การฝึกพลังจักรวาลและการรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาว สมุนไพรที่จะใช้ในยุคปัจจุบัน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 2 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    การพัฒนาจักระ 4

    นังสมาธิท่าใดก็ได้ ขอให้นั่งสบายๆ และตลอดเวลาที่นั่งถ้าปวดเมื่อยก็ให้เปลื่ยนท่านั่งได้ เพียงแต่ในระหว่างฝึกให้ส่งสมาธิจิตไปที่ทรวงอกให้จิตใจจดจ่ออยู่ตรงจุดนั้น
    จุดสำคัญคือขอให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการหายใจในทรวงอก จากนั้นหายใจเข้าให้รู้สึกตัวว่าอากาศเข้าไปในทรวงอก รู้สึกตั้งแต่ลำคอลงไป สนใจเฉพราะลมหายใจที่เข้ามาตั้งแต่ลำคอลงไปผ่านอกจนถึงกระบังลม ลมหายใจออกไม่ต้องสนใจก็ไม่เป็นไร ช่วงหายใจเข้าให้ทรวงอกขยายและหายใจลึกมากจนถึงกระบังลม
    ต่อไปให้รู้สึกว่าอากาศเข้าไปเต็มที่ว่างในทรวงอก การรู้สึกว่าอากาศเข้าไปเต็มที่ว่างในทรวงอก เป็นพื้นฐานสำหรับการรู้สึกถึงที่ว่างที่อยู่ในหัวใจ พอทราบถึงที่ว่างที่อยู่ในหัวใจแล้ว ให้รู้สึกถึงการบีบรัดและการคลายตัวของที่ว่างนี้ตามจังหวะการหายใจเข้า ออก พอทราบความรู้สึกบีบรัดขยายตัวของที่ว่างในหัวใจนี้ได้แล้ว ให้ประคองความรู้สึกนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าจะมีมโนภาพเกิดขึ้นในทรวงอก
     
  2. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    การเพิ่มพลังจิต
    สำหรับท่านที่ต้องการฝึกนะครับ
    สูดลมหายใจเข้าให้ถึงจักระที่ 2 กำหนดเป็นแสงสีขาววิ่งเข้าสู่จักระที่บริเวณท้องน้อยจากนั้นหายใจออก ให้พลังสีขาวเคลื่อนขึ้นมาสู่ไหล่ทั้ง 2 ข้างและปล่อยพลังนั้นสู่ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างฝึกไปเรื่อยๆครับ จนฝ่ามือรู้สึกถึงพลังที่พุ่งออกมาทั้งที่กลางฝ่ามือ และปลายนิ้วทั้งหมด ยิ่งเคลื่อนพลังขึ้นมารุนแรงเท่าใดพลังที่พุ่งออกก็จะมากตามไปด้วย ค่อยๆฝึกไปนะครับ หายใจเข้าลมหายใจถึงจักระที่ 2 หายใจกำหนดนึกให้มีแสงสีขาว วิ่งจากจักระที่ 2 ขึ้นมาที่หัวไหล่ทั้ง 2 จากนั้นผลักพลังออกมาที่มือทั้ง 2 ข้าง ไม่ใช่โม้ทำได้จริงๆลองทำกันนะครับ พลังที่สามารถพลักให้คนอื่นล้มได้โดยไม่ต้องสัมผัสเราต้องมีพลังมากกว่า 400 ขึ้นไปครับสำหรับท่านที่สามารถเปิดจักระได้ทั้งหมดแล้ว จะรู้สึกถึงขุมพลังนี้ครับ
    จากนั้นก็ให้ลองฝึกการมองออร่ากันต่อไปนะขอรับ
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ส่วนการพัฒนาจักระที่ 5 นั้นให้นั่งสมาธิ มือวางบนเข่าทั้ง 2 ข้าง จะวางแบบแบมือธรรมดาก็ได้ครับ
    ให้เอาลิ้นม้วนขึ้นดันกับเพดานปาก ฟันขบกันเล็กน้อย หายใจเข้ากำหนดลมหายใจถึงต้นคอ แล้วหายใจออก ทำอย่างนี้ประมาณ 10 นาที จากนั้นให้คำรามในลำคอจนพอใจ เมื่อเสร็จแล้วจากนั้นก็ให้ทบทวนจากจักระที่ 6 แล้วไปจักระ 1 2 3 4 5 ตามลำดับใช้เวลาประมาณจักระละ 5 นาทีครับ

    จากนั้นให้กำหนดที่จักระที่ 7 นั่งไปเรื่อยๆจะมีความรู้สึกว่า มีเข็มทิ่มแทงที่บริเวณนั้นให้ทนความเจ็บปวด ทนๆๆๆๆๆๆ จนพลังค่อยเลื้อยๆขึ้นมาอย่าตกใจครับปล่อยให้พลังวิ่งขึ้นมาทำจิตให้ยินดีอย่าต่อต้านอย่ากังวลกับความเจ็บปวดนั้นนะครับ....ขอให้โชคดี
     
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    การฝึกพลังจิต

    สำหรับคนทั่วไป ที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต(แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้)จนแก่กล้าแล้ว เท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้

    แต่ รู้ใหมครับ คนที่ใช้พลังจิตได้แล้ว โดยเฉพาะผู้สร้างบล็อกนี้ ไม่คิดว่าอย่างนั้น

    พลัง จิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน(และผมหมายถึงคุณด้วย!)เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลัง จิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษา อังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้
    พลัง จิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย!

    1.นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
    2.หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
    3. ค่อยๆเอานิ้วชี้มือขวาแตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
    4.ค่อยๆเปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวาลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ เช่นกัน
    5.เอามือมาใกล้ๆกันคล้ายกับประคองลูกบอล(ตามรูปนี้)
    [​IMG]
    [​IMG]
    ให้มือห่างกันประมาณ1ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือแล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว!! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL

    เห็นใหมครับ พลังจิตไม่ยาก...เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เท่านั้นแหละ

    เอา ล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร ครับผมคงอธิบายได้แล้ว พลังจิตก็คือความสามรถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิตครับ แค่นั้นเอง หมายความว่าถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต

    โดย เฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆนั่นเอง

    อย่าง ไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป พลังจิตอาจแบ่งออกไปได้อีกหลายอย่าง เช่นการอ่านใจ การรักษา การบังคับวัตถุ การมองเห็นในระยะใกล การหยั่งรู้อนาคต หูทิพย์ ตาทิพย์ สัมผัสทิพย์ การสะกดจิต ฯลฯเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังจิตครับ และผมหวังว่า บล็อกนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและอาจจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้,พลังจิต,ได้ ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปแบบstep by step ...แล้วเจอกันครับ

    สรุป
    1.พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
    2.พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้

    คำว่าจิตใต้สำนึกนี้ เราจะพบในหนังสือ เวบไซต์ และสถาบันที่ศึกษาเรื่องพลังจิตแทบทุกที่ ว่ากันว่า จิตใต้สำนึกของเรานั้นมีพลังไร้ขีดจำกัด และว่ากันว่า ถ้าเราไม่รู้จักจิตสำนึกแล้วเราใช้ความสามารถเพียง7% แล้วก็ว่ากันว่า(อีกแล้ว!) ว่าในการใช้พลังพิเศษ เราต้องใช้พลังจากจิตใต้สำนึก สรุปแล้วจิตใต้สำนึกมันทำไมสำคัญนัก มันคืออะไรกันแน่ ในครั้งนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้กัน

    1.เรื่องของจิตและจิตสำนึก
    ก่อน อื่น เราต้องทำความเข้าใจว่าจิตคืออะไรกันแน่ เพราะจริงๆแล้ว จิตเองมีการใช้กันอย่างสับสน บางทีเราจะพูดว่าจิตแข็ง นั่นแสดงถึงระดับความมานะและความดื้อรั้น จิตตก นั่นหมายถึงกำลังใจ จิตหลอนนั่นหมายถึงการรับรู้ข้อมูลซึ่ง(คนอื่นแน่ใจว่า)ไม่มีจริง เริ่มงงหรือยังครับ ว่าจิตคืออะไรกันแน่
    หมายถึงอะไรก็แล้วแต่คนพูดน่ะสิ ครับ บางทีเขาอาจจะหมายถึงน้องสาวเพื่อนที่ชื่อจิตก็ได้ แต่เรื่องของเรื่องสิ่งที่เราต้องจำไว้ก็คือ สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึงจิตที่หมายถึงสิ่งที่เรารับรู้
    จริงๆแล้ว รอบๆตัวเรานี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆมากมายที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง บางอย่างพบเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรู้ได้ง่ายๆ เช่นหน้าจอคอมนี้ มือของคุณ และคีย์บอร์ด เป็นสิ่งที่จิตเรารับรู้ได้ง่ายๆ ซึ่งก็คือจิตของเราสามารถสำนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย แต่ในทางกลับกัน มีบางอย่างที่รับรู้ยาก เช่นการเต้นของหัวใจ การไหลของพลาสม่าบนจอมอนิเตอร์ วิญญาณ และความรู้สึกของคนอื่นที่อยู่รอบๆเรา ที่ปกติเราจะไม่รู้สึก และนั่นหมายความว่า จิตของเราไม่ได้สำนึกถึงสิ่งเหล่านั้น
    ดังนั้น จิตสำนึก ก็คือการรับรู้ของจิต ถ้าเราสำนึกผิด แสดงว่าเรารับรู้กระบวนการต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เราพลาด แต่ถ้าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรผิด เรายังไม่สำนึกผิดเลย( เอาล่ะ ผมไม่ได้บอกว่าคุณทำอะไรผิดหรอกครับ ไม่ต้องร้อนตัวไป!)
    และเดี๋ยวนี้ เราเรียกสิ่งที่อยู่นอกจิตสำนึกซึ่งเราจะไม่รู้สึก ว่าเป็นเรื่องที่อยู่ใต้จิตสำนึก หรือจิตใต้สำนึกนั่นเอง เช่นเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงการเต้นของชีพจร การเต้นของชีพจรก็อยู่ในเขตจิตใต้สำนึก เวลาที่เราเกิดโกรธใครโดยไม่รุ้ตัว เราก็โกรธจากจิตใต้สำนึก


    ระวังอย่าเข้าใจผิด!
    หลายๆคนและ หนังสือหลายๆเล่มพยายามจัดประเภทของกิจกรรมและเรื่องราวต่างๆแต่ละอย่างว่า ตกอยู่ในเขตของจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก แต่จริงๆแล้วอย่าลืมว่า ขอบเขตของมันอยู่ที่การรับรู้ ถ้าเรารู้โดยชัดเจน มันคือจิตสำนึก เช่นการระลึกชาติปกติเราไม่รู้ ดังนั้นมันคือจิตใต้สำนึก แต่ในขณะที่คุณระลึกชาติอยู่..และทำได้สำเร็จ มันกลายเป็นเรื่องของจิตสำนึก ดังนั้นที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เป็นจิตสำนึกหรือจิตให้สำนึกเสมอไปหรอก มันขึ้นอยู่กับระดับการรับรู้!


