การประทับจิตและการถอดจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 1 ตุลาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    OBEimage2-1024x585.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    อ.บูรพา พดุงไทย

    สถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่สัปปายะมีส่วนช่วยในการปฏิบัติด้วยเช่นกัน เพราะสถานที่ที่ผู้ปฏิบัติ รวมถึงถ้ำที่เคยมีผู้ไปปฏิบัติจนสำเร็จภูมิจิต ภูมิธรรม ตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ ตามสถานที่ต่างๆ ผู้ปฏิบัติที่ได้สำเร็จภูมิจิต ภูมิธรรมเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่มีบุญญาธิการ มีบุญบารมีอยู่ ข้อธรรมต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ที่ท่านเหล่านั้นได้พบเจอและได้พิชิตสัจธรรมต่างๆ ในแต่ละเรื่องมันไม่ได้หายไปไหน มันก็ยังฝัง มันก็ยังเห็นเป็นภาพนิมิตพลังงานอยู่ในสถานที่นั้น

    เมื่อเราปฏิบัติจนจิตเราได้ถึงสภาวะหนึ่งภูมิจิต ภูมิธรรมที่ท่านเหล่านั้นได้เคยพิชิตมา มันก็จะหลั่งไหลเข้ามาในจิตเราเหมือนภาพยนตร์ ให้เราได้เห็น ให้เราได้รู้เช่น ถ้ำแห่งนี้เคยมีพญานาคที่มีมิจฉาทิฐิ และได้เคยมีผู้มีบุญญาธิการมาสำเร็จธรรม และใช้ธรรมปราบมิจฉาทิฐิของพญานาคนี้ไว้ ด้วยสัจธรรมข้อไหน ธรรมะพวกนี้มันก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตเรามากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่ความสามารถของผู้ปฏิบัติที่จะพัฒนาจิตจนสามารถรับธรรมเหล่านั้นได้ สถานที่เหล่านี้จึงมีส่วนในการน้อมนำจิตให้เราพัฒนาไปในทางธรรม ธรรมอันใดที่เคยสำเร็จ ณ ถ้ำแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติที่มีภูมิจิต ภูมิธรรม มีสมาธิในขั้นที่จะสื่อสารได้ ก็จะไปรับรู้ในขั้นที่ภูมิธรรมจะสื่อสารได้ปรากฏอยู่ สถานที่นั้นเคยมีผู้สำเร็จข้อธรรมอันใด ข้อธรรมนั้นก็จะปรากฏในภูมิจิต ภูมิธรรมกับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มาปฏิบัติธรรมในรุ่นหลังด้วยเช่นกัน

    ผู้ปฏิบัติรุ่นหลังจึงได้รับรู้ธรรมชั้นสูงอันเป็นภูมิจิต ภูมิธรรมอันลึกซึ้งจากพระอริยะทั้งหลายนั้นที่ยังคงทิ้งไว้เป็นพลังงานอยู่ในสถานที่นั้นๆ ผู้ปฏิบัติที่ฝึกอบรมจิตที่ไปปฏิบัติอบรมจิตภาวนาในสถานที่นั้น ก็จะสามารถค้นพบธรรมที่เคยสำเร็จในสถานที่นั้นด้วยเช่นกัน อำนาจของจิตที่เราฝึกอบรมนั้น เมื่อฝึกไปก็สามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง บางคนก็สามารถนำไปใช้ในการถอดจิตได้ แต่บางคนก็เป็นได้เองโดยธรรมชาติ คือปกติของจิตเรามันมีลักษณะการถอดจิตที่จิตออกไปแล้วกลับมาดูตัวเองได้ จิตที่ไปมันก็สามารถท่องเที่ยวไปบางครั้ง มันก็ลอยทะลุสถานที่ที่เราอยู่หลุดไป อย่างถ้าบ้านเป็นตึกมันก็ลอยหลุดไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไปได้ เรียกว่าการถอดจิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน

    การถอดจิตด้วยการอบรมจิตและฝึกบังคับให้จิตมันเดินหน้า ถอยหลัง ขึ้นข้างล่าง-ข้างบนได้ โดยอาศัยตัวรู้มันไปรู้ไปเห็น คนที่เขาฝึก เขาก็จะกำหนดจิตแล้วนอนโดยธรรมชาติของเขา ถ้าเขาเคยฝึกทางด้านนี้มา หรือมีบุญทางด้านนี้มาก่อน พอเขาได้ฝึกสมาธิไปถึงจุดนี้เสร็จ เขาก็ถอดเอง อาการที่จิตมันถอดเองมันก็จะมีอาการเหมือนกัน คือจิตมันลอยๆ ทะลุสถานที่ต่างๆ ไป นี่เป็นจิตที่มันถอดเองเหมือนกับตัวเราไปเองไปรู้ ไปเห็นสิ่งต่างๆ เพียงแต่จริงๆ แล้วตัวรู้มันไปเอง ตัวเรามันอยู่เฉยๆ เราก็ต้องมาฝึกฝนให้จิตมันมีสมาธิ มีกำลัง

    เราจึงจะสามารถกำหนดให้จิตมันถอดเองได้โดยไม่ต้องรอให้มันเกิดเอง ฝึกถอดออกไปเบื้องบนก็คือฝึกให้ลอยขึ้นๆ ไป ถอดลงไปเบื้องหน้าก็ทะลุผ่านไปเบื้องหน้าเรื่อยๆ ไปกั้นไม่ได้ มีกำแพง มีอะไรจิตมันก็ทะลุไปได้หมด ตามแต่จิตมันจะตามรู้ไปจะเดินหน้า ถอยหลัง ขึ้นบน ลงล่างได้หมด ถ้าเราปฏิบัติไปอยู่ในท่าไหนมันก็ขึ้นลงในแนวนี้

    ถ้าบังเอิญไปเกิดในขณะนอน ผู้ที่ปฏิบัติกำหนดจิตนอนเสร็จ มันจะมีลักษณะตัวเบา ตัวลอยขึ้น ลอยผ่านไปในขณะที่ตัวเรานอนอยู่ มันก็ไปในลักษณะนอนแบบนั้น อันนี้ก็เกิดกับหลายคนที่อยู่ๆ เป็นเองก็มีหลายคน แต่ส่วนใหญ่แล้วกำหนดให้มันไปทำซ้ำไม่ค่อยได้ เพราะจิตมันไม่ได้ฝึกอบรมมาจนมันมีกำลังที่จะถอดได้ตลอด มันอยู่ที่จังหวะที่ว่าจิตเราได้จังหวะสภาวะตรงนั้น พอจิตมันเคลิ้มหลับไป จิตมันก็หลุดออกมา เคยครั้งหนึ่งตอนไปบวชเป็นพระ ตอนนั้นไปบวชที่วัดศรีเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ วันแรกก็นอนในโบสถ์ จิตมันก็หลุดอย่างนี้ขึ้นมาเอง ออกจากร่างก็ออกมายืนดูตัวเอง เห็นตัวเองนอนอยู่ พอฝึกบ่อยๆ เข้ามันก็ชัดขึ้น พอไปถึงจุดหนึ่งเสร็จ ตัวจิตที่มันไปถึงสมาธิมันก็วางเอง มันแค่หลงถอดจิตเพียงชั่วครั้งชั่วคราว พอมันไปถึงจุดหนึ่ง จิตมันก็จะวางเอง เพราะมันจะเดินปัญญาไปต่อ มันก็จะวางของมันเอง ขอเพียงเราให้อุบายอบรมจิตมันไปเรื่อยๆ จนจิตมีกำลัง ในระดับหนึ่งความสามารถในการถอดมันก็จะมีขอบเขตในการรู้แจ้งของมัน มันไม่เลยไปกว่านี้ สุดท้ายมันก็จะเบื่อและวางมันไปเอง

