การถวายเงินพระขัดกับพระวินัยหรือไม่ ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 8 มกราคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    [​IMG]


    ถาม : แล้วอย่างว่างานศพนี่ แจกเงินไม่ถือว่าเป็น..?

    ตอบ : จริงๆ แล้วผิดจ้ะ แต่คราวนี้ตั้งแต่วันบวชมาหลวงพ่อให้ปฏิญาณตนว่าข้าพเจ้าจะรับเงินและทองที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย แต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเข้าร่วมในกองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายเรา เพราะว่าเรื่องของพระเรารับเงินเองก็ดีคนอื่นรับไว้ก็ดีถ้าเรารู้อยู่ก็โดนอาบัติเท่ากัน คือศีลขาดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นรับแทนหรอก รับแทนหรือว่ารับเองมันก็โดนเท่ากัน ถ้าอย่างนั้นก็รับเองเสียก็แล้วกัน

    คราวนี้มันมีอยู่ตรงจุดที่ว่าเรารับเองแต่ว่ากำลังใจเราอย่าไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่าเงินของปีนี้อย่าให้ใช้ถึงปีหน้า ถ้าหากว่าเงินมันเหลือให้คิดหางานที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ อย่างเช่นว่าเราเหลือเงินอยู่แสนหนึ่งก็พยายามคิดทำอะไรที่มันเกินแสนไว้ เวลาเงินใหม่มันเข้ามามันจะไม่นึกว่าเป็นของเรา

    ท่านบอกไว้ว่า พระเราเสียง่ายที่สุด ๒ อย่าง อย่างแรก คือ เงิน อย่างที่สอง คือ ผู้หญิง เราต้องระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ เงินทุกบาททุกสตางค์เรารับมาจากใคร จ่ายไปในเรื่องอะไรทำบัญชีไว้ให้ละเอียด ถึงเวลาถ้าเขามีการตรวจสอบได้ชี้แจงเขาได้ ท่านป้องกันไว้ให้หมดแล้วเพียงแต่ว่าเราจะทำตามได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพระสายหลวงพ่อนี่จับสตางค์เป็นปกตินะ

    แต่ว่าตอนไปอยู่กับหลวงปู่พระมหาอำพัน ท่านเป็นธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาโยมมาถวายก็บอกโยมวางไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ โยมเขาวางไว้พอเขาหันหลังออกไปเราก็หยิบหมับ หลวงปู่ท่านยิ้ม หลวงปู่ท่านรู้อยู่ว่าเราจับเงินเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หลวงปู่ท่านอยู่ร่วมกับเขาจับไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนอื่น เขาจะอ้างได้ว่าหลวงปู่ยังจับอย่างนี้ คราวนี้ของเราเราอยู่กับเขาเราก็ต้องรักษารูปแบบของเขาไว้ โยมให้ก็อย่ารับ ลับหลังโยมเราก็จับ แต่แกล้งเขาไม่ได้นะ

    ที่วัดท่าซุงส่วนใหญ่หลังๆ จะมีพระธรรมยุติไปเยอะเพราะว่าเขารู้ว่าเราไม่รังเกียจเขา บางคนไปซื้อวัตถุมงคล เขาควักย่ามออกมาตั๋วแลกเงิน ๓ เล่มเขาไม่จับเงิน แต่เขาถือทีละ ๓๐,๐๐๐ เราคนจับเงินมีไม่เท่าเขาเสร็จแล้วถึงเวลาก็ฉีกตั๋วแลกเงินให้ เราไปถามเขา ตอนนั้นเพิ่งไปรับหน้าที่ใหม่ๆ ยังไม่เข้าใจเขาจัดการกันอย่างไร ก็ไปกราบถามหลวงพี่ชัยศรี ตอนนั้นดูแลศาลานวราชอยู่ ก็ถามว่าหลวงพี่ครับทำอย่างไรนี่ ท่านก็บอกว่ารับขึ้นมาแล้วก็ทอนเงินให้เขาตามปกติ บอกแล้วนี่ละครับเดี๋ยวคุณก็เซ็นชื่อตัวเองแล้วไปเบิกที่ไปรษณีย์ก็เท่านั้นแหละ