    พลังพิเศษของจิตใต้สำนึก
    ถ้า สมมุติเราปิดหน้าจอคอม เราก็จะเล่นคอมไม่ได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่สำนึกหรือรับรู้ถึงสิ่งใด เราก็ย่อมไม่สามารถใช้สิ่งนั้นได้ฉันนั้น (แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าจอเปิดเราก็ยังอาจใช้ได้หรือไม่ได้อยู่ดี แต่ที่แน่ๆ เราใช้ไม่ได้เลยถ้าจอไม่เปิด) ดังนั้น เราจะทำอะไร เราต้องทำให้สิ่งนั้นมาอยู่ในขอบเขตของจิตสำนึกของเรา รวมถึงพลังจิต
    การ เข้าถึงอาณาเขตของบางอย่างที่เคยเป็นจิตใต้สำนึกนี่แหละ ที่มักจะเรียกกันว่า การเปิดจิตใต้สำนึก แต่จริงๆเราแค่ขยายเขตของจิตสำนึกออกไปจนครอบคลุมเรื่องที่เราจะทำนั่นเอง จิตใต้สำนึกไม่ได้เปิดหรือปิดจริงๆหรอกครับ แต่มันเหมือนกับว่าเราแหย่เข้าไปในเขตที่เคยเป็นของจิตใต้สำนึกเท่านั้น
    เอา ละ พอเราขยายจิตสำนึกหน้าจอเปิด เราก็เล่นคอมได้ ถ้าเรารู้สึกถึงพลังปราณ เราก็หัดใช้ปราณได้ ถ้าเรารู้สึกถึงอารมณ์อย่างทันเวลา เราก็อาจจัดการอารมณ์ได้ และจริงๆแล้ว ยังมีสิ่งต่างๆรอบตัวเราที่รอให้เรารับรู้และใช้งานอีกมากมายมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลที่หลายคนจะบอกคุณว่าพลังที่แท้จริงของมนุษย์ซ่อนอยู่ในจิต ใต้สำนึกไงล่ะ! ตัวอย่าง
    1.เวลาไฟใหม้ คนส่วนใหญ่ยกของหนักกว่าตัวมากๆแล้ววิ่งได้สบายๆ แต่ปกติทำไม่ได้ เพราะกลไกการออกแรงนั้นอยู่ในจิตใต้สำนึก พวกเขาจึงบังคับมันไม่ได้
    2. บางทีเรารับรู้อนาคตอย่างเลือนรางสุดๆจนใช้อะไรไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความสามารถในการหยั่งรู้และอำนาจจิตอื่นๆส่วนใหญ่อยู่ในจิตใต้ สำนึก
    3.ไอเดียหรือความรู้บางอย่างที่ไม่มีใครคิดได้มาก่อนพวกนั้นมีเกลื่อนในจิตใต้สำนึก แต่เรามองไม่เห็น
    สรุปแล้ว ถ้าเราขยายจิตใต้สำนึกออกไปมากพอ เราจะรับรู้และมีโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆมากกว่าเดิมอย่างเทียบกันไม่ได้


    สัญชาติญาน
    ใน บางสถานการณ์ เรามักทำอะไรที่เราไม่เคยทำได้โดยไม่รู้ตัว เช่นวิ่งหนีอะไรบางอย่างด้วยความเร็วและความอดทนราวกับนักกีฬาตัวจริง .เพราะตกใจ! หรือบางครั้ง เวลาที่เราต้องเลือกอะไรสักอย่าง เราอาจรู้สึกเหมือนต้องเลือกสิ่งของชิ้นหนึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ และพบภายหลังว่า นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว
    จริงๆแล้วตลอดเวลาที เราใช้ชีวิต(หรือก่อนที่เราจะใช้ชีวิต..ถ้าคุณเชื่อเรื่องวิญญาน )จิตของเราได้เก็บข้อมูลและเรียนรู้สิ่งต่างๆตลอดเวลา เพื่อให้เราเอาตัวรอดจากอันตรายได้ทันโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิด โดยที่การตอบสนองต่ออันตรายนี้จะทำงานโดยอัตโนมัตินั่นคือ ต่อให้เราไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ยังทำงาน
    ใช่แล้วไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ถือเป็นจิตใต้สำนึก ,และแท้ที่จริงข้อมูลและทักษะมหาศาลตั้งแต่การกะพริบตาไปจนถึงการรักษาด้วย พลังจิตและพลังอื่นๆอีกมาก ได้ถูกบันทึกไว้ในส่วนของสัญชาติญาน แต่ชัดเจนมันอยู่ในจิตใต้สำนึก เพราะอะไรน่ะหรือ? มันก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับมือใหม่นั่นแหละ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจเขาก็ทำมาให้เป็นค่าอัตโนมัติก่อน ไว้ถ้าเราชำนาญเมื่อไหร่ค่อยeditเอา ไม่งั้นปรับมั่วมันจะพังเอาน่ะสิ


    การปรับเปลี่ยนระดับจิตสำนึก
    และแน่นอน ผมจะจบลงด้วยวิธีฝึก เอาล่ะ บอกตามตรงว่าจริงๆแล้ว วิธีการฝึกเพื่อเปลี่ยนระดับจิตสำนึกนั้นมีเป็นพันครับ! และแต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละคนในแต่ละช่วงเวลา ไม่มีวิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด คุณต้องลองเอง
    หลักการก็ง่ายๆ การจะฝึกวิ่ง ก็คือวิ่ง การจะฝึกการรับรู้ ก็คือรับรู้ นี่เป็นตัวอย่างบางวิธีครับ
    1. เวลาที่เราเข้าไปในสถานที่ใหม่ๆหรือพบคนใหม่ๆ พยายามสัมผัสความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา ความรู้สึกบางอย่างออกมาจากสถานที่หรือบุคคลที่เราติดต่อด้วย

    2.ถ้าว่าง จัดท่าทางให้สบาย ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย ไม่จำเป้นต้องหลับตา
    หายใจ เข้าออกช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ นับจังหวะหายใจเข้าและออกให้เท่ากัน ความยาวไม่สำคัญเท่าจังหวะ ต้องให้สม่ำเสมอเท่ากันทั้งเข้าออก ถ้าจะเปลี่ยนความยาวก็ต้องเปลี่ยนให้เท่ากันด้วย ทำแบบนี้ไปสักพัก จะรู้สึกสบาย จิต จะละเอียดขึ้น
    กำหนดจุดสนใจไปที่ลมหายใจ ตัดความสนใจเรื่องอื่นๆออกไป(จริงๆเราควรจะจดจ่อที่ลมหายใจอยู่แล้ว แต่ถ้าเผลอกลับมาก่อน) จากนั้นขยายออกไปทั่วตัว สัมผัสการเคลื่อนไหวภายใน ลมหายใจ ปอด แรงสะเทือน ฯลฯ
    ขยายออกไปอีก สัมผัสอากาศรอบๆตัว รอบๆห้อง
    และ ขยายออกไปอีกถ้าทำได้ แน่นอน เราต้องรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย ไม่ว่าอะไรที่มีอยู่ในนั้นแม้เล็กน้อย เราต้องรู้สึกมันทุกรายละเอียด เพียงแค่รับรู้เฉยๆ อย่าไปวุ่นวายตัดสินหรือคิดอะไรต่อเนื่อง ระหว่างที่ทำแบบนี้ จะมีความคิดหลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แรกๆเราจะควบคุมมันไม่ได้ อย่าซีเรียสครับ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ที่จะต้องทำให้ได้คือ ดูมัน ว่ามันเป็นความคิดหรือความรู้สึกอะไร และที่สำคัญ อย่าไปตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี สำรวจมันอย่างธรรมชาติ การสำรวจความจิตและความคิดในขณะที่มันทำงานโดยอิสระเป็นจุดสำคัญของแบบฝึก นี้ ขอให้ฝึกจนชำนาญ แบบฝึกนี้จะเป็นพื้นฐานให้กับแบบฝึกหลังๆครับ


    สรุป
    1.จิตสำนึก คือขอบเขตที่เรารับรู้ได้ ซึ่งไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับระดับของจิต
    2.ในจิตใต้สำนึกมีสิ่งต่างๆซ่อนอยู่มากมายรอให้เราค้นพบและเล่นกับมัน
    3.แต่โดยธรรมชาติ เราจะไม่ได้สัมผัสและควบคุมสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่ต้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    4. การฝึกเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก มีหลักการง่ายๆแค่ตั้งใจรับรู้และสังเกตรายละเอียดของสิ่งที่เป็นเป้าหมายใน การฝึก ซึ่งในขั้นต้น ผมแนะนำอย่างสูงให้ฝึกสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเราเอง
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    [​IMG]
    เป็น ยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า คุณได้อ่านเรื่องการฝึกพลังจิตมาได้สามตอนแล้ว และผมหวังว่า คุณได้ฝึกบ้างแล้วใช่ใหมครับ ผมแนะนำให้คุณฝึกตามไปอย่างเป็นขั้นตอน อย่าใจร้อน เพราะผมจะเขียนบล็อกนี้แบบstep by step ถ้าคุณยังทำแบบฝึกหัดแรกๆไม่ได้ คุณจะทำแบบฝึกหัดหลังๆได้ยากมากขึ้นทุกทีๆครับ
    ก่อน จะอ่านบทที่4นี้ คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (psi ball)ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย "การตรวจสอบพลังงานด้วยมือ" วิธีเป็นดังนี้ครับ
    1.ทำPSI BALL แรกๆคุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญมากๆแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
    2. เปลี่ยนจากผ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขนแล้วสังเกตความรู้สึก
    3.เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆบนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
    ที่ สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงานและการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
    เอา ล่ะ จบแบบฝึกหัดที่ 4 แล้ว สังเกตว่าในครั้งนี้คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นใหนๆในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า
    1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
    สนาม พลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะๆเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็ก หรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุกคนมี"ความถี่"ของตัวเอง
    เวลาที่ความถี่ของใครใกล้ๆ กัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ"ต่อติด"ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึง ทางอารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม หรือความหลังเมื่อชาติที่แล้วก็ได้!
    ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่ รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆคนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ(เอาล่ะ อาจมีคนที่เลวจริงๆอยู่ดี แต่บางคนเราก็ไม่ชอบเพราะออร่ามันขัดกัน ทั้งที่เขาไม่ได้แย่ตรงไหน)
    ยังไงก็เถอะ ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆกันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ"การดึงดูดคนแบบเดียวกัน"นั่นเอง หมายความว่า ....เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ​
    2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้