    พวกที่ถอดจิตไปแล้วกลับไม่ได้ มันก็มีโอกาสเป็นได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะจิตมันยังสื่อสารกับกายว่าหน้ารังเกียจ แต่การโบ๊ะหน้าบ่อยๆ จะทำให้ไม่ได้ มันก็เลยยังออกจากสมาธิไม่ได้ เนื่องจากเกิดการสะสมสารเคมี และจะไปขัดขวางการผลิตจิตใจส่วนที่มันออกไปมันจูนจิตไม่ตรงกันกับกายเซลล์ผิวหน้า ซึ่งจะทำให้เรามีใบหน้าที่สดใส และสังขาร ก็ต้องใช้เวลาหรือมีครูบาอาจารย์เขาดูมีน้ำมีนวลอย่างเป็นธรรมชาตินั่นเองไป ตามเขาไปจูนจิตให้ ในเรื่องของประทับจิตก็เหมือนกัน การประทับจิตคือการปฏิบัติที่ใช้จิตกล่าวได้ว่าเกือบทุกผลิตภัณฑ์แต่งหน้ามีสู่จิตปกติ การเรียนการสอนสมาธิภาวนาก็จะสารเคมีปนเปื้อนเป็นจำนวนมาก อาทิ สารพาราใช้สมมุติบัญญัติอันเป็นภาษาสอนอธิบายความเบน สารซัลเฟต และโลหะหนัก นอกจากนี้ยังต่างๆ ในการอธิบายสภาวะของจิต แต่มันมีความพบสารกระตุ้นผื่นแพ้ที่ผิวหนังประมาณ 3,700 สามารถในการศึกษาจิตอีกหลายแบบ อย่างเช่น การประทับจิตเป็นการฝึกระหว่างจิตกับอาจารย์ที่ คอลรี่ ลินเซย์ หัวหน้าพนักงานเครื่องสำอาง มีการถ่ายทอดจิตไปยังจิตผู้เรียนได้

    การเรียนทางจิตสู่จิต หรือการประทับจิตผู้เครื่องสำอางนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดอาการระคายปฏิบัติที่จิตอบรมแล้วอยู่ในสภาวะที่รู้ มันก็จะไปเคืองที่ผิวหนัง กระทั่งทำให้เกิดการอักเสบ หรือมีรู้เรื่องราวที่ครูบาอาจารย์เคยสำเร็จที่นั้น เหมือนผิวเป็นผื่นแดง คล้ายกับลมพิษ หรือแห้งแดงลอกเราเคยเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นในเป็นขุย หากคุณสาวๆ เกิดภาวะดังกล่าวขณะใช้สถานที่ต่างๆ แม้จะนานมาแล้ว เราก็ยังรับรู้ข้อเครื่องสำอาง แนะนำให้หยุดใช้ เพราะหากยังฝืนธรรมนั้นได้เหมือนที่เคยกล่าวไว้ข้างต้น แบบนี้เราใช้ต่อไป ก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวหน้าของคุณเกิดการยังไม่เรียกว่าการประทับจิต เพราะการประทับจิตแพ้หนักยิ่งขึ้น ดังนั้นการไม่แต่งหน้า คือคำตอบนั้นคือการถ่ายถอดธรรมผ่านจิตลงไปโดยตรงจากความตั้งใจของครูบาอาจารย์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งใจถ่ายถอดไปโดยตรงให้กับศิษย์ ไม่จำเป็นต้องการที่คุณสาวๆ บอกลาเครื่องสำอาง ทำทีละคนก็ได้ สามารถทำได้ทีละหลายคน ในนอกจากจะลดการเกิดสิวเสี้ยน ยังทำให้ผิวของขณะจิตที่มีสภาวธรรมในระดับเดียวกันก็สามารถคุณเรียบเนียนสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทำให้ผิวหน้าถ่ายถอดธรรมที่เดียวพร้อมกันได้หลายคน แต่ของคุณดูสดชื่น ที่สำคัญยังช่วยลดการสะสมสารธรรมที่ถ่ายถอดด้วยการประทับจิตนี้ถ่ายถอดได้เคมีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่น โดยเฉพาะสารในลักษณะธรรมที่เป็นธรรมะแบบสภาวธรรมได้ ก่อมะเร็งในลิปสติก และสารเคมีปนเปื้อนในอายแต่ไม่สามารถประทับจิตให้สำเร็จมรรคผลพระแชโดว์ที่เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และทำให้นิพพานได้ สภาวะพระนิพพานต้องเกิดขึ้นภายในเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม และภาวะเจริญจิตของตัวผู้นั้นเอง.





    ขอขอบคุณที่มา
    http://www.ryt9.com/s/tpd/2718629
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2017
  2. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503

แชร์หน้านี้

Loading...