    พอดีหลวงตาวัชรชัยเดินเข้ามาถึง หลวงตาบอกว่าอะไรวะ ก็ส่งตั๋วแลกเงินให้ท่านดู บอกว่าพระท่านไม่จับเงิน ท่านใช้ตั๋วแลกเงินหลวงตาดูเสร็จ ไอ้ห่า..มันก็เงินเหมือนกันล่ะวะ ปรากฏว่าพระท่านเห็นเราเข้าไปนานเกินไปท่านเลยเดินตามมา เอา "ห่า" ไปเต็มสองรูหูเลย ยืนตีหน้าบอกไม่ถูก

    แล้วทีหลังหลวงตาท่านขึ้นไปจำหน่ายวัตถุมงคลเอง พระท่านก็ล้วงซองที่ใส่อยู่ที่หน้าอกออกมา อันนี้พกเงินไม่ใช่ตั๋วแลกเงิน แต่ว่าใส่ซองไว้ เสร็จแล้วท่านก็เอาไม้เขี่ยออกมา คราวนี้มันห้าร้อยกว่าท่านก็เขี่ยแบงก์ห้าร้อยออกมาสองใบก็เป็นหนึ่งพันบาท หลวงตาท่านก็ทอนเงินให้ หลวงตาทอนเงินท่านทอนแต่แบงก์ย่อย พอวางแบงก์ย่อยลงหลวงตาก็รูดพรืดกระจายเสียเต็มหลังตู้ แล้วหลวงตาก็เดินหายเข้าส้วมไปเลย ปรากฏว่าท่านมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะหาใครช่วย จะใช้ไม้เขี่ยก็ไม่ไหวตั้งกี่ใบก็ไม่รู้ ท่านก็รวบหมับ หลวงตาวัชรชัยท่านก็หัวเราะ สมัยบวชใหม่ๆ หลวงตาร้ายนะ ท่านแกล้งคนไว้เยอะ ...(หัวเราะ)...วันนี้เผาพี่ท่านเอง



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2013
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับพระหลายองค์ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือหลวงปู่บุดดา ท่านเป็นพระธรรมยุติแต่ท่านจับเงิน แล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่บุดดาทั้งๆ ที่พระธรรมยุติท่านจะเคร่งครัดมาก เวลาญาติโยมผู้ชายนวดหลวงปู่บุดดาอยู่ ญาติโยมผู้หญิงก็มองตาละห้อยอยากจะนวดหลวงปู่บ้าง หลวงปู่ก็ยื่นเท้าให้เฉยเลย ไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ คือหลวงปู่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียจนกลายเป็นปาปมุติคือภาษาพระแปลว่าผู้เหนือบุญเหนือบาปแล้ว พ้นจากบาปแล้วโดยสิ้นเชิง ทำจนกระทั่งว่าทุก
    คนเชื่อมั่นว่าอย่างนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าติฉินนินทาหลวงปู่เลยแม้แต่นิดเดียว

    ปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ วัดท่าซุงเริ่มก่อสร้างโบสถ์ หลวงปู่บุดดาพร้อมด้วยหลวงปู่หลวงพ่ออีกประมาณ ๑๐ องค์ก็ไปช่วยงาน หลวงพ่อท่านนิมนต์ไปก็พักอยู่ที่วัดท่าซุง คราวนี้พวกเรามันเคยชินกับคำว่าทำบุญเอาแก้วสารพัดนึกก็คือเงินไว้ก่อน หลวงปู่บุดดาท่านก็ทำอย่างไร เอาถุงก๊อบแก๊บวางไว้ตรงหน้า พวกเราก็ใส่เงิน ใส่เงิน พอถึงเวลาโยมทำบุญเสร็จเรียบร้อยลูกศิษย์ก็ผูกปากถุงส่งให้ หลวงปู่บุดดาก็แหวกย่ามเสียกว้างเชียวนะกลัวจะกระทบเงิน ลูกศิษย์ก็หย่อนใส่ย่าม

    หลวงพ่อหันมาพอดี อ๋อ !..ไม่อยากได้ใช่ไหม คว้าหมับเลย หลวงปู่บุดดาสองมือตะครุบหมับ จับแล้วครับ บอกหน้าตาเฉยเลย จับแล้วครับ หลวงพ่อบอกเออ ! มันต้องอย่างนั้นซิ กะอีแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลมปล่อยให้มันเกาะใจได้ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้ ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินมาตลอดแล้วไม่มีพระธรรมยุติองค์ไหนกล้าว่าหลวงปู่ นั่นแหละคือหลวงพ่อท่านทำให้รู้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จริงๆ แล้วมันสำคัญตรงใจแต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม

    เพียงแต่ว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว สิกขาบทไหนที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ให้สงฆ์พร้อมใจกันสวดเพิกถอนสิกขาบทนั้นได้” คือว่าศีลข้อไหนถ้ามันไม่เหมาะกับยุคสมัยให้พระพร้อมใจกันถอดทิ้งได้ แต่คราวนี้ว่าพระทั้งหมดเคารพพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องมาตลอด

    หลวงพ่อบอกว่าฉันดูมาตลอดแล้วสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อมีข้อจับเงินข้อเดียวที่มันน่าถอนทิ้งที่สุด เพราะว่าพระไปไหนมันจำเป็นนะ ขึ้นรถขึ้นรามันก็จำเป็น ซื้อข้าวซื้อของซื้ออาหารก็ต้องใช้เงิน เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอก็ต้องใช้เงิน อย่างนี้ว่าพอพระท่านเคารพพระพุทธเจ้าไม่มีใครเพิกถอน

    หลวงพ่อเองท่านเลยให้พระวัดท่าซุง..ไม่ทราบว่ารุ่นอื่นเป็นอย่างไร แต่รุ่นอาตมาบวช ๓๖ องค์ รุ่นนั้นท่านให้ปฏิญาณตัวเลย ท่านใช้คำว่าเราจะจับเงินและทองบอกเลยว่าไม่ให้ก็จะเอานะ...(หัวเราะ)... ที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายแต่จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะผลักเข้ากองบุญกุศลเพื่อเพิ่มบุญให้แก่ผู้ที่มาถวาย บอกชัดเลยจ้ะ เพราะฉะนั้นอาตมาจะรับเงินอย่างสบายใจที่สุด

    ถาม : แล้วมีข้อจำกัดไหมครับ ?
    ตอบ : คืออย่าพกเงินเกิน ๕ ล้าน มันหนัก ...(หัวเราะ)..มีข้อจำกัดไหม..ไม่มี

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1276




    .
     
  3. abhiwich

    abhiwich สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    พระที่รับเงิน มีเงิน หรือเรียกว่ารับปัจจัย ถือว่าผิดพระวินัย ครับ

    พระบัญญัติ
    ๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ
    ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
    เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ

    ////////////////////////////////////////////////
    พระภิกษุและสามเณร ที่รับเงิน รับทอง
    บัญญัติของพระพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎก
    ชุด 91 เล่ม ของมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่ม 3
    (หน้า 940)

    พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
    ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535
    เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน
    พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499
    เป็นผู้ทำผิดพระวินัยบัญญัติและกฎหมายอาญา


    หมายเหตุ*
    อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ 1 ตัว
    ต้องตกโรรุวนรก 1 ชั่วอายุ
    คือ 4,000 ปีของนรกขุมนี้
    เท่ากับ 840,960,000 ล้านปีของมนุษย์



    คำตรัสของพระพุทธเจ้า ถือว่าเด็ดขาด มิ ควรที่ผู้ใดจะละเมิดหรือทดแทนด้วยคำพูดของผู้ใดได้ แม่แต่พระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ท่านก็มีทั้งรู้มาก และรู้น้อยไม่เท่ากัน จะหาตรัสรู้รอบด้าน เหมือนพระองค์ไม่มี

    อย่ายึดถือตามบุคคล ถ้าเรามี พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ในใจแล้ว ควรศึกษาธรรมที่ท่านให้ไว้ เราก็จะไม่เดินหลงทาง ครับ

    ขอบคุณครับ..
     
  4. abhiwich

    abhiwich สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    พระอรหันต์ ที่รับเงิน ไม่ไปนรก แต่โยมที่ถวาย ไปนรก

    พระอรหันต์ จิตดับอะไรที่เป็นอาบัติ ถือว่าเป็น อโหสิกรรม

    แต่ โยมที่ถวาย จิต ยังอยู่ ยังเวียนว่าย อยู่ ต้องไปนรก เพราะถวาย

    เงิน ทอง แก่ท่าน แต่จะเบากว่า ครับ
     
  5. jake009

    jake009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +285
    สมัยนี้ เขาไม่ใช้เงินและทอง เขาใช้ธนาบัตร เพราะฉะนั้น ...
     