    เวลา ที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็ น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมากแค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้
    แต่ อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา"ขยะ"พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ(ที่ปกติเราไม่ได้เป็นแบบนั้น)หลังจาก ที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆแล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆตัวเราต่างหาก
    ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์(โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่"ปรับความถี่"แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆของเราไปจากเราแล้ว หมุนเวียนใช้ประโยชน์ต่อได้ (ซึ่งในแง่วัตถุหากคนหรือสัตว์ถ่าย shit ลงที่โคนต้นไม้ ต้นไม้ก็นำมาใช้ได้อยู่แล้ว ดังนั้น อย่ารังเกียจการ"คืนพลังเสีย"ไปให้ต้นไม้) และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่า การนั่งในที่ทั่วๆไปมาก จริงใหมครับ
    นอกจาก นั้น ยิ่งนานวันผมเองเริ่มค้นพบว่าคริสตัลส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานในตัวเราได้ อย่างน่าสนใจมาก คริสตัลแต่ละอย่างและแต่ละชิ้นจะส่งผลกระทบต่อเราไม่เหมือนกันเลย(แต่ชนิด เดียวกันก็จะใกล้เคียงกัน) และด้วยความที่มันสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่าต้นไม้ คริสตัลจึงเป็นเครื่องมือในการบำบัดฟื้นฟูที่ดีมากครับ
    [​IMG]
    3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
    นอก จากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเอง
    หรือแม้แต่เพื่อน แรกๆอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน(อาฮ่า!)
    แล้ว เด็กๆบางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆมานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆนั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ
    หลัก การนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน"หลักฐาน" นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่า
    อย่าง เวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆกันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ
    ยิ่งถ้าสมมุติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ(ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ
    อย่าง เวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ​
    4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
    สี ความสว่าง ความชัด ขนาดและรูปทรงของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ(แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆนะครับ)
    ยัง ไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล(ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไรโดยประสบการณ์
    [​IMG]
    แต่ ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน ดังนั้นสมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ (เอาล่ะ เราอาจอ่านผิดก็ได้ อิอิ)
    สรุป
    1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
    2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
    3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
    4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ​
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    หลาย คนอาจเคยดูกีฬาหรืออาจเคยเข้าแข่งกีฬาเองเลย คุณสังเกตเห็นใหมครับว่าถ้าแมตช์ใหนนักกีฬาเครียด เขาจะเล่นได้แย่กว่าฝีมือปกติของเขา โดยไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ความแม่นยำและจังหวะมากกว่าพละกำลังตรงๆเช่นตีกอล์ฟ ยิงปืน บาสเก็ตบอล เบสบอล ฟุตบอลฯลฯ นี่เห็นชัด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมโค๊ชทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องทำให้นักกีฬามั่นใจและเล่นโดยไม่เครียดถึงจะ แสดงฝีมือได้เต็มที่
    มัน คือพลังจิตที่ช่วยให้นักกีฬายิงลูกหรือเคลื่อนไหวออกไปด้วยแรงที่เหมาะสม ในตำแหน่งที่พอดี ในจังหวะที่ถูกต้องครับ หากนักกีฬาอาศัยเพียงสมรรถภาพทางกายกับแค่ทำตามสูตรในหนังสือกีฬาอย่างเดียว โดยไม่อาศัยพลังจิตแล้วเล่นได้ดี เราจะไม่ต้องมีกองเชียร์และไม่มีคำว่าตื่นสนามเลย ในวงการกีฬาครับ แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะพลังจิตมีส่วนสำคัญต่อศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ กีฬาเท่านั้น ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับพลังจิต การสอบ การคิด ประดิษฐ์ ทำงานศิลปะ การแสดง หรือสร้างสรรอะไรก็ตามจะไม่ได้ผลดีหากเราไม่ผ่อนคลาย
    และถ้าใครชอบดูหนัง คงต้องเคยได้ยินชื่อ สตาร์ วอร์ STAR WARS มาบ้าง และหากเราโชคดีได้ดู จะสังเกตว่าเหล่าอาจารย์เจไดจะเตือนลูกศิษย์ตลอดเวลาว่า relax (ซึ่งแปลว่าผ่อนคลาย) โดย ส่วนตัวแล้วผมเองไม่อยากให้เราเชื่อตามสิ่งที่ปรากฏในหนังเลยแม้แต่อย่าง เดียว จนกว่าจะได้ทดลองแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมพบว่าพลังจิตเกือบทั้งหมด(หรืออาจจะทั้งหมด)จะทำงานไม่ได้เลยหากเราผ่อนคลายไม่ดีพอ
    ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้พลังจิต สิ่งนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เราคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และ เราคุ้นเคยกับภาพในหนังที่เห็นคนใช้พลังจิตเพ่งอยู่กับการรีดเค้นพลังจิตออก มาจนตัวสั่นเหงื่อท่วม แต่จริงๆแล้ว ในโลกของพลังจิต ถ้าเราเครียดขนาดนั้น นอกจากไม่ทำให้พลังจิตได้ผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้พลังจิตทำงานน้อยลงครับ ขอย้ำ ว่าน้อยลง สำหรับกิจกรรมทางโลกทั่วไปหากไม่ใช้พลังจิตเราอาจรู้สึกว่าผลงานมันออกมา ฝืดๆไม่เต็มที่แค่นั้น แต่ในทางพลังจิต การไม่สามารถผ่อนคลายมันทำให้ผลออกมาแย่จริงๆหรือไม่เกิดผลอะไรเลยด้วยซ้ำ ครับ

    วิธี การผ่อนคลายนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับรสนิยมและระดับฝีมือของแต่ละคน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนทุกสถานการณ์หรอกครับ ผมเองก็ใช้อยู่หลายวิธี แล้วแต่ว่าขณะนั้นเหมาะกับวิธีใหน แต่ผมชอบวิธีนี้ที่สุด วิธีของผมแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือส่วนระบาย กับส่วน พัก
    การระบาย
    [​IMG]
    1.เอาฝ่ามือไปทาบกับวัตถุอะไรก็ได้ เตียง พื้น หินพรมต้นไม้ ที่ดีที่สุดเป็นพื้นดิน แต่ถ้าไม่สะดวก ก็เอาอะไรก็ได้ครับ(แต่ไม่ควรเป็นคนหรือสัตว์)
    2.กำหนด ภาพพลังความฟุ้งซ่านจากในตัวเรา อาจสมมุติให้มันมีลักษณะอย่างไรก็ได้ตามที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น เช่นอาจเป็นสายน้ำสีเทา หรืออะไรก็แล้วแต่ หากคุณไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงพลังความฟุ้งซ่าน ก็แค่กำหนดอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสมมุติว่านั่นเป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ว่าเราจะรู้สึกจริงๆหรือแค่สมมุติก็ตาม มันได้ผลอยู่ดีหากเราเปิดใจทดลอง
    3.ปล่อยความฟุ้งซ่านนั่นออกไปตามแขนและมือ ผ่านฝ่ามือไปยังวัตถุเป้าหมายที่เราวางฝ่ามือไว้
    4.ระบายออกไปเรื่อยๆจนรู้สึกสงบ เป็นอันเสร็จการระบายพลังงานส่วนเกิน
    การพัก(ต่อจากการระบาย)
    1.นอน ไม่จำเป็นต้องใช้หมอน หรืออาจใช้ถ้าไม่ชอบนอนราบจริงๆ ท่าที่ดีที่สุดคือท่านอนหงายธรรมดาที่ทางโยคะเรียกว่าท่าศวอาสนะ(corpse posture) แต่หากทำไม่ได้ก็ใช้ท่าตามสะดวก หรือจะนั่งบนเก้าอี้นวมก็ได้ครับ แต่ที่สำคัญต้องแน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงพยุงตัวเลยแม้แต่นิดเดียว คือสามารถหลับไปในท่านั้นได้เลย
    [​IMG]
    2.หายใจนุ่มๆช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ
    3.เริ่มที่ปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายนิ้วเท้า ปล่อยความเครียดออกจากนิ้วเท้าให้หมด เราควรรู้สึกว่านิ้วเท้าเบา สบาย
    4.มาที่เท้าทั้งหมด ผ่อนคลายเท้าให้สบาย
    5.ไล่ขึ้นมาตามแข้ง เข่า ต้นขา ก้น
    6.ขึ้นมาตามสะโพก ลำตัว เอว หลัง ซี่โครง อก ค่อยๆผ่อนคลายให้สนิท
    7.คอ ไหล่ บ่า สะบัก(บ่าด้านหลัง) แขน ศอก ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ
    8.ผ่อนคลายคอ คาง ขากรรไกร ปาก แก้ม จมูก หู ลูกตา เบ้าตา หว่างคิ้ว(สำคัญมาก) หน้าผาก หนังหัว
    9.ควรจะครบ สำรวจว่ายังเหลือที่ใดที่ยังไม่ผ่อนคลาย พักให้หมด เป็นอันจบการผ่อนคลาย

    นี่คือวิธีการฝึก ระบาย+ผ่อนคลาย อย่าง ไรก็ตาม สังเกตว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร จริงๆแล้วในการใช้พลังจิตเราไม่จำเป็นต้องเตรียมผ่อนคลายเต็มรูปแบบอย่างนี้ ทุกครั้งไปครับ เพียงแต่แรกๆคุณควรฝึกทำแบบนี้จนร่างกายเกิดความเคยชินแล้ว มันจะทำงานโดยอัตโนมัติเร็วขึ้นไปเอง หากเราชำนาญ แค่พอคิดจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายเสร็จแล้วครับ
    และแล้วก็จบลงอีก1บท ขอให้ทุกท่านนอนหลับฝันดีนะครับ

    สรุป
    1.ขณะที่เราไม่ผ่อนคลาย เราไม่สามารถใช้พลังจิตได้
    2.วิธีการผ่อนคลายมีมากมาย ไม่มีวิธีใหนที่ดีที่สุด ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
     
