กลัวความตายเพราะไม่รู้ว่าจะไปอยุ่ไหน?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 21 มกราคม 2018.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ที่ท่านทั้งหลายไม่กลัวความตายเพราะท่านทราบดีว่าจะไปอยู่ที่ใด ใช้เวลานานแค่ไหน
    จึงจะมั่นได้ขนาดนั้น ตรวจสอบยังงัยครับ
     
  2. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    มั่นใจยังไงเรื่องนี้ต้องอ่าน "นครสูตร"

    http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=2260&Z=2384






    ย่ออุปมาข้ามไปตรงที่
    .
    .
    .
    .
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในกาลใด อริยสาวกประกอบ
    พร้อมด้วยสัทธรรม ๗ ประการ และเป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนา ได้
    โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขใน
    ปัจจุบัน ในกาลนั้น เรากล่าวว่ามารผู้มีบาปทำอันตรายอริยสาวกไม่ได้ สัทธรรม ๗
    ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญา
    เครื่องตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ
    เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มี
    เสาระเนียดขุดหลุมฝังลึก ไม่หวั่นไหว สำหรับคุ้มภัยภายในและป้องกันอันตราย
    ภายนอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีศรัทธาเปรียบเหมือนเสา
    ระเนียด ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมอันไม่มีโทษ
    บริหารตนให้บริสุทธิ์ นี้เป็นสัทธรรมประการที่ ๑ ฯลฯ
    อริยสาวกเป็นผู้มีหิริ ละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอาย
    ต่อการเข้าถึงอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามก
    เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระ
    ราชา มีคู (สนามเพลาะ) ทั้งลึกและกว้าง สำหรับคุ้มภัยภายในและป้องกัน
    อันตรายภายนอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีหิริเปรียบเหมือนคู ย่อม
    ละอกุศล ... บริหารตนให้บริสุทธิ์ นี้เป็นสัทธรรมประการที่ ๒ ฯ
    อริยสาวกมีโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
    สะดุ้งกลัวต่อการเข้าถึงอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามก เปรียบเหมือนในปัจจันตนคร
    ของพระราชา มีทางเดินตามคูได้รอบ ทั้งสูงและกว้าง สำหรับคุ้มภัยภายใน
    และป้องกันอันตรายภายนอกฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีโอตตัปปะ
    เปรียบเหมือนทางเดินตามคู ย่อมละอกุศลธรรม ... ย่อมบริหารตนให้บริสุทธิ์นี้เป็น
    สัทธรรมประการที่ ๓ ฯ
    อริยสาวกเป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ ได้สดับตรับฟังมาก ทรง
    จำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามใน
    เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ
    พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของ
    พระราชา มีการสะสมอาวุธไว้มาก ทั้งที่เป็นอาวุธแหลมยาวและอาวุธคม
    สำหรับคุ้มภัยภายในและป้องกันอันตรายภายนอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อริยสาวกผู้มีสุตะเปรียบเหมือนอาวุธ ย่อมละอกุศลธรรม ... บริหารตนให้บริสุทธิ์
    นี้เป็นสัทธรรมประการที่ ๔ ฯ
    อริยสาวกปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อให้กุศลธรรมถึงพร้อม
    มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม เปรียบเหมือนในปัจจันตนคร
    ของพระราชา ตั้งกองทัพไว้มาก คือพลม้า ฯลฯ กองทหารทาส สำหรับคุ้มภัยภายใน
    และป้องกันอันตรายภายนอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกมีความเพียร
    เปรียบเหมือนกองทัพ ย่อมละอกุศลธรรม ... บริหารตนให้บริสุทธิ์ นี้เป็นสัทธรรม
    ประการที่ ๕ ฯ
    อริยสาวกเป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง ย่อม
    ตามระลึกถึงกรรมที่ได้ทำและคำที่ได้พูดแล้วแม้นานได้ เปรียบเหมือนใน
    ปัจจันตนครของพระราชา มีทหารยามฉลาดสามารถดี ห้ามไม่ให้คนที่ไม่รู้จักเข้า
    อนุญาตให้คนที่รู้จักเข้า สำหรับคุ้มภัยภายในและป้องกันอันตรายภายนอก ฉะนั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีสติเปรียบเหมือนทหารยาม ย่อมละอกุศลธรรม
    ... บริหารตนให้บริสุทธิ์ นี้เป็นสัทธรรมประการที่ ๖ ฯ
    อริยสาวกเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาความเกิด
    และความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส
    ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ เปรียบ
    เหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีกำแพงทั้งสูงทั้งกว้างพร้อมด้วยป้อมก่ออิฐ
    ถือปูนดี เพื่อคุ้มภัยภายในและป้องกันอันตรายภายนอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อริยสาวกผู้มีปัญญาเปรียบเหมือนกำแพงอันพร้อมด้วยป้อมก่ออิฐถือปูนดี ย่อม
    ละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์
    นี้เป็นสัทธรรมประการที่ ๗ อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการนี้ ฯ