  6. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    พวกนี้ยกอ้างพระไตรปิฎกเเบบสุดโต่ง จนเพี้ยน
    ***ขออภัยที่ต้องเเรงนะเพราะพวกท่านก็เเรงเหมือนกัน***
     
  7. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
    ในกรณีที่พระมีลาภบริวารมากท่านก็ทำได้...
    เเต่ในกรณีที่พระผู้ขาดลาภบริวารไม่มีโยมคอยดูเเลจะทำอย่างไรครับ
    จะขึ้นรถเดินทางที จะฉันน้ำที จะไปหาหมอที่ ชื้อยาที จะทำอย่างไรครับ
    ...ท่าไม่ให้ท่านจับเงิน
     
  8. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ผมอ่านกระทู้นี้เเล้วมีคําถามอยากจะถามครับ คือถ้าเราบริจาคเงินโดยโอนเงินผ่านทางบัญชีให้พระสงฆ์ในนามการสร้างวัดสร้างศาลาในวัด หรือร่วมสร้างพระ อย่างนี้นี่บาปไหมครับ ? คือเคยถามท่านผู้รู้เเล้ว ท่านบอกว่าอยู่ที่เจตนา รบกวนท่านอื่นช่วยเเนะนําหน่อยครับ ผมจะได้ปฎิบัติได้ถูกต้องครับ เพราะผมก็ไม่อยากทําบาปเช่นกัน ขอบคุณครับครับ เจริญในธรรม
     
  9. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    จะบาปได้ยังไงกันครับ ก็เจตนาเราดีคือทำบุญสร้างพระ สร้างวัด เช่น ตั้งจิตว่าเงินนี้ถวายแด่สงฆ์ ก็เป็นสังฆทาน + วิหารทานแล้ว ส่วนเจตนาของพระท่านก็ดีคือ เอาไปสร้างถาวรวัตถุ เป็นวิหารทาน เราก็ได้บุญมากขึ้นไปอีก.... แต่ถ้าพระท่านเจตนาหลอกเอาเงิน อันนี้ก็เรื่องของท่านละครับ เราไม่เกี่ยว..เพราะบุญส่วนสังฆทานได้เกิดกับเราแล้ว
     
  10. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    ถ้าไม่สะบายใจว่าถวายเงินสร้างนู้น นี่ นั่น คุณก็ขน เอา ปูน อิฐ หิน ทราย เครื่องมือ ฯลฯ
    ไปถวายพระ คุณก็ได้บุญ พระไม่ต้องอาบัติ สะบายใจทั้งสองฝ่ายครับ...
    ติดที่ว่าคุณจะว่างทำอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า...
    ศีลพระปาฏิโมกข์ ศีลนอกพระปาฏิโมกข์ ท่านบัญญัติเพื่อความสงบระงับของหมู่สงฆ์
    เพื่อกันข้อครหาติฉินนินทา เพื่อความสะดวกแก่ญาติโยม และที่มาอีกสารพัดรูปแบบ
    ลองศึกษาดูครับ แล้วจะพบทางออก
    พระพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนฉลาดครับ...ผมเชื่ออย่างนั้น...
     
  11. เหมียว_วัฒ

    เหมียว_วัฒ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2011
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +106
    อนุโมทนา สาธุ กับข้อมูลดี ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้แสดงมา
    ว่าแต่ผิด หรือป่่าว เจ้าคะ
     
