การวิเคราะห์ข้อมูลเตือนภัยโดยไม่ 'งมงาย' ในวิทยาศาสตร์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 3 มกราคม 2012.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการเตือนภัยพิบัติ

    จากกรณี 'พ่อปลาบู่'
    มีบางท่านแสดงความเห็นว่าควรจะเลิกเผยแพร่คำเตือนประเภทไสยศาสตร์
    น่าสียดายที่บางท่านเหมารวมไปว่าอะไรที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เป็นไสยศาสตร์ไปเสียหมด
    ซึ่งความจริงผู้รู้ย่อมไม่กล่าวอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน

    บางท่านก็กล่าวยกย่องนักวิทยาศาสตร์ เช่น ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุทธยา
    ว่านี่ล่ะตัวอย่างที่ดีของการเตือนภัยอย่างมีหลักการ น่าเชื่อถือ
    ดีกว่าบางคนที่มานั่งหลับตาหลอกตัวเอง แล้วยังเอามา บอกชาวบ้าน

    ตัวอย่างการเตือนภัยพิบัติที่ดี Voice TV วันสิ้นโลก เร็วกว่าที่คิด

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rb_yn8p-roo&feature=player_embedded#"]2011 12 27 Hot Topic Voice TV วันสิ้นโลก เร็วกว่าที่คิด - YouTube[/ame]

    ประเด็นที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงในบทนี้คือ....
    การใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
    ผู้เขียนข้อเรียกรวม ๆ ว่า แหล่งข้อมูลที่ 'ไม่ใช่วิทยาศาสตร์'
    คืออาจมาจากการปฏิบัติสมาธิจนกระทั่งเกิดนิมิต หรือญาณรู้บ้าง
    รวมถึงโหราศาสตร์ การเสี่ยงทาย ความฝัน ลางสังหรณ์ ทรงเจ้า ไสยศาสตร์

    ท่านทราบหรือไม่ว่านักวิทยาศาสตร์อย่าง ดร.อาจอง
    ท่านค้นพบวิธีการลงจอดยานอวกาศได้ด้วยวิธีการทำสมาธิ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ได้เคยกล่าวถึง ดร.อาจอง
    หลวงพ่อกล่าวว่า ดร.อาจอง ท่านมีความสามารถรู้ได้ด้วยศาสตร์ทางจิต
    คือมีทิพจักขุญาณซึ่งไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่เป็นความรู้ทางพุทธศาสน์ อ้างอิง
    ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์อย่าง ดร.อาจอง ท่านย่อมมีแหล่งข้อมูลมากกว่าหนึ่งศาสตร์
    ผู้เขียนสังเกตว่าปกติท่านจะนำเสนออย่างเป็นวิทยาศาสตร์
    แต่ท่านก็สามารถพูดถึงเรื่องทางจิตได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้รับฟังว่าเป็นกลุ่มไหน

    ยังมี ดร.ก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า
    คนที่ได้เคยติดตามประวัติจะทราบว่า ดร.ก้องภพเป็นผู้มีความสนใจและฝึกฝนด้านจิตศาสตร์หรือพลังจิต

    อ้างอิงจากคลิป นาทีที่ 0.59
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2vXh2l3l5ic&feature=related"]the_IDOL_ดร.ก้องภพ_อยู่เย็น_3/3 - YouTube[/ame]

    นอกจากนี้ ดร.ก้องภพ ยังมีความเลื่อมใสองค์ความรู้จากสมาธิของนักบวชในพระพุทธศาสนา
    นั่นคือท่านได้สนทนาปรึกษากับพระอาจารย์รัตน์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
    ดังที่ผู้เข้าสัมมนาได้รับฟังมาว่า ดร.ก้องภพ ใช้เครื่องมือตรวจดู แต่พระอาจารย์รัตน์หลับตาดู
    แ้ล้วเป็นที่น่าแปลกใจว่าข้อมูลจาก 2 แหล่งมีความสอดคล้องกัน

    เรื่องการหยั่งรู้ของจิตและวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่นาทีที่ 0.50
    (โดยพระอาจารย์รัตน์ และ ดร.อาจอง)
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kUru61qs0N0&feature=related"]ถอดรหัสภิบัติภัย ช่วงที่ 1 - YouTube[/ame]

    คลิปงานสัมมนาเจาะลึกภัยพิบัติ
    ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของ ดร.ก้องภพ มีความสอดคล้องกับข้อมูลของพระอาจารย์รัตน์
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=gzv3gGgrrl8&feature=mfu_in_order&list=UL"]เจาะลึกภัยพิบัติ ครั้งที่ 2_17.MP4 - YouTube[/ame]



    ขออภัยที่นำชื่อท่านอาจารย์และ ดร. ทั้งสองท่านมากล่าวในที่นี้
    ผู้เขียนเองมีความเคารพในทุกท่าน แต่ที่นำมาอ้างนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า

    แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เราท่านชื่นชมและนับถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี
    แม้ว่าท่านจะนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
    แต่ท่านเหล่านั้นก็คงไม่ได้ 'งมงายในวิทยาศาสตร์'

    'งมงาย' ปกติเราใช้กับอะไรก็ตามที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
    แต่หากเราพึ่งวิทยาศาสตร์เพียงศาสตร์เดียวโดยดูถูกศาสตร์อื่น ๆ
    ไม่ตรวจสอบว่าความรู้ตามตำราวิทยาศาสตร์อันนั้นยังใช้การได้หรือไม่
    ความรู้นั้นล้าสมัยไปหรือยังท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธรรมชาติ
    ก็อาจกลายเป็นว่าเรางมงายไปกับวิทยาศาสตร์

    เราได้ยินนักวิทยาศาสตร์บอกกับเราอยู่บ่อย ๆ ว่า
    วิทยาศาสตร์สามารถบอกได้เพียงว่ามีแนวโน้มว่าจะเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว หรือ สึนามิ
    แต่บอกไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ จะเป็นการฉลาดกว่าหรือไม่หากนำความรู้จากศาสตร์อื่น ๆ มาช่วยวิเคราะห์หรือทำนาย
    (ในระยะหลังนี้ข้อมูลความรู้ใหม่จาก ดร.ก้องภพ ช่วยให้วิเคราะห์ได้ถูกต้องมากขึ้น)

    หากเรายึดตามแนวทางของนักวิทยาศาสตร์อย่าง ดร.ทั้งสองท่าน
    เราก็ไม่ควรมองข้ามศาสตร์อื่น ๆ โดยเฉพาะศาสตร์ที่ตัวเราเองก็ยังไม่เคยศึกษา
    เราไม่ควรด่วนไปสรุปว่าศาตร์เหล่านั้นหาข้อดีหรือหาประโยชน์อะไรไม่ได้

    จะมีประโยชน์กว่าหรือไม่หากเรานำข้อมูลจากแหล่งข้อมูลมากกว่าหนึ่งศาสตร์
    หรือตั้งแต่ 2 ศาสตร์ขึ้นไปมาช่วยหาแน้วโน้มความเป็นไปได้

    เช่นหากมีคนทำนายจากการสมาธิว่าจะมีแผ่นดินไหวที่กรุงเทพในช่วงปีใหม่
    เราก็ต้องใช้ความรู้ด้านอื่น ๆ ช่วยตรวจสอบ เช่น
    1. ตรวจสอบว่าที่กรุงเทพมีรอยเลื่อนแผ่นดินไหวหรือไม่
    2. มีข้อมูลว่ามีดาวเรียงตัวหรือเกิดพายุสุริยะหรือไม่
    3. มีการอพยพของสัตว์หรือสัตว์มีพฤติกรรมแปลก ๆ หรือไม่
    4. แม้แต่ข้อมูลจากในสายเดียวกัน เช่นผู้ปฏิบัติสมาธิท่านอื่น ๆ มีความเห็นขัดแย้งหรือเป็นไปในทางเดียวกัน

    ในทางตรงข้ามกันหากวิทยาศาสตร์บอกว่ามีแน้วโน้มว่าจะมีแผ่นดินไหวแต่บอกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่
    บางทีข้อมูลจากผู้มีความรู้ความสามารถในการทำนายอาจช่วยระบุช่วงเวลาให้แคบเข้าเพื่อให้ง่ายต่อการเฝ้าระวัง
    แทนที่จะต้องคอยระวังกันตลอดทั้งปี
    จากนั้นอาจใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จี้วิเคราะห์ไปในช่วงเวลาดังกล่าว

    ยิ่งหากหลายศาสตร์หรือทุกศาสตร์ต่างวิเคราะห์หรือทำนายมีแนวโน้มไปในทางเดียวกัน
    เรายิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังและเตรียมพร้อมอย่างมีสติ

    จะเป็นการฉลาดกว่าหรือไม่
    หากเราจะนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ จากหลาย ๆ แหล่งข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกัน
    แทนที่จะโจมตีความรู้ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์หรือความรู้ที่อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์




    ติดตามทาง Facebook กาขาว

    รวมบทความและกระทู้โดย 'กาขาว'


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2012
  2. Whitefaith

    Whitefaith Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +42
    เห็นด้วยกับพี่เจ้าของกระทู้ค่ะ ควรใช้หลายๆอย่างมาประยุกต์ใช้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลดีกับประเทศเรามากที่สุด เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ความจริง