    อริยสาวกเป็นผู้มีปรกติได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก
    ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
    เป็นไฉน อริยสาวก
    สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติ และสุข
    เกิดแต่วิเวกอยู่ เพื่อความอุ่นใจ ไม่สะดุ้งกลัว เพื่ออยู่เป็นสุขแห่งตน
    และเพื่อหยั่งลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีการสะสม
    หญ้า ไม้และน้ำไว้มาก เพื่อความอุ่นใจ ไม่สะดุ้งกลัว เพื่ออยู่เป็นสุขแห่งชน
    ภายใน และเพื่อป้องกันอันตรายภายนอก ฉะนั้น ฯ
    .
    .
    ตรัสถึงฌาน ๒ -๓ -๔




    คาดว่าสมาชิกในเว็บนี้โดยเฉพาะในห้องนี้
    อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีข้อ หิริ โอตัปปะ พหูสูตร
    และถ้าท่านคำความเพียรด้วย อาจจะได้ฌานด้วย
    ก็จะมีข้อ ปรารถความเพียร สติ ปัญญา
    เพิ่มเข้ามา

    ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง จนจิตชินเป็นนิสัย
    ถึงแม้ไม่ใช่อริยะ ก็ต้องมีสุคติภูมิเป็นที่ไปครับ

    นี่ยังไม่รวมถึงกุศล ด้านอื่นๆที่ท่านๆได้เคยกระทำ
    เอาไว้ เช่นการสละจาคะ

    ชีวิตที่อยู่แต่กับธรรม เข้าห้องธรรม พูดคุยธรรม
    อานิสงค์มหาศาล หน่าฮับ
     
  3. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เรื่องนี้ดีนะ ฝึกพิจจารณาความตายทุกลมหายใจ ว่าจะต้องตายตอนนี้แล้วจะเป็นอย่างไร จะได้รู้ว่าอะไรควรทำให้สำเร็จอะไรไม่ควรใส่ใจมากนัก บาปที่ทำจะได้ลดลง บุญที่ยังไม่ได้ทำจะได้ทำมากขึ้น แล้วพอใจพร้อมก้จะรู้ตัวเองดีว่าตนนั้นพร้อมตายหรือยัง
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ต้องทำความดีโดยปฏิบัตืตามพระสูตร ที่ท่านศิษย์
    ฉลาดยกมา อย่างเข้าใจและเคยชิน
    จึงจะเกิดความมั่นใจได้
    ส่วนผู้ปฏิบัติที่ได้มรรคได้ผลแล้ว จะไม่มีความกังวล
    ในเรื่องความตายเพราะมั่นใจแล้วว่าจะไปสู่ภพไหน
    ใส่ใจเรื่องนี้โลกคงวุ่นน้อยลงไปได้อีกเยอะครับ
     
  5. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ไม่มีใครไม่กลัวตายนอกจากพระอรหันต์ อย่าข้ามขั้นๆ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พระศาสดาตรัสถามปัญหากะธิดาช่างหูก ในขณะที่นางกุมาริกานั้นถวายบังคม
    พระศาสดาผู้ประทับนั่งนิ่งในท่ามกลางบริษัทเห็นปานนั้นแล้ว ยืนอยู่นั่นแล พระศาสดา
    ตรัสกะนางว่า "กุมาริกา เธอมาจากไหน?"
    กุมาริกา. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. เธอจักไป ณ ที่ไหน?
    กุมาริกา. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. เธอไม่ทราบหรือ?
    กุมาริกา. ทราบ พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. เธอทราบหรือ?
    กุมาริกา. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.

    พระศาสดาตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกะนางกุมาริกานั้น ด้วยประการฉะนี้.
    มหาชนโพนทะนาว่า "ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู ธิดาของช่างหูกนี้พูดคำอันตนปรารถนาแล้วๆ กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ‘เธอมาจากไหน?’ ธิดาของช่างหูกนี้ควรพูดว่า ‘จากเรือนของช่างหูก’ เมื่อตรัสว่า ‘เธอจะไปไหน ?’ ก็ควรกล่าวว่า ‘ไปโรงของช่างหูก’ มิใช่หรือ?"

