การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เอ่! สงสัยก่อนแสดงความเห็น สงสัยไม่ได้คิดทบทวน ที่มาของคหตัวเอง
    เลย มิน่าถึงไม่เข้าใจคำว่า เหตุปัจจัย

    ท่านจะมาบอกอะไรผมกันครับ คนที่บอกคือ คู่ซี้ DUOนายpopฯของท่าน
    ...มารุมตีคนอื่น ผลสุดท้ายเมาสติ ตีกันเองซะแล้ว

    ท่านเตชขอร้อง อย่ามามั่วนิ่ม มันทุเรศสิ้นดี จะอ้างอิงอะไรทำไม ไม่ทำ
    ลิ้งค์มาด้วย อย่าคิดว่าใครเขาจะบื้อ ไม่ไปหาดูนี่


    สนธนาธรรม มันไม่จำเป็นถึงขนาดต้องใช้เล่ห์กันหรอก หรือท่านลืมครับ
    เอางี้ดีกว่า ผมว่าท่านไปทำลิ้งค์ที่มาของคำว่า "ถิรสัญญา"ของคนที่ท่านอ้างมา
    มันจะได้กระจ่างแจ้งกันไปเลย เห็นหลายเรื่องระหว่างเรามันยังไม่กระจ่าง
    ชอบแกล้งโวยวาย แล้วหลบหน้าไปวันหนึ่ง แล้วก็มาอีก
    ลูกผู้ชายอย่าทำแบบนี้ครับ อายสาวๆเค้านะ


    ดูไปเรื่อยๆแล้วจะรู้ว่า ใครสมควรจะอายครับ เห็นหลายกระทู้แล้วนี่
    แต่ผมว่าคนอย่างท่าน คงไม่อายหรอกครับ เห็นทำอยู่บ่อยๆนี่ครับ
     
  2. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เก่งจังเลยนิ ความเห็นที่มาตอบท่านเล่าปังนี้น่ะ
    รู้สึกอายบ้างมั้ยครับ ใครไม่รู้นึกว่าท่านเก่ง ปัดโถ่!
    เล่นเอาความเห็นของผม ซึ่งเป็นคู่แย้ง มาตอบคู่แย้งอีกคน
    ไอ้ความเห็นของท่านข้างบนน่ะมันมาจาก คหผมด้านล่างนี้ใช่ไหมครับ
    ผมจะบอกให้ครับว่าการจะดูว่า อันใดเป็นมิจฉาหรือสัมมาทิฐิ
    เราต้องดูว่า สิ่งที่เราปฏิบัติมามีเหตุมีผล มีคำอธิบาย ต่อทิฐิเริ่มแรกมั้ย
    ไม่ใช่ว่า ความเห็นคนอื่น ไม่ตรงกับความเห็นตัวเอง ก็เหมาว่าเป็นมิจฉา

    .......ท่านเตชท่านก็ลองดูซิว่า บทความที่เป็นทิฐิของพวกดูจิตที่ท่านยกมา
    มันเป็นเหตุเป็นผลกับ ทิฐิเริ่มแรกมั้ย ผมดูมันก็สอดคล้องกันทุกเรื่อง

    มันไม่เหมือนกับพวกท่าน พอถามว่ามาได้อย่างไร พี่แกเล่นตอบว่า..
    หลวงตาบอก หลวงปู่เล่า หลวงพ่อเทศน์
    ที่ร้ายหนักกว่านั้นคือ แกอย่ามาเถียงพุทธพจน์

    อันนี้สำคัญครับ เรื่องการเอาบรรดาครูบาอาจารย์มาอ้าง ในความเห็น
    ตนเอง ผมว่าผู้ที่อ้างพึงสำเหนียกเอาไว้ด้วย ถ้ามันมีเหตุกระทบ
    กระทั่งไปถึงครูบาอาจารย์นั้นๆ ตัวคนอ้างเองนั้นแหล่ะ จะต้องรับผิด
    ชอบต่อเหตุแห่งการกระทบกระทั่งนั้น
    เพราะคู่สนทนาเขามีจุดประสงค์อยู่ที่ คหผู้อ้าง แต่ผู้อ้างมีจุดประสงค์
    ที่ครูบาอาจารย์

