กว่าจะเป็นหลวงตา ณ วัดป่าบ้านตาด (พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 18 กรกฎาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กว่าจะเป็นหลวงตา ณ วัดป่าบ้านตาด
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


    งานบำเพ็ญกุศล(ค่ำ) องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


    ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    "ขอโอกาสครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์ครับ"

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    [​IMG]



    "มรณะ มรณานุสตินะ เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นชาวพุทธกันทุกคน เราเป็นชาวพุทธเรามีการศึกษาแล้วว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้เป็นเรื่องธรรมดา ความเกิดแก่เจ็บตายนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เพราะมีการศึกษา พอเรามีการศึกษากันแล้วเห็นไหม เรามีการศึกษา แล้วเรามีการปฏิบัติ พอเรามีการปฏิบัตินี่เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน

    ลูกศิษย์กรรมฐานนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านสอนถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ความจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี้มันมาจากไหน? ความที่ไม่เกิดไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตายเห็นไหม

    สิ่งที่เป็นโลกมันต้องวิบัติไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เป็นโลกมันต้องหมุนไปเป็นธรรมดา

    แต่สิ่งที่เป็นความรู้สึกล่ะ หลวงตาท่านได้เรื่องของโลก คือสังขารร่างกายท่านดับไปเป็นธรรมดา แต่หัวใจท่านไม่เคยดับ! ความเป็นจริงไม่เคยดับ สิ่งที่มันไม่ดับเพราะเหตุใด สิ่งนั้นมันไม่เคยดับเพราะท่านทำของท่าน ท่านทำของท่านถึงที่สุดของท่านแล้ว ถ้าถึงที่สุดของท่านแล้วเห็นไหม มันถึงนั่งอยู่ในหัวใจของเราไง!

    สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้ว แต่ท่านไม่เคยล่วงไปในหัวใจของเราเลย ท่านนั่งอยู่บนกลางหัวใจของเรา ท่านนั่งอยู่ในกลางหัวใจของเราเพราะเหตุใด ท่านนั่งอยู่ในกลางหัวใจของเราเพราะท่านพูดว่า


    [​IMG]



    “ในการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่านมีอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือท่านเสียสละเพื่อความพ้นทุกข์ของท่าน อีกคราวหนึ่งท่านเสียสละเพราะว่าท่านได้ช่วยชาติ”

    การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของหลวงตาท่านบอกท่านเสียสละอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือท่านเสียสละเพื่อตัวของท่าน เพราะความเสียสละเพื่อตัวของท่าน ท่านพ้นจากกิเลสของท่านไป ท่านไม่มีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของท่าน ท่านถึงทำความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติได้ เพราะมันไม่มีสิ่งใดคาในใจของท่านเลย

    สิ่งที่จะพ้นจากหัวใจของท่านนั้นเพราะเหตุใด เห็นไหม เวลาท่านเกิดมา คนเกิดมาตั้งแต่ชายขอบของสังคม แต่เพราะมีการศึกษา แต่เพราะมีอำนาจวาสนาบารมีของท่านเอง ท่านออกศึกษานะ เวลาท่านบวชแล้วเห็นไหม ท่านบวชแล้วท่านไปอยู่กับอุปัชฌาย์ เห็นอุปัชฌาย์เดินจงกรมอยู่ ว่าจะทำอย่างใด อุปัชฌาย์บอกว่า “พุทโธสิ!” ท่านก็บอกท่านก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม ท่านพุทโธจนจิตท่านสงบ เป็นความลึกลับมหัศจรรย์ เสร็จแล้วท่านมีตั้งสัจจะว่า ท่านจะมีการศึกษา ท่านอยากเรียนก่อนเพื่อเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน

    เวลาท่านไปเรียนอยู่ ๗ ปีเห็นไหม พุทโธ พุทโธนี้ให้หัวใจของท่านสงบได้ถึง ๓ หน ท่านบอกว่า พุทโธ พุทโธนี่ จิตใจของท่านสงบถึง ๓ หน มันฝังใจมาก สิ่งที่ฝังใจของท่านเห็นไหม เป็นความสุขของท่าน แต่เพราะเวลาท่านไปศึกษา ท่านศึกษามาจนจบบาลีมาเห็นไหม ท่านออกปฏิบัติครั้งแรก การปฏิบัติครั้งแรกของท่าน ท่านปฏิบัติของท่านเห็นไหม

    เวลาท่านปฏิบัติของท่าน เพราะมีการศึกษา “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” การศึกษาปริยัตินี้สำคัญมากนะ ปริยัติถ้าพวกเราไม่มีทฤษฎี ในทางวิชาการของเรา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ในการกระทำของเรา มันจะขาดตกบกพร่อง แต่ถ้าเรามีทฤษฎีของเรา ในการประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” คำว่าปฏิเวธคือผลของการปฏิบัติ

    ฉะนั้น เวลาศึกษามาแล้ว ด้วยเวลาท่านออกศึกษามา ท่านมีทางวิชาการของท่านมา ท่านบอกว่าท่านปฏิบัติครั้งแรก ท่านกำหนดดูจิตเฉยๆ! ดูจิตเฉยๆ ทั้งๆ ที่พุทโธมาแล้วนะ กำหนดพุทโธนั้นจิตรวมถึง ๓ หน แต่มาดูจิตเฉยๆ “จิตนี้แข็งเป็นหินดั่งภูเขา”

    แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปเห็นไหม มันเสื่อม พอมันเสื่อมขึ้นมานี่ ท่านบอกเพราะดูจิต จิตของท่านเสื่อมไปปีกับหกเดือน พยายามหาทางออกของท่านอยู่ นี่คนที่มีความมุมานะหาทางออกของท่านอยู่ เป็นเพราะเหตุใดถึงจิตเสื่อม เป็นเพราะอย่างใดถึงจิตเสื่อม... ออกไปหาหลวงปู่มั่น นี่เพราะไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นไปเผา เพราะกำลังเข้าไปใหม่เห็นไหม ไปเผาศพ พอเผาศพขึ้นมานี้ทิ้งไว้ให้ท่านอยู่คนเดียว

    ท่านกำหนดว่าทำไมจิตเราถึงเสื่อม พอกำหนดว่าทำไมจิตเราถึงเสื่อม ถึงค้นคว้าของท่านเอง พอค้นคว้าของท่านเอง “เพราะมันคงจะไม่มีคำบริกรรม” มันไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ไม่มีสิ่งที่เกาะไว้ ท่านถึงกลับมา พุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ย ทั้งๆ ที่พุทโธมาก่อน! แต่ทำไมถึงทิ้งพุทโธออกไปล่ะ ทิ้งพุทโธไปดูจิตๆ เห็นไหม เสื่อมไปปีกับหกเดือน สุดท้ายแล้วท่านกลับมาพุทโธใหม่ พุทโธจนจิตมั่นคง พุทโธจนพุทโธไม่ได้ พอพุทโธจนพุทโธไม่ได้เห็นไหม มันก็เจริญแล้วเสื่อมเหมือนกัน เพราะมันอยู่ในขั้นของสมาธิ

    นี่บอกว่า คราวที่ท่านเสียสละชีวิตมีอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือการประพฤติปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอด อีกคราวหนึ่งเพื่อออกมาช่วยชาติ แต่คราวที่เอาตัวรอด เพราะมีการเอาตัวรอดนั้นก่อน พิจารณาของท่าน จิตมันก็เสื่อม ไปหาหลวงปู่มั่น

    หลวงปู่มั่นบอกว่า “จิตนี้เหมือนเด็กๆ เวลามันต้องกินอาหาร มันออกไปเที่ยวของมัน ถ้ามันหิวมันต้องกลับมาแน่นอน ให้พุทโธไว้”

    พุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม มันก็กลับมามั่นคง นี้เวลาประพฤติปฏิบัติของท่านไป มานั่งสมาธิไป พอนั่งสมาธิไปนี่มันมีการ.. เพราะคนเรามีกิเลสนะ กิเลสมันต้องมีความโต้แย้งเป็นธรรมดา พอนั่งไป นั่งไปนี่ มันเพราะเหตุใด? เพราะเหตุใด? อย่างนี้ต้องต่อสู้! ท่านถึงกำหนดของท่านเห็นไหม นั่งตลอดรุ่งๆ นั้นน่ะ

    การพิจารณาตลอดรุ่งนี้ มันตลอดรุ่งอะไรล่ะ มันพิจารณาตลอดรุ่งเพราะว่า สิ่งที่พิจารณาตลอดรุ่งนี้มันเป็นการภาวนา แต่ขณะที่จิตท่านประสบ ประสบสิ่งที่มันโต้แย้งมาในหัวใจ เพราะท่านพุทโธ พุทโธจนจิตสงบใช่ไหม พอจิตสงบนี้เป็นบาทฐาน

    “ศีล สมาธิ ปัญญา”

    ปัญญาที่เกิดขึ้น ขณะที่ปัญญาที่เกิดขึ้นต่อสู้ตลอดรุ่งๆ น่ะมันพิจารณาเวทนา เวลามันปล่อยเวทนานะ เวทนาตั้งแต่หัวค่ำจนกว่าตลอดรุ่งนี่ พิจารณาแล้วมันก็ปล่อย พอมันปล่อยเสร็จแล้วนี่มันก็ลงสู่สัจธรรม แต่เมื่อคลายตัวออกมาอีกเห็นไหม ก็พิจารณาซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป ถึงที่สุด !

    “มันมีเหตุมีผลของมัน ตั้งแต่บัดนี้ไปมันจะไม่มีวันเสื่อม ตั้งแต่บัดนี้ไปจะไม่มีวันเสื่อม”

    ขึ้นไปนะ เพราะเราไปหาครูบาอาจารย์ เราต้องรักครูบาอาจารย์เป็นธรรมดา ไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม อธิบายให้ท่านฟัง

    “อื้ม.. จิตนี้มันไม่เกิด ๕ อัตภาพเว้ย! จิตนี้มันมีกำลังของมันเห็นไหม”

    ตั้งแต่วันนั้นมา ไม่เสื่อมเห็นไหม พอสิ่งที่ไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็รักษาของท่าน พิจารณาของท่านไปตลอดรุ่งๆ ตลอดรุ่งก็มีธรรมะขึ้นไปส่งหลวงปู่มั่นทุกวัน ไปส่งหลวงปู่มั่นนี่ หลวงปู่มั่นเห็นว่ามันจะทำมากเกินไป คำว่ามากเกินไปนี้ พ่อแม่ก็รักลูกเป็นธรรมดา

    ม้า.. เวลาเขาจะใช้งาน ถ้ามันดื้อนัก เขาก็ต้องให้มันอด ถ้ามันพอที่จะฉลาดขึ้น มันไม่ดื้อนักเขาก็ให้มันกินบ้างเห็นไหม อันนี้อันหนึ่ง

    สอง เวลาภาวนาไป จากที่ว่าจิตมันไม่ตาย ๕ อัตภาพแล้ว พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาบ่อยครั้งเข้าๆ ธาตุขันธ์มันกลับสู่สถานะเดิมของมัน