    พระศาสดาทรงกระทำมหาชนให้เงียบเสียงแล้ว ตรัสถามว่า "กุมาริกา เธอ เมื่อเรากล่าวว่า ‘มาจากไหน?’ เพราะเหตุไร เธอจึงตอบว่า ‘ไม่ทราบ’".

    กุมาริกา. "พระเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบความที่หม่อมฉันมาจากเรือนช่างหูก แต่พระองค์ เมื่อตรัสถามว่า ‘เธอมาจากไหน?’ ย่อมตรัสถามว่า ‘เธอมาจากที่ไหน จึงเกิดแล้วในที่นี้?’ แต่หม่อมฉันย่อมไม่ทราบว่า ‘ก็เรามาแล้วจากไหน จึงเกิดในที่นี้?"

    ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการเป็นครั้งแรกแก่นางกุมาริกานั้นว่า "ดีละ ดีละ กุมาริกา ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล อันเธอแก้ได้แล้ว" แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไปว่า "เธอ อันเราถามแล้วว่า ‘เธอจะไป ณ ที่ไหน?’ เพราะเหตุไร จึงกล่าวว่า ‘ไม่ทราบ?’"

    กุมาริกา. "พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบหม่อมฉันผู้ถือกระเช้าด้ายหลอดเดินไปยังโรงของช่างหูก, พระองค์ย่อมตรัสถามว่า ‘ก็เธอไปจากโลกนี้แล้ว จักเกิดในที่ไหน?’ ก็หม่อมฉันจุติจากโลกนี้แล้วย่อมไม่ทราบว่า ‘จักไปเกิดในที่ไหน?’"

    ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ ๒ ว่า "ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว" แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไปว่า "เมื่อเช่นนั้น เธอ อันเราถามว่า ‘ไม่ทราบหรือ?’ เพราะเหตุไร จึงกล่าวว่า ‘ทราบ?’"

    กุมาริกา. พระเจ้าข้า หม่อมฉันย่อมทราบภาวะคือความตายของหม่อมฉันเท่านั้น เหตุนั้น จึงกราบทูลอย่างนั้น.

    ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ ๓ ว่า "ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว" แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไปว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอ อันเราถามว่า ‘เธอย่อมทราบหรือ?’ เพราะเหตุไร จึงพูดว่า ‘ไม่ทราบ?’"

    กุมาริกา. หม่อมฉันย่อมทราบแต่ภาวะ คือความตายของหม่อมฉันเท่านั้น พระเจ้าข้า แต่ย่อมไม่ทราบว่า "จักตายในเวลากลางคืน กลางวันหรือเวลาเช้าเป็นต้น ในกาลชื่อโน้น เพราะเหตุนั้น จึงพูดอย่างนั้น."

    คนมีปัญญาชื่อว่ามีจักษุ ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการครั้งที่ ๔ แก่นางว่า

    "ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว" แล้วตรัสเตือนบริษัทว่า "พวกท่านย่อมไม่ทราบถ้อยคำชื่อมีประมาณเท่านี้ ที่นางกุมาริกานี้กล่าวแล้ว ย่อมโพนทะนาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะจักษุ คือปัญญาของชนเหล่าใดไม่มี ชนเหล่านั้นเป็น (ดุจ) คนบอดทีเดียว จักษุ คือปัญญาของชนเหล่าใดมีอยู่ ชนเหล่านั้นนั่นแล เป็นผู้มีจักษุ"
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ผู้ที่เข้าใจและรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไปสู่ภพที่ดี
    ที่ตนต้องการและมั่นใจว่าสร้างเหตุ
    ปัจจัยไว้มั่นคง
    พอแล้ว คงจะไม่หวาดหวั่นต่อความตาย
    เหมือนกับคนที่ไม่เข้าใจรัย
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อัด! ตา กถา

    ธิดาช่างทอฮูก เป็น พระโสดาบัน ตอบปัญหา กับ พระพุทธองค์
    ในฐานะ โสดาบัน

    ซึ่ง รู้ชัดเรื่อง การตาย มีแน่ ...แต่ ตายเวลาไหน พระโสดาบัน ไม่ทราบ

    อะไรที่ เก่งกว่า พระโสดาบัน จนเลือกที่ไปเกิดได้ ก็ สงสัยว่า คงข้าม
    ครั้นเนื้อครั้นตัว ไม่มี ตา (ตามฏีกาพระพุทธองค์ตรัสวินิจฉัย เตือน ) เป็นแน่