    .....ผมว่าอย่าทำแบบนี้เลยครับ มันไม่man อะไรกันถ้าตีถ้าต่อยกัน
    ดันพาพ่อแม่มาด้วย แถมไปด่าเขาก่อนว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน แต่พอ
    เขาย้อนเอาบ้างว่า เอ็งนั้นแหล่ะ พ่อแม่ไม่สั่งสอน
    เล่นหันกลับไปฟ้องพ่อแม่ แถมไปชวนญาติพี่น้องตัวเองมาร่วมวงด้วย

    ฮา ฮา ฮา....อยากหัวเราะให้กับพวก อ้างสัมมาทิฐิจริงๆเลย
     
  3. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    คุณบุญฯเฉไฉ คุณก็ไม่รู้ใช่มั้ยว่า ถิรสัญญามีที่มา
    ผมถามเพราะผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
    ผมว่าคุณเตชพโลเค้าเป็นคนจริงนะ
    เค้าอุตส่าห์ไปหา "ถิรสัญญา" มา เพื่อยืนยันว่าคำนี้มีจริง
    ถ้าเค้ารู้แล้วไม่แสดง นั่นแหละเค้าฮั้วกับผม
    ..
    ..
    แต่ คนเอามาใช้ในสมัยปัจจุบัน อาจารย์คุณนั่นแหละ
    เอาถิรสัญญา มาเหมาเป็น สติ มีปัญหานะ
    ..
    ..
    แต่คนที่บอกว่าไม่เคยพุทโธ แล้วกลับคำว่าพุทโธน่ะผ่านมาแล้ว
    คนที่เรียก เทศน์ของหลวงตามหาบัวว่า "คำพระเฒ่า คำพระชรา"
    ผมไม่คิดว่าเป็นการเรียกด้วยความเคารพนะ
    เพราะหลวงตาไต๋คุณ คุณยังไม่เรียกเช่นนั้น แถมเอามาอ้างแบบสามัญไม่อ้างว่า "ภาษาลิเก"
    เราควรเรียกคนเฉไฉเช่นนี้ว่าอะไรดี ...
    ยกเว้น ล็อคอินของคุณมีคนใช้มากกว่าหนึ่ง เอายังงั้นดีมั้ยครับ???
    ..
    ..
    เอาหล่ะ ให้คุณบุญฯเฉไฉ ตอบชัดๆตรงนี้อีกทีก็ได้ว่า เคยพุทโธมั้ย หรือ เคยทำกรรมฐานสี่สิบห้องมั้ย???
     
  4. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    โอ้ คุณมิคัส
    เริ่มแรก คุณยก"สติ"ขับรถยนต์ เทียบเคียงต่อจาก "บังคับสติ" ของหลวงตา
    ต่อมา คุณยก "จิตกำหนดรู้เอง" ด้วย "ข้อมูลจาก เจริญ ปัญญากับหลวงตาบัว"
    คุณกำลังจะเทียบ "สติ-ถิรสัญญา" ของหลวงพ่อปราโมทย์ กับ "มหาสติ" ของหลวงตามหาบัวแล้วนะ (พูดให้มันชัดๆ)
    แค่นี้ก็สุดๆแล้วนะครับ ... อย่างที่บอก เอาตำรามหาลัยมาสอนเด็กประถม

    แล้ว "จิตกำหนดรู้เอง" ด้วย "ข้อมูลจาก เจริญ ปัญญากับหลวงตาบัว"
    คุณก็แปลว่า "จิตกำหนดรู้" นี้คือ "สติ"ล้วนๆ
    "....ทีนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ใดขี้เกียจ หรือไม่มีอะไรจะคิดก็ให้กำหนดจิตรู้ที่จิตเฉยๆ
    ถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่าง ถ้าจิตคิดรู้ที่ความคิด ว่างรู้ที่ความว่าง คิดรู้ที่ความคิด
    ไล่ตามกันไปอย่างนี้ เมื่อเราฝึกหัดจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ
    ทีหลังเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้อารมณ์จิตหรือความคิด
    สติก็ทำหน้าที่ตามรู้คอยควบคุม
    เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก
    มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง..."
    เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราก็รู้ว่า ... มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง
    สติสัมปชัญญะ ก็เรื่องนึง
    จิตของเรารู้.... ก็อีกเรื่องนึง
    เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราจะรู้ สติหรือครับ

    ปล....
    แต่ขอบคุณมากคุณมิคัส ผมเจอรากฐานอ้างอิงคำสอนของพวกคุณแล้ว
    เจริญปัญญากับหลวงตาบัว :
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    จิตเกิดมีไหม จิตตายมีไหม ?

