การฝึกฝนจิตให้เข้าสู่ความสงบ สดชื่นและมีกำลังเป็นเคล็ดวิชาไสยศาสตร์ทุกประเภท

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย I'mTiM, 4 กรกฎาคม 2011.

  1. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    คืออย่างนี้ครับ ไสยศาสตร์ต้องอาศัยแรงครูและความเชื่อมั่นอย่างคนโง่ที่สุด คือเชื่อว่าคาถาบทนี้ว่าแล้วให้ผลอย่างนี้จริงๆ โดยไม่ลังเลสงสัย แต่การที่จะทำให้คนที่เชื่อครึ่งๆกลางๆ ทำไสยศาสตร์ได้นั้น ต้องฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิอย่างเดียวครับ ให้เข้าถึงความมหัศจรรย์แห่งจิต จึงจะเชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ แล้วจึงจะเชื่อมั่นในตัวคาถาอาคมที่เรียน เพราะสามารถสัมผัสในเรื่องจิตได้ในระดับนึงแล้วนั่นเอง และการนั่งสมาธินั้นควรที่จะ ฝึกฝนจิตให้เข้าสู่ความสงบ โปร่ง สบาย และสดชื่นมีกำลังเป็นเคล็ดวิชาไสยศาสตร์ทุกประเภท ทั้งยังเกิดบุญและพลังทิพย์อำนาจ ที่จะทำการสะสมในจิตให้จิตมีกำลัง มีอำนาจ ที่ภูติผี ปิศาจเกรงกลัว เทวดาให้เกรียติ เมตตาชื่นชอบ และกำลังที่สะสมในจิตนี้จะคอยช่วยประคองจิตให้เป็นสมาธิได้เร็วและง่ายขึ้น

    การทำสมาธิก็ต้องทำใจให้ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง เดินลมโปร่งหายใจเข้า พุท ให้เต็มท้อง หายใจออก โธ อย่างช้าๆ ไม่ต้องรีบ เราไม่ได้แข่งกับใคร ใจเย็นๆ หายใจยาวๆทำเรื่อยๆซัก 5 ครั้ง กำหนดจิต ที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย อาจจะเป็นเหนือสะดือ 2 นิ้ว หรือที่ลิ้นปี่ก็ได้ แล้วแต่สะดวก เอาจิตจับเบาๆให้พอรู้สึก อย่าจับแน่นเดี๋ยวจะเกร็ง ให้พอรู้ว่ามีลมผ่านเข้าออกเท่านั้น ดูอย่างเดียว ไม่ต้องคิด ถ้าจิตหลุดจากจุดที่จับไว้ ก็กลับมาจับใหม่ ไม่มีข้อห้ามว่าหลุดแล้วห้ามจับต่อที่เดิม จิตไม่มีข้อจำกัด ค่อยๆดูมัน แต่อย่าสนใจมันมากเกินไป แค่รู้ว่ามันมีความรู้สึกอยู่ตรงนี้ที่เราเอาจิตไปจับไว้ เท่านั้นพอแล้ว พยายามผ่อนคลาย อย่าไปเกร็งว่าจิตต้องไม่หลุด หลุดเราก็จับใหม่ ไม่มีข้อห้ามแพ้ฟาวด์ถ้าจิตหลุดจากสมาธิ เราเริ่มใหม่ได้ตลอด เดี๋ยวจิตจะเริ่มชินกับการที่เราวางจิตไว้ที่จุดนั้นๆ เช่นลิ้นปี่ คราวนี้ก็จะอยู่ยาวล่ะ ถ้ามันหลุดอีกเอามาวางใหม่ แค่นั้นเอง คิดว่าเรามีเวลาเยอะ ไม่ได้แข่งกับใคร และถึงแม้จะมีเวลาน้อยก็ต้องคิดว่ามีเวลาเยอะ ค่อยๆทำ ค่อยๆเดินจิต เดินลมหายใจ ช้าๆ แต่มั่นคง และแน่นอน พร้อมทั้งพยายามผ่อนคลายจิต อย่าไปเกร็ง เพียงเท่านี้จิตจะค่อยๆรวมตัวเป็นสมาธิเอง ทั้งเบา โปร่ง โล่ง สบาย มีความสุข เกิดปีติ คือความอิ่มเอิบ ขึ้นในจิต ทั้งสดชื่น มีสติเต็มสมบูรณ์ รู้สึกมีพลัง ที่สำคัญจิตจะไม่มีความง่วงนอน

    การฝึกสมาธิแบบนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน จิตจะอิ่มเต็ม และมีกำลัง ทั้งยังเกิดเป็นบุญกุศล ที่ถ้าแผ่ให้เจ้ากรรมนายเวร ขอรับรองว่าเค้าจะรับบุญของคุณอันนี้แน่ เพราะมันมากเหลือเกิน คือปกติถ้าเจ้ากรรมนายเวรเข้า เราทำบุญให้ ถ้าบุญไม่ใหญ่จริง เค้าไม่รับนะครับ ไม่ใช่ว่าทำอะไรให้ก็รับทั้งหมด เค้าจะรับเฉพาะที่เห็นว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเท่านั้น

    ถามว่าทำไมเจ้ากรรมนายเวรถึงไม่รับบุญ ก็ต้องเปรียบกับว่าเค้าเป็นเจ้าหนี้ เราเป็นลูกหนี้ เราติดเงินเค้า 1 ล้านบาท เราใช้เค้า 1 พันบาท คุณว่าเค้าจะยอมมั้ย สู้เค้าเอาความแค้นมาเล่นงานคุณไม่ดีกว่าเหรอ มันต้องสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย ถึงจะยอมรับบุญและลดโทษให้เหลือน้อยลง จนกว่าคุณจะใช้เค้าหมด การทำสมาธิในแบบที่ผมแนะนำนี้ ได้ผลเร็วและเป็นบุญกุศลแน่นอน ถ้าคุณนั่งสมาธิแล้วคุณรู้สึกจิตเป็นสมาธิ โปร่ง อิ่มเอิบ มีสุขมาก อารมณ์สุขมากนั่นและมันจะเกิดอารมณ์ปีติตามมาเองโดยอัตโนมัติ เอาอารมณ์นั้นแผ่ให้เค้า เอาความสุขให้เค้า รับรองว่ารับแน่ๆ เพราะเทวดา ผี ยักษ์ฯ กินปีติ บุญตัวนี้เป็นบุญใหญ่ ที่จะทำให้เค้ามีรัศมีเพิ่มขึ้น หรือสะสมจนผีเปลี่ยนภพภูมิได้จริงๆ

    ลองปฏิบัติกันดูนะครับ สงสัยมีอะไรก็ถามมาได้ครับ
     
  2. สุดขอบฟ้า

    สุดขอบฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +127
    ขอกราบขอบคุณที่ให้ความรู้ ชัดเจนดีค่ะ
    ขอบคุณที่ช่วยกรุณาทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายค่ะ
     
  3. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    ขอบคุณที่มาให้ความรู้คับ
    แต่ผมมีเรื่องค่องใจมานานมาก ช่วยตอบผมหน่อยนะคับ

    การจะใช้คาถาให้ได้ดังใจต้องสำเร็จฌาณ4ก่อนจริงหรือไม่

    ในความเข้าใจของผมไม่ทราบว่าจะถูกหรือไม่ ฌาน4คือได้มาจากสมาธิชั้นสูง จนได้ฌาณแต่ละขั้นจนตัด นิมิต ท่องบ่น และ อื่นๆออกจนหมดเหลือไว้แต่เพียง จิตมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว ตลอดกาล

    จริงหรือไม่คับ


    ถ้าเช่นนั้นในกรณีนี้ คนที่ ฝึกคาถา ท่องบ่นคาถา จนเกิดจิตมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว ตลอดกาล จะถือว่าได้ฌาน4หรือไม่คับ