  12. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ จากความเข้าใจ ผมว่าบุคคลที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา สิ่งที่ควรตระหนักไว้คือ ต้องการฝึกจิตใจ ละกิเลส ตัณหา ตั้งตนอยู่ในศีล ในธรรม ปฏิบัติตามคำสอนของพระธรรมอย่างเคร่งครัด ถึงแม้ว่าจะบวชแค่วันเดียว แต่ก้อควรที่จะปฎิบัติ คำสอนก้อน่าจะบอกอยู่แล้วว่า ให้ละกิเลส ไม่อย่างนั้น แม้กระทั่ง ผมบนศรีษะยังต้องโกน คิ้วต้องโกน นุ่งจีวรแทนเสื้อผ้าอาภรณ์ ฉัน มื้อเดียว ไม่งั้นจะทำไปทำไม แต่มนุษย์ขี้เหม็นอย่างเราๆท่านๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม กลับบิดเบือน เพราะต้องการแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองทั้งนั้น บางคนยอมบวชเพื่อหวังต้องการปัจจัยที่ญาติโยมบริจาค บางคนตั้งเป็นกลุ่มเพื่อหลอกลวงประชาชน ทุกวันนี้มีใครจะรู้ได้อย่างไรว่า พระจริงที่รับปัจจัย ได้เอาปัจจัยไปทำอะไรบ้าง ปรนเปรอความสุขของตนเอง ว่างๆลองเดินดูแถวคลองถม ฯลฯ จะเห็นพระถือกล่อง DVD เครื่องเสียง ฯลฯ อยู่เป็นประจำ ไม่เว้นแต่ พาหุรัดที่ขายเสื้อผ้าที่มีสีกาเดินกันอยู่มากมาย แต่กลับเห็นพระประเภทนี้ยัง เสือ...เข้าไปเดินปะปนอยู่เป็นประจำ ดูแล้วมันน่าทุเรศ
    ผมเห็นด้วยกับการที่ไม่ให้พระรับปัจจัย หรือ รณรงค์ไม่ให้ประชาชนถวายปัจจัย
    เพราะ สังเกตุไหมว่า พระหลายคน(เพราะเขาเหล่านั้นไม่สมควรเป็นพระ เลยใช้คำว่าคน แทน องค์) ที่มีทรัพย์สินเงินทอง พอมารชั่ว (สีกานรก) รู้จะเข้าไปตีสนิทเพื่อหวังเงินทองเหล่านั้น จึงทำให้เกิดปัญหาตามมาทุกครั้ง ศาสนาจึงเสื่อมเพราะคนเหล่านี้ หรือ ประสกกับสีกา หลายคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆของพระ จึงทำให้เกิดปัญหาเหมือนกัน
    สำหรับคนที่คิดว่า แล้วพระจะทำอย่างไรกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล เหล่านี้ เรื่องนี้ควรที่จะต้องคุยระดับรัฐบาลเพื่อแก้ไข เพราะเราๆท่านๆคงทำไม่ได้แน่นอน
    ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ
    1. ค่าน้ำ ค่าไฟ หลวงควรจะออกให้ โดยขอความร่วมมือของการไฟฟ้า การประปา (2 หน่วยงานนี้รวยอยู่แล้ว แค่แบ่งค่าบำเหน็ด ของพนักงาน มาสักหน่อยน่าจะได้ ใครจะรู้บ้างว่า หลายหน่วยงานในประเทศเรา งานสบายๆ ใครเออรี่รีไทร์ออกไป หลายๆคนได้กันเป็นล้าน ระดับหัวหน้ายังได้กัน 7 ล้าน / คน แบบนี้จะว่าไม่รวยได้อย่างไร ใครมีญาติที่ทำรัฐวิสาหกิจคงน่าจะรู้ดี
    2. ค่าโทรศัพท์ ดูตามความเหมาะสม ในวัดอาจมีสักเครื่องเดียว ไว้สำหรับติดต่อเรื่องกิจนิมนต์ หรือ เท่าที่จำเป็น โดนให้ องค์การโทรศัพท์ช่วยรับผิดชอบ
    3. การเดินทาง ให้รัฐช่วยออกค่าเดินทางโดยรถโดยสารฟรี หรือถ้าจะออกต่างจังหวัด อาจจะต้องเบิกกับหน่วยงานของสงฆ์ (จะพูดในเรื่องต่อไป)
    4. พระอาพาธ เข้าโรงพยาบาลสงฆ์ โดยรัฐออกค่าใช้จ่าย
    5. ตั้งกองทุนสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การเดินทาง ฯลฯ โดยให้สำนักสงฆ์หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องเงินทั้งหมด ความหมายคือใครอยากจะทำนุบำรุงศาสนา โดยการให้ปัจจัยกับพระก้อให้บริจาคมาที่กองทุน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรมีหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบด้วยเพื่อป้องกันการทุจริต เพราะถ้าทำได้จริง ตรงนี้จะมีเงินเข้าเป็นพันล้านแน่นอน
    6. สำหรับวัดแล้ว ควรเป็นที่ๆสงบ ไม่ควรให้จัดงานมโหรสพในวัดเพื่อหาเงิน และไม่ควรสร้างวัตถุอะไรให้ใหญ่โต ควรที่จะเรียบๆง่าย สมถะ แค่พอมีที่ทำวัตร หรือศาลาแบบง่ายๆก้อน่าจะพอ เพราะ ถ้ามีสิ่งที่สวยงาม (เข้าใจว่าเอาไว้ดึงดูดคนให้มาเข้าวัด ) มากเกินไป มันหมายถึง วัดแต่ละแห่งต้องแข่งกันสร้าง จะได้มีญาติโยมเข้ามาเยอะๆ แต่ถ้ามองมุมกลับ สมัยก่อน วัดในชนบทหลายๆที่ไม่มีอะไรเลย แต่ก้อยังมีญาติโยมเข้ามาใส่บาตรอยู่เสมอๆ และที่สำคัญ คือการที่ได้เข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพักตร์แล้วยังต้องการอะไร ทีวี ตู้เย็น แอร์ เครื่องเสียง ปัจจัย เหรอ ถ้าต้องการอย่างนั้นทำไมไม่หางานทำ เพื่อซื้อสิ่งของเหล่านี้ล่ะ
    นั่นเป็นเพราะเราๆท่านๆ คอยสนับสนุนเพื่อให้เกิดกิเลส กับพระ ถ้าเราไม่ให้ปัจจัย และสามารถทำตามอย่างที่กล่าวข้างต้นได้ ผมว่าปัญหาเหลือบพระคงค่อยๆหมดไป เพราะรู้ว่า บวชแล้วไม่ได้ปัจจัย คงไม่มาบวช แต่เราคงจะได้พระส่วนใหญ่ที่อยากศึกษาพระธรรมอย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะทำไม่ได้เลยถ้าพวกเราไม่เริ่มคิดที่จะทำ เพื่จรรโลงพระศาสนาเราให้สืบต่อไป ได้แต่หวังว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือ ชาวพุทธทั้งหลายคงเข้าใจในสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด
    สุดท้ายขอคุณพระรัตนตรัยได้คุ้มครองประชาชนชาวพุทธทั้งหลาย ให้มีแต่ความสุขความเจริญด้วยเถิด สาธุ...
     