    ถ้าจะให้สมบูรณ์ ผมเพียงจะพูดว่า


    วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์เต็มขั้น

    เพราะ ยังก้าวไปไม่ถึง การพิสูจน์ที่มากเกินกว่ารูปธรรม คือ มากกว่า ดินน้ำไฟลมและอากาศธาตุ(ช่องว่างระหว่างอนุภาคทั้งสี่)

    พระพุทธองค์ทรงสอนพุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งรูปธรรมและนามธรรม

    ในนามธรรมนั้น ทรงแสดงทั้ง นามภายนอกคือ ธรรมารมณ์ทั้งหลายที่มากระทบธาตุรู้


    ทรงแสดงถึง นามภายใน คือ จิต-ใจ ,เจตสิก ( กุศล อกุศล ฯลฯ)

    และวิธีพ้นจากรูปและนาม คือ ละเอียดไปจนพ้นรูปนามคือ สภาวะพ้นจากวัฏฏะสงสาร



    ผมจะยกตัวอย่างพระอาจารย์รัตน์ฯ

    .....ท่านสอนเรื่องเหตุและผล ,เหตุเกิด ผลเกิด และ เหตุดับ ผลดับ , วงจรปฏิจสมุปบาท ทั้งอนุโลม ปฏิโลม จากเหตุมาผล และสาวย้อนกลับจากผลไปรู้เหตุ ,
    เป็นต้น


    ท่านสอนอย่างวิทยาศาสตร์สมบูรณ์

    คือ ต้องทดสอบให้เห็นจริงกับตนจึงนำไปสอนได้


    ในการเจริญสติสัมปชัญญะเป็นปัจจุบันขณะถี่เข้าๆๆๆ สติสัมปชัญญะจะเต็มรอบ

    เมื่อเต็มรอบแล้ว ในกิริยาที่ไม่มีเจตนาใดๆ เมื่อเหตุคือการปฏิบัติในอริยมรรคมีองค์แปดลงตัว จิตจะเข้าสู่สภาวะเหนือขันธ์ห้าชั่วขณะ เหนือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขณะที่จิตกำลังออกจากสภาวะนี้ ถ้าต้องการทราบอะไร ก็นำเข้าไปสู่สภาวะอันเหนือการปรุงแต่งนี้ จะมีความรู้เกิดออกมาเป็นสาย สาวย้อนไปๆๆ จากผลสู่เหตุๆไปเรื่อยๆๆๆๆ ตามกำลังสมาธิและพลังของจิตที่พ้นจากการปรุงแต่งนั้น

    เช่นนาย กอไก่ ตาย ก็จะเห็นอาการตาย สาเหตุการตายจากหยาบไปละเอียด
    สมมุติตายด้วยเชื้อโรค ก็สาวย้อนไปเรื่อยๆว่า ได้รับเชื่้ออย่างไร เชื้อโรคเป็นสาเหตุหลักไหม ทำอย่างไรได้รับเชื้อ , จากผลสู่เหตุย้อนไปเรือ่ยๆ เป็นต้น


    พอทราบแล้ว ก็นำไปเช็คกับประวัติการแพทย์ ถ้าตรงก็แสดงว่า การเข้าไปรู้เห็นด้วยนามธรรมคือจิตใจในสภาวะนั้น ได้ผลถูกต้อง จึงนำมาสอน



    ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,


    การสอนสมาธินับร้อยกว่าวิธี ที่ได้สอนมาร่วมยี่สิบปี รวมทั้งการรักษาโรค

    พระอาจารย์ได้ใช้ตัวเองเป็นเครื่องทดสอบทั้งนั้น


    ตอนไข้หวัดนกระบาด

    พระอาจารย์ก็ขึ้นเขา ในป่าแม่ฮ่องสอน ดึงเชื้อโรคเข้าตัว ด้วยอำนาจจิต แล้วศึกษารายละเอียดจากตัวท่านเอง จนได้วิธีแก้ ก็นำมาสอน เป็นต้น



    หากการนำประสพการณ์ เกี่ยวกับพระอาจารย์มาเผยแผ่นี้ผิดพลาดประการใด ขอขมาต่อพระอาจารย์และพระรัตนตรัย


    ดังนั้น ไม่แปลกใจ ที่หลายท่านที่ได้ปฏิบัติจนเกิดผลดีกับตนแล้ว สามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีตามแนวพุทธศาสตร์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มกราคม 2012
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ในอดีตที่คนเรารู้จักอย่างกว้างขวาง

    เช่นไอน์สไตน์ก็เช่นกัน


    ได้ครุ่นคิด เรื่อง ทฤษฎีสัมพัทธภาพจนจิตได้องค์ฌาณ เกิดการหยั่งรู้ เข้าไปสู่โลกที่เกินกว่ากายสัมผัส

    และ ยอมรับว่า " หากจะมีศาสนาใดในโลกที่เป็นสมควรเป็นศาสนาสากลแล้ว ศาสนาพุทธนั้น คือ คำตอบ "


    ...................