    ช่วยตอบให้หน่อยนะคับผมจะได้เข้าใจอย่างแท้จริงซะที
     
  4. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ถ้าไสยเวทย์ด้านที่ก่อ"อกุศล"จะไม่ถึงฌานหรอกครับ (ทำแล้วสนองราคะ โทสะ โมหะ)
    แต่เป็นอกุศลจิตที่ประกอบด้วยเอกัคตาเจตสิกเท่านั้นเอง เรียกอีกอย่างคือ มิจฉาฌาน
    ส่วนไสยเวทย์ด้านดีนั้นก็ถึงฌานได้ครับ กุศลจิตประกอบกับเอกัคตา มีกำลังมากครับ
     
  5. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    แล้วพระเจ้าอาชาดศัตรู ที่สามารถแสดงฤทธิเดชได้นี่สำเร็จฌานขั้นไหนคับ
     
  6. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    การท่องคาถาให้ได้ผลเนี่ย ไม่จำเป็นต้องได้ฌาน 4 หรอกครับ คาถาบางบทเราใช้แค่ขณิกะสมาธิก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องทำจิตให้เข้าถึงสมาธิและอารมณ์ของคาถาบทนั้นๆ จึงต้องมีการฝึกจิตสมาธิไงล่ะครับ เป็นการฝึกจิตให้คุ้นเคยกับความสงบ และยังเป็นการสะสมพลังไปในตัวด้วย ยิ่งพลังสะสมมีมากเท่าไหร่ ยิ่งกำหนดใช้คาถาได้แรงมากเป็นทวีคูณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูที่องค์ประกอบของแต่ละบุคคลด้วย ว่าจิตของแต่ละคนนั้นน้อมไปทางไหนขณะทำสมาธิ และแนะนำการปรับจิต การเดินจิต ต้องเดินกำลังให้เต็ม แล้วค่อยกำหนดอธิษฐานใช้ออก ว่าต้องการให้เป็นแบบไหนก็อธิษฐานไปอย่างนั้น แต่คนที่ฝึกจิตดีแล้วในระดับนึง จะสามารถใช้คาถาเมตตาให้เป็นคงกระพัน คุ้มครองตัวได้ เช่น ว่าคาถาเมตตาแต่ทำจิตเป็นคงกระพัน แล้วเอามีดเฉือนตัวเอง โดยที่คมมีดทำอะไรผิวหนังไม่ได้ เป็นต้น ท่านพันเอกชม สุคนธรัต หรือ ที่ลูกศิษย์ส่วนมากเรียกท่านว่า ผู้การชม ซึ่งท่านนี่แหละที่เป็นคนเขียนหนังสือวิทยาศาสตร์ทางจิต ท่านยังบอกเลยว่า แค่สมาธิระดับต้น ระดับกลาง และระดับกลางขั้นสูง จึงจะสามารถอธิษฐานเป็นฤทธิ์ได้ แต่ถ้าจิตเข้าไปอยู่ในองค์ฌาน มันจะเป็นหนึ่ง นิ่ง และสงบ มันไม่เอาอะไร แล้วจะอธิษฐานเป็นฤทธิ์ได้ยังไง ต้องถอยจิตลงมาสู่ สมาธิขั้นกลางสูง แล้วนึกถึงอารมณ์ฌานที่ได้ แล้วค่อยอธิษฐานเป็นฤทธิ์ หรือมีอีกวิธีนึงคืออธิษฐานก่อนเข้าสมาธิว่าจะให้เป็นอะไร แล้วจากนั้นค่อยนั่งสมาธิจนจิตเข้าสู่ระดับฌาน แล้วคำอธิษฐานจึงจะได้รับการตอบรับ ฌานเป็นของสูง เป็นของละเอียด ไม่ใช่จะมาเที่ยวพูดกันว่าได้ฌานนั้น ได้ฌานนี้ ส่วนมากพวกนี้จิตจะหลอกตัวเอง ทั้งนี้เพราะว่าในจิตมนุษย์นั้น จะมีกิเลสตัวละเอียดอยู่ ทำให้หลงคิดว่าใช่ เลยกลายเป็นวิปัสสนูกิเลส หลงตัว หลงตน เพราะถูกกิเลสตัวนี้มันหลอกนี่เอง พระกรรมฐานอย่างหลวงตามหาบัว ท่านจึงไม่ให้สนใจเรื่องฌาน ท่านให้สนใจแต่ความสงบปัจจุบันเท่านั้น จิตมันจึงจะก้าวหน้าเข้าสู่คุณธรรมขั้นสูงได้
     
