็นให้เส้นตรงที่จากจากจุดต้นไปยังจุดปลายเราก็จะได้แบบเดิมๆ ที่เราคุ้นชิน อาจจะมีเพิ่มมาใหม่บ้างแต่ไม่มากเพราะว่ามันลากไปในทิศทางเดียวเท่านั้น แค่สั้นหรือยาวเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราได้เรียนรู้เพิ่มเติมในตรรกะใหม่ๆที่มันเป็นความจริงแท้ๆของทุกสิ่งแล้ว จำนวนเส้นเว็คเตอร์ตรรกะอาจจะมากมายมหาศาลแตกแขนงซ้อนทับกันก็เป็นได้ แต่สุดท้ายทุกเส้นตรรกะมันอาจจะมารวมกันที่จุดเดียวนั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของเส้นก็เป็นได้ ซึ่งการมองโลกในเกิดสัจธรรมที่แท้จริงนั้นก็คือการเปลี่ยนตรรกะแบบเดิมๆซ๊ะ รวมถึงการวิเคราะห์ในแง่ที่ว่าถ้าเกี่ยวกับมนุษย์ล่ะ มนุษย์เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างแบบไหนบ้าง แต่จากที่ผมคิดแล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างหลัก ใหญ่ๆ มีอยู่ 2 แบบ คือ
    1)การเปลี่ยนจาก ดีไปชั่ว-ชั่วไปดี (ดำไปขาว-ขาวไปดำ)
    2)การเปลี่ยนจาก ดีไปดีกว่า-ชั่วไปชั่วกว่า (ขาวไปขวากว่า-ดำไปดำกว่า)

    และทั้ง 2 รูปแบบนี้ ก็เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอีกทีหนึ่ง อย่างเช่น ถ้าคนเคยดีแล้วไปชั่ว มันก็สามารถต่อยอดพัฒนาต่อไปอีกขั้นคือ ดีไปชั่วแล้วต่อไปก็ไปชั่วยิ่งกว่าเดิม แล้วถ้าต่อไปเค้าอยากจะกลับไปหาด้านดีด้านแสงสว่าง เค้าก็แค่ย้อนกับไปใหม่ แต่จะไม่เริ่มจากชั่วมากไปดีชุดแบบรวบรัดเร็วด่วนเลยอะนะ มันต้องผ่านเป็นขั้นตอนของมันก่อน ก็เหมือนการผสมสีเข้าไปนั่นแหละถ้าเราอยากจะมีจุดมุ่งหมายไปในทางสีไหนต่อไป เราต้องเพิ่มสีที่อยากไปถึงให้มากกว่าสีเดิม ชั่วไปดีก็เช่นกัน ถ้าอยากจะไปหาสีขาว ไปหาความดี ต้องเพิ่มสีขาวเข้าไป เรื่อยๆ จนมากพอจะขจัดทำไปจนหมด แต่ทุก 2 แบบจะต้องผ่าน การเป็นสีเทา ทั้งสิ้น นั่นก็คือ มีความดี และ ความชั่ว อย่างละ เท่าๆ กัน ก็เหมือนพอเอาสีขาวมาผสมกับสีดำ ในปริมาณที่เท่ากัน จะได้สีเทาเสมอกัน...