    ธาตุขันธ์กลับไปสู่สถานะเดิมเพราะเหตุใด? ธาตุขันธ์มันกลับสู่สถานะเดิมเพราะท่านมีพื้นฐานของท่าน ท่านปฏิบัติของท่าน ผิดมาก่อนแล้วมาถูก พอพิจารณาเข้า พิจารณาเข้า มันก็ปล่อยวางไปได้ เพราะมีครูมีอาจารย์ไง หลวงปู่มั่นก็คอยแนะคอยนำเห็นไหม พอเวลาแนะนำบ่อยครั้งเข้าๆ พิจารณาไป.. พิจารณาไป.. จนมันสู่สถานะเดิม

    “ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ”

    ธาตุ ๔ มันแยกออกไปจากมัน จิตมันแยกออกไปจากมัน มันรวมลง! พอมันรวมลงมีความสุขมหาศาล มีความสุขมหาศาลก็ขึ้นไปรายงานหลวงปู่มั่น พอไปรายงานหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่มั่นก็รับฟังไว้ นี่ไง พอรวมลงก็รับฟังไว้ แล้วก็พิจารณาต่อไป พิจารณาต่อ สู้ต่อไป สู้ต่อไปเห็นไหม

    อยากได้อย่างนั้นอีก.. อยากได้อย่างนั้นอีก..

    ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น “จิตที่มันรวมนั้นมีความสุขมาก อยากได้ความสุขอย่างนี้อีก” หลวงปู่มั่นบอกว่า มันมีหนเดียวเท่านั้นแหละ สิ่งที่เวลามันสมุจเฉทปหานมันมีครั้งเดียว! แต่เวลาที่มันพิจารณาน่ะ มันพิจารณาซ้ำ พิจารณาซาก พิจารณาบ่อยครั้งเข้า เห็นไหม นี่ เพราะว่าเวลาพิจารณาของท่านไป ท่านก็บอกว่า เวลาวิกฤตเกินไป หลวงปู่มั่นท่านก็รั้งไว้ เวลาปฏิบัติไป ปฏิบัติไป อยากได้อย่างนั้นอีกมันก็ไม่มีอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะถ้ามันขาดแล้วมันก็ขาดไป แสวงหาอยู่อย่างนั้น ติดอยู่ตรงนั้นอีก ๕ ปี

    หลวงปู่มั่นท่านพูดอย่างนี้นะ “เวลาขึ้นมาน่ะ มันมีครั้งเดียวแหละ จิตที่เป็นอย่างนี้ เป็นเหมือนเราอยู่ที่ถ้ำสาริกา”

    ตอนที่หลวงปู่มั่นอยู่ที่ถ้ำสาริกานะ ท่านเป็นโรคปวดท้อง ท่านเป็นโรคถ่ายท้อง ท่านใช้ยาของท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านใช้ยาของท่านอยู่ตลอด สุดท้ายแล้วรักษาอย่างไรมันก็ไม่ฟัง พอมันไม่ฟังท่านทิ้งยาหมดเลยแล้วพิจารณาของท่าน พิจารณาร่างกายของท่านเห็นไหม เวลาจิตมันรวมลง เวลาจิตมันรวมลงเห็นไหม จิตรวมลงนี้หนึ่ง เพราะจิตรวมลงมันพิจารณาโรคภัยไข้เจ็บ พิจารณาโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากร่างกาย แล้วทิ้งทั้งหมด จิตรวมลงเกิดความสว่างไสว เห็นเป็นยักษ์ เป็นเปรตที่ถือตะบองจะมาตีท่าน

    อันนี้มันเป็น ๓ ประเด็น ประเด็นหนึ่งคืออริยสัจ สัจจะความจริง เวลาพิจารณาแล้วนี้ สัจจะตามอริยสัจ มันทำลายของมัน ทำลายกิเลสลงมาแล้วชั้นหนึ่ง จิตรวมลงไปแล้วเกิดแสงสว่าง มีความสุขนั้นอันหนึ่ง แต่ด้วยอำนาจวาสนาของท่านเห็นไหม มันก็มียักษ์ที่จะมีตีท่านน่ะ นั่นในนิมิต

    เขาบอกว่า “พวกที่กำหนดพุทโธ พวกที่ทำสมถะ มันจะเกิดนิมิต นิมิตมันจะทำลายการปฏิบัติ”

    นิมิตจริงก็มี นิมิตปลอมก็มี

    ฉะนั้นเวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดของท่านอย่างนั้นเห็นไหม เวลาคนจดจารึก ผู้ที่เขียนประวัติหลวงปู่มั่น บอกว่าหลวงปู่มั่นสำเร็จอยู่ที่ถ้ำสาริกา เพราะท่านพิจารณาปฏิจจสมุปบาท แต่ความจริงมันไม่ใช่!

    เพราะหลวงตาท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นเวลาจิตท่านสงบขนาดนั้นแล้ว ท่านกำหนดดูไปเห็นไหม ดูเจ้าคุณอุบาลี เจ้าคุณอุบาลีท่านกำลังพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่หลวงปู่มั่นพิจารณาปฏิจจสมุปบาท!

    ฉะนั้นเวลาไปดูเห็นไหม เสร็จแล้วหลวงปู่มั่นท่านก็คิดถึงหมู่คณะ อยากจะเป็นหลักเป็นชัย เวลาท่านกลับมาภาคอีสาน ท่านมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา กองทัพธรรมน่ะ เวลาปฏิบัติไปนะ “กำลังเราไม่พอ.. กำลังเราไม่พอ..”