  7. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    แล้ววิธีของคุณต้องอาศัยระยะเวลาเท่าไรจึงมีฤทธพอที่จะใช้คาถาบางประเภทได้สำเร็จ อย่างเช่นทดสอบด้วยการรักษาเป่าแก้ปวดกล้ามเนื้อ และอื่นๆ

    มีท่านหนึ่งบอกว่า ฝึกท่องคาถาจนจำได้ แล้ว เราใช้ระยะเวลา7วันในการฝึก ก็สามารถใช้คาถาได้ เห็นผลอย่างดี ในการรักษา
    ท่าน คิดว่า มี ความเป็นไปได้หรือไม่ คับ

    ส่วนวิธีของ

    ท่านต้องใช้วเวลาเท่าไรคับ
     
  8. ยังเลวอยู่มาก

    ยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +492
    อ่านบทความเจ้าของกระทู้น่าสนใจครับ อาจารย์ที่สอนกรรมฐานท่านก็บอกว่าอย่าไปเครียด ให้ทำใจสบายๆ มีอารมณ์ขันนิดๆ แล้วจิตจะสงบได้เร็ว ท่าน
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->I'mTiM<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4839959", true); </SCRIPT> พิมพ์ว่า "คาถาบางบทเราใช้แค่ขณิกะสมาธิก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ต้องทำจิตให้เข้าถึงสมาธิและอารมณ์ของคาถาบทนั้นๆ" พอจะบอกคาถาที่นำมาทดลองใช้ให้ได้ผล ได้มั๊ยครับ ถือว่าเป็นวิทยาทาน บอกเป็นสาธารณะไม่ได้ ก็ขอความอนุเคราะห์ทาง pm ก็ได้ครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  9. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    ผมเข้าใจดี คำพูดนี้พูดถูกจริงแต่ เคยมีคนบอกว่ามันจะใช้ได้แค่ชั่วคราว ภายหลังจะล้มเหลว ใช้ได้ไม่ต่อเนื่อง เพราะ กลวิธีเหล่านี้เป็นแค่ วิธีการใช้คาถา วิธี 1 ในหลายๆวิธีเท่านั้นถ้าจะให้ดีต้องเข้าใจหลักการฝึก ที่ถูกต้อง และการฝึกที่ถูกต้องจะทำให้เราใช้คาถาได้ในเวลาไม่นาน ไม่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีในการฝึกฝนเหมือนคนอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  10. ขมังเวทย์

    ขมังเวทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,829
    ผมมีข้อสงสัยดั้งนี้ครับ

    ไสยสาตร์อาศัย แรงครู หมายความว่าอย่างไรครับ

    เชื่ออย่างคนโง่ หมายความว่าอย่างไรครับ

    การฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก นึก พุท นึกโธ เป็นไสยสาตร์หรือครับ