    จบ Chapter 1 ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2016
  2. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,111
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ผมเคยฝันเกี่ยวกับสภาพจักรวาลไปที เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมต้องเจอ แต่จะมีใครรอดมาบ่นแบบผมได้มั่งเนี่ย แต่มันจะลืมก่อนนะสิจำได้แค่ก่อนตื่นนิดหน่อย จึงเรียกได้ว่าหาจุดเริ่มกับจุดจบไม่มี แต่มันมีแหละแค่หาไม่เจอ ยิ่งไปต่อยิ่งซับซ้อน ยิ่งค้นหายิ่งเริ่มเหลือตัวคนเดียว จะไม่หลอนได้ไง คนกับสัตวป่า
    ที่ไม่รู้จัก ต้องมานั่งปรับทุกข์ตั้งแต่ชาติที่แล้วอีก กรรมมันพัวพันกันอยู่ ชาตินี้ผมโดนหนักมากเลย
    ไม่รู้จะเริ่มไงต่อกับคำสาปที่ติดตัว เหมือนสืบทอดจากบร๊ะเจ้า ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ ด้วยการเล่นเกมเนี่ย ผมก็เบื่อชีวิต โรคประหลาดรุมเร้า ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด อาจไปลบหลู่อะไรสักอย่างแรงมากเลย จะทำผมไม่เป็นผู้คนเอา จึงคิดว่าการนอนทั้งวันน่าจะดีที่สุด ถ้าไม่ติดเรื่องกิน กับที่อยู่ ผมคงเข้าโหมดนิพพานไปแล้ว พอกันทีชีวิต คงไปนอนต่อในโลงแก้ว เหอๆ
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าเรามองเห็นของสมมุติ สุดยอดแห่งการเรียนรู้สรรพสิ่งใน
    โลกธาตุ จักรวาล ธรรมชาติ ร่างกาย จิตใจ

    กิเลสก็สมมุติ ธรรมก็สมมุติ
    จิตดวงเดียวมีกิเลสและธรรม
    เป็นสมมุติด้วยกันทั้งคู่
     
  4. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,666
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ใกล้บ้าแล้ว
    สู้ ๆ
     
  5. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ถ้าวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น
    อย่างนั้น สมมุติ ก็ควรจะแปลเป็นตรงกันข้าม คือ ยังไม่หลุด ยังเกี่ยว ยังข้อง ยังพัน ยังผูกอยู่
    สมมุติ คงไม่ได้หมายความว่าไม่มี คือมี แต่ยังติด ยังยึด
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    มี แต่ ไม่ใช่
     
  7. mrnop

    mrnop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +39
    สมมุติบัญญัติ ตรงข้ามกับ ปรมัตถ์ธรรมครับ
    ลองไปศึกษา ปรมัตถ์ ดูบ้างสิครับ
    อาจจะพบทางไปต่อ
     
  8. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +920
    วิมุตติ
    https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4

    สมมุติ
    บทที่ 131 : สมมุติ, สมมติ, สมมุติฐาน, สมมติฐาน | +[M]a[M]a[M]oh+

    ผมว่าในเว็บพวกนี้เค้าก็อธิบายบอกและแยกให้แล้วนะครับ... 2 อย่างนี้ คือ สมมุติและก็ วิมุตติ ไม่ใช่สิ่งเดียวกันหรือรวมกัน แต่ว่า คือ สมมุตินั้นก็คือสมมุติ เหมือนสมมุติสิ่งต่างๆขึ้นมา ให้มีตัวตน แต่ที่จริงแล้วมันไม่มีตัวตนของมันเลย (จะใครก็ตามพระเจ้าหรือผู้สร้างเนรมิตขึ้นมาให้แบบนี้) ส่วนวิมุตติ คือ การหลุดพ้น ครับ การไม่ยึดความเป็นอัตตาทั้งหมด คือ เป็นการที่สภาวะจิต หลุดพ้น ไม่เกี่ยว ไม่ผูกมัดกับสิ่งใดใดทั้งปวงจากสมมุติ มันเลยไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่มันเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุและเป็นผลกัน คือเหตุคือสิ่งมุตติมันเกิดขึ้นแล้ว แต่คนที่คิดได้เข้าใจความจริง จึงหลุดพ้น นั่นก็คือ วิมุตติ เป็นที่จิตของ คนๆ นั้นอะครับ ^_^
     
  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ก่อนที่เจ้าชายฯ หนีออกจากวัง ไปแม่น้ำอโนมา

    ท่านก็พิจรณาเรื่องสมมุตินี้แหละ

    ท่านเปรียบเทียบเรื่องสมมุติ


    มีร้อน ก็ต้อง มีเย็น

    มีมืด ก็ต้อง มีสว่าง

    มีเกิดแก่เจ็บตาย ก็ต้อง มีทีไม่เกิดฯ

    มีสมมุติ ก็ต้อง มีวิมุตติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...