    อนึ่ง พึงทราบอีกว่า พระโสดาบัน ทราบชัด ตายแน่ และ ไม่จำเป็น
    ต้องไปทราบว่า ตายเวลาไหน .....ดังนั้น พระโสดาบัน พ้นการกลัวตาย
    ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอ หันซ้าย หันขวา จะ ตักแกงรสหวาน ขม อมเปรี้ยว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2018
  9. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เหตุที่เสขบุคคลมองเห็นว่าไม่เกินเจ็ดชาติบ้างสามชาติบ้างหรือชาติเดียวบ้าง เพราะเมื่อยังไม่หมดคือยังไม่หมดนั่นคือไม่จบก็ชัดเจน คนธรรมดาเมื่อระลึกถึงอดีตจิตใจย่อมแปรปรวนเพราะเห็นความผิดที่เกิดจากตนทั้งสิ้นเมื่อเข้าสู่หนทางก็เบาบางลงในอดีต ทุกคนล้วนต่างต้องรับผลอันตนกระทำไว้เสมอแม้จะเป็นพระศาสดาหรือพระขีณาสพ เหตุที่เกิดช่องทางของโจรกลับใจก็มี แต่มีดีกว่าไม่มีแม้ผลกรรมที่รับจากมากย่อมทุเลาลงได้ ต้องเชื่อมั่นในคำสั่งสอนและทำต่อไปอย่าได้ใส่ใจว่าจะต้องเป็นอะไรต่อไป ความคิดอันเกิดจากการระลึกอดีตนั้นบางทีก็ดีในแง่รู้ว่าไม่ใช่ทางในการเจริญธรรมแต่ก็เป็นผลร้ายถ้าใช้อดีตคอยตอกย้ำในความผิด รู้หยาบๆคือรู้เพียงอวิชชานั้นพาไปรู้ละเอียดคือรู้อะไรเป็นอวิชชา จึงมีหนทางแม้ไม่จบในปัจจุบันชาติก็ยังเป็นอุปนิสัยปัจจัยนี่คับ...อย่าพึงกังวล
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    วิหารวิมาน
    ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมาน
    ท่านพระอนุรุทธเถระได้ถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า
    [๔๔] ดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทั่วทุก
    ทิศ สถิตอยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ เมื่อท่านฟ้อนอยู่ เสียงอันเป็น
    ทิพย์น่าฟัง รื่นรมย์ใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน ทั้ง
    กลิ่นทิพย์อันหอมหวนยวนใจ ก็ฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน
    เมื่อท่านไหวกายกลับไปมา เสียงของเครื่องประดับช้องผมก็ดังเสียง
    ไพเราะ ดุจเสียงดนตรีเครื่อง ๕ อนึ่ง เสียงมงกุฎที่ถูกลมรำเพยพัดให้
    หวั่นไหว ก็กังวานไพเราะดุจเสียงดนตรีเครื่อง ๕ แม้พวงมาลัยบน
    เศียรเกล้าของท่าน มีกลิ่นหอมชวนให้เบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ
    ดุจต้นอุโลก ฉะนั้น ดูกรนางเทพธิดา อาตมาถามท่านแล้ว ขอท่าน
    จงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร?
    นางเทพธิดาตอบว่า
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉัน
    อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารนั้น
    แล้ว มีจิตเลื่อมใสอนุโมทนา ก็วิมานอันเป็นที่รักนี้อันดิฉันได้แล้ว
    เพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์แต่อย่างเดียวเท่านั้น วิมานนี้เป็น
    วิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม โดยรอบสูง ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศ
    ได้ตามความปรารถนาของดิฉัน ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัย อันบุญ
    กรรมจัดแจงเนรมิตให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ
    ทิศ อนึ่ง ที่วิมานของดิฉัน มีสระโบกขรณีเป็นที่อาศัยของหมู่มัจฉาชาติ
    มีน้ำใสสะอาด มีท่าอันลาดด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมชาตินานา
    ชนิดพร้อมทั้งบัวขาว เกษรแห่งบัวทั้งหลายอันลมรำเพยพัด ย่อมหอม
    ฟุ้งเจริญใจ มีรุกขชาติต่างๆ อันบุญกรรมปลูกไว้ใกล้วิมาน คือ ไม้หว้า
    ขนุน ตาล มะพร้าว วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรีต่างๆ และ
    กึกก้องไปด้วยหมู่นางอัปสร แม้นรชนใดได้เห็นวิมานนี้ด้วยความฝัน
    นรชนนั้นก็พึงปลื้มใจ วิมานอันมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ น่าอัศจรรย์
    น่าดูน่าชมเช่นนี้ เกิดแต่ดิฉันเพราะกุศลกรรมทั้งหลาย ควรทำบุญโดยแท้.
    พระอนุรุทธเถระ เมื่อจะให้นางเทพธิดาบอกที่เกิดของนางวิสาขามหาอุบาสิกา จึงกล่าว
    ถามด้วยคาถาความว่า
    วิมานอันอัศจรรย์น่าดูน่าชมนี้ ท่านได้แล้ว เพราะการอนุโมทนาด้วย
    จิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น นางนารีอันมีนามว่าวิสาขา ได้ถวาย
    ทานและได้สร้างมหาวิหาร ไปเกิดที่ไหน ขอท่านจงบอกคติของนาง
    วิสาขานั้น แก่อาตมาด้วยเถิด?
    นางเทพธิดานั้นตอบว่า
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉัน ได้สร้าง
    มหาวิหารถวายแด่สงฆ์และได้ถวายทานแด่สงฆ์ เป็นผู้รู้ธรรมแจ่มแจ้ง
    เธอได้บังเกิดในหมู่ทวยเทพชั้นนิมมานรดี เป็นประชาบดีของท้าวสุนิม-
    มิตวดี ผู้เป็นใหญ่ในชั้นนิมมานรดีนั้น วิบากแห่งกรรมของนางวิสาขา
    มหาอุบาสิกานั้น อันใครไม่ควรคิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันได้พยากรณ์
    ที่เกิดของนางวิสาขาที่พระคุณเจ้าถามว่า นางวิสาขานั้นบังเกิด ณ ที่ไหน
    โดยถูกต้องแล้ว ....................
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    โพส " วิหารวิมาน " ข้างต้น