    เทวดา ผี ยักษ์กินปิติ มีหลักฐานใดมารองรับครับ มีพระสูตรหรืออาจารย์ท่านใด

    หรือเป็นความเชื่อครับ ผมต้องการแก่นแท้ของคำตอบครับ ไม่ใด้มาก่อกวนแต่

    ประการใด
     
  11. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    แรงครูก็คือฤทธิ์ อำนาจ คุณวิเศษของครูบาอาจารย์ เป็นกำลังจิตสมาธิของครูบาอาจารย์ ตลอดจนอำนาจคุณวิเศษของครูบาอาจารย์ที่เป็นเทวดา ที่เกี่ยวข้องกับวิชานั้นๆ และครูบาอาจารย์เจ้าตำรับวิชา
    แรงครู จึงเป็นลักษณะของการช่วยเหลือให้ลูกศิษย์ ซึ่งเล่าเรียนวิชานั้นๆให้มีความสำเร็จ ลองคิดดูสิ เราเป็นมนุษย์จะเก่งแค่ไหนมันก็ยังมีข้อจำกัด จึงต้องอาศัยกำลังของครูบาอาจารย์ที่เป็นเทวดามาช่วยเหลือให้มีความสำเร็จ
    ถ้าหากครูบาอาจารย์ที่เป็นเทวดาท่านไม่เล่นด้วย ก็เป็นอันจบ เสกเท่าไหร่ก็ทำไม่เป็น

    เชื่ออย่างคนโง่นั้น เป็นลักษณะความเชื่อแบบไม่สงสัย อาจารย์บอกว่าเสกคาถาบทนี้แล้วเป็นอย่างนี้ ก็ไม่มีความสงสัย กลับเชื่อมั่นอย่างไม่ลังเล ทั้งนี้เพราะมีศรัทธาที่แรงกล้า และเห็นว่าอาจารย์เป็นผู้วิเศษ ไม่หลอกลวงแน่นอน อาจารย์บอกอะไรก็เชื่ออย่างนั้น มันจึงไม่มี วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยเป็นตัวตัดรอนสมาธิ

    การกำหนดหายใจเข้า พุท ออก โธ นั้นเป็นการฝึกจิต ให้รับรู้ธรรมชาติของกายและจิต ไสยศาสตร์คือเรื่องธรรมชาติของจิต และพื้นฐานของไสยศาสตร์ก็คือสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิแล้วก็เป็นอันจบเช่นกัน

    การที่บอกว่า เทวดา และเหล่าอมนุษย์ กินปีตินั้น ถ้าว่ากันตามหลักการ ขณะเรานั่งสมาธิ และจิตเป็นสมาธิ จิตจะมีความอิ่มเอิบอันเกิดจากความสงบ และจะมีความสุขเกิดขึ้นในใจเรา นั่นแหละคือบุญ เราเอาความสุขให้เทวดา เป็นสุขที่เป็นกุศล บริสุทธิ์ ไม่มีปฏิฆะเจือปน นั่นแหละเค้าถึงจะรับ เหมือนอย่างคนประดิษฐ์สิ่งของมาให้คุณ เพื่อขอโทษคุณ แล้วปรากฎว่าเป็นของที่ทำมาแบบลวกๆ หรือไม่ดีพอ เพราะผู้รับมีของที่ดีกว่านั้นมันเทียบค่ากับสิ่งที่ผู้รับนั้นใช้สอยอยู่เป็นประจำไม่ได้เลย คุณว่าเค้าจะรับมั้ย ครูบาอาจารย์สายวัดป่า อย่างท่านอาจารย์ติ๊ก ฌานุตตโม เจ้าอาวาสวัดป่าห้วยลาด จ.เลย ท่านเป็นผู้ได้รับฉายาจากหลวงตามหาบัวว่า อรหันต์น้อย เนื่องด้วยว่าท่านเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ท่านสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ผมเคยเรียนถามท่านเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเทวดา ซึ่งกำลังให้โทษอยู่ในขณะนั้น ท่านบอกว่า เวลาเราทำบุญแล้วใจเป็นสุข มีปีติอิ่มเอิบ นั่นแหละเป็นบุญ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรต้องทำจิตแบบนี้จึงจะได้ผล และจากประสบการณ์ที่พบด้วยตัวเอง ก็ปรากฎว่าเป็นไปตามนี้จริงๆ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง คือรู้เฉพาะตน แต่ในขณะเดียวกันสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเอหิปัสสิโกด้วย คือลงมือปฏิบัติแล้วจะเห็นผลด้วยตัวเอง
    ใครทำคนนั้นก็ได้ ผมไม่ได้อะไรกับคุณด้วยนี่ ผลประโยชน์ทับซ้อนผมก็ไม่มี และถ้าคุณลงมือปฏิบัติ คุณก็ไม่ได้เสียอะไรด้วย จะเสียก็แต่ต้องเอาเวลามาสร้างบุญสร้างกุศลเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2011
  12. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    คาถาบางบทเราใช้แค่ขณิกะสมาธิ ก็เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ได้ และถ้าทำจิตเข้าถึงอารมณ์สมาธิและอารมณ์ของตัวคาถาบทนั้นๆ อย่างถูกต้อง จะทำได้ตลอดไปครับ ไม่มีเสื่อมหรือใช้ได้ชั่วคราว เพราะจิตเข้าถึงวิชาเสียแล้ว จะทำอีกกี่ทีก็ทำจิตเข้าสู่อารมณ์นั้นๆได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