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    และแล้วในที่สุดก็มาถึงบทที่6จนได้ และก่อนอื่น ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ นั่นคือหลังจากบทนี้เป็นต้นไป คุณจะเริ่มนำพลังจิตมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆแล้วครับ ยินดีด้วย! ที่ผ่านมาทั้ง 5 บท (ถ้าอ่านและฝึกตาม) คุณ จะมีพื้นฐานและความเข้าใจภาพรวมของการใช้พลังจิตบ้างแล้ว ดังนั้นเราจะเริ่มหัดใช้พลังจิตให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติกัน ตั้งแต่บทนี้ไป โดยเราจะเริ่มจากความสามารถในการบันดาลเหตุการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้น กับชีวิตของเรา ซึ่งผมว่านี่สำคัญที่สุด
    อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ผมอยากจะบอกกฏ(และมันเป็นเคล็ดลับ)ของการใช้พลังจิตให้ทุกคนครับ กฏนี้ผมพบว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้พลังจิต มันคือ..
    FOCUS AND RELAX
    กฏนี้ สำคัญมาก และจริงๆผมอยากจะขีดเส้นใต้สามเส้นถ้าเป็นไปได้ คุณจะต้องทั้งจดจ่อและผ่อนคลายถึงจะใช้พลังจิตได้ผล แน่นอนหากเราไม่จดจ่อ มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แต่จุดที่น่าสนใจคือ หากในขณะที่เราจดจ่อเราไม่ผ่อนคลาย เชื่อใหมครับว่าพลังจิตจะแทบไม่ทำงาน(หรืออาจไม่ทำงาน)เลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมเขียนเรื่องการRELAX(ผ่อนคลาย)ให้ในบทที่แล้ว หวังว่าคุณฝึกได้แล้ว? และครั้งนี้เราจะมาฝึกครึ่งที่เหลือเพื่อให้เคล็ดลับนี้สมบูรณ์ นั่นคือ FOCUS หรือการจดจ่อครับ
    [​IMG]
    การFOCUSนั้น เราจะต้องจดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจ ทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก จำได้ใหมครับ จิตสำนึกคือส่วนที่เรารู้ตัว จิตใต้สำนึกคือส่วนลึกในตัวเราที่ปกติเราไม่รู้ การทำให้จิตสำนึกจดจ่อนั้นง่ายมาก แค่ตั้งสติ(ไม่เมา)แล้ว ตัดสินใจจดจ่อมันก็จดจ่อแล้วครับ แต่จิตใต้สำนึกนี่สิ ปกติเราไม่รู้และไม่สามารถควบคุมมันได้ เราจึงต้องมีเทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงานสอดคล้องกับจิตสำนึก ให้มันจดจ่อในสิ่งที่เราต้องการ
    เทคนิคสั่งจิตใต้สำนึกนั้นก็มีมากมาย เช่นการสะกดจิตตัวเองซึ่งแตกเทคนิคออกไปอีกเยอะ,การสวด,เพลง,ไปจนถึงเวทย์มนตร์คาถา,รวมถึงการใช้ยา(ซึ่งผมไม่แนะนำให้ใช้เลย) ส่วนเทคนิคที่ผมชอบที่สุด เป็นเทคนิคการสะกดจิตตัวเอง ซึ่งผมจะบอกวิธีที่ผมชอบที่สุดให้คุณสัก2-3วิธี
    MIND SCREEN/POSITIVE IMAGINATION
    1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
    2. ห้ามเกร็ง โดยเฉพาะที่หว่างคิ้วจะเกร็งง่ายมากต้องระวัง หลับตาแล้วกำหนดเห็นภาพในใจ เป็นภาพพื้นที่สีขาวๆ นี่จะทำหน้าที่เป็นจอหนัง
    3. บน พื้นที่สีขาว เริ่มกำหนดภาพสิ่งที่เราต้องการให้เกิด เช่นสมมุติเราอยากไปเชียงใหม่ ก็สร้างหนัง "เราอยู่ในเชียงใหม่" โดยควรจะเป็นหนังที่มีรายละเอียดสูงที่สุด(อย่าลืม ห้ามเกร็ง ห้ามขมวดคิ้ว) ตั้งแต่สถานที่ เสียง แสง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตัวประกอบ เห็นคุณกำลังทำสิ่งที่อยากทำให้สมจริงและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
    4. เมื่อฉายหนังจบ เลิกสนใจจอหนัง สนใจร่างกายของคุณแทน เราจะกลับสู่โหมดปกติโดยการจินตนาการถึงพลัง(อาจใช้แสงสีขาว)แล่น ผ่านทั่วร่างกาย รู้สึกถึงพละกำลังที่ค่อยๆกลับมา จนทั่วแล้วค่อยๆเคลื่อนไหวจากน้อยๆเช่นกระดิกนิ้ว ขยับมือ แขน ขา แล้วค่อยๆลุกขึ้น (ถ้าเคลื่อนไหวแรงและเร็วเกินไปโดยไม่เป็นขั้นตอนอาจมีปัญหากับปราณและชีพจรได้)
    หากคุณไม่ชอบวิธีนี้ ลองอีกวิธีที่ผมเคยใช้ก็ได้ครับ
    MANTRA
    1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
    2. พูดสิ่งที่ต้องการในใจ เช่นเราได้เข้าเรียนในคณะ โดยใช้คำพูดที่ง่ายและเป็นประโยคบอกเล่า ห้ามใช้ประโยคปฏิเสธิหรือประโยคอนาคต
    3. ท่องซ้ำๆพร้อมกับผ่อนคลายไปจนกว่าจะหลับ
    ทั้งสองวิธีนี้ ให้ทำเป็นประจำไปเรื่อยๆครับ แล้วคุณจะพบว่า มันได้ผล
    ตอน นี้คุณได้เรียนรู้วิธีใช้อำนาจจิตทำงานให้เกิดสิ่งที่เราต้องการแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดกว่าพลังจิตชนิดอื่นๆทั้งหมด เพราะอะไรน่ะหรือครับ คุณคิดดูถ้าหากเรามีพลังเยอะแยะ อ่านใจคนได้ รักษาโรคได้ เห็นวิญญาน หรือแม้แต่เหาะได้ แต่เราไม่สามารถจัดการกับชีวิตเราได้ เราก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ขอทานก็มีความทุกข์อย่างขอทานได้ นักธุรกิจก็มีความทุกข์ของเขา ดาราก็มีปัญหาแบบดาราได้ ราชาก็มีความทุกข์ของเขาได้ ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เก่งแค่ไหน ถ้าเราจัดการกับชีวิตไม่ได้ ทุกคนก็แย่พอๆกันนั่นแหละครับ ดังนั้นความสามารถในการดลบันดาลเหตุการณ์ในชีวิต สำคัญกว่าพลังจิตชนิดอื่นทั้งหมด บอกตรงๆถ้าคุณใช้พลังจิตอื่นไม่ได้เลยแต่ใช้พลังจิตpositive imaginationนี้ได้ผมว่าคุณได้ประโยชน์ไปเยอะแล้ว

    สำหรับ บางคนอาจสงสัย ว่าทำแบบนี้แล้วก็ได้ผลเนี่ยนะ? คำตอบคือ ใช่ครับ แต่การได้ผลมันไม่เหมือนหนังพวกแฮรี่พอตเตอร์หรอกครับ ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเราอยากรวยแล้วพอทำแบบนี้ มันจะมีควันออกมาพรึ่บ! แล้วมีเงินกระสอบนึงออกมาจากควัน...ไม่มีทางสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรานั่นแหละ ครับที่เปลี่ยน เราจะไปทำสิ่งที่จำเป็นและถูกต้องในการได้เงินกระสอบนั้นมา

    แล้ว มันต่างกันตรงไหน? บางคนอาจคิดว่า แบบนี้ไม่เห็นต้องใช้พลังจิตเลย ก็ขยันทำงานไปสิ เดี๋ยวก็รวย แต่ผมว่าไม่แน่ครับ ผมเคยเห็นมามากแล้ว ที่คนขยันจัดๆและฉลาดสุดๆ แต่ยังไงก็ไม่รวย มันมีเหตุให้จนทุกทีสิน่า เราจะรู้ได้ยังไงว่าขยันทำงานแบบนั้นแบบนี้แล้วรวยแน่ ใครจะไปรู้?
    วิธีที่คุณทำ ไม่สำคัญเท่าจิตที่คุณใช้ทำหรอกครับ และนั่นคือสิ่งที่บทนี้พูดถึง
    สุด ท้าย ผมอยากจะบอกกฏการใช้พลังจิตอีกข้อหนึ่งให้คุณ นั่นคือ คุณทำได้แค่เลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบของการเผชิญกรรม แต่ไม่มีพลังจิตชนิดไหนเอาชนะกรรมได้ครับ
    สรุป
    1.เคล็ดลับและกฏข้อแรกของการใช้พลังจิต คือ FOCUS AND RELAX
    2.การโฟกัสต้องโฟกัสทั้งในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
    3.การกำหนดเหตุการณ์ในชีวิต เป็นพลังจิตที่สำคัญที่สุด
    4.ไม่มีพลังจิตใดชนะกรรมได้ ทำได้เพียงเลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น
     
  8. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    [​IMG]
    การพยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล
    (Crystal Ball Gazing)


    มีคำกล่าวไว้ว่า The methods used to predict the future are as many and varied as leaves on the trees วิถีแห่งการพยากรณ์นั้นมีมากมายและหลากหลายราวกับใบไม้บนหมู่แมกไม้
    ผู้ คนจำนวนมาก เดินเข้าสู่บู๊ธพยากรณ์ ด้วยความหวังที่จะได้พบกับภาพผู้พยากรณ์นั่งสบายๆอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ คลุมด้วยผ้าคลุมสีเข้ม บนโต๊ะมีลูกแก้วคริสตัลขนาดใหญ่ที่งดงามวางสงบนิ่งอยู่ภายใต้แสงเทียน และกลุ่มหมอกควันจางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่ในลูกแก้ว แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เนื่องจาก มิใช่ผู้พยากรณ์ทุกคนจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ได้
    การ พยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล เป็นวิธีการพยากรณ์ที่ได้รับการยอมรับ และนับถือจากบุคคลทั่วไปมาเป็นเวลานาน หลักการที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นหลักการที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโรมา เนีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ยิปซี (Gypsy) นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้หลักการของศาสตร์อื่นๆในการพยากรณ์อีกด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทหรือขอบเขตของคำตอบที่คาดหวัง เช่น การใช้กสิณหรือฌานในการพยากรณ์ เพื่อค้นหาคำตอบในส่วนลึกของจิต เป็นต้น ทั้งนี้ ในการพยากรณ์ด้วยคริสตัลบอล ผู้พยากรณ์แต่ละคนอาจมีวิธีการมองที่แตกต่างกัน บางท่านอาจมองเข้าไปภายในบอล โดยมีภาพเล็กๆปรากฏอยู่ภายใน บางท่านอาจมองโดยเห็นภาพขึ้นมาแทนที่บอลลูกนั้น หรือบางท่านอาจใช้บอลเป็นตัวฉายภาพเข้าไปปรากฏในมโนภาพของตน ไม่มีข้อกำหนดชัดเจนในส่วนนี้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้พยากรณ์แต่ละท่าน
    เนื่อง จากการพยากรณ์โดยใช้คริสตัลบอล เป็นการพยากรณ์ที่ไม่มีสิ่งอื่นมาเป็นสื่อ หรือเป็นสัญลักษณ์ในการชี้แนะคำทำนาย แต่เป็นการใช้พลังจิตในการมองและอ่านโดยตรง ที่เรียกกันว่า Psychic reading จึง ทำให้การพยากรณ์แบบนี้ไม่แพร่หลายมากนักในปัจจุบัน เพราะมีผู้พยากรณ์จำนวนไม่มากนัก ที่สามารถใช้พลังจิตในการวิเคราะห์อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงบุคคล เหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆได้จริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความสามารถพิเศษ และการฝึกฝนอย่างถูกวิธี เป็นระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะสามารถใช้คริสตัลบอลในการพยากรณ์ให้ผู้อื่นได้
    อัน ที่จริง ลูกแก้วคริสตัล หรือคริสตัลบอล เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการพยากรณ์ โดยเลือกใช้วัตถุที่มีผิวเรียบและเป็นมันวาว ในการมองภาพบุคคลหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งในที่นี้ สามารถใช้สิ่งอื่นๆทดแทนได้ในหลักการเดียวกัน เช่น อ่างหรือชามหรือถ้วยที่ใส่น้ำสะอาดจนเต็มปริ่ม, แหล่งน้ำตามธรรมชาติ, กระจกเงา ฯลฯ และหากเป็นลูกแก้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกแก้วที่ทำมาจากหินธรรมชาติเท่านั้น แก้วที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นวัตถุที่ไม่มีพลังงานในตัวเองตามธรรมชาติ ในที่นี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ใช้บอลที่ทำมาจากหินหรือแร่ในธรรมชาติเท่านั้น ส่วนจะเป็นหินหรือแร่ชนิดใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพอใจส่วนตัวของตัวผู้ใช้เอง (ผู้เขียนใช้บอลที่ทำมาจาก Rock Crystal หรือ Clear Quartz ซึ่งเป็นที่นิยมพอสมควร แม้จะแพงอยู่สักหน่อยแต่ก็คุ้มครับ)
    [​IMG]
    ก้าวแรกอันมั่นคง