    กระนั้นก็ตาม

    แม้ว่า

    จะมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องที่เกินประสาทสัมผัส เพื่อเติมเต็มคำตอบทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างที่ยังขาดหายไป

    แต่เนื่องจาก ยังเป็นความรู้ที่มองออกไปนอกกายใจของตน

    วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน จึงยังหาจิ๊กซอว์ หรือ คำตอบเติมเต็มไม่เจอสักที


    เมื่อใดที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มาศึกษาเรื่องจิตใจตามแนวพุทธที่ถูกต้องมากกว่านี้ อาจไม่ต้องใช้เวลานานนับร้อยๆปี
    หรือ พัน,หมื่น,แสนปี ในการทะลุมิติไปที่ต่างๆ ฯลฯอันเป็นเรื่องภายนอก ที่ดูง่ายกว่าการดูภายในกายใจของเราเอง
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    และ เพื่อตรงประเด็นตามเจ้าของกระทู้...



    1) ดร.ก้องภพ
    ในวันที่ดร.ก้องภพมาที่สวนบูรณรักษ์ธรรม ก่อนวันจัดสัมมนาภัยพิบัติคึรั้งที่สอง

    ท่านถึงพูดว่า " ผม่ไม่เชื่อผลสรุปของนาซ่า ที่นำนักวิทยาศาสตร์ที่รู้เรื่องเพียงด้านเดียวมาสรุปเรื่องราวทั้งหมด ฯลฯ "

    และ ".....ที่เหลือนอกจากนั้นผมศึกษานอกจากตำราวิทยาศาสตร์ที่มีในโลกปัจจุบัน..."



    2) ดร.อาจอง




    ตอนผมเรียนชั้นประถม ตอนนั้น ดร.อาจองฯท่านดังมาก

    เป็นนักวิทยาศาสตร์ไทย ที่ทำงานคิดค้นระบบการลงจอดของยานไวกิ้ง บนดาวอังคารได้



    ตอนนั้น ท่านมาเล่าให้ฟัง ในงานที่โรงเรียนปรินส์ฯที่เชียงใหม่จัดขึ้น เนื่องจากโอกาสอะไรจำไม่ได้แล้ว

    ท่านเล่าถึง ตอนที่ท่านเข้าไปนั่งสมาธิ แล้วมีมโนภาพของโครงสร้างต่างๆเกิดขึ้นในจิต


    แล้วต่อมา ท่านก็เล่าเรื่องที่ท่านไปพบท่านไสบาบา ที่มีพลังจิตหยั่งรู้อันมหัศจรรย์และสอนธรรมะแบบธรรมชาติ ผสมความอัศจรรย์ คือ เนรมิตนาฬิกาจากในอากาศให้กับ
    ท่านดร.อาจอง ผมจำได้ดี ท่านดร.อาจอง โชว์นาฬิกาให้ดู

    แล้วบรรยายคำว่า WATCH (นาฬิกา) ออกมาเป็นธรรมแต่ละคำ ตามที่ท่านไสบาบาให้ไว้ว่า


    W watch [FONT=2548_d2]you words [/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05][/FONT][FONT=2547_ddinya-05]จงระมัดระวังคำพูดของเรา จงพูดแต่สิ่งที่ดี คำพูดของเราต้องเต็มไปด้วยความรักและเมตตา"[/FONT]


    [FONT=2547_ddinya-05]A[FONT=2547_ddinya-05] Watch you[/FONT][/FONT][FONT=2547_ddinya-05]action [/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05][/FONT][FONT=2547_ddinya-05]จงระมัดระวังการกระทำของเรา จงทำแต่สิ่งที่ดี รับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ[/FONT][FONT=2547_ddinya-05][/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05]
    [/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05]T [FONT=2547_ddinya-05]Watch your Thought
    [/FONT][/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05][/FONT][FONT=2547_ddinya-05]จงระมัดระวังความคิดของเรา เราคิดอะไรก็เป็นอย่างนั้น จงคิดแต่สิ่งที่ดีเสมอ[/FONT][FONT=2547_ddinya-05][/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05]C [FONT=2547_ddinya-05]Watch your Character
    [/FONT][/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05]จงระมัดระวังอุปนิสัยของเรา อุปนิสัยของเราจะต้องเป็นอุปนิสัยที่ดีงาม[/FONT][FONT=2547_ddinya-05][/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05]H [FONT=2547_ddinya-05]Watch your heart
    [/FONT][/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05][/FONT][FONT=2547_ddinya-05]จงทำจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์[/FONT][FONT=2547_ddinya-05][/FONT]



    [FONT=2547_ddinya-05]===================================[/FONT]


    [FONT=2547_ddinya-05]นี่คือตัวอย่างอีกท่าน ของนักวิทยาศาสตร์[/FONT]