    และถ้าฝึกอย่างที่ผมแนะนำ อย่างตั้งใจและวางจิตอย่างถูกต้องแล้ว ใช้เวลาไม่นานหรอกครับ ถ้าฝึกให้จริงๆให้เสกของกินแล้วลงมีดทำคงกระพันในวันแรกๆนั้นเลยก็ได้อยู่ที่คนเรียนว่ากล้าทำรึเปล่า ผมฝึกวิชาคงกระพันและหัดลงมีด ตั้งแต่อายุ14ปี10เดือน ถ้าเด็กนักเรียนในตอนนั้นทำได้ คนที่โตๆเป็นผู้ใหญ่ก็ควรจะทำได้เช่นกัน แต่ต้องทำจิตให้เข้มแข็งห้าวหาญมีกำลัง ไม่กลัวคมอาวุธก็เท่านั้นเอง

    ขอแค่มีความเชื่อมั่นในวิชา ในสมาธิที่ฝึกที่ปฏิบัติ เชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ รับรองว่าทำได้แน่นอน เพราะสิ่งที่ได้มาเกิดจากการฝึกฝนด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฟลุ๊ค แค่นั้นแหละครับ
     
  13. ขมังเวทย์

    ขมังเวทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,829
    เห็นด้วยครับ

    ยิ่งทำยิ่งชำนาญ ยิ่งทำยิ่งค้นพบ

    มีคำกล่าวว่า ใครๆก็ว่าขรัวโตเก่ง แต่ที่แท้ ขรัวโต ว่าง

    มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ
     
  14. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    ผมเห็นคนส่วนใหญ่ก็เชื่อตามแบบท่านทั้ง2
    ผมเองแต่ก่อนก็เชื่อตามแบบพวกท่านและสามารถทำอะไรต่ออะไรได้
    ก็คิดว่าคนที่ทำเป็นทำได้ คงทำได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมเจอคนในเวปท่าน 1
    แนะวิธีให้รองทำดู ผมจึงได้รู้ว่า แต่ก่อนที่ผมทำได้ มันไม่เอาอ่าว เลยสักนิด เมื่อได้รองทำตามวิธีที่เค้าบอก<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. ขมังเวทย์

    ขมังเวทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,829
    แต่ก่อนที่ทำใด้ ทำอะไรใด้บ้างครับ