    ก่อน ที่จะหาซื้อบอลที่จะนำมาใช้ ควรเตรียมอุปกรณ์และความพร้อมของผู้ฝึกหัด ให้เรียบร้อยเสียก่อน อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ ได้แก่
    1. ผ้าชิ้นเล็ก ควรเป็นผืนใหม่ที่สะอาด เลือกที่เนื้อนุ่มและสามารถซับน้ำได้ดี เพื่อใช้ในการเช็ดทำความสะอาดภายหลังการล้าง อาจเป็นสีขาวหรือดำ หรือสีอื่นๆก็ได้ แต่ควรเป็นสีพื้น คือไม่มีลาย และสีไม่ฉูดฉาดเกินไป
    2. ผ้าชิ้นใหญ่ ควรเลือกใช้สีดำหรือสีเข้ม มีเนื้อหนานุ่ม ไม่หยาบกระด้าง ใช้สำหรับห่อหุ้มลูกบอลก่อนและหลังการใช้ อาจใช้ถุงผ้าสีเข้ม หรือหนังสัตว์แทนได้ ที่เลือกใช้ผ้าเนื้อหนานุ่มเพื่อป้องกันรอยขูดขีดซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ และใช้สีเข้มเพื่อเป็นการป้องกันพลังงานที่ไม่ดีจากภายนอก ถูกดูดซับเข้าสู่คริสตัลบอล
    3. โต๊ะสำหรับวางคริสตัลบอล ควรเป็นโต๊ะที่มีขนาดพอดีกับความต้องการและความพอใจของผู้ใช้ และเป็นโต๊ะที่มั่นคง ไม่เอียง ไม่โยก เพื่อมิให้เป็นการเสี่ยงต่อการที่บอลจะกลิ้งหรือตกเสียหาย
    4. ฐานสำหรับวางคริสตัลบอล ใช้สำหรับการวางคริสตัลบอลบนโต๊ะในระหว่างการใช้ ควรเลือกใช้วัสดุที่มีผิวเรียบ และไม่แข็งเกินไป เพื่อไม่ทำให้บอลเป็นรอยขูดขีด ที่สำคัญคือควรเป็นวัสดุธรรมชาติ อาจเป็นไม้หรือหินเนื้ออ่อน หรือโลหะอื่นๆ เช่น ทองคำ เงิน ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก
    [​IMG]

    5. เทียนสีหรือกลิ่นที่เป็นที่พอใจของผู้ใช้ และเครื่องหอมต่างๆ เช่นธูปหอม กำยาน น้ำมันหอมต่างๆ ควรเลือกใช้กลิ่นที่เป็นธรรมชาติ หรือสกัดจากธรรมชาติ และเป็นกลิ่นที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสงบ เบา สบาย และมีสมาธิ
    6. กล่องหรือภาชนะสำหรับเก็บคริสตัลบอล ควรเป็นวัสดุธรรมชาติที่มั่นคงแข็งแรง เช่นหีบไม้ หรือหนังสัตว์ แต่ไม่ควรใช้กล่องโลหะ เพราะจะปิดกั้นการถ่ายเทอากาศมากเกินไป ภายในกล่องควรบุด้วยผ้าหนาๆนุ่นๆเช่นผ้ากำมะหยี่ หรือพวกขนสัตว์ต่างๆ วัสดุที่ใช้ก็ควรเป็นวัสดุธรรมชาติเช่นกัน เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิต
    ทั้ง นี้ อุปกรณ์ทั้งหมด ควรผ่านการชำระล้างพลังงานด้านลบ พลังงานที่ไม่ดีและพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกเสียก่อน อาจใช้การชำระด้วยแสงอาทิตย์ การใช้ควันของเครื่องหอม หรือการชำระด้วยจิตก็ได้
    นอก จากนั้น การเตรียมพร้อมของตัวผู้ฝึกหัด เวลาในการฝึก และสถานที่ที่จะใช้ทำการฝึก ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การฝึกหัดเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยมีข้อกำหนดคร่าวๆ ดังนี้
    1. พื้นฐานของจิต
    ผู้ ฝึกหัดควรมีพื้นฐานด้านการทำสมาธิหรือการฝึกจิตมาบ้าง (ในกรณีที่มีความสามารถพิเศษด้านนี้อยู่แล้ว อาจไม่ต้องฝึกมากนัก และจะมีวิธีการฝึกอีกแบบหนึ่ง) หรืออย่างน้อย ควรทำสมาธิเป็น สมองซีกขวา ซึ่งควบคุมการทำงานด้านจินตภาพควรทำงานได้ค่อนข้างดี ถึงดีมาก และมีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการปฏิบัติ (การเลิกฝึกกลางคันอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองและจิตใจ) ผู้ฝึกหัดใหม่(ไม่มีความสามารถพิเศษอยู่ก่อนและไม่มีพื้นฐานการฝึกจิตหรือ สมาธิ)อาจใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมของพลังชีวิตและพลังจิตค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถและความพยายามของผู้ฝึกหัด
    อย่าง ไรก็ตาม มิใช่ว่าการมีพื้นฐานการฝึกจิตมาดีหรือมีความสามารถพิเศษอยู่แล้ว จะสามารถซื้อบอลมาใช้ได้ทันที นั่นเป็นไปไม่ได้ การพยากรณ์หรือการฝึกจิตทุกอย่างต้องใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับวิถี และความช่ำชองชำนาญ จะใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล และประสบการณ์ในการใช้ด้วย
    2. เวลาในการฝึก
    ผู้ ฝึกควรมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างน้อยวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันใน ช่วงแรก และ หลังจากนั้น ค่อยๆลดลงคือไม่ต้องฝึกทุกวันได้ อาจจะเป็น 2-4 วันต่อสัปดาห์แล้วแต่ความสะดวก
    เวลา ที่เหมาะสมต่อการฝึก คือเวลาเย็น ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแต่ยังไม่มืด หรือหากไม่สามารถฝึกในเวลานั้นได้ ควรเป็นเวลาอื่นที่เรารู้สึกสบาย และผ่อนคลาย สามารถอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน และปราศจากความหมกมุ่นกังวลกับชีวิตประจำวัน จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ในที่นี้มีส่วนสัมพันธ์กับสถานที่ด้วย
    3. สถานที่ในการฝึก
    ควร เป็นสถานที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวน และเราสามารถอยู่คนเดียวได้เป็นเวลานานๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน บรรยากาศในสถานที่ควรจะทำให้ผู้ฝึกรู้สึกสงบและสบาย (อาจเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องพระก็ได้) มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป และมีความชื้นพอเหมาะ ไม่แห้งหรืออับชื้นเกินไปจนรู้สึกไม่สบายตัว หากใช้เครื่องปรับอากาศควรปรับอุณหภูมิให้พอดีกับความต้องการ ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป และใช้พัดลมเบาสุด อาจจุดเครื่องหอมได้ตามต้องการ (เครื่องหอมที่มีควันเหาะสำหรับห้องหรือสถานที่ๆเปิดโล่ง ส่วนน้ำมันหอมเหมาะกับห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ทั้งยังช่วยควบคุมความชื้นในอากาศด้วย)
    ภาย ในห้องควรมีแสงสว่างไม่มากนัก แค่พอมองเห็นได้ชัดเจนและสบายตา แสงที่สว่างจ้าเกินไปอาจทำให้ไม่สบายตาและรู้สึกกระวนกระวายไม่มีสมาธิ รวมทั้งไม่ควรให้มีแสงส่องตรงสู่คริสตัลบอลหรือตาของผู้ฝึกโดยตรง จะเกิดผลเสียต่อสายตาได้ (แสงที่แนะนำคือแสงจากเทียนจำนวนไม่มากนัก ปิดไฟฟ้าทั้งหมดและจุดเทียนสองถึงสามต้น ก็ค่อนข้างสว่างแล้ว ถ้ายังรู้สึกมืดเกินไปอาจเพิ่มได้อีก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของสถานที่ด้วย)
    [​IMG]

    เสียง ในห้องก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้การฝึกดำเนินไปด้วยดียิ่งขึ้น บางคนอาจไม่ชอบอยู่ในห้องที่เงียบสนิทและมีแสงสลัวๆคนเดียว อาจเปิดเพลงบรรเลงเบาๆร่วมด้วยได้ เพลงที่ใช้ควรเป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกสงบ ไม่หนวกหู เป็นเสียงในธรรมชาติหรือเป็นเสียงเครื่องดนตรีเดี่ยวๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีของชาติใด ควรเลือกเพลงที่มีท่วงทำนองค่อนข้างช้าเนิบนาบ และราบเรียบ และมีโทนเสียงกลาง ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป

    การเลือกซื้อคริสตัลมาใช้

    ในการเลือกบอลที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือกชนิด สี ขนาด และรูปร่าง ตามความพอใจของผู้ใช้เป็นหลัก ไม่ มีกฎเกณฑ์ตายตัวในส่วนนี้เช่นกัน ข้อแนะนำสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ในการใช้บอลที่ทำจากหินธรรมชาติ คือ พยายามใช้สีที่ดูแล้วสบายตา ไม่ฉูดฉาดเกินไป และเมื่อสัมผัส ตัวท่านเองจะรู้สึกได้ว่า บอลลูกนั้นใช่หรือไม่
    ตำหนิ หรือร่องรอยต่างๆภายในเนื้อหิน เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรตระหนัก เป็นธรรมดาของบอลที่ทำจากหินธรรมชาติ ที่มักจะมีตำหนิหรือร่องรอยต่างๆภายใน หากเลือกที่จะใช้บอลขนาดใหญ่ ย่อมจะมีตำหนิต่างๆมากขึ้นตามไปด้วย (ที่ไม่มีตำหนิเลยหรือมีน้อยมากก็มีเช่นกัน แต่จะราคาสูงมาก เช่น Clear Quartz Crystal Ball ที่ใสบริสุทธิ์จริงๆ ณ ปัจจุบัน บอลที่มีนำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม จะมีราคาอยู่ที่ประมาณสองแสนบาทต่อลูก) การเลือกซื้อควรเลือกชนิด ลักษณะและสีของตำหนิภายในด้วย โดยเลือกบอลที่มีร่องรอยที่งดงามและถูกใจก็พอ อีกทั้งไม่ควรเลือกซื้อบอลที่ตำหนิหรือร่องรอยต่างๆเหล่านั้น โผล่หรือทะลุมาจนถึงผิวนอก อันจะทำให้พื้นผิวเกิดรอยสะดุดหรือขรุขระเป็นบริเวณกว้าง จะส่งผลต่อการพยากรณ์ที่ไม่ราบรื่น
    [​IMG]