    ถ้าสำเร็จที่ถ้ำสาริกา ทำไมกำลังไม่พอ กำลังไม่พอท่านถึงทิ้งหมู่คณะขึ้นไปเชียงใหม่เห็นไหม

    ทีนี้ หลวงปู่มั่นเวลาท่านพูดน่ะ พูดถึงครูบาอาจารย์ของเราว่า “เหมือนเรา เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา” ถ้าเหมือนเราที่ถ้ำสาริกานั้น คือพิจารณาขนาดที่ว่า “โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง” ฉะนั้นเวลาหลวงตาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม “เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา” แล้วเวลาหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟัง แล้วเวลาหลวงปู่เจี๊ยะไปหาหลวงปู่มั่น

    “มีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่ง ปฏิบัติอยู่ ๓ ปี มีความรู้เสมอเราเหมือนที่ถ้ำสาริกา”

    นี่ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านจริง ท่านทำความเป็นจริงของท่านเห็นไหม ฉะนั้นเวลาท่านติดสมาธิอยู่ ๕ ปีนี้ ท่านติดอยู่ขั้นไหน เวลาติดอยู่ขั้นไหนเห็นไหม เวลาอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ นี่ไง การประพฤติปฏิบัติเห็นไหม “ศีล สมาธิ ปัญญา”

    ใช่.. ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ปัญญาของใคร ถ้าปัญญาของเรา เราก็ต้องมีปัญญาเข้าข้างตัวเราเองเห็นไหม แต่เวลาเรามีครูบาอาจารย์ เราเข้าข้างตัวเองขนาดไหน หลวงปู่มั่นท่านก็คอยพยายามประคอง ท่านพยายามจะดึงออกเห็นไหม ดึงออกให้พิจารณา หลวงปู่มั่นเทศน์อยู่เกือบทุกคืนนะที่หนองผือ ขณะที่เทศน์นี้ เวลาลูกศิษย์ไปส่งการบ้าน ครูบาอาจารย์ท่านก็ต้องรู้ของท่านอยู่แล้ว ท่านก็พยายามหาทางออกให้ ทั้งเผดียง ทั้งบอก ทั้งต่างๆ เห็นไหม

    แต่คนเรามันก็มีความเห็นของตัวเหมือนกัน ในเมื่อมีความเห็นของตัวเห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านหันกลับมา

    “จิตเป็นอย่างไร? จิตเป็นอย่างไร?”

    ครูบาอาจารย์ก็บอกว่า “จิตดีมาก.. จิตดีมาก..”

    จิตดีมาก.. มันดีของใครล่ะ เพราะเรามีกิเลสใช่ไหม เรามีความรู้สึกของเราใช่ไหม ดีเพราะดีเราพอใจใช่ไหม แต่มันไม่ดีตามความเป็นจริงน่ะสิ! ในเมื่อมันไม่ดีตามความเป็นจริงแล้วจะออกอย่างไรล่ะ เพราะเป็นสมบัติของเรานะ

    นี่ครูบาอาจารย์เห็นไหม เราลูกศิษย์กรรมฐาน เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราก็มาก เพราะครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม “พ่อแม่ครูจารย์” ท่านเลี้ยงทั้งร่างกาย เลี้ยงทั้งจิตใจ ท่านพยายามดึงเราออกมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านหันกลับมาหาครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม

    “สุขอย่างนี้มันสุขแค่เศษเนื้อติดฟันเท่านั้นน่ะ สุขกว่านี้ ความดีกว่านี้มีอีกมากมาย”

    “แล้วความดีที่ดีกว่านี้ทำอย่างไรล่ะ? ”

    “ความดีที่ดีกว่านี้ เราก็ต้องออกแสวงหาออกค้นคว้าสิ ถ้าออกค้นคว้ามันก็จะเจอของมัน”

    “ถ้าความดีที่มันดีกว่านี้ แล้วสิ่งที่เห็นอยู่นี้มันเป็นอย่างไรล่ะ ถ้ามันติดสมาธิ สมาธิก็เป็นสัมมาสมาธิสิ”

    “ถ้าสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้านี้อย่างหนึ่ง สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มันไม่มีสมุทัย แต่สัมมาสมาธิของเรามีสมุทัยไง”

    นี่ ด้วยเหตุด้วยผล ถึงออกแสวงหาออกค้นคว้าเห็นไหม พอออกค้นคว้าไปนี่มันก็ไปเจออสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะนี่ การต่อสู้กัน เราจะบอกว่า ระหว่างความเมตตา ความรักอาลัยอาวรณ์ของอาจารย์กับลูกศิษย์ ระหว่างหลวงปู่มั่นกับหลวงตา ท่านเคารพบูชากัน ท่านรักกัน ท่านถนอมรักษากันอย่างไร ท่านถึงจะทำให้จิตใจนี้พ้นออกไปจากทุกข์ได้อย่างไร เห็นไหม

    ถนอมรักษานะ ท่านก็บอกว่าเปรียบเหมือนฟุตบอล ถ้าฟุตบอลเห็นไหม ถ้าเรามีแต่เล่น เล่นแบบว่าปิด กลัวแพ้ มันก็มีเสมอกับไม่แพ้ไม่ชนะ เพราะว่า เหมือนเราที่ถ้ำสาริกานั้น มันรองรับไว้แล้ว แต่ถ้ารุก เสมอกับชนะ ท่านก็พยายามปลุกเร้าให้ออกเห็นไหม

    นี่การที่เวลาติด จิตมันติดแล้วจิตมันจะออกได้นี้ ถ้าคนไม่เป็น ไม่รู้ แล้วทำไม่ได้ แต่เวลาทำได้เห็นไหม เวลาออกไปนี่ ถ้าติดในสัมมาสมาธิ เวลาติดสมาธิอยู่ สมาธินี้มีความสุขมาก เวลาออกไปปฏิบัติ ออกไปค้นคว้าไปเจออสุภะเห็นไหม เวลาปัญญามันเริ่มหมุนเห็นไหม ไปหาหลวงปู่มั่น