    บัจจุบันทำอะไรใด้บ้างครับ

    เอาที่ทำใด้จริงๆนะครับ
     
  16. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    ตัวอยางที่1
    อย่างเช่นแต่ก่อน ผมไปซื้อขนมอะไรนะ ที่ใส่เครื่อง ถัวแปร ลูกพุททรา น้ำเชื่อม ใส่แข็งใสเป็นถุงแต่ก่อนถุงละ5บาทซึ่งไปซื้อกับร้านนี้เป็นประจำ แม่ค้าก็เป็นสาวๆ เค้าคงนึกว่าผมจะไปจีบเลยทำหน้าบึ่งเป็นประจำก็ทำหน้าบึ้งไม่พอใจทุกวัน มีอยู่วันผมจึงรองใช้คาถาสกดใจผู้หญิง แล้วก็ได้ไปซื้อเหมือนเคย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาน้องผู้หญิงที่ขายก็ไม่ทำหน้าบึ้งอีกเลย แต่เมื่อผมใช้คาถานี้แล้วเข้าจีบสาวอื่นก็ไม่เคยได้ผลสักเท่าไร จนมาได้เมียคนปัจจุบันซึ่งผมก็ใช้คาถานี้แหละ มาห้องคืนแรกพบกันครั้งแรก และ อยู่ด้วยกันมาจนถึงปัจจุบัน
    ตัวอย่าง ที่ 2
    เป่ารักษาๆให้เพื่อนตอนเรียนเล่นเตะบอล เกิดล้มแขนยอก เก็งข้อซอกไม่ได้ ผมสามารถรักษาให้เขาหายทุเลาได้จนแทบจะเป็นปกติ แต่ผมต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเป็นชม.ก็ว่าได้ และ เคยมีประสบการณ์รักษาตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เป่ารักษา กรณีเล่นคอมมากจนไหล่ล้าปวดเมื่อยไปหมด เเต่เมื่อผมเป่ารักษา จะสามารถลดอาการปวดเมื่อยได้ครึ่งหนึ่งเป็นประจำแต่ เมื่อผมพยายาม จะทำให้หายไปเลยทำเท่าไรก็ไม่หายเพียงแค่ได้ทีละนิดๆเท่านั้น
    ผลของการใช้คาถาก็ไม่ได้แรงเสมอต้นเสมอปลายเสมอไป บางวันก็แทบทำไม่ได้เลย มันเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนเข้าใจว่า ตามที่ใครๆบอกของดีไม่ควรใช้บ่อยๆ ใช้ได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น คนทั่วไปก็คงได้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว

    หลายปีผ่านไปที่ผมเข้าใจเช่นนี้จนกระทั่งผมเจอท่านหนึ่งได้ให้ผมรองวิธีของท่านนี้ดู ท่านได้ให้รองใช้กับคาถาในการรักษา ดู ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมมักยอกที่นิ้วชี้บ่อยๆเมื่อเวลาเรากด หักนวดนิ้ว ดัดนิ้วจะมีเสียงเป็นปกติ แต่นิ้วชี้ของผมเมื่อทำจะเจ็บยอกอยู่นานมาก
    ซึ่งแต่ก่อนผมจะใช้คาถาเป่าได้อย่างมาก็ทุเลาลงครึ่งหนึ่งเท่านั้นทำเท่าไรก็ไม่หายขาด
    แต่เมื่อผมมารองวิธีของท่านนี้ดู ผมแปลกใจอย่างสุดๆ แค่เพียงครั้งเดียว ผมจะกดจะดัดนิ้วอย่างไรก็ไม่เจ็บอีกเลย บางครั้ง ไม่ใช่สิ หลายครั้งที่ผมมีอาการเช่นนี้ ผมจะเป่ารักษา แต่ไม่ใช้วิธีของท่านนี้อาการเจ็บก็ไม่ลดเท่าไร แต่เมื่อตั้งต้นทำตามวิธีที่ท่านนี้บอกผมมักทำได้ผลแทบทุกครั้งไปแถมทำได้ดีกว่าครั้งแรกด้วยซำซึ่งต่างจากวิธีเดิมที่ผมปฏิบัติเป็นอย่างมาก

    ส่วนคาถาบทอื่นผมไม่ค่อยได้ใช้ จึงไม่สามารถบอกเล่าได้

    เรื่องจริงของผมก็มีเพียงแค่นี้ ส่วน

    ท่านอื่นอาจจะเจอและเล่าสนุก มากยิ่งกว่าผมหลายเท่านัก ผมไม่ทราบ

    แต่ ถ้าจะเอาเรื่องจริงปากผมก็มีเพียงเท่านี้เท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2011
  17. Nuk036

    Nuk036 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +99
    อยากถามครับ ..
    เวลาเราใช้คาถา ต้องทำยังไงครับ ให้อธิษฐานก่อนแล้วก็สวดบริกรรมคาถานั้นจนจิตนิ่ง หรือ สวดคาถาจนจิตนิ่งแล้วค่อยอธิษฐาน