    เป็นเรื่อง พระอนุรุธะ ที่มี ตาทิพย์ส่องได้ 3000มหาจักรวาล ว่า สัตว์ ตาย เกิด

    แต่ กรณีที่เป็น เสขะบุคคล ตายแล้วไปไหน !?

    แม้นพระอรหันต์ เอทัคคะ ศิษยสายตรง พระพุทธองค์บวชให้แบบ เอหิภิกขุ

    ยังไม่สามารถ รู้ หรือ พยากรณ์ได้ว่า พระโสดาบัน อินทรีย์อ่อนอย่าง นางวิสาขา
    ตายแล้วไปไหน ...... ยังต้อง ถามเอาจาก เทวดาสหายของอุบาสิกา จึงทราบ
    แถมยังถูกกำชับว่า ห้ามถาม บุพกรรม ว่าทำไมมาเกิด ณ ที่นั้น ....เพราะเป็นเรื่อง
    ที่ อรหันต์ตาทิพย์ไม่ควรคิด

    แต่ ....นักธรรมสมัยนี้ ....รู้ไปหมด

    ขอเสนอ ผ่านท่านประทาน สู่ สมาชิกสหายโค๊กพี่บิ๊กว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ อาวุโส โอเค
     
  12. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +248
    คนฆ่าตัวตาย เพราะวิภวะตัณหา ก็ไม่กลัวตายก็มี แล้วเป็นไงสบายดีบ่
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ลูกพี่ อย่าใช้ ตรรก จิฮับ พอเห็นคำว่า วิภวตัณหา
    อึดชึ แล้วไป แปลตาม ภาษาทอย ว่า " ไม่กลัวตาย "

    ภาษาธรรม วิภว มันแปลว่า ภพที่ยิ่งขึ้นไปอีก (วิ มาจาก วิเศษลักษณะ อะไรงี้ )

    ไม่ได้แปลว่า ไม่มีภพ ไม่มีความกลัว ....แต่ ตรงกันข้าม มีแบบสุดติ่งยิ่งขึ้นไปกว่า
    แบบธรรมดา อะฮับ

    " เฉยๆ " สักแต่ว่า อะไรนั่น ก็ เวทนาอย่างหนึ่ง ยิ่งกว่ายิ่ง อีกอะฮับ ไม่ใช่
    พ้นไม่มี ว่างๆ ว่างๆ