  13. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    อย่าคิดมากเลย ทุกสิ่งอยู่ที่ใจ อย่างเช่นพระองค์หนื่งว่ายน้ำไม่เป็นเกิดพลัดตกน้ำขณะข้ามสะพานไม้ ในช่วงนั้นมีแต่โยมผู้หญิงไม่มีผู้ชายเลยและพระองค์นั้นก็ว่ายน้ำไม่เป็นมือก็ไขว่คว้าลอยอยู่อย่างนั้น ส่วนโยมผู้หญิงก็ไม่มีใครกระโดดน้ำลงไปช่วยเพราะกลัวจะเป็นบาปได้แต่ยืนดูจนพระภิกษุรูปนั้นจมหายไปต่อหน้าต่อตา
    แล้วทุกคนคงจะไม่มีบาปติดตัวเลยซิ่ท่าเพราะไม่ได้ไปถูกเนื้อต้องตัวพระภิกษุเลย!!!!!!
     
  14. kadkao

    kadkao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +240
    ขอบพระคุณอาจารย์ tamsak อ่านแล้วปัญญาเกิดแจ้งใจเลยค่ะ
    คำตอบมันเกิดว่า...จิตดวงนี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุด...
    ไม่เคยคิดสงสัยเรื่องนี้เลยค่ะ ได้แต่ปลื้มอนุโมทนาบุญกับทุกคนที่ทำ
    ใจเราก็ไม่มีอกุศลใดๆ มาจับให้หมองมัวแล้วค่ะ
    พระพุทธเจ้าสอนให้เราเกิดปัญญาที่พ้นจากกิเลสทั้งมวล
    สาธุ....
     