    อีกปัญหาคือ ผมก็เป็นอีกคนนึงที่นั่วสมาธิเป็นประจำ 10 -30 นาที ตามแต่โอกาสจะเอื้อ แต่บอกตรงๆ ว่า ไม่เคยนิ่งได้นาน หลุดบ่อย( ก็จับมาวาง เหมือนที่ท่านบอก ) ผมจะทำแบบนี้ครับคือ พองหนอ ยุบหนอแล้วก็นับหนึ่ง พองหนอยุบหนอสอง พองหนอยุบหนอสาม.... แบบนี้ไปเรื่อยๆ พยายามไม่ให้หลุดจนถึงสิบ ( วิธีนี้เคยอ่านมาจากหลวงพ่อฤาษี แต่ท่านไม่ได้ให้ พองยุบนะครับ ท่านแค่ว่าให้ตั้งใจเอาทีละสิบ ) ผมเลยอยากถามว่า ถ้าผมทำแบบนี้ จะสามารถใช้คาถาได้หรือไม่ หรือต้องทำอะไรเพิ่มเติมครับ

    ขอบคุณครับ
     
  18. คุแมน

    คุแมน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +34
    อันที่จริงเทคนิคของเค้าก็ง่ายๆบอกครั้งเดียวจำได้แน่นอน และถ้าเป็นท่านทั้ง2ซึ่งมีพื้นฐานแน่น ได้อาจารย์ดี ได้รับทราบ ท่านทั้ง2 ต้องเหนือกว่าผมมากมายแน่นอนคับ
     
  19. I'mTiM

    I'mTiM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +449
    เวลาใช้คาถาต้องบริกรรมพร้อมเดินคาบ(เดินลมหายใจเข้า-ออก) จนรู้สึกว่าเดินลมแล้วเต็มตัวและจิตขณะนั้นเป็นสมาธิมีความนิ่ง เกาะเกี่ยวอยู่กับคาถา แล้วค่อยอธิษฐาน

    ส่วนการบริกรรมนั้น ใช้พอง-ยุบไม่ได้นะครับ เพราะเป็นการเล่นกรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้เล่นฤทธิ์ เน้นสติมาก ดังนั้นจิตจะไม่สะสมพลังจนนิ่ง การจะมาเล่นคาถาจะไม่เกิดผล ให้ใช้ พุท โธ หรือคำบริกรรมอื่น หรือ คาถาอื่นๆมาเป็นคำบริกรรมจะดีกว่า และจะฝึกก้าวหน้าได้เร็วกว่า กำลังจิต กำลังสมาธิจะก้าวหน้าเร็ว
     
  20. ขมังเวทย์

    ขมังเวทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,829
    ส่วนตัวผมจะใช้วิธิแบบโบราณครับ

    เช่น เกลือจืด มะนาวหวาน เสกปูนคาดคอ เสกขมิ้นกับปูน

    จะใด้ประจักหายสงสัย

    ฝึกกำลังจิตก็เพ่งเทียนให้ละลายจากโคนขึ้นไป กับเพ่งให้ใส้เทียนขาด

    ทำใด้ก็ใด้ ทำไม่ใด้ก็ฝึกใหม่ ทำใด้ก็จดจำใว้ฝึกทำให้ต่อเนื่องจนเกิดวสีชำนาญ

    ไม่ใดโอ้อวดใดๆนะครับ ที่เขาเสกพระลุกปลุกผีนั่ง เสกบัวบาน แต่งคนทั้งกองทัพ

    ลอ่งหลกำบังกาย ยังมีอีกมากที่ผมยังศึกษาไม่ถึง ผมเอาแต่พอคุ้มเนื้อคุ้มตัวครับคนเก่งๆ

    ผมไม่กลัวครับ เพราะสู้เขาไม่ใด้ก็ไปขอเรียนกับเขาครับ

    ที่ผมกลัวคือคนมีคุณธรรมครับ เอาวิชาใหนไปสู้กับเขาละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...