    เวลาบอกว่าติดสมาธิ ก็บอกให้มันออก นี่ก็ออกมาแล้วนะ เวลาออกมาแล้วนี่ ตอนนี้มันไม่ได้พักได้ผ่อนไง

    “ไอ้บ้าสังขาร! ไอ้บ้าสังขาร! ”

    บ้าสังขารเพราะอะไร เพราะการใช้ปัญญาอย่างเดียวโดยที่ไม่มีสมาธิรองรับน่ะ มันใช้ไปแล้วก็เป็นสัญญาไป การก้าวเดินไปมันต้องกลับมาด้วย กลับมาทำสัมมาสมาธิ กลับมาเอาสมาธิรองรับ

    ครูบาอาจารย์ที่ท่านผูกพันกันมานะ ความผูกพัน ความเคารพ ความรักนี้ มันผูกพัน ความเคารพ ความรัก จากอะไร จากประสบการณ์จริง ประสบการณ์จริงที่มันเกิดขึ้นเพราะเรารู้ของเราแล้ว แต่ทำไมความรู้ของเรามันไม่เป็นความจริงล่ะ ทำไมความรู้ของครูบาอาจารย์มันเหนือกว่าเราล่ะ

    นี่ เวลาทำไป ปฏิบัติไปเห็นไหม ขณะนั้น เวลานั้นหลวงปู่มั่นท่านก็เริ่มป่วยไข้ หลวงตาท่านก็พยายามดูแลครูบาอาจารย์ด้วย ทั้งประพฤติปฏิบัติไปด้วยนะ ถึงที่สุดท่านทำของท่านไปเรื่อย จนถึงที่สุด เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไป หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ท่านไปนั่งอยู่ที่ปลายเท้า ร้องไห้อยู่คนเดียว

    “จิตนี้.. มันไม่ฟังใคร บัดนี้.. อาจารย์ก็ล่วงไปแล้ว จิตนี้มันกำลังต่อสู้อยู่เนี่ย มันจะหาใครเป็นที่พึ่ง”

    ความละล้าละลังในหัวใจนะ ความรักความเคารพมันเกิดอย่างนี้แหละ สุดท้ายแล้วหลวงปู่มั่นท่านล่วงไปก็ต้องจัดการเรื่องสรีระของท่านไป หลวงตาท่านก็แสวงหาของท่านนะ พยายามของท่าน รักษาของท่าน จนถึงที่สุดเห็นไหม ที่เป็นอสุภะ ความเป็นจริงออกมาจากของจริง ออกมาจากใจนี้ เป็นอสุภะมันจะไวขึ้น เร็วขึ้น ละเอียดขึ้น จนมันเข้ามาสู่ใจของเรา ใจของเราเป็นอสุภะเสียเอง ใจของเราเป็นอสุภะเสียเอง อสุภะข้างนอกเป็นอาการของใจทั้งหมด เวลามันทำลายกัน มันเข้ามาทำลายในหัวใจ หัวใจดวงนั้นเห็นไหม พอทำลายหัวใจดวงนั้น นี่ มันพ้นออกไป พอพ้นออกไป ออกแสวงหาต่อเนื่องไป ออกแสวงหาต่อเนื่องไปนะ เป็นชั้นเป็นตอน ละเอียดขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

    เวลาละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนี่ ขณะนี้ ไม่มีหลวงปู่มั่น ท่านจะต้องแสวงหาของท่านเอง การออกแสวงหาของท่านเองเห็นไหม ขณะที่ไปวัดดอยธรรมเจดีย์นี่ เวลาจิตมันสงบขึ้นมาขนาดไหน มันสว่างไสว.. มันลึกลับ.. มันมหัศจรรย์ขนาดไหน.. มหัศจรรย์ มันก็มหัศจรรย์ในอวิชชา มันมหัศจรรย์อยู่ในมาร

    ท่านมาถึงที่บ้านผือ พอเป็นโรคเสียดอก นี่พิจารณาของท่านอยู่ เวลาพิจารณาของท่านอยู่เห็นไหม นี่มันเป็นโรคเสียเอง เวลามันเป็นโรคเสียเองเห็นไหม ไม่อยากตาย ไม่อยากตายเพราะรู้อยู่ว่าถ้าตายแล้วมันยังคาอยู่ ไม่อยากตาย พิจารณาของท่านเห็นไหม เวลาเราเกิดขึ้นมาพิจารณาของท่าน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ มันก็มาเจ็บไข้ได้ป่วย จนถึงที่สุดนะ ธรรมมาเตือนเห็นไหม ท่านก็เคยพิจารณาเวทนามาแล้ว สิ่งนี้มันก็สิ่งที่ท่านเคยพิจารณามาแล้ว ทำไมไม่พิจารณา พิจารณาเวทนาจนมันปล่อยหมดเห็นไหม นี่มันปล่อย เวลามันปล่อยนี่ จิตมันปล่อย เวลาพิจารณาไปนะ จิตมันปล่อยแล้วมันก็จับ เห็นไหม เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด

    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/02/Y10286165/Y10286165.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG][​IMG]


    [​IMG][​IMG]





    “เอ๊ะ! อย่างนี้ ไม่ใช่พระอรหันต์เหรอ? อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์เหรอ?”