    [FONT=2547_ddinya-05]ที่ค้นคว้าเข้าไปภายในกาย ใจ จิต วิญญาณตนเอง[/FONT]
    [FONT=2547_ddinya-05]จนทำให้ผลการค้นคว้าออกไปภายนอกประสพผลสำเร็จ


    [/FONT]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มกราคม 2012
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ก่อนวันเดินทางไปงานสัมมนา


    พระอาจารย์สอนวิธีดูอนาคต โดย มีวิธีเช็คตัวเองว่า มีสภาวะจิตเพียงพอที่จะรู้ไม่ผิดพลาด หรือ ผิดพลาดน้อย


    คือ ไมว่าจะหลับตา หรือ ลืมตา ความสว่างภายในและภายนอกจะเท่ากัน

    คือ เราไม่ได้ติดข้างใน( ธาตุรู้ในใจ ) มากเกินไป

    เราไม่ได้ติดข้างนอก( ความรู้จากอายตนะ หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส สมองคิดนึก ) มากเกินไป

    ถ้าเรายังมีอัตตามาก ปรุงแต่งสุดโต่งไปทางใดมาก
    แสงสว่างภายใน และ ภายนอกจะไม่เท่ากัน คือ มีตัวตนเป็นเครื่องกั้นนั่นเอง

    อันนี้ ลองไปใช้สังเกตุตนเองดู ถ้าจะรู้อะไรโดยจิต


    ( ถ่ายทอดไม่เหมาะสมผิดพลาดประการใด ขอขมาต่อพระอาจารย์และพระรัตนตรัย )
     
  7. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619
    ท่านเจ้าของกระทู้ karan20

    ข้อความของคุณ กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ไม่ขอแย้งแต่ประการใด
    แต่ ที่เราเคยมีความเห็นในกระทู้อื่น ที่ว่า ควรแจ้งเตือนแนววิทยาศาสตร์
    จะดีกว่า นั่นเพราะว่า ผู้ที่เอาคำเตือนแบบไสยศาสตร์มาเตือน
    มันมีมากจนเกินไป พร่ำเพรื่อ จนเลอะเทอะ มีมาได้เกือบทุกสำนัก
    ใครไปสำนักใหนก็เอามาลง อย่างนี้ท่านเห็นควรด้วยหรือ.?
    ทำไม ไม่หาคำเตือนอย่าง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา หรือ ดร.ก้องภพ
    และท่านอื่นๆ ที่เจ้าของกระทู้กล่าวมา มีความน่าเชื่อถือพอ ที่จะนำมา
    แจ้งเตือนได้ แม้ท่านเหล่านั้นจะศึกษาศาสตร์ทางจิตมาด้วย แต่
    ท่านเหล่านั้น ก็มีแนวคิด มีหลักการ ทางวิทยาศาสตร์ และศึกษาความเป็นไปได้
    และทุกคนก็ยอมรับ คำเตือน ของท่านเหล่านั้นได้ โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ

    เขาไม่ใช่ แค่ หลับตาแล้วมาบอกข่าว อย่างที่หลายท่านนำมาลง กันอย่าง
    พร่ำเพรื่อ เพราะไม่รู้จะเอาหลักเกณฑ์อะไร มากลั่นกรองบุคคลเหล่านั้น
    หรือท่านเจ้าของกระทู้ มีวิธีกลั่นกรองญาณ ของท่านเหล่านั้น ก็ช่วยบอกวิธีหน่อย
    อย่าลืมว่า เว็บนี้ มีบุคคลทั่วไปมากมาย ที่เข้ามาอ่าน ซึ่งบางคนเขาก็
    แยกแยะไม่ออกว่า ไหนจริง ไหนไม่จริง แล้วท่านเจ้าของกระทู้คิดมั๊ยว่า
    กี่คนที่ทำใจสงบกับข่าว แล้ว กี่คนที่ตื่นตระหนกกับข่าว.?

    เราก็เลยให้ความคิดเห็นส่วนตัวที่ว่า เอาแนววิทยาศาสตร์มาเตือนดีกว่า
    มีหลักการ และ ความเป็นไปได้ มากกว่า การทำใจยอมรับ ของคนทั่วไป
    เขาย่อมรู้สึกดีกว่า ที่จะมาเจาะจงพื้นที่ของเขา แค่ให้คำเตือนเป็นการบอกกล่าว
    ที่ว่าพื้นที่นั้นๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดภัยอะไรบ้าง เพราะแต่ละพื้นที่ ต่างกัน
    ความเสี่ยงจากภัย ต่างกัน อย่างนี้น่าจะเป็นการเตือนที่ดีต่อความรู้สึก และ
    แต่ละพื้นที่จะได้ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง เหมาะสมกับตน หากเกิดภัย

    มิดีกว่าหรือ หากจะเตือนกันแบบ ค่อยเป็นค่อยไป ให้ใจคนได้ค่อยๆยอมรับ
    เพราะทุกวันนี้ ภัยมากขึ้น และ รุนแรงขึ้น ทุกคนก็เห็นๆกันอยู่ หากการทำนาย
    แบบนั่งฌาณ แล้วไปเจาะจงพื้นที่ใครเขาเข้า คนพื้นที่นั้น ย่อมเสียทั้งความรู้สึก
    และการทำมาหากินขอวพวกเขา (หรือท่านเจ้าของกระทู้ว่าอย่างไร.?)
     