    แต่ หากมีเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีผลมากนัก และในระหว่างการซื้อ ควรถามผู้ขายให้แน่ชัดว่า หินชนิดนั้นๆ มีข้อควรระวังในการใช้และการเก็บรักษาอย่างไรบ้าง

    ต้อนรับคริสตัลสู่ชีวิต

    หลัง จากที่เราซื้อคริสตัลบอลมาแล้ว ให้พยายามตรงกลับบ้านทันที ล้างบอลด้วยน้ำสะอาด และสบู่เหลวเจือจาง (อาจผสมเกลือทะเลเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของหิน) หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดชิ้นเล็กเช็ดให้แห้ง ไม่ต้องถูนะครับ เวลาล้างควรจับให้มั่น เพราะหินส่วนใหญ่จะลื่น อาจทำตกเสียหายได้ หลังจากนั้น ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมเบาๆให้ทั่ว แต่ไม่ต้องมากนัก น้ำมันจันทน์ หรือน้ำมันจากอำพันก็เป็นทางเลือกที่ดี
    การ ล้างด้วยน้ำในครั้งแรกนั้น เป็นการล้างสิ่งสกปรกทางภายนอกหรือทางกายภาพ ซึ่งอาจติดมาจากกระบวนการผลิตหรือขนส่ง หรือจากการวางอยู่ในร้านค้า ส่วนการลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น เป็นการชำระ ภายใน คือการล้างพลังงานที่ไม่พึงประสงค์ออกจากคริสตัลบอล ในขณะที่ลูบไล้ด้วยน้ำมันหอมนั้น ควรตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อช่วยในการชำระสิ่งไม่ดีออกจากคริสตัลบอลด้วย หลังจากนั้น ห่อด้วยผ้าผืนใหญ่ที่เตรียมไว้ แล้วใส่ลงในกล่องหรือหีบที่เตรียมไว้ เก็บไว้อย่างสงบอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ จึงนำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนนำไปใช้
    ใน ระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ อาจมีการจุดเทียนและเครื่องหอม เปิดเพลงสำหรับฝึกสมาธิเบาๆ และสวดมนต์หรือกล่าวอะไรเล็กน้อย เพื่อเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่บ้านหรือวิถีการดำเนินชีวิตของเรา

    การมองคริสตัลบอลและการพยากรณ์

    ดัง ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ว่าเราสามารถมองคริสตัลบอลได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้พยากรณ์ สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ จากการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวได้
    ใน การเปิดใช้คริสตัลบอลครั้งแรก ควรเริ่มในคืนเดือนมืดหรือวันข้างขึ้นต้นๆ (เช่น ขึ้น 1 ค่ำ) เลือกเวลาที่ทุกสิ่งเงียบสงบ และแน่ใจว่าคุณจะไม่ถูกรบกวน หากเป็นไปได้ให้เลือกเวลาพระอาทิตย์ตกแต่ยังไม่มีดดังที่กล่าวไว้แล้ว เนื่องด้วย ชาวโรมาเนียถือว่าเป็นMagical time หรือเวลาแห่งมายานั่นเอง สภาพของห้องหรือสถานที่ควรจัดตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น
    หลังจากนั้น นำคริสตัลบอลออกจากล่อง และค่อยๆเปิดผ้าที่ห่อหุ้มไว้ออก และค่อยๆวางลงบนโต๊ะ นั่งห่างจากคริสตัลบอลพอสมควร ใน ระยะที่สบายสำหรับผู้ฝึก ไม่มีข้อกำหนดใดๆกล่าวไว้ว่าจะต้องนั่งอย่างไรหรือมีระยะห่างเท่าไหร่ แต่ควรเป็นท่านั่งที่สบาย สามารถนั่งได้นานๆ และสามารถทำสมาธิได้ (ส่วนใหญ่ชาวตะวันตกจะไม่ได้นั่งขัดสมาธิเพื่อทำสมาธิแบบของทางตะวันออกนะ ครับ แต่มักจะนั่งบนตั่งหรือเก้าอี้แทน ไม่ก็ยืนไปเลย) ทำจิตให้สงบเพื่อปลุกเร้าและปลดปล่อยพลังงานZee (คล้าย กับชี่หรือพลังลมปราณ) วาดมือผ่านบอลเบาๆ 3 ครั้ง อาจมากกว่านี้ ในช่วงต้นของการฝึก แต่ไม่ควรน้อยกว่า 3 ครั้ง และอย่าให้สัมผัสโดนคริสตัลบอล รู้สึกถึงการถ่ายเทหนุนเวียนพลังงานระหว่างมือกับคริสตัลบอล ผ่อนคลายจิตใจและร่างกาย เปิดเปลือกตาช้าๆ มองไปที่ลูกแก้วโดยไม่ต้องเพ่ง เป็นการมองแบบผ่านๆเหมือนการมองออร่า และไม่ต้องมุ่งหวังว่าจะต้องเห็นสิ่งใดในการฝึกครั้งแรกๆ ไม่ต้องเสียใจหรือพยายามเพ่งมองให้เกิดภาพ จะกลายเป็นการหลอกตัวเองไปเปล่าๆ ในช่วงต้นนี้ ไม่ควรฝึกมองนานเกิน 30 นาทีต่อครั้งต่อวัน ในการมองครั้งแรกนี้ อาจเห็นสิ่งประหลาดบ้าง หรือไม่เห็นอะไรเลย อย่าตกใจและอย่าท้อ ทุกคนย่อมต้องอาศัยการฝึกและการใช้บ่อยๆ รวมถึงการหล่อหลอมประสบการณ์และความชำนาญในการมองภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจ และการมองเห็นที่แจ่มชัดขึ้น ไม่มีข้อกำหนดเช่นกันว่าทุกคนจะต้องเห็นเป็นภาพทุกครั้ง บางคนหรือบางครั้งอาจเห็นเป็นสัญลักษณ์ หรือได้ยินเป็นเสียง หรืออาจมีการรับสัมผัสอื่นๆได้อีก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเครื่องรับสัญญาณของแต่ละคน
    หลังจากฝึกไปได้ระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เห็นในช่วงตันนี้มักเป็นกลุ่มหมอก หรือควัน หรือเมฆ ส่วน ใหญ่จะเป็นสีขาว แต่ก็มีบ้างที่เป็นสีสันต่างๆออกไปในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถตีความหมายใดๆ ได้ ซักระยะหนึ่งของการฝึก กลุ่มเมฆหมอกเหล่านี้ จะค่อยๆจางลงหรือปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเอง หากไม่เห็นอะไร อย่าพยายามฝืนหรือคิดจินตนาการไปเอง เพราะจะกลายเป็นการสร้างภาพ ทำให้คำพยากรณ์ผิดเพี้ยนไป นี่คือหลักการของการใช้Psychic reading




    การตั้งคำถาม

    คำ ถามส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ หลังจากสามารถมองเห็นภาพต่างๆได้ดีพอสมควรแล้ว การฝึกตั้งคำถามในใจ จะช่วยให้การฝึกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในช่วงแรกของขั้นตอนนี้ ให้คิดถึงบุคคลหรือสถานที่ อันเป็นที่รู้จักหรือกำลังต้องการพบเจอไว้ในใจ ภาพที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพลอยๆของบุคคลหรือสถานที่นั้น หรือเป็นภาพที่ไม่อาจแปลความหมายได้ ควรฝึกและทดลองตั้งคำถามในใจกับตัวเอง จนเกิดความคล่องแคล่วชำนาญ สามารถตั้งคำถามได้ตามความต้องการของจิตใจ สามารถมองภาพต่างๆได้สมบูรณ์ชัดเจนดี และมีความมั่น ใจในความสามารถของตนเองอย่างมั่นคงดีแล้ว จึงสามารถออกทำนายให้แก่ผู้อื่นได้ สิ่งที่ควรจำก็คือ การขาดความเชื่อมั่นในพลังและความสามารถของตนและความกังวลหรือประหม่า จะทำให้คุณไม่สามารถใช้พลังของตนเองและของธรรมชาติได้

    การพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่น

    ให้ ทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมา (ตอนฝึกอาจจะนานมาก แต่เมื่อเกิดความชำนาญ ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้าสู่การพยากรณ์จะใช้เวลาน้อยลง) ให้ผู้รับการทำนายอังมือไว้เหนือคริสตัลบอลสักครู่ พร้อมกับทำใจให้สงบ ตั้งสมาธิถึงสิ่งที่เขาต้องการทราบแล้วจึงเริ่มการทำนาย โดยอธิบายถึงสิ่งที่เราเห็นให้แก่ผู้มารับการทำนาย แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าทำนายให้แก่ผู้ใด จนกว่าเราจะมั่นใจในพลังและความสามารถของตน ความประหม่าและกังวลจะนำไปสู่ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในอนาคต อันจะทำให้เราเสื่อมเสีย
     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    การฝึกเบื้องต้นสำหรับดูออร่าของคน

    การเลือกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะช่วยให้เราสามารถมองเห็นออร่าของบุคคล ได้อย่างชัดเจน และช่วยให้เราไม่ตีความสีของออร่าไปผิดๆ ด้วย ขั้นตอนการฝึกมีดังนี้