    ธรรมะนั้น หลักต้องแม่น การเห็นอะไรจะต้องมี นัยยะ ไตรลักษณ์ญาณสัมปยุต
    อะฮับ ถึงจะจัดเป็น การรู้ทุกขสัจจ กิจในอริยสัจจ " มี เหมือนไม่มี "
     
  14. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เฉพาะในโลกนี้มีอาชีพที่ทราบได้ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นตามยุคก็มากมาย เหตุที่มาที่เป็นก็ยากจะอธิบาย หลายอาชีพหลายชีวิตต้องอยู่กับความทุกข์ของตน หลายอาชีพหายชีวิตก็สร้างทุกข์ให้เกิดแก่คนอื่นมหาศาล มันก็คล้ายๆกับพระสูตรที่พระศาสดาตรัสไว้ ทั้งหมดเป็นเพียงข้อคิดให้พิจารณา ไม่ใช่คิดเพื่อบ่งบอกว่าเราดีกว่าหรือเขาดีกว่ามันเป็นอกุศลจิต ผมเคยนึกถึงคนที่ต้องทำอาชีพลองนึกภาพว่าทำไมต้องทำ อะไรทำให้เขาต้องทำ บางครั้งก็เข้าใจแต่หลายครั้งก็ไม่เข้าใจ หลายทำเพื่อความอยู่รอดหลายคนทำเพราะความจำเป็นและหลายคนเขาต้องทำเพราะเขาเป็นเช่นนั้น ผมเองรู้สึกดีมากที่อย่างน้อยผมก็ยังได้มีโอกาสเกิดมาได้เรียนรู้พระธรรมเกิดในเขตพุทธเสมา ผมเห็นว่าหลายคนมีปัจจัยถึงพร้อมไม่มีเหตุต้องสร้างทุกข์หรือเวยทุกข์แต่หลายคนก็ล้วนตกในทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เพราะเกิดในพุทธกัปล์ มีธรรมมีพระรัตนตรัย จึงรู้ว่าผิดมีแน่แต่ขอแค่ให้รู้ว่าผิดและดับมันหากดับไม่ได้ก็ต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุ เพราะการร่วมทุกข์และสุขของสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย เหตุปัจจัยใดก็มีแต่เราผู้ครองจิตเท่านั้นเป็นผู้รู้ ผู้อื่นเพียงรู้แค่ผิวเผินแต่อาจพบประสบเจอผู้รู้ในสรรพสิ่งจริงแต่ไม่ใช่ ปัจจุบัน ทุกสิ่งล่วงมานาน เหลือไว้เพียงสิ่งที่ควรรู้คือเรา ตัวเรา จิตเรา
     
  15. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +470
    ถ้าภาวนาด้วย
    วิภวตัณหา มันจะแล่นไปสู่อรูปฌาณ
    บางทีถ้าสะกดจิตมากๆ ทรมานมันมากๆจะกลายเป็น
    ตัวแข็ง แจ้งชัด ประสาทหยุดงาน หมดความรู้สึก คิดนึกทุกสถาน อารมณ์นิพา
    ... อสัญญี
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    อยากถามถึงเหตุผลของท่านผู้ที่มั่นใจว่า
    ไม่กลัวความตายบ้าง
    ว่าท่านได้เตรียมตัวมาอย่างไร
    ใช้เวลา ยาวนานขนาดไหนครับ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ลวกเพ่ ไร้บ้าน

    ไปทำอะไรมาฮับ

    หลักธรรม หาไม่เจอ เอาเลย

    อย่า "ประมาท" นะฮับ ที่ ปฏิบัติอยู่ ต้องหมั่นสังเกต ให้เยอะๆ

    อย่า รีบร้อน ถีบกระได อยู่แต่ บนผา
     
  18. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +248
    เราชิพหายจากความดีเสียแล้ว
    เราจักทำกาละเลยดีไหมหนอนิ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เรื่อง ตาย เกิด

    จริงๆ หาก สดับธรรมให้ถูก ตรงต่อหลักธรรม เท่านี้ก็ ปิดอบายแล้ว

    หากสดับธรรมผิด ยังมีการแฉลบ จิตเที่ยง วิญญาณล่องลอยเป็นสัตว์ไปเกิด
    อันนั้น สดับธรรมผิด ต่อให้มีเตียงแก้วนั่ง .....ก็...................นะ
     
  20. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมขออนุญาตุถามกลับคับ ความตายคืออะไรในขณะนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...