  8. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    (1) หลักเกณฑ์หรือวิธีในการกลั่นกรอง
    1.1 กลั่นกรองด้วยความรู้หรือความสามารถของท่านเองหรือด้วยความรู้ความสามารถของท่านอื่น
    เช่น ครูบาอาจารย์ หรือบุคคลใกล้ชิดของท่านที่มีความสามารถทางจิตหรือวิทยาศาสตร์ หรือทางอะไรก็ตาม
    เช่นตัวผมเองมักตรวจสอบด้วยความรู้ของผมเอง
    และสอบถามจากท่านที่มีความรู้พิเศษเพื่อเอาข้อมูลมายันกัน
    หากตรงกันก็นับว่าต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
    เมื่อข้อมูลไม่ตรงกันก็มักมีบางท่านแสดงความเห็นแย้งไว้
    เช่นกรณีของ 'พ่อปลาบู่' จะสังเกตว่ามีบางท่านได้ให้ความเห็นแย้งไว้ล่วงหน้า

    1.2 หากท่านไม่มีข้อ 1.1 เป็นของท่านเอง
    ท่านยังสามารถอ่านความเห็นของท่านอื่น ๆ ที่มีข้อ 1.1 ได้

    เช่นที่ผมและคุณอริยะบุญ ได้ให้ความเห็นแย้งไว้กรณีของ 'พ่อปลาบู่'

    1.3 กลั่นกรองด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตามที่ท่านเห็นว่าดี น่าเชื่อถือ
    เช่น เรื่องของ 'พ่อปลาบู่' แม้แหล่งข้อมูลไม่เป็นวิทยาศาสตร์
    แต่มีความเป็นไปได้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    กล่าวคือ ทางธรณีวิทยามีรอยเลื่อนที่อาจส่งผลต่อเขื่อนจริง
    ประกอบกับในช่วงใกล้ ๆ ปีใหม่นั้น ปรากฏว่า มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในหลายพื้นที่
    มีข่าวเกี่ยวกับการเกิดพายุสุริยะในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น
    นอกจากนี้ยังมีข่าวเกี่ยวกับสัตว์อพยพอีกด้วย
    จึงจะเห็นว่าเรื่องของ 'พ่อปลาบู่' แม้แหล่งข้อมูลไม่เป็นวิทยาศาสตร์
    แต่มีความเป็นไปได้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    จึงมีน้ำหนักให้เฝ้าระวังเหมือนกัน
    แต่ถ้าเป็นการทำนายอื่น ๆ ที่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับเลย
    หากว่าอยู่ดี ๆ ก็อ้างแบบเลื่อนลอยแบบนี้ก็เพียงแค่รับฟังไว้

    1.4 การกลั่นกรองนั้นเป็นเรื่องของความรู้และความเชื่อ
    ตลอดจนทัศนะคติของแต่ละบุคคลที่จะใช้เป็นตะแกรงล่อน
    คนที่ติดตามเรื่องภัยพิบัติมานานจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันและมีความเชี่ยวชาญในการแยกแยะ
    เริ่มจะรู้ว่าใครที่มั่วข้อมูลหรือมีความน่าเชื่อถือ
    คนที่ติดตามและศึกษามานานจึงได้เปรียบกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาสนใจ
    ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของการสั่งสมประสบการณ์
    ซึ่งในห้องภัยพิบัติแห่งนี้ยังมีเพื่อน ๆ คอยช่วยกันกลั่นกรองตามความรู้ด้านที่ตนเองถนัด
    เช่นคุณ Falkman ก็ออกไปทางแนววิทยาศาสตร์
    ยังมีข้อมูลจาก ดร.ก้องภพ และองค์ความรู้จากพระอาจารย์รัตน์
    คุณอริยะบุญก็ออกไปแนวทางสมาธิจิต การรู้ด้วยจิต เป็นต้น
    นอกจากนี้ยังมีอีกหลายท่านที่ช่วยกันเช็คข้อมูล เช่น ว่ามีสัตว์อพยพไหม
    บางท่านอยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ที่ไหน เก่งด้านไหนก็ช่วยกันสอบถาม

    สรุปคือ เราไม่ได้ใช้ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งหรือใช้แหล่งข้อมูลใดเพียงอย่างเดียว