    1. ให้บุคคลที่เราต้องการดู อยู่หน้าพื้นหลังที่เป็นสีขาวและมีแสงสว่างส่องถึง ถ้าพื้นหลังเป็นสีอื่น ท่านผู้อ่านอาจต้องแยกสีด้วยตนเองซึ่งอาจทำให้ตีความสีผิดไปได้
    2. เลือกจุดที่ต้องการเพ่ง จุดที่เว็บไซต์นี้แนะนำคือบริเวณหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นจุดจักระสำคัญของร่างกาย หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตาที่สาม
    3. เพ่งที่จุดดังกล่าวประมาณ 30 ถึง 60 วินาที หรืออาจจะยาวนานกว่านั้นก็ได้
    4. หลังจากเพ่งตามระยะเวลาดังกล่าว จึงเริ่มมองไปที่โครงร่างคนด้วยหางตา โดยยังคงเพ่งไปที่หว่างคิ้วเช่นเดิม หลักสำคัญคือต้องเพ่งไปที่จุดหว่างคิ้วโดยไม่ขาดช่วง ยิ่งเพ่งนานจะยิ่งเห็นแสงออร่าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
    5. เพ่งจนท่านผู้อ่านคิดว่าแสงออร่าแจ่มชัดแล้ว ขอให้ท่านหลับตาลง คราวนี้ท่านจะเห็นแต่แสงออร่าเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ท่านจะมีเวลาเพียง 1 ถึง 2 วินาทีเท่านั้น ก่อนที่ประสาทรับภาพของเราจะเลิกจดจำภาพดังกล่าว
    การที่สายตาของเรายังคงจดจำภาพแสงออร่าได้ เป็นเพราะประสาทตาของเรามีความทรงจำ มันสามารถจดจำภาพเก่าๆ เอาไว้ได้ในช่วงเวลาประมาณ 1 ถึง 2 วินาทีเท่านั้น ขอให้ใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
    ปฏิบัติจริง

    การจะสังเกตแสงออร่าของคู่สนทนานั้น ท่านผู้อ่านควรเลือกจุดที่บริเวณระหว่างตาทั้งสองข้าง ซึ่งอยู่เหนือจมูกขึ้นมาประมาณ 1.5 ซม. แล้วใช้วิธีการเดียวกันกับการฝึก คือ เพ่งที่จุดดังกล่าวประมาณ 30 ถึง 60 วินาที ท่านผู้อ่านอาจลองเพ่งจุดจักระอื่นๆ ของร่างกายก็ได้ เช่น จักระคอ หรือ จักระหัวใจ ซึ่งมักจะให้ผลแบบเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น การเพ่งที่บริเวณหว่างคิ้วหรือระหว่างตาจะทำให้ท่านสามารถคุยโต้ตอบกับคู่ สนทนาของท่านได้อย่างปกติมากที่สุด
    พื้นหลังที่เหมาะกับการดูออร่าจะต้องมีแสงส่องนวลๆ และไม่มีเงาตกกระทบ ไม่ควรเลือกพื้นหลังเป็นท้องฟ้าเพราะมีแสงมากเกินไป อาจทำให้ตาพร่าได้
    อยากดูแสงออร่าของตัวเอง จะทำอย่างไรดี?

    ขอให้ท่านผู้อ่านหากระจกบานพอเหมาะมา 1 บาน ยืนห่างจากกระจก 1.5 เมตร ใช้เทคนิคเดียวกันกับการสังเกตแสงออร่าผู้อื่น พยายามเลือกพื้นหลังที่มีแสงส่องนวลๆ ไม่มีเงาตกกระทบ
    ขอให้ท่านผู้อ่านพยายามฝึกสังเกตแสงออร่าของตนเองทุกวัน วันละ 10 ถึง 15 นาที จะช่วยให้ท่านชำนาญมากยิ่งขึ้น
    ความหมายของแสงออร่า

    หลักทั่วไปของแสงออร่า: ยิ่งแสงออร่ามีสีสดใส ไม่ขุ่นมัว และสว่างแล้ว เจ้าของร่างจะยิ่งมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่สมบูรณ์
    โดยปกติแล้ว แสงออร่าจะปกคลุมทั่วร่าง แต่เมื่อเราจะวินิจฉัยแสงออร่า เราจะใช้เพียงแสงออร่าที่ส่วนศีรษะก็พอแล้ว ตามปกติแล้วคนเราจะมีแสงออร่าหลักที่เด่นชัดอยู่ 1 ถึง 2 สี แต่นอกจากแสงออร่าหลักแล้ว ยังมีแสงออร่าอื่นที่สามารถสะท้อนความคิด ความรู้สึก หรือแม้แต่ความปรารถนาได้ในรูปของการกระพริบ ในรูปเมฆหมอก หรือในรูปของเปลวไฟก็ได้ ซึ่งรูปแบบเหล่านี้จะอยู่ไกลออกไปจากศีรษะ
    สีของแสงออร่าจะมีดังต่อไปนี้

    1. สีม่วง - สีแห่งความคิดเชิงจิตวิญญาณ: โดยปกติแล้วสีม่วงจะไม่ใช่สีหลักของแสงออร่า แต่จะปรากฏในรูปของการกระพริบหรือเมฆหมอกมากกว่า
    2. สีน้ำเงิน - สีแห่งความสมดุล: ผู้ที่มีสีน้ำเงินเป็นสีหลัก เป็นคนผ่อนคลายและมีความสมดุล พร้อมในการดำเนินชีวิตหรือต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ผู้ที่มีความคิดเป็นสีน้ำเงินแสดงว่าระบบประสาทเริ่มผ่อนคลาย เพื่อสร้างความสงบให้จิตใจหรือเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด
    3. สีน้ำทะเล - สีแห่งการจัดการและการโน้มน้าวใจผู้อื่น: ผู้ที่มีสีน้ำทะเลเป็นสีหลัก เป็นคนมีคุณภาพชีวิตแบบพลวัติ มีบุคลิกที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานสูง สามารถโฟกัสงาน และโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ ทำงานหลายอย่างได้พร้อมกันและเป็นนักจัดการที่ดี รู้สึกเบื่อที่ต้องทำงานอย่างเดิมหรือต้อง concentrate อยู่กับสิ่งสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆ ผู้จัดการชอบทำงานโดยมีคนสีน้ำทะเลเป็นลูกน้อง เพราะผู้จัดการเพียงแต่สั่งงานโดยอธิบายเป้าหมาย และให้คนสีน้ำทะเลไปโน้มน้าวใจคนอื่นให้ทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายต่อแทน ความคิดสีน้ำทะเลจะเกี่ยวข้องกับการจัดการและการโน้มน้าวใจผู้อื่น
    4. สีเขียว - สีแห่งความผ่อนคลายและการเยียวยา: ผู้ที่มีสีเขียวเป็นสีหลัก เป็นคนที่รักสงบ มีการปรับเปลี่ยนพลังงาน และเป็นนักเยียวยาตนเองโดยธรรมชาติ ยิ่งสีเขียวเด่นชัดมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเยียวยาตนเองได้เก่งมากขึ้นเท่านั้น มักชอบทำสวน ชอบปลูกต้นไม้ และรักความสงบในป่า ความคิดสีเขียวจะเกี่ยวข้องกับการพักผ่อนและการเยียวยาตนเอง
    5. สีเหลือง - สีแห่งสันติและการปล่อยวาง: (สีเหลือง - สีแห่งสันติและการปล่อยวาง) ผู้ที่มีสีเหลืองเป็นสีหลัก เป็นคนที่มีความสุขอยู่ในตนเอง มีความเมตตาสูงมาก และปล่อยวางแล้วซึ่งทุกสิ่ง ถ้าผู้ใดมีรัศมีสีเหลืองรอบพระเศียร/ศีรษะ ผู้นั้นย่อมมีการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณไปแล้วสูงมาก ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์ของศาสดาของศาสนาต่างๆ อย่าได้เชื่อถือคำสอนของบุคคลอื่นใดที่ไม่ได้มีรัศมีสีเหลือง พระพุทธเจ้าและพระคริสต์มีรัศมีสีเหลืองรอบพระเศียรและเลยลงมาถึงพระกรทั้ง สองข้าง ทุกวันนี้จะหาคนที่มีรัศมีสีเหลืองใหญ่เกิน 1 นิ้วได้ยากมาก การพัฒนารัศมีสีเหลืองเกิดจากการฝึกฝนการนั่งสมาธิ-วิปัสสนา-กรรมฐานของ ศาสนาพุทธ หรือฝึกเพ่งนิวรณ์ตามศาสนาคริสต์ เพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมได้อย่างแท้จริง ในผู้ที่ฝึกฝนธรรมะ รัศมีสีเหลืองจะมาพร้อมกับออร่าสีม่วง
    6. สีส้ม - สีแห่งการใช้พลังและการควบคุม: เป็นสีที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถหรือความต้องการที่จะควบคุมผู้อื่น เมื่อสีส้มเป็นสีหลัก ก็มักจะไปรวมกับสีเหลือง กลายเป็นสีเหลืองทอง ทำให้ศาสดาดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงศาสดาธรรมดา แต่เป็นศาสดาที่มีพลังสูงยิ่ง ความคิดสีส้มเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการควบคุมผู้อื่น
    7. สีแดง - สีแห่งวัตถุนิยม: บุคคลที่มีสีหลักเป็นสีแดง เป็นคนที่ดำเนินชีวิตตามหลักวัตถุนิยมอย่างยิ่ง ทำทุกอย่างเพื่อสนองกิเลสตัณหาของร่างกายตนเอง ความคิดสีแดงจะเกี่ยวข้องกับกิเลสตัณหาของร่างกาย
    8. สีชมพู - สีแห่งความรักในเชิงจิตวิญญาณ: สีชมพูแสดงให้เห็นว่า มีความสมดุลระหว่างความระลึกรู้ทางวิญญาณ (spritual awareness) และความเป็นจริงทางรูปธรรม (material existence) ในศาสดาที่มีพลังสูงยิ่ง จะทรงมิได้มีเพียงรัศมีสีเหลืองทองเท่านั้น แต่จะมีรัศมีสีชมพูอยู่รอบๆ รัศมีสีเหลืองทองอีกด้วย ปัจจุบันนี้รัศมีสีชมพูไม่ปรากฏเป็นสีหลักอีกต่อไปแล้ว ความคิดสีชมพูจะเกี่ยวข้องกับความรักนั่นเอง
    ส่วนสีของออร่าที่ไม่ดีมักปรากฏเป็นสีเข้มมากกว่าพื้นหลัง และมักมาในรูปเมฆหมอกมากกว่ารัศมี สีออร่าที่ไม่ดีมีดังต่อไปนี้

    1. สีน้ำตาล - สีแห่งความไม่สบอารมณ์: กำลังถูกรบกวนใจ เสียสมาธิ มีกิเลสตัณหา มีความคิดอกุศล หรือมีอวิชชา
    2. สีเทา - สีแห่งความหม่นหมอง: กำลังมีความคิดในด้านลบ มีความโศกเศร้า มีความกังวลใจ มี dilemma ในหัวใจ กำลังเผยธาตุแท้ในด้านลบของตนเองออกมา
    3. สีเหลืองกำมะถัน - สีแห่งความโกรธ: กำลังเจ็บปวดทางกาย ขาดการพักผ่อน หรือมีความโกรธ
    4. สีขาว - เมฆหมอกแห่งโรคภัย: กำลังป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรือกำลังรักษาโรคด้วยยาแรงๆ อยู่ ซึ่งมักปรากฏในรูปของเมฆหมอกบดบังรัศมีออร่าของเจ้าของร่าง เมฆหมอกสีขาวเกิดจากการขาดสมดุลของร่างกายและจิตใจ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตจะมีออร่าเป็นเมฆหมอกสีขาวและความเข้มจะเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ เมื่อใกล้เสียชีวิต
    การปรับสมดุลของสีออร่า


    1. การทำสมาธิ: เพื่อช่วยให้จิตใจบริสุทธิ์ ปราศจากความคิด
    2. ฝึกเพ่งออร่า: โดยฝึกกับเครื่องหมายบวก วิธีการนี้เทียบเท่าการเพ่งกสิณในศาสนาพุทธ
    3. ปรับออร่าของเราให้สมดุลกับสิ่งแวดล้อม
    การปรับสมดุลของสีออร่ากับสิ่งแวดล้อม


    1. ปรับสภาพแวดล้อมหรือสีเสื้อให้เข้ากับสีออร่า: สีที่เข้ากับสีออร่าจะเป็นสีตรงกันข้ามโดยดูจากคู่สีดังนี้ สีแดงกับสีน้ำทะเล สีส้มกับสีน้ำเงิน สีเหลืองกับสีม่วง สีเขียวกับสีชมพู
    2. ปรับสภาพแวดล้อมให้ตรงกับสีความคิด: เช่น ถ้าต้องการผ่อนคลายก็ควรปรับสภาพแวดล้อมให้เป็นสีน้ำเงิน
    สิ่งที่ทำลายสีออร่า


    • ความกลัว ความเครียด ความกังวลใจ ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ความคิดในเชิงลบทั้งหมด
    • โรคภัยไข้เจ็บ และการรักษาด้วยยาขนานแรงๆ
    • เสื้อผ้าหรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้ากับสีออร่า เช่น เสื้อผ้าสีทึมๆ (เช่น สีน้ำตาล สีดำ หรือสีเทา)
     
  10. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ฝึกดูออร่าระดับพื้นฐาน


    1. วางฝ่ามือคว่ำลงบนกระดาษสีขาว กางมือออก
    2. สร้างความสงบในจิตใจ ให้ผ่อนคลายจากอารมณ์ต่าง ๆ
    3. หลับตา สร้างนิมิตว่าเรากำลังวางฝ่ามือลงบนกระดาษ รอบ ๆ ตัวมีออร่าสีขาวคลุมอยู่ทั้งหมด
    4. ลืมตา เพ่งลงไปที่ฝ่ามือ สร้างนิมิตเป็นจุดสีขาวระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เพ่งสักพัก จะเห็นแสงสีขาวสว่างเรื่อ ๆ รอบ ๆ ฝ่ามือ
    5. ค่อย ๆ เกิดแสงสีต่าง ๆ ขึ้นแทนที่แสงสีขาวนั้น ให้พยายามเพ่งดูว่ามีแสงสีอะไรบ้าง ออร่ามีลักษณะอย่างไร
    6. ถ้าแสงเริ่มจางให้พักสายตาแล้ว เริ่ม (4) ใหม่
    หมายเหตุ วิธีการนี้เป็นระดับที่ง่ายที่สุด และเป็นพื้นฐานของนักดูออร่าทุกคน ถ้าใครเห็นออร่าเป็นสีอะไรบอก จกขท. ด้วยนะครับ ผมคิดว่าน่าจะเห็นได้ทุกคน ผมขอมอบให้ทุกท่านในห้องเรื่องลึกลับ เป็นวิทยาทานสัก 1 วิธีครับ
    ในการนี้ ผมขอความกรุณา คุณตาที่สามด้วยนะครับสำหรับวิธีการเห็นออร่าของทั้งร่างกายซึ่ง เป็นระดับที่สูงกว่ามาก

    เมื่อชำนาญแล้วก็ฝึกขั้นต่อไป..

    การมองออร่าที่ศีรษะคนจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปครับ และต้องเชี่ยวชาญการมองออร่าที่มือก่อน ขอเรียนว่าผมไม่ใช่คนงมงายแต่ถือว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตที่มีคนเคย ศึกษากันมาก่อน และผมก็เป็นวิศวกรที่มีปริญญาหลายใบรับรองครับ ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เต็มตัวจริง ๆ วิธีการที่จะนำเสนอก็คือวิธีการที่ง่ายที่สุด นั่นคือ การเพ่งนิมิตสามเหลี่ยมสมบูรณ์ หมายถึง การกำหนดจุดที่จะต้องเพ่งสามจุดด้วยกัน เริ่มต้นจาก

    1. เพ่งจุดขาวบนศีรษะอาสาสมัคร (อย่าเที่ยวไปดูใครที่เขาไม่อาสานะครับ อันตรายมาก และเขาจะหาว่าเราไม่มีมารยาท) สูงขึ้นไปหนึ่งคืบจากศีรษะ สักพัก
    2. เลื่อนสายตา เพ่งจุดขาวบนไหล่อาสาสมัครสูงขึ้นไปหนึ่งคืบ (ไหล่ข้างขวาก่อน) สักพัก
    3. เลื่อนสายตา เพ่งจุดขาวบนไหล่ซ้ายของอาสาสมัครสูงขึ้นไปหนึ่งคืบ สักพัก
    4. เลื่อนสายตากลับมาเพ่งจุดขาวบนศีรษะอาสาสมัครสักพักจะเริ่มมองเห็นแสงสีขาวหุ้มรอบศีรษะอาสาสมัคร
    5. แสงสีอื่นจะเริ่มปรากฏขึ้นแทนที่แสงสีขาวให้ท่านสังเกตุว่าแสงดังกล่าวมีลักษณะอย่างไรสีสันเป็นอย่างไรบ้าง
    หมายเหตุ ข้อห้ามของวิธีการนี้คือ ห้ามดูคนอื่นที่เขาไม่อาสาหรือไม่ยินยอมเพราะจะเป็นการไร้มารยาทครับ หากทีเผลอก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปทำต่อหน้าก็จะเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งครับ
    ใครเลยขั้นพื้นฐานแล้ว ก็ดูขั้นต่อไปต่อ..

    วิธีดูคนทั้งตัว (สำหรับคนที่มีพลังจิตถึงขั้น) ให้ลืมตาเพ่งคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าเรา ห่างประมาณ 1.5เมตร แล้วหลับตา กำหนดจิตว่า ตาที่สามที่อยู่ตรงหน้าผาก ได้เปิดขึ้น

    ก็จะเห็น แสง ของกายทิพย์ ที่เป็นเงาตัวเรา และเห็นแสงเรืองเป็นสี สาดออกไป เหมือน เรา มองดูหลอดไฟ(กายทิพย์) และ แสงสว่างหลอดไฟที่สาดไปทั่วห้อง นั่น คือ รัศมีกายทิพย์ ที่มี นานา สี แล้วแต่ว่า จิตดีหรือ เลว

    ถ้าจิตดี รัศมีกาย จะสวยสดใส ถ้าจิตเลว สีจะสกปรก เหมือนขี้โคลน ดังนั้นเวลาเรามองใคร เราก็รู้เลยว่า คนๆๆนั้นเป็นคนดี หรือคนเลว

    และถ้าดู ลักษณะของ รัศมี เช่น ออกมาเป็นแบบขนเม่น แสดงว่าเป็นคนไม่ยอมใครเหมือนเม่นเวลาพองตัว หรือถ้าเป็นแถบแบบสายฟ้าแลบ แปลว่า ให้อยู่ห่างๆๆเราจะเจ็บตัว

    หรือเป็นรูปเบ็ดงอ แปลว่า กำลังจะโกงเราเป็นต้น การเห็นลักษณะของออร่า ช่วยในการทำธุระกิจได้ เพราะ เราจะรู้ก่อนเลยว่า เขาจะโกงหรือมาไม้ไหนกับเรา และเขากำลังคิดอะไร กับเรา

    ชอบแบบไหนก็เอาแบบนั้นนะครับ
     
  11. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    คนส่วนมากจักระจะแรงที่6 ความคิด,7,4 จิตใจมีเมตตา
    จักระส่วนล่างไม่แรง พลังที่เดินจากกุณฑาลิณีจะติดขัด อาจจะเจ็บป่วยแปลกๆ

    ใช้พวกคริสตัลวางเติมพลังตามจักระต่างๆ เพื่อขยายช่องพลัง
    ร่างกายแข็งแรงเหมือนอายุ15อ่ะ ฟิตมากเลย
     
  12. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    ดูแสงออร่า ไม่ค่อยแน่ใจแต่ลอง3ครั้ง ครั้งแรกเห็นออกม่วง ครั้งที่ 2 ออกแดง = = ครั้งที่3 ออกม่วง ชักงง นิดๆ = =

    แต่ที่ชัวร์คือเห็นไอออร่าวนไปมา เหอๆ
     
  13. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    โมทนาสาธุครับ

    เชิญทำบุญซื้อ อิฐ หิน ดิน ทราย เหล็ก ปูน สร้างศาลาแก้วครอบสมเด็จองค์ปฐม

    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและศาลาแก้วพระจุฬามณี ที่ จ.นครศรีธรรมราช (สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ)

    [​IMG]

    [​IMG]

    " บุญกุศลใดที่พึงจะได้รับ ก็ขอให้ทุกท่านได้รับเช่นเดียวกันถ้วนหน้าสถาพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ที่สุดถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันเทอญฯ สาธุ"<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    พลังจักรวาลใช้รักษาปลาบึกป่วยเป็นโรคจุดขาว ตาเมือกเหมือนจะบอดแล้วนะครับ
    รักษาหายด้วยนะครับ
    ส่งพลังรักษาจากนอกตู้ปลา
    ใครฝึกอยู่ฝึกต่อนะครับ
     
  15. Manbiki

    Manbiki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอบคุณครับ
     
  16. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    อนุโมทนาด้วยครับ การออกกำลังกาย เพิ่มพลังชีวิตให้ เป็นจริงเช่นนั้นครับ
     
  17. Manbiki

    Manbiki เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอบคุณมากครับท่าน
     
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    สำหรับท่านที่เป็นภูมิแพ้ หนาวมากเมื่อถึงฤดูหนาว
    ให้หา อุลกะมณีดำ มาใช้นะครับ เวลาที่ท่านนอนให้วางไว้ใต้หมอนตรงจักระที่ 5 ตรงต้นคอนั่นแหล่ะครับ หรือจะวางไว้รอบๆตัวเมื่อเวลานอนครับ รับรองไม่มีหนาวแถมร้อนอีกต่างหากครับ ท่านใดสนใจหรืออยากได้ผมจะหามาให้บริการนะครับ ใช้เปิดจักระได้ด้วย ครับใช้เหมือนศรีจักราที่ผมเสนอไปครับ
     
  19. ญาณเทวี

    ญาณเทวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +781
    จักระ

    อยากได้ ศรีจักราค่ะ ยังพอมีเหลืออีกมั้ยคะ
     
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    หมดแล้วครับผม ที่ผมทำ
    สงสัยต้องสั่งนำเข้าจากอินเดีย แล้วละมั่ง ท่านใดสนใจจองไว้ดูสิว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...