    หากชาตินี้ภาวนาแล้ว ไม่เห็นจิตเกิด ไม่เห็นจิตตาย ก็ไม่เห็นความจริง ?

    มาดูคำสอนของหลวงพ่อสงบ มนัสโต เรื่อง การยกคำสอนจิตเกิดจิตตายมี มี มี!! กัน

    ก็จะเห็นว่า เมื่อถึงที่สุด จิตจะต้องไม่เกิดอีก คือ เมื่อกิเลสหมจากจิตแล้ว จิตจะไม่เกิด
    อีก หากจิตยังเกิดอีกก็แปลว่ามันยังมีอวิชชา มีอาสวะหลงเหลือ

    อาจจะมีคนถามว่า หากจิตไม่เกิดอีกหลังจากสิ้นกิเลสแล้ว แล้วที่ยังเดินๆอยู่คืออะไร

    ก็จิตมันไม่เกิดไม่ตายแล้ว สิ่งที่ปรากฏก็ไม่เรียกว่าจิตอีก แต่เนื่องจากไม่มีศัพท์ใช้แล้ว
    จึงต้องยืมคำว่า จิตมาใช้ต่อ แต่ต้องเดิมคุณศัพท์ให้ครบ คือ "จิตเหนือการเกิดการตาย"
    "จิตเป็นธรรมธาตุ" หรือใช้ "จิตไม่เกิดไม่ตาย"

    ก็จะเห็นว่า จิตไม่เกิดไม่ตาย นี้ย้อนกลับมาใช้อีก แต่การใช้คำนี้จะต้องเป็น กลุ่มคำ ทำ
    หน้าที่เฉพาะ ไม่ใช่คำโดดที่จะแยกออกไปเพื่อแสดงว่ามันไม่เกิดมันไม่ตาย ถ้าจะเขียน
    หรือพูดให้ถูกต้องไม่คลุมเครือ ก็ต้องพูดว่า "จิตที่ไม่เกิดไม่ตาย" เพราะหากไม่เติมคำว่า
    ที่ลงไป คำๆนี้ก็จะไปตีกันเองกับบทธรรมปฏิบัติที่จะต้องเห็นตามจริง คือ ต้องเห็นการเกิด
    การตายของจิต หากไม่เห็น อยู่ดีๆไปพูดว่า จิตไม่เกิดไม่ตาย ก็จะเป็นเรื่องเรียนลัดไป

    สรุปคือ การปฏิบัติ จะต้องเข้ามาเห็นการเกิดการตายของจิต แล้วเห็นเหตุที่จะให้พ้นเรื่อง
    การเกิดการตายของจิต นั้นก็คือไปเห็น การสิ้นกิเลส คือ เหตุของการพ้นการเกิดการตาย
    พ้นไปทั้งสอง คือพ้นทั้งการเกิด และพ้นทั้งการตาย พ้นทั้งคู่ ไม่ใช่ยังเกิดแต่พ้นเฉพาะการ
    ตาย

    คำว่า เกิด กับ ตาย นี้จะเป็นภาษาชาวบ้าน ภาษาพื้นบ้านที่คนธรรมดาจะเข้าใจ แต่ในกรณี
    คนที่มีปัญญามาก จะใช้คำว่า เกิด ดับ มาแทนที่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปตกอกตกใจอะไร

    เพราะขนาดใช้คำว่า เกิด ตาย สลับกัน ยังใช้ได้ ทำไมจะใช้คำว่า เกิด ดับ ไม่ได้ ทำไมจะ
    ต้องไปกลัวว่า ดับไปดวงหนึ่งแล้วอีกดวงจะมาแต่ไหน เพราะหากเข้าใจได้ว่า ตายไปแล้ว
    แล้วมันมาเกิดได้อย่างไร มันก็ ดับแล้วเกิดด้วยอาการเดียวกัน ก็ขอให้เข้าใจแบบนั้น