    อย่ากล่าวเลยว่าศาสตร์นั้นดีกว่าศาสตร์นี้
    เพราะแต่ละศาสตร์ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อด้อยของตนเอง
    เราจึงต้องนำทุกศาสตร์มามาใช้ร่วมกัน

    เราอาจไม่เก่งเท่า ดร. ทั้งสองท่าน (ดร.อาจอง และ ดร.ก้องภพ)
    ที่มีความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางจิตอยู่ในคนเดียวกัน
    แต่เราสามารถนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากคนหนึ่ง มาวิเคราะห์ร่วมกับความรู้ทางจิตของอีกคนหนึ่งได้


    * เนื่องจากมีภาระกิจส่วนตัว ขอบตอบเพียงเท่านี้ก่อน *
    * ส่วนที่เหลือจะมาตอบในโอกาสหน้า *
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2012
  9. Whitefaith

    Whitefaith Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +42
    เราต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนค่ะ และคาดคะเนถึงความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่พอได้ข้าวก็ไม่เชื่อหรือเชื่อจนเกินเหตุ ตื่นตูมจนเกินพอดี ทางสายกลางค่ะ ไม่ตึงและหย่อนจนเกินไปขอบคุณพี่เจ้าของกระทู้และพี่ๆคนอื่นๆด้วยนะค่ะ ขอให้สิ่งดีๆตามกลับไปหาพวกพี่ทุกคนค่ะ
     
  10. ศรศิลป์

    ศรศิลป์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,232
    ค่าพลัง:
    +3,196
    การที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นประดิษฐ์อะไรขึ้นมาได้ ผมว่ามาจากจิตที่เป็นสมาธิทำให้เกิดปัญญา จิตนำวิทยาศาสตร์
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040

    ....จิตนำวิทยาศาสตร์ แบบนี้ ถ้าเป็นจิตดี ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง ก็ดีระดับหนึ่ง


    ถ้าเป็นจิตที่ยังไม่เห็นสัจจธรรม มองออกไปเห็นแต่โลกภายนอกกาย-ใจ เพียงด้านเดียว ก็ยังเป็นปัญญาทางโลก และ สมาธิทางโลก

    ตราบเท่าที่ยังไม่มีแรงดลบันดาลใจ จากนามธรรมต่างๆที่มีอยู่ภายในใจ เช่น ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความโกรธ ฯลฯ

    แต่ทุกวันนี้ อาวุธสงครามทันสมัยมีมาก ก็เพราะจิตที่นำวิทยาศาสตร์ เป็นจิตโลกียะ ที่ไม่เห็นสัจจธรรมภายใน


    ถ้านักวิทยาศาสตร์นั้นจิตดี ก็มีปัญญาคิดทำสิ่งดีๆ ก็ดีไป


    ถ้านักวิทยาศาสตร์นั้น มีปัญญาแบบพุทธะเอาชนะนามธรรมภายในฝ่ายต่ำได้ เค้าจะทุ่มเท เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก
    แก่สรรพชีวิต และนำผลจากการขัดเกลานามธรรมภายในใจจนเกิดญาณทัศนะแจ่มชัด ละเอียด ลึกซึ้ง กว่าปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป มาทำสิ่งดีๆให้โลกได้ดียิ่งขึ้น
     
  12. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ karan20

    เป็นคำตอบที่ดี มีหลักการ ในการพิจารณาข่าว แต่
    คุณ karan ว่ามั๊ย กระทู้ที่มาจากการนั่งฌาณ ในแต่ละครั้ง
    ที่ออกตามๆกันมา มักจะมาแนวเดียวกัน เหมือนเป็นการ
    ประโคมข่าว และ ตอกย้ำว่า มีแน่ เกิดแน่ เพราะขนาดผู้มีญาณ
    ยังมา พร้อมๆกัน แนวเดียวกัน อย่างนี้ จะให้ผู้อ่านตีความ เป็น
    อย่างอื่นไปได้อย่างไร

    แต่ พอผลออกมา จะเปรียบ ก็ไม่ต่างจากเด็กลอกข้อสอบ.!!
    ถูกก็ถูกด้วยกัน ผิดก็ผิดด้วยกัน อย่างนี้คุณ karan คิดยังไง.?