    นี่ เพราะด้วยวุฒิภาวะการศึกษาของท่าน ท่านเรียนของท่านมาเห็นไหม ถ้ามีความสงสัย ไม่ใช่! ถ้ายังมีความสงสัยอยู่ “เกิดดับ เกิดดับ.. อย่างนี้ไม่ใช่!” พออย่างนี้ไม่ใช่นะ ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาพิจารณาของท่าน ธรรมะก็มาเตือนอีก

    “แสงสว่างทุกอย่างนี้มันเกิดจากจุดและต่อม”

    เวลาเจอของมันเข้าไปนะ เวลาเจอจุดและต่อมแล้วใคร่ครวญจุดและต่อม ท่านพูดอยู่นะ “ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านจบไปแล้ว” เพราะหลวงปู่มั่นไม่อยู่ ท่านถึงพยายามพิจารณาของท่าน

    เพราะท่านพิจารณาของท่าน ท่านถึงมีความชำนาญมาก การรื้อค้น การต่อสู้ การแยกแยะ การกระทำของท่าน พอท่านผ่านขั้นนี้ไปเห็นไหม ทำไมท่านถึงเอาความรู้เอาความชำนาญนี้มาแก้หลวงปู่คำดี มาแก้หลวงปู่บัว นี่เพราะความชำนาญของแต่ละบุคคล ถ้าบุคคลมีความชำนาญอย่างใดเห็นไหม เพราะมีการกระทำอันนั้น



    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]



    ท่านถึงบอกว่า การเสียสละที่วิกฤตในชีวิตมีอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือเสียสละเพื่อตัวของท่านเอง เป็นการกระทำในหัวใจของท่าน แล้วอีกคราวหนึ่งท่านเสียสละเพื่อโลก

    ท่านเสียสละสองคราว คราวเสียสละเพื่อโลกนี้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะเหตุใด ยิ่งใหญ่เพราะไม่ใช่การต่อสู้ของเราเอง ในการสละของเราเองนี้เราอยู่โคนไม้ อยู่ที่ไหนเราก็ทำของเราได้เพราะมันเป็นเรื่องของเรา มันเป็นเรื่องภายใน มันเป็นการกระทำ จะอยู่ในกุฏิ จะอยู่โคนไม้ อยู่ป่า อยู่ไหนก็ทำได้ แต่ขณะที่ออกมาช่วยโลกน่ะ มันต้องอยู่กับสังคม มันเป็นเรื่องของสังคม สังคมนี่คิดว่าจะชักนำสังคมให้มีความเห็นกับเราได้อย่างใด มันเป็นการชักนำสังคมมาหาเราได้อย่างไร

    ท่านถึงบอกว่า เวลาท่านไปพูดกับหลวงปู่ลีว่า “เราจะช่วยโลกด้วยกัน ถึงเราจะกัดก้อนเกลือกินเราก็จะกินก้อนเกลือ”

    คำว่ากัดก้อนเกลือกินนี่มันเป็นไปไม่ได้ ครูบาอาจารย์ของเราไม่มีใครทิ้งหรอก
    แต่คำว่ากัดกินก้อนเกลือนี่มันสู้หมดหน้าตัก! ชีวิตนี้ก็ให้!

    ท่านทำของท่านขนาดนี้เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะโลกหวั่นไหว ในเมื่อขวัญของประเทศมันไม่มี เศรษฐกิจมันล่มสลายไป ทุกครอบครัวทำร้ายตัวเอง ทุกครอบครัว เศรษฐกิจในครอบครัว ธุรกิจของครอบครัวมันล่มสลายไป แล้วจะเอาใครเป็นที่พึ่ง! มันไม่มีใครเป็นที่พึ่งแล้วจะพึ่งใคร

    เพราะในทางโลกเขาบอกว่า “ในระบบเศรษฐกิจนี้ นักธุรกิจทำลายทำเสียหาย ทำไมต้องให้ตาสีตาสามาช่วยชาติ ทำไมไม่ให้นักธุรกิจมันช่วยกันเอง ! ”

    นักธุรกิจมันก็จะผูกคอตายหมดแล้ว มันจะเอาอะไรมาช่วย !

    ท่านเสียสละตัวของท่านออกไปเห็นไหม การเสียสละอย่างนี้ยิ่งใหญ่กว่า ๑๒ ตันนั้น แต่ในการ ๑๒ ตันนี้ มันเป็นเหมือนการพาดเสาไฟฟ้านะ เวลาเราเห็นคนพาดเสาไฟฟ้า เวลาเราเดินสายนี่ต้นทุนมันแพงมาก แต่หลวงตาท่านพาดสายอันนี้เพื่อผลบุญ เพราะเวลาท่านพาดสาย ท่านทำของท่าน ท่านบอกว่า

    “ใครๆ เขาก็เห็นกันเรื่องเงินทอง แต่เราไม่เคยเห็นอย่างนั้น เราเห็นแก่ธรรม คราวที่ธรรมะมันจะได้ออก”

    ธรรมะที่จะได้ออกเห็นไหม ออกมาเพื่อศีลธรรม จริยธรรม ให้คนมันฟื้นฟูขึ้นมา สิ่งนี้มีคุณค่ากว่าเงินทองมหาศาล เราไปเห็นกันแค่คุณค่าของเงินทอง ว่าเงินทองนี้ ทอง ๑๒ ตัน เงินทองอีกมหาศาล แต่เวลาท่านพูดนะ ท่านบอกว่า

    “สิ่งนี้มันเป็นแค่วัตถุ มันเป็นเรื่องปลายเหตุ ถ้าคนไม่มีความมั่นใจ คนไม่มีความศรัทธา จะเอาอะไรมาให้ สิ่งที่เขาเอามาให้เพราะความมั่นใจ ความมั่นใจในตัวท่าน”

    เพราะท่านบอกว่าในวิกฤตหนึ่ง คือวิกฤตที่ท่านช่วยตัวท่านเอง พอเมื่อท่านช่วยตัวท่านเองแล้ว ในหัวใจนี่มันไม่มีสิ่งใด ไม่มีเหลือบใด สิ่งใด เป็นสิ่งเห็นแก่ตัวอยู่ในนั้น ในเมื่อมันไม่มีสิ่งใดเห็นแก่ตัวอยู่ในนั้นเห็นไหม เวลาท่านบอกกับหลวงปู่ลีเห็นไหม

    “เราจะกัดก้อนเกลือกิน! เราจะสู้หมดหน้าตัก! เราจะทำทุกอย่าง! ”

    เพราะการประพฤติปฏิบัติ อยู่ในป่าเวลามันสละตายน่ะ มันสละมาแล้ว อยู่ในป่านี้สละตาย ชีวิตนี้ทิ้งมาหลายรอบแล้ว คนที่ปฏิบัติมาจะเข้าใจว่าเวลาวิกฤตขึ้นมา กิเลสมันจะบอกว่า ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! แล้วเราก็ยอมแพ้ ยอมแพ้! การสละชีวิตนี่ พระป่านี่เขาสละมามากมายมหาศาลแล้ว แต่มันไม่เคยตายเสียที ถ้ามันตายก็ตาย! แต่มันไม่ตาย..

    ฉะนั้น เวลาออกมาสู้ ออกมาช่วยโลก เรื่องการเสียสละของท่านนี่ ตายก็คือตาย! เวลาเกิดมีวิกฤตเห็นไหม “เหรียญมีสองด้าน” ความเห็นต่างเราไม่คัดค้าน เวลาคนมาจ้องทำลาย บอกว่าจะทำลายท่าน ท่านบอกว่า “ถ้าจะฆ่า ก็ฆ่าได้แต่ร่างกายนี้เท่านั้น”

    ในพระไตรปิฎกบอกว่า แม้แต่เวลาเขาฆ่าพระอรหันต์นะ เขาตัดคอนี่มันก็แค่มีดผ่านเข้าไปในกระดูก ผ่านเนื้อออกไป ไม่เคยผ่านสิ่งใดได้เลย

    ท่านพูดขนาดนั้น เพราะจะบอกว่าในการช่วยโลกนี้เราได้ช่วยมาด้วยกัน วิกฤตเราก็เจอมาด้วยกัน ความทุกข์ ความลำบาก ความยาก ความแค้น เราก็เจอมาด้วยกัน อันนี้มันเป็นเพราะว่าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ของเรานี้ไม่ได้เห็นแก่ตัวท่าน ไม่ได้เห็นแก่หมู่คณะใด เห็นแก่สังคมโลกทั้งหมด เขาจะดี เขาจะชั่ว เราก็ช่วยเหลือทั้งนั้น ดูสิ ใจที่เป็นธรรม

    ใจที่ไม่เป็นธรรมไม่บอกว่าใครถูกใครผิด แต่เราบอกว่าผิด เพราะว่าผู้ทำธุรกิจเขาทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ชาวไร่ชาวนาเขาไม่รู้เรื่อง! ทำไมต้องไปเอาชาวไร่ชาวนาเขามายุ่งด้วย!

    แต่หลวงตาท่านไม่มองตรงนั้น ท่านมองว่าใครทำ เห็นไหม พาดเสาไฟ แสงสว่างนี่ใครจะรังเกียจแสงสว่างนี้ แสงสว่างนี้มันมาจากไหนล่ะ? ธรรมในหัวใจของท่าน มันสว่างครอบโลกธาตุ ท่านต้องการให้สัตว์ทุกตัวได้มีส่วนร่วมด้วย การกระทำของท่านเห็นไหม เพื่อประโยชน์กับโลกทั้งนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์โลก สิ่งนี้เป็นประโยชน์มา เราก็เห็นอยู่

    นี้คือหลวงตาของเรา ด้วยสรีระ... ท่านตายไปแล้ว แต่ด้วยคุณงามความดี ไม่มีวันตาย มันจะสถิตในหัวใจของเราตลอดไป ใครเกิดมาได้พบ ใครเกิดมาได้เห็น ใครเกิดมาได้สัมผัส ใครเกิดมาได้รับใช้ เราเอาสิ่งที่เป็นคุณธรรมอันนี้ มันจะอยู่ในใจของเราเห็นไหม นี่คุณงามความดีของครูบาอาจารย์เรา

    เขาบอกว่า “พระป่า.. อยู่แต่ในป่า หลับตามีแต่พุทโธ มันจะรู้อะไร”

    ดูผลงาน! ดูตั้งแต่หลวงปู่มั่น ดูตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ แล้ววางรากฐานมาให้พวกเรา

    บัดนี้... เราเป็นลูกหลาน คำว่าหลวงตานี้เป็นหลวงตาของประชาชนเขา คำว่าพ่อแม่ครูจารย์ เป็นพ่อแม่ครูจารย์ของภิกษุเรา ภิกษุเราเคารพรัก เรียกว่าหลวงตามันก็ไม่ถึงใจ ถ้าเรียกว่าพ่อแม่ครูจารย์ เราจะเข้าถึงหัวใจของเรา

    นี้โลกเห็นไหม เหรียญมันมีสองด้าน ทุกอย่างมีทั้งนั้น ฉะนั้นความเป็นจริงอันนี้เราเกิดมาพบ เกิดมาประสบ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ โลกมันเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างมันต้องหมุนไป ผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันจะเวียนวนของมันไป แต่ถ้าเราทำของจริงนะ...



    [​IMG]

    "คิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า"

    "คิดถึงหลวงตา หลวงตาจะอยู่กับเรา"

    "คิดถึงคำสอน คิดถึงคำสั่ง คิดถึงการปฏิบัติ หลวงตาจะอยู่กับเรา"


    เอวัง !



    [​IMG]


    [​IMG]



    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/02/Y10286165/Y10286165.html

    ภาพประกอบเพิ่มจากอินเตอร์เน็ท และ tlcthai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  3. สุทธิมา

    สุทธิมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +2,118
    กราบนมัสการองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
     
  4. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    [​IMG]




    [​IMG]
    ๑. กำหนดการรับสังฆทานบ้านวิริ<wbr>ยบารมี-ตารางเดินรถตู้บริการ คลิก
    ๒. เรียนเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพมหากุ<wbr>ศลงานเข้า-ออกนิโรธกรรมครูบาวิ<wbr>ฑูรย์ ชินวโร ๑๗-๒๕ ก.ย. คลิก
    ๓. ทริปยกยอดฉัตร "สมเด็จองค์ปฐม" หน้าตัก ๒๐ เมตร-ฉลองอายุวัฒนมงคล ๕๓ ปีหลวงพ่อโนรี วัดหนองหญ้าปล้อง จ.กาญจนบุรี ๒๔ ก.ค. (One day trip) คลิก
    ๔. ทริปหล่อพระ "หลวงพ่อเหลือ" วัดธรรมยาน-ไหว้พระ (วาระ ๒) จ.เพชรบูรณ์ ๓๑ ก.ค. (One day trip) คลิก
    ๕. ทริปกฐินสร้างพระอุโบสถวัดรัตนานุ<wbr>ภาพ (กฐินปลดหนี้ปี ๕๔) จ.นราธิวาส ๑๔-๑๗ ต.ค. คลิก
     
  5. xmen123

    xmen123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอ ขอบคุณ มาก ๆ ครับ +++
     
  6. jojopattaya

    jojopattaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +189
    ขอกราบหลวงตาด้วยครับลูกเป็นคนอุดรฯแท้ๆๆๆเคยได้ถวายทองคำหนัก 50 สตางค์กับหลวงตาด้วยสาธุครับผมขอให้ลูกมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถอะครับ
     
  7. กำจัดกิเลส

    กำจัดกิเลส สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +9
    สาธุครับ ขอกราบหลวงตาด้วยครับ ขอพึ่งบุญบารมีของหลวงให้ลูกมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเทอญ
     
  8. baboburm

    baboburm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +1
    สาธุครับ ขอกราบหลวงตาด้วยครับ ขอพึ่งบุญบารมีของหลวง
     
  9. ผู้เลื่อมใสศรัทธา

    ผู้เลื่อมใสศรัทธา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +2,082
    อนุโมทนา สาธุ ครับ

    ข้าพเจ้าขอน้อมจิตนี้บูชา พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    และขอน้อมกราบต่อองค์หลวงตา
     
  10. Wanthip_house

    Wanthip_house สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1
    กราบแทบเท้าพระอาจารย์

    พระอาจารย์สงบ..... "พระแท้" องค์เป็นที่พึ่งแก่เรา

    รัตนตเย ปมาเดนะ ดวารัตเยนะ กัตตัง สัพพัง อัปปะราดัง ขมามิภันเต
     
  11. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    Thank you so much. Anumo...tana..satu..satu..satu naka.
     
  12. ศรนารายณ์ธนูทอง

    ศรนารายณ์ธนูทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +1,865
  13. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    ขอน้อมกราบหลวงตา พร้อมด้วยพ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วยเศียรเกล้า...
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
     
  14. aof_road

    aof_road สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    กราบนมัสการองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  15. tyoukerd@hotmail.com

    tyoukerd@hotmail.com เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +293
    ขอน้อมจิตเพื่อบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกรูปผู้เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ขอกราบบูชาธรรมที่องค์หลวงพ่อสงบ มนสสันโต แสดงออกมาจากใจครับ สาธุ................................
     
  16. ป่ากุง

    ป่ากุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    416
    ค่าพลัง:
    +784
    น้อมกราบหลวงตา ด้วยเศียรเกล้าของข้าน้อย และ น้อมกราบ หลวงพ่อสงบด้วยเศียรเกล้า จริตผม ผมชอบหลวงพ่อท่านเทศนามาก ถึงใจมาก สาธุๆๆๆ
     
  17. ณ.วชิรา

    ณ.วชิรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +422
    ทุกวันยังคงคิดถึง ไม่มีสักครั้งหนึ่งไม่ร้องไห้...

    หลวงตาเป็นดั่งหลักชัย แต่นี้...เสียงหลวงตา "พอใจ" ก็ไม่มี....
     
  18. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    แต่ก่อนฟังธรรมหลวงตาไม่เข้าใจ
    เมื่อท่านสิ้นแล้ว ฟัง...ทุกวัน ซ้ำไป ซ้ำมา
    ไม่รู้เบื่อ

    [​IMG]

     
  19. Wanthip_house

    Wanthip_house สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +1
    เวบพระอาจารย์สงบ

    http://sa-ngob.com

    <object height="345" width="420"></object>
    <object height="345" width="420"> </object>
    <object height="345" width="420"> </object>
    <object height="345" width="420"> <embed src="http://www.youtube.com/v/K6fr8amMj8Q?version=3&hl=en_US&rel=0" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" height="345" width="420"></object>

    เปรียบดังช้างเอราวัณมี 3 เศียร เราไปกราบเศียรที่ 3 เป็นประจำ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2011
  20. พนาวรรณ

    พนาวรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,096
    ค่าพลัง:
    +767
    กราบนมัสการองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...