    และจิตพ้นเกิดจิตพ้นการตาย ด้วยอาการอย่างไร จิตก็พ้นการเกิดการดับด้วยอาการอย่าง
    เดียวกัน คำสอนเหมือนกัน เหมือนกัน เหมือนกัน

    สาธุชนคนที่เป็นบัณฑิต(ผู้รอบรู้,รอบครอบ) ย่อมไม่ยกความแตกต่างเพียงแค่ การใช้รูป
    ศัพท์ที่ตนพอใจเล็งเห็นว่าใช้สอนคนในวาสนาของตนได้ หรือหวงแหนเอาไว้เฉพาะวาระวาทะ
    ตนเท่านั้นที่แตกต่าง


    อ้างอิง : จิตวิญญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    โปรดอ่านเปรียบเทียบการใช้ภาษา

    ต่อไปนี้ คือ บทแปลงโดยเรา

    เวลาเสนอธรรมนี่ เราถึงพูดของเราเห็นไหม ธรรมะคือธรรมชาติ เพราะ
    ธรรมะคือธรรมชาติ ถ้าธรรมะไม่ใช่ธรรมชาตินี้เราก็เป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ทั้งนี้
    เพราะเราเกิดมาด้วยความวิปลาสเห็นผิดจากธรรมชาติ

    มันมีความวิปลาสอยู่ มีอวิชชาความเห็นผิดอยู่ ก็เห็นผิดไปจากธรรมชาติ การเกิดและ
    การตายเป็นผลของความวิปลาสนั้นเห็นไหม การเกิดการตายมีอยู่เพราะอวิชชาไม่รู้ธรรมชาติ ​

    เราเกิดเพราะความไม่รู้ในธรรมชาติหรือเปล่า(มีอวิชชา) จึงไม่เป็นพระอรหันต์กันไงหล่ะ​

    โกรธนี้เป็นวิปลาสอันหนึ่ง ทุกอย่างเป็นวิปลาสอันหนึ่ง ไปสำคัญว่าเป็นธรรมชาติเข้า วิปลาส
    เห็นผิดว่าโกรธมีจริง ทั้งๆที่มันเกิดดับ ความเกิดดับเป็นความวิปลาส วิปโยค โศกา ปริเวท เพราะ
    ไม่รู้ธรรมชาติทีแท้(ติดอวิชชา)

    แต่ธรรมเหนือความวิปลาสเหนืออวิชชาพ้นจากอวิชชาได้ ธรรมเป็นธรรมชาติ มันรู้สิ่งที่เป็น
    ธรรมชาติ แล้ววางความวิปลาส ความไม่รู้ วางอวิชชาไว้ แล้วมันหลุดออกไป เพราะวิปลาส
    ผิดธรรมชาติคือวัฏฏะ ความวิปลาสผิดธรรมชาติคือการแปรปรวน อวิชชาคือตัวส่งการหมุน
    เวียนไป สสารไม่มีคงที่ จิตก็หมุนไปตามกรรมเกิดดับตายเกิด ​

    แต่ถ้ามันวิวัฏฏะออกจากความวิปลาสเห็นผิด มาเห็นธรรมชาติ แล้วมันเหนืออย่างไร ​

    เอ้า มีอยู่ ธรรมะเหนือความวิปลาส เหนืออวิชชามี ถ้าไม่มีเดี๋ยวไปหาให้เดี๋ยวนี้ ในห้อง
    โน้นเขาว่ามี​

    ถ้าธรรมะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านก็จะเข้าใจว่า เป็นเรื่องไสย เรื่องภูติผีปีศาจไป
    เป็นเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้ ไม่เห็น เพราะความไม่รู้ไม่เห็นมันคือเรื่องเหนือธรรมชาติ เหนือ
    บ่ากว่าแรง เหนือศักยภาพของพวกเขา แล้วใครจะเข้าหาธรรมะ พวกชาวบ้านเขาก็
    จะวนอยู่การกราบไหว้สิ่งที่เหนือธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เพราะไปพูดว่า ธรรมเป็นเรื่อง
    เหนือธรรมชาติ ชาวบ้านเขาจะอ้างเอาว่า เขาเข้าถึงก่อนเราเสียอีก ​

    ธรรมะเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมดา มันก็ผิดศีลผิดธรรมดากันทั้งบ้านทั้งเมือง ทุศีล
    เหนือมธรรมชาติกันทั้งบ้านทั้งเมือง ทำตัวเหนือปรกติ..บ้ากันทั้งบ้านทั้งเมือง อ้าว อรหันต์เหรอ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แต่ผมกลับมองว่า ถีรสัญญา แปลว่า ก็มันเป็นสัญญาและสัญญานั้นมันไม่เที่ยงเป็นอย่างนั้นเป็นอยู่เช่นนั้น จึงเรียกว่า ถีรสัญญา มากกว่า เพราะมองไม่เห็นว่ามีอะไรเที่ยงได้บ้างมีอะไรคงอยู่ได้บ้าง และสัญญาก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ทั้ง ๕ ควรที่จะเห็นความไม่เที่ยง ไม่ตั้งอยู่ อย่างนั้น ด้วยความเป็น ถีรสัญญา ใครจะตีความอย่างไรก็ตีกันไป นี่เป็นความหมายที่ผมมองเห็นด้วยใจครับ
     
  8. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=CwaszPuRCHg"]YouTube - ฮานี้บ่เฮ้ย[/ame]
     
  9. lightmagician

    lightmagician Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +38
    เอาเพลงลงทำยังไงอ่ะ
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านpopฯครับ ถ้าท่านทำอย่างความเห็นข้างบนของผมได้แล้วเราค่อยมาคุยกัน เอาตามนี้นะครับ
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เอา url มาแปะได้เลย
    :cool:
     
  12. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +452
    ถีรสัญาญา อย่างโน้น อย่างนี้ แสดงกันจัง

    ภูมิรู้ ผมไม่รู้จัก ถีรสัญญา ผมรู้จักแต่ Stable;

    Stableness โอเคไหมครับ

    เพลาๆกันบ้างก็ดีนะ ศัพท์แสงอะไรนั้น่ะ


    กลัวว่าคนเขาไม่รู้ว่าจบมหาเปรียญมาหรือไง

    พูดแล้วก็แปล แปลแล้วก็พูด

    พวกแก่วิชาทั้งหลาย Show off กันเหลือเกิน



     
  13. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    สติขับรถยนต์ กับสติที่หลวงตาเทศสอนมันคนละตัวกันครับ ผมไม่ได้เทียบเคียงว่ามันคือตัวเดียวกัน และผมก็ได้ชี้แจงไว้ชัดตั้งแต่ตอนโพสนั้นแล้ว ลองกลับไปอ่านใหม่นะครับ

    สติ = ความระลึกรู้

    ลองเปรียบเทียบ การใช้คำว่าสติด้านล่างดูนะครับ

    สติอยู่กับพุทโธ, คนป่วยได้สติ, ขับรถอย่างมีสติ, สติระลึกรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ทั้งหมดใช้คำว่า สติ เหมือนกัน แต่สภาวะจิตแต่ละอันมันเหมือนกันไหม๊ครับ? ทั้งหมด จิตระลึกรู้ เป็นพื้นเหมือนกัน แต่ระลึกรู้อะไร? ก็ต่างกันไปใช่ไหม๊ครับ

    เจตนาในโพสนั้นผมต้องการสื่อว่า คำว่า "สติ" โดด ๆ ความหมายมันกว้าาาาง และความหมายจริงๆ ของการใช้แต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป แค่นั้นเองครับ การที่จะเอาบัญญัติ คำว่า "สติ" จากครูบาอาจารย์ท่านสอนมาเทียบเคียงกัน โดยไม่ได้ดูความหมายที่แท้จริง ที่ท่านต้องการจะสื่อ มันทำให้ผิดเพี้ยน และเข้าใจผิดกันมาถึงทุกวันนี้ ผมต้องการชี้ให้เห็น ให้เข้าใจตรงนี้แค่นั้นครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ คุยกันไปอีก 10 ปีก็ไม่รู้เรื่องครับ

    ตรงนี้ผมยืนยันว่าตัวเดียวกันครับ เป็นสภาวะที่จิตระลึกรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นเหมือนกัน จะต่างกันแค่กำลัง และความตั้งมั่นของจิตขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งผู้ปฏิบัติแนวทางนี้ก็ต้องค่อยๆเจริญสติ ให้มีกำลัง ให้จิตตั้งมั่นขึ้นครับ

    เอาตรงคำว่า จิตรู้ สิครับ ไม่ใช่เอาผลหลังจากจิตรู้ ตรง จิตระลึกรู้ นี้มันเป็น "สติ" หรือ "ปัญญา" ครับ?
     
  14. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    สติ - ระลึกรู้ หรือ ระลึกรู้ตัว

    รู้ กับ รู้ตัว นี่คนละเรื่องเลยนะครับ
    ..
    ..
    สติสำหรับขับรถ - สติในชีวิตประจำวัน ขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็มีหลายคนที่ละเลย
    สติสำหรับการบริกรรม - สติต่อเนื่อง เพื่อสมาธิ อันเป็นขั้นต้นในการเจริญภาวนามยปัญญา
    มหาสติ - สติของพระอนาคามีขึ้นไป ... มหาสติเพื่อมหาปัญญา (ไม่มีภูมิในการแจกแจง)

    ถิรสัญญาของอาจารย์ท่านคืออันไหนเล่า????
    ถามตัวคุณมิคัสเองว่า ที่กำลังพยายาม "ทำ-สัญญา" เพื่อให้เกิดสติขึ้นเองนี่ อยู่ระดับไหน

    ตัวผม ทำสติ บังคับสติ เพื่อระลึกรู้ตัว
    ทั้งสติสำหรับขับรถ - ไม่ได้ชนอะไรมานานหลายสิบปีแล้ว
    และ สติสำหรับการบริกรรม - เพื่อให้จิตระลึกรู้ตัวอยู่กับพุทโธจนเป็นสมาธิ
    แต่ มหาสตินี่ ไม่เคย สาธุ
    ..
    ..
    ..
    จิตรู้ กับ จิตรู้ตัว
    รู้ กับ รู้ตัว นี่คนละเรื่องเลยนะครับ
    ปัญญา กับ สติ นี่ก็คนละเรื่องเลยนะครับ


    ปล.๑ ตอบสั้นหน่อยนึง แต่ตรงประเด็นนะ
    ขอเวลาไปวิเคราะห์ "รากฐานอ้างอิงคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ที่นำเอาธรรมะของหลวงตามาตัดต่อ นิดนึง"
    เพราะมีเสียงกระซิบบอกว่า "เค้าตัดต่อแบบครึ่งๆกลาง" เหมือนที่คุณนิวรณ์ชอบทำ

    ปล.๒ คุยกับคุณมิคัสนี่ ได้อรรถรสดี
    ถ้าไม่เกี่ยงเพียงการเปลี่ยนสถานที่ เชิญไปคุยที่antiwimutti.net/forum
    แสดงความกล้าหาญ เหมือนที่ผู้"ตื่น"แล้วหลายคนกล้าเข้าไปเดินในดงของนักดูจิต
    เช่น พันทิบ ลานธรรม ฯลฯ และก็ถูกยึดล็อคอิน เพราะพูดแล้ว ฝ่ายท่านอึ้ง ตอบไม่ถูก
     
  15. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    ใครหนออ้างหลวงตาไต๋ ใครหนออ้างมหาสมปอง

    คุณบุญฯเฉไฉ
    ไหลลื่นไปมา
    ช่วยกันตามหา
    พุทโถ่พุทโธ

    ตกลงคนไหนคือคุณบุญฯเฉไฉที่พุดโถ่ คนไหนคือคุณบุญฯเฉไฉที่พุทโธ
     
  16. มังกี้

    มังกี้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +66
    เห็นข้อความของคุณ Mikas แล้วอเนจอนาถใจ

    ไฉนน ถึงแถไปได้ปานนั้นหนอ

    ถกธรรมไปมันไม่จบหรอก ลองไปดูนี่ดีกว่า

    อยากรู้จัง ใครจะมีปัญญามาแก้ตัวเรื่องนี้ได้

    เห็นถามไป เงียบเป็นเป่าสากกันหมด น่าสังเวชจริงๆ ศิษย์อาจารย์ท่านนี้

    ลองไปฟังเทศน์คุณไสยที่ กรรมฐานดอทคอม : เตือนภัยชาวพุทธ กรณีพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ศรีราชา ก็จบแล้ว
     
  17. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    เรื่องไสยศาสตร์ ผมขอวางไว้ก่อนครับ มันเหนือวิสัยของผมที่จะไปตัดสินอะไรได้ แล้วที่คุณตัดสินไป คุณใช้อะไรตัดสินครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  18. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342


    หลายๆครั้งที่ เวลาต่างฝ่ายสนธนากัน แล้วมันไม่ตรงและ ขัดแย้งกัน เพราะว่าคำนิยามของ แต่ละคนมันไม่ตรงกันครับ

    สติระลึกรู้ กับ สติระลึกรู้ตัว ตรงนี้ผมเห็นด้วยว่ามันไม่เหมือนกัน คำว่า ระลึกรู้ เป็นคำกว้างๆ รู้โ้น้น รู้นี้ ครอบจักรวาลเช่น เห็นหน้าเพื่อนรู้ว่านี้คือเพื่อน เห็นไฟแดงรู้ว่าไฟแดง ส่วนคำว่า ตัว เป็นคำขยายว่าที่ระลึกรู้นั้นคือตัว (กาย ใจ)

    หรือถ้าพูดภาษา math สติระลึกรู้ตัว เป็น subset ของสติระลึกรู้ นั้นเอง

    ผมไม่แน่ใจว่า เราเห็นตรงกันเหรือไม่นะครับ ตรงนี้ลองแลกเปลี่ยนกันดูครับ

    ตรงนี้เคลื่อนกันครับ ถิรสัญญา เป็นเห็นเหตุของสติทุกชนิด ถิรสัญญา มิได้เป็นชนิดของ สติ นะครับ

    ผมยกตัวอย่าง สมมุติเรานั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน มีดาราหน้าใหม่ออกทีวี เราเห็นหน้าครั้งแรกเราก็ไม่รู้จักใช่ไหม๊ครับ เกิดดาราคนนี้เริ่มดัง ออกทีวีบ่อยขึ้น เราเห็นบ่อยขึ้น ที่นี้พอเราเห็นบ่อยเข้าจนจำหน้าดาราคนนี้ได้ ตรงนี้เรียกว่าเกิด ถีรสัญญา ตรงนี้ยังไม่เกี่ยวกับสตินะครับ เป็นแค่การที่จิตเราจำหน้าดาราคนนี้ได้แม่นเท่านั้นเอง เกิดวันดี คืนดี เราไปเห็นดาราคนนี้ออกทีวีอีก จิตมันระลึกรู้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องกำหนดเลยใช่ไหม๊ครับ ว่าเรากำลังเห็นหน้าดาราคนนั้นอยู่ การเห็นสภาวะธรรมในกาย ในใจนี้ก็เหมือนกันครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากการรู้ข้างนอก มารู้สภาวะธรรมที่เกิดกับกาย กับใจ ก็เท่านั้นเอง

    เมื่อก่อนผมก็ไม่เข้าใจคำว่า สติเกิดเอง เหมือนกันครับ แต่สมัยก่อนยังไม่มีประเด็นถกเถียง เป็นเรื่องกันขนาดนี้ ผมก็เลยปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ควบคู่กับการปฏิบัติในรูปแบบไปด้วย จนถึงตอนนี้ ผมหายสงสัยในคำนี้แล้วครับ เพราะเห็นจริง ๆ ว่ามันเป็นอย่างนั้น สภาวะตรงนั้น จิตมันหลุดออกมาจากความคิด มาเห็นสภาวะจริงๆ ที่เกิดขึ้นในกายใจขณะนั้นโดยไร้การบังคับ เหลือเพียงแต่ต้องเจริญให้สภาวะที่จิตระลึกรู้ตัว นี้เกิดบ่อยขึ้น และให้จิตตั้งมั่นขึ้นครับ





     
  19. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,459
    ลิงค์
     
  20. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,459
    คุณนี่ตลกนะ
    พูดไปได้เรื่อยเปื่อยหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้

    ผมทำลิงค์ให้ดูแล้วไปศึกษาเอาแล้วกัน

    อย่าลืม กาลามสูตร
    พิจารณาซ้ำไปซ้ำมาตลบทบทวน
    พิจารณาตัวเอง ด้วย กาลามสูตร....
     

แชร์หน้านี้

Loading...