  15. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    เวลาทำบุญ ไม่ว่าจะนิกายไหน จับเงินได้ จับเงินไม่ได้ ไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น ใส่ใจตรงอยากทำ และขอให้ได้ทำ เมื่อทำแล้ว ความสุขใจบังเกิด ความปีติในบุญได้รับแล้ว ก็บันทึกเก็บไว้ในความทรงจำ เพื่อเก็บไว้ให้ระลึกถึง ให้ใจมีความสุขเท่านั้น

    มักจะตั้งความรู้สึกไว้ว่า เรากำลังทำบุญกับพระพุทธเจ้า โดยผ่านพระสงฆ์ผู้เจริญ ขอให้บุญที่กำลังจะทำนี้ ไปถึงพระพุทธองค์ด้วยเทอญ แค่นี้ก็ปีติสุขแล้วค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  16. อาภากรณ์

    อาภากรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +14
    ถวายองค์หลวงตามหาบัวสมทบทุนผ้าป่าช่วยชาติครับ
     
  17. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ เป็นบุญเขต เป็นที่หว่านไปของทานได้

    ผู้ที่มีญาณทัศนะ มีอภิญญา รู้แจ้งกลไกของระบบกฎแห่งกรรม รู้ในข่ายญาณได้ว่า การถวายปัจจัยนั้นเป็นทางมาแห่งทาน เป็นทางมาแห่งทานบารมีได้

    เงินเป็นแก้วสารพัดนึก พึงถวาย ควรถวาย


    ตัวอย่างครูบาอาจารย์ดังๆที่ผมรู้จักแล้วสนับสนุนให้ถวายเงินพระ

    เช่น แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม


    [​IMG]

    แม่ชีกำลังรับปัจจัยจากสาธุชน แล้วก็จะถวายหลวงพ่อเจ้าอาวาสพระพรหมโมลี ทั้งถุงนั้นเลย

    [​IMG]

    [​IMG]





    พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    [​IMG]




    ที่วัดท่าซุงพระก็รับปัจจัย

    [​IMG]



    พระมหาเถรานุเถระ ที่มาร่วมงานที่วัดท่าซุง รับการถวายปัจจัย
    [​IMG]



    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี


    [​IMG]






    ปัญญาเกิดจากความรู้แจ้งแทงตลอด

    มิได้เกิดจากการอ่าน จด จำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  18. kim2533

    kim2533 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,613
    ค่าพลัง:
    +6,305
    ถ้าทุกอย่างสำหรับพระฟรีสิ รับรองคงไม่ต้องจับเงิน
     
  19. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ถ้าพระฟรีทุกอย่าง

    แล้วเราจะสร้างบารมีกันยังไงล่ะเนี่ย (deejai)
     
  20. วิญญูชนจอมปลอม

    วิญญูชนจอมปลอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +1,124
    พระอาจารย์ผมอยู่ ต่างอำเภอ ห่าง จ.ขอนแก่น 40 ก.ม. ทางไป จ.เลย
    โบกรถประจำทางไม่ให้ขึ้น ต้องนั่งรถย้อนไปขึ้นขอนแก่น แล้วค่อยนั่งไป จ.เลย
    ทั้งๆที่ถ้ารับก็ไม่เสียเวลา นี่ท่านต้องเสียเวลานั่งรถย้อน เพื่อ...

    ท่านไปสอนธรรมะเด็กๆที่โรงเรียน ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด
    จะให้ขอขึ้นรถฟรี คงจะไม่ได้ ขนาดขึ้นระหว่างทางยังไม่ให้ขึ้นเลย
    จะให้เดินไปธุดงค์ไปสอนก็กะไรอยู่ เงินสำคัญในสมัยปัจจุบัน

    ท่านบอกท่านไม่ได้ติดกับเงิน มันต้องปรับเข้ายุคสมัยบ้าง ห้องท่านไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่มือถือเก่าๆ
    ผมถวายผ้าไตรท่านไป 2 ผืนท่านไม่เคยใช้เลย ไว้ให้โยมโทรปรึกษาปัญหาธรรมโทรนัดไปเพื่อนั่งสอนธรรมะ
    พระipad พระiphone ก็ไม่สมควร

    แต่ถ้าพระ facebook ท่านคงเอาคันถธุระ เพราะเห็นบางรูป update มากกว่าโยมอีก
    สาธุทุกท่าครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...