    ส่วนตัว คิดว่า มันเป็นแนว เป็นเทรน เป็นการโปรโมทตัวเอง
    ของผู้มีญาณ ว่าข้าก็มี ข้าก็เห็นเหมือนกัน (พยายามปรุงแต่งจิตไปตามข่าว)
    (แรงไปมั๊ย.!! กับข้อความ ที่มาจากความคิดส่วนตัว)

    หากข้อความของเรา เป็นการทำให้กระทู้ของ คุณkaran เสีย ลบได้เลยนะ
     
  13. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    (2) อย่าลืมว่า เว็บนี้ มีบุคคลทั่วไปมากมาย ที่เข้ามาอ่าน ซึ่งบางคนเขาก็
    แยกแยะไม่ออกว่า ไหนจริง ไหนไม่จริง แล้วท่านเจ้าของกระทู้คิดมั๊ยว่า
    กี่คนที่ทำใจสงบกับข่าว แล้ว กี่คนที่ตื่นตระหนกกับข่าว.?

    แต่ในอีกแง่....เราก็ต้องไม่ลืมว่า
    ในเว็บนี้ก็ยังมีบุคคลมากมาย ที่ตั้งใจเข้ามาหาข้อมูลเรื่องการเตือนภัยพิบัติ
    และเขาสามารถแยกแยะได้ถึงแนวโน้มความเป็นไปได้

    ท่านคงทราบดีว่ามีคนที่ได้ประโยชน์จากการเตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมจิต เตรียมบุญ
    เพราะได้รับทราบข้อมูลจากที่นี่

    การที่ผู้คนมากมายเข้ามาในเว็บแห่งนี้ ถ้าจะระบุให้ชัดเจนคือ 'ห้องเตือนภัยพิบัติ'
    ย่อมแสดงว่าคนเหล่านั้นต้องการข้อมูลข่าวสารเรื่องการเตือนภัยพิบัติ
    และการที่เขาเข้ามาที่ห้องนี้เป็นจำนวนมากก็เพราะที่อื่นไม่มีข้อมูลที่หลากหลายเช่นนี้
    เขาเหล่านั้นมีความประสงค์และเต็มใจเข้ามาหาข้อมูลเองโดยไม่ได้มีใครบังคับ
    เมื่อตัดสินใจว่าตนเองควรจะรู้ เมื่อรู้แล้วจึงต้องรับผิดชอบตนเองเป็นอันดับแรกก่อนที่จะให้คนอื่นเป็นผู้รับผิดชอบ

    คำถามคือ
    ผมหรือท่านหรือใครที่ควรจะไปตัดสินใจแทนว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ข้อมูล ?
    ผมหรือท่านหรือใครที่ควรจะไปตัดสินล่วงหน้าว่าเรื่องใดจริงหรือไม่จริง ?
    ใครจะเป็นผู้ประกาศตนเองว่าเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งแทงตลอดว่านี่เรื่องจริง นั้นเรื่องไม่จริง

    สิ่งที่ผู้คนสงสัยคือ นาซ่าหรืออเมริกา กำลังทำหน้าที่ตัดสินใจแทนชาวโลกส่วนใหญ่ว่า ควรรู้อะไรบ้าง
    แม้แต่คนในนาซ่าเองยังสงสัยว่านาซ่ากำลังปิดบังความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติ มนุษย์ต่างดาวและอีกหลาย ๆ เรื่อง
    นาซ่าหรืออเมริกาควรมีสิทธิตัดสินว่าใครจะมีสิทธิรอดหรือต้องเสี่ยงภัยพิบัติหรือ ?

    ท่านทราบหรือไม่ว่าแม้แต่ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ เราก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริงโดยไม่มีข้อกังขา
    เช่นข้อมูลของ ดร.สมิทธ / ดร.อาจอง / ดร.ก้องภพ / รศ.ดร.เสรี / ดร.ปริญญา
    ก่อนหน้านี้ก็ยังมีนักวิชาการ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ออกมากล่าวว่าเป็นเรื่องไม่จริง
    ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีใหม่ ๆ ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับหรือเผยแพร่ในวงกว้าง
    แม้ปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนคัดค้าน เพียงแต่เสียงไม่ดังเท่าเก่า เพราะตอนนี้ภัยพิบัติต่าง ๆที่เกิดขึ้นมีให้เห็นจริง
    การที่เราจะรู้ว่าคำเตือนใดเป็นเรื่องจริงก็ต่อเมื่อได้เกิดภัยพิบัติขึ้นแล้วเท่านั้น
    แต่ถ้าหากรอให้เกิดเรื่องเสียก่อนนั่นก็คือการรายงานข่าว ไม่ใช่การแจ้งเตือน
    หากรอให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นเสียก่อนนั่นคือหน้าที่ของนักกู้ภัย ไม่ใช่หน้าที่ของนักเตือนภัย

    อย่างไรก็ตามเราต้องยอมรับความจริงว่ามีคนตื่นตระหนกคำเตือนเรื่องภัยพิบัติ
    แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงเช่นกันว่ามีคนได้ตื่นตระหนักกับคำเตือนเรื่องภัยพิบัติ
    และเราก็ต้องยอมรับความจริงเช่นเดียวกันว่ายังมีคนที่ไม่ตื่นอะไรเลยทั้งