การดูอารมณ์พระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 30 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    พระนิพพาน
    [​IMG]
    ๒๙๘) ดูอารมณ์ของเราว่า เวลานี้โลภะ ความโลภมีในใจหรือเปล่า
    โทสะ ความ
    โกรธมีในใจหรือเปล่า โมหะ ความหลงมีในใจหรือเปล่า อะไรบ้างในโลกนี้
    ที่เราเห็นว่าดี
    ที่มีการวางตัวเกิดขึ้น แล้วไม่สลายตัวมีบ้างไหม ถ้าปัญญามีจริงก็จะ
    มีความรู้สึกว่า โลกทั้งโลกไม่มีอะไรทรงตัว ทุกอย่างเป็นอนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้
    โลกทั้งโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความเร่าร้อน มีความหิว ความกระหาย
    ก็เป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นทุกข์ การประกอบกิจการงานก็เป็นทุกข์ ความ
    ปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ ความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์
    รวมความว่าโลก
    เต็มไปด้วยความทุกข์
    ไม่มีอะไรดี
    ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าโลกอย่างนี้ เราทรงอุเบกขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ วางเฉย
    ในโลก วางเฉยในร่างกาย คำว่าวางเฉยในร่างกาย สังขารุเปกขาญาณ นี่ หมาย
    ความว่า ถ้าร่างกายมันจะแก่ก็เชิญแก่ตามสบาย เพราะทราบแล้วว่าร่างกาย
    มันจะแก่ ถ้าร่างกายมันจะป่วย จิตใจก็วางเฉย คิดว่าร่างกายมันจะป่วย ถ้าร่างกาย
    มันจะตาย ก็จิตใจสบาย คิดว่าการตายเป็นของธรรมดา อารมณ์ที่สะอาดที่สุดของจิต
    มีว่า
    ถ้าตายคราวนี้ฉันไปนิพพาน
    ๒๙๙) ทีนี้การไปนิพพานเราทำอย่างไร เตรียมตัวเพื่อไปนิพพานไว้ค่อย ๆ ฝึก
    วันเดียว
    มันไม่ได้ต้องนาน ๆ ให้มันชิน คำว่า ฌานคือชิน มีอารมณ์ทรงตัวนั่นคือ
    มีความคิดว่า
    ๑. ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มี
    ในเรา
    ถ้าคิดอย่างนี้อาจจะมองไม่ค่อยเห็น ถ้าไปนึกอีกทีว่า ร่างกายที่ไม่ใช่เรามัน
    เป็นอย่างไร ก็ต้องคิดว่า ถ้าร่างกายนี้มันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เป็นสมบัติที่เรา
    ปกครองได้ ร่างกายนี้ต้องไม่แก่ ร่างกายนี้ต้องไม่ป่วย ร่างกายนี้ต้องไม่ตาย ทั้งนี้
    เพราะอะไร เพราะทั้ง ๓ ประการนี้ เราไม่ต้องการ ความแก่เราก็ไม่ต้องการอาการ
    ป่วยไข้ไม่สบายเราก็ไม่ต้องการ ความตายเราก็ไม่ต้องการ แต่ทว่าร่างกายไม่อยู่
    ในอำนาจของเรา ถึงวาระที่มันต้องแก่ มันก็แก่ของมันทุกวัน มันไม่ยอมตามใจเรา
    ถึงเวลาที่มันจะตาย มันก็ต้องตาย รวมความว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา สรุปแล้วว่า ร่างกายของเราต้องตายแน่ ยืนยัน
    อารมณ์นี้ไว้ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันต้องตาย
    ๓๐๐) เมื่อเห็นความเกิดขึ้นของร่างกาย ความเสื่อมของร่างกาย ความสลายตัว
    ของร่างกาย
    ก็ตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดเป็นมนุษย์ มีร่างกายอย่างนี้เราจะมี
    ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าร่างกายสลายตัวเมื่อใด ขึ้นชื่อว่าร่างกายมีอาการ ๓๒ อย่างนี้
    จะเป็นคนก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ตาม หรือว่าจะมีร่างกายเป็นทิพย์ อย่างเป็นเทวดาก็ตาม
    พรหมก็ตาม จะไม่มีในเรา เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน
    หลังจากนั้นก็พยายามถวายทาน ทานเป็นปัจจัยให้ตัดโลภะ ความโลภ พยายาม
    ควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ เป็นปัจจัยระงับโทสะ ความโกรธ พยายามพิจารณาให้รู้แจ้งเห็น
    จริงว่า การเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความห่วงเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบาย
    เป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
    เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากการเกิดมีร่างกายแบบนี้
    ขึ้นชื่อว่าการเกิดมีร่างกายแบบนี้ จะไม่มีกับเรา พยายามให้ทาน เป็นการตัดโลภะ
    ความโลภ พยายามรักษาศีลเป็นเหตุให้ตัดโทสะ ความโกรธ พยายามเจริญภาวนา
    เป็นเหตุให้ตัดโมหะ ความหลง แล้วจิตใจตั้งตรงเพื่อพระนิพพาน
    ทำอย่างนี้ทุกวัน การให้ทานสุดแล้วแต่เวลานะ แต่การสมาทานศีลก็ควรจะมีทุกวัน
    เป็นการเตือนใจตนเอง การเจริญภาวนาก็ควรจะมีทุกวัน
    ก่อนจะหลับคิดว่า ถ้าเรา
    ตายวันนี้ เราขอไปนิพพาน
    ถ้าตื่นมาแล้วคิดว่าถ้าตายวันนี้เราขอไปนิพพาน
    ตั้งใจแบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน จะไม่พลาดนิพพาน
    ๓๐๑) การเกิดเป็นคนในมนุษยโลกมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก
    ก็ตัดสินใจทำตัวเพื่อพระนิพพาน เพราะแดนพระนิพพานเป็นแดนที่หมดทุกข์ แต่
    ความจริงการตัดสินใจเพื่อพระนิพพานมันจะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ถ้าเรา
    หวังนิพพานแล้วอารมณ์มันไม่ต่ำ ถ้าชาตินี้บังเอิญไม่ได้นิพพานจริง ๆ เราพยายาม
    สร้างความดีแต่กำลังไม่ถึง อย่างเลวเราก็ไปติดอยู่เทวดาหรือนางฟ้าก็ยังมีความสุข
    ถ้ากำลังสูงกว่านั้นก็อาจจะไปติดอยู่พรหมก็ยังมีความสุขยิ่งขึ้น ต่อจากนั้นไปก็บำเพ็ญ
    บารมีต่อก็สามารถไปนิพพานได้
    ๓๐๒) ในขั้นสุดท้าย ตัดสินกำลังใจรวบรัด นี่พูดเพราะคนที่นั่งอยู่นี่มีหลายชั้นรวบรัด
    กำลังใจ เราจะตัดความพอใจในโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลกไม่ต้องการมันอีก จุดที่
    เราต้องการคือพระนิพพาน
    พระนิพพานจะมีได้อย่างไร มีได้เพราะสังขา-
    รุเปกขาญาณ
    จิตไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่ดีใจในเมื่อพบของดีของเลว เฉย ๆ
    เห็นของดีก็เลว เห็นของเลวมันก็เลว เพราะไม่มีการทรงตัว ความอยากได้จริง ๆ ไม่มี
    เว้นไว้สิ่งนั้นจะทำประโยชน์
    นี่ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนต้องปฏิบัติอย่างนี้ ทำใจให้เข้มแข็งแบบนี้ ไม่ใช่ว่า
    ไป ๆ มา ๆ จะเสื่อมไปเสียแล้ว จะลืมไปเสียแล้ว จะมัวหมองไปเสียแล้ว แบบเด็กอมมือ
    แบบนี้จะกี่โกฏิกี่ชาติก็ยังลงนรกอยู่นั่นแหละ ไม่มีทางจะไปไหน
    ๓๐๓) ความรู้ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เวลานี้เราก็มีสิทธิ์นำมาใช้ทั้งหมดแม้แต่
    พระนิพพานที่มีหลายคนบอกว่า เกินวิสัยสำหรับเราก็ช่างปะไร จะเกินวิสัยสำหรับใคร
    ก็ช่าง ก็ถือว่าไม่เกินวิสัยสำหรับเรา ถ้าชาตินี้เราไปไม่ได้ ชาติหน้าเราก็อาจจะไปได้
    ชาติหน้าไปไม่ได้ ชาติโน้นเราก็อาจจะไปได้ แต่เราตั้งใจไปไว้ทุกชาติ ไม่รู้ละชาตินี้
    ใครเขาจะว่าบ้าว่าบวมยังไงก็ตาม ถ้าเราบ้าเพื่อไปนิพพาน ดีกว่าบ้าไปนรก ดีกว่า
    บ้าลาภ บ้ายศ บ้าสรรเสริญ บ้าสุข บ้ารับสินจ้างรางวัลชาวบ้านชาวเมือง ทำจิตให้เป็น
    ทาส ไม่ทำใจให้เป็นไท บ้าประเภทนั้นลำบากกว่าเรามาก
    ๓๐๔) เรื่องของพระนิพพาน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากว่าท่านไม่สามารถสร้าง
    ทิพจักขุญาณให้ปรากฏ แล้วก็ไม่สามารถจะทำจิตของท่านให้เข้าถึงโคตรภูญาณ
    เรื่องของพระนิพพานเย็บปากไว้เสียก่อนดีกว่า เย็บเสียเลยนะอย่าเผยอพูดไปเลย
    พูดเท่าไร ผิดเท่านั้น เพราะอะไร ฟังมาเยอะแล้ว ฟังมามากแล้วที่ท่านไม่เข้าถึง
    จังหวะแล้ว พูดถึงพระนิพพานไม่เห็นมีใครพูดถูกสักราย แม้แต่เพียงแค่เปรตยังพูด
    ไม่ถูก อสุรกายก็พูดไม่ถูกแล้ว ทำไมจะไปพูดเรื่องพระนิพพาน
    ๓๐๕) เมื่อจิตแน่วแน่ ๆ ก็ตั้งใจไว้อีกจุดหนึ่ง ว่าเราเกิดมามาก เราบำเพ็ญบารมี
    มาดีถึงขนาดนี้แล้ว เวลานี้เราเป็นคนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี ถ้าเรามัวคิดแต่จะ
    เกิดเป็นคน เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เราก็โง่เต็มที่ คนอย่างเราเคยเกิดเป็นเทวดา
    มาเยอะ เกิดเป็นพรหมมาก็เยอะ มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ บางชาติ
    ก็เผลอลงนรกไป ต่อไปนี้เราไม่เอา เทวดาหรือพรหม เกิดมาแล้วไม่อยู่ปกติไม่อยู่
    ตลอด เราไปอยู่ที่ตลอด ๆ กันเลย อยู่ให้มันสบาย มีความสุข ไม่มีแก่ ไม่มีป่วย
    ไม่มีหนาว ไม่มีร้อน ไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุขอย่างเดียว ที่นั่นเขาเรียกกันว่า นิพพาน
    เราก็ตัดสินใจเลยว่า วันนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะตาย ฉันเอาจุดเดียวคือต้องการ

    พระนิพพาน
    แต่การที่จะไปพระนิพพานได้ ต้องกันนรกเสียก่อน คือมั่นคงในการเคารพ
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เอาศีลห้าเป็นกำแพงกั้นนรก กั้นนรกด้วยศีลห้า คือ
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ดี ศีลห้าประการก็ดี ถ้าทั้งสองอย่างมีครบ เคารพ
    พระพุทธเจ้าด้วย พระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย มีศีลห้าบริสุทธิ์ด้วย
    กันนรกได้เด็ดขาด
    แล้วก็นอกจากกันนรก อำนาจพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และ
    อำนาจศีลจะพาเราไปนิพพาน

    ๓๐๖) รักษากำลังใจให้มั่นคงจริง ๆ ให้จิตมันแน่วแน่จริง ๆ อย่าเอาจิตเข้าไป
    ยุ่งกับอารมณ์ภายนอก
    ทำงานทุกอย่างเพื่อสาธารณประโยชน์ เราทำเพื่อพระนิพพาน
    ที่เราทำนี่เราทำเพื่อไม่เกิด ไม่ใช่ทำเพื่อเกิด ไม่เกิดทำทำไม ก็ทำเพื่อเป็นการตัด
    อารมณ์ว่า งานที่เราทำไปแล้ว เราลงทั้งทุน ลงทั้งแรง แต่ว่าทำไปแล้วเราก็รู้ว่า
    มันเป็นอนิจจังของไม่เที่ยงนะ อนัตตาไม่ช้าก็สลาย มันไม่ตายก่อนเราก็ตายก่อน
    มันไม่พังก่อนเราก็ตายก่อน เราทำเพื่อจิตตัดโลภะ ความโลภ การทำงานอารมณ์
    มันจุกจิก ฝึกอารมณ์ใจให้มันเย็น ตัดความโกรธ การไม่สนใจว่ามันเป็นของเรา
    เพราะว่าเรากับมันไม่ช้าต่างก็บรรลัย เป็นการตัดความหลง ไปนิพพานเลย
    ๓๐๗) ถ้าเราต้องการนิพพาน เราก็วางขันธ์ ๕ คือร่างกาย เห็นว่าร่างกายนี้มัน
    ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จนกระทั่งเราไม่ยึดถือ
    ในร่างกาย และทรัพย์สมบัติภายนอกว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างถือว่า
    เป็นกฏธรรมดา โลกทั้งโลกเราเห็นว่ามันเป็นความทุกข์ เราไม่ปรารถนาความเกิดอีก
    มีใจชุ่มชื่น มีอารมณ์เบิกบาน มีจิตจับเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เราก็ถึง
    พระนิพพาน
    ๓๐๘) เราตั้งใจไว้เฉพาะว่า เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้ มานั่งใคร่ครวญว่า
    มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้นความทุกข์ ความทุกข์
    มันมีกับเราได้ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความร้อน ความหนาว ความหิว
    ความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้มีความไม่สบาย มีความตายไปในที่สุด
    มีการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของชาวโลก เรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลก
    ก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย
    ใจเราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน
    ๓๐๙) ฉะนั้น ในเมื่อกำลังของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะพาเราไป
    นิพพาน
    เราก็ตั้งใจไปนิพพาน ถ้าเราไม่ตั้งใจไป เราดื้อ ท่านก็พาเราไปไม่ได้ เรา
    ต้องไม่ดื้อ ไม่ดื้อทำอย่างไร ตัดสินใจเลย ตั้งแต่นี้ไปฉันไม่ต้องการอะไรทั้งหมด
    ทำความดีทุกอย่างนับแต่เวลานี้ไป ฉันต้องการพระนิพพาน ร่างกายนี้มันตายเมื่อไร
    ฉันไปนิพพานทันที ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้วันนี้คนที่ยังไม่ได้ ได้แจ่มใสชัดเจน คนที่ได้
    อยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้นไปทุกวัน ๆ จะคล่องทุกอย่าง ญาณที่ได้ทุกอย่างไม่มีการเสื่อม
    ตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น
    ๓๑๐) ถ้าเราจะตัดความโง่ให้หมด ก็ให้ใคร่ครวญหาความจริงว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌาน
    ก็ดี ทั้งสองประการนี้เป็นแต่เพียงบันไดก้าวเข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น ไม่ใช่อารมณ์
    ที่เข้าถึงพระนิพพาน ไม่มัวเมาในรูปฌาน และอรูปฌาน แต่จะรักษาไว้เพื่อประโยชน์
    แก่จิตใจ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีใน
    ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา ขันธ์ ๕ มีแต่ความทุกข์ มีการสลายตัวไปในที่สุด ในเมื่อ
    ขันธ์ ๕ ไม่ทรงตัวแบบนี้แล้ว มานะการถือตัวถือตน เราจะไปนั่งถือตัวว่าเราดีกว่าเขา
    เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาเพื่อประโยชน์อะไร วางอารมณ์แห่งการถือตัวถือตนเสีย
    มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง การจะตัดอารมณ์ฟุ้งซ่านนี้ก็ไปตัดที่สักกายทิฏฐิ พิจารณา
    ร่างกายว่า ในเมื่อร่างกายจะพังแล้ว อะไรในโลกนี้ มันเป็นของเราอีก มันก็หาไม่ได้
    เมื่อเหลืออวิชชาได้แก่ฉันทะกับราคะ ก็มาพิจารณาหาความจริงว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิด
    เป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา
    เราต้องการ
    อย่างเดียวคือพระนิพพาน มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์

    ๓๑๑) ความจริงการไปพระนิพพานนี่เขาเทศน์กันยาวเหยียด ที่เทศน์กันยาวเหยียด
    นี่มันเข้าไม่ถึงพระนิพพาน ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยอะไรต่ออะไรอีก
    ตัดอยากเสียตัวเดียว
    ยอมรับนับถือกฏของธรรมดาเสียตัวเดียว ทำใจวางเฉย ในเมื่อกฏธรรมดา
    มันเกิด ถือว่าธรรมดาของมัน เท่านี้อารมณ์ก็เข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึง
    อย่างไร เพราะตัววางเฉยเป็นตัวดับอารมณ์ ดับความจุ้นจ้าน ดับตัวเกาะ
    ไม่เห็นจะยากอะไร การไปนิพพานง่ายกว่าไปนรกตั้งเยอะ

     

แชร์หน้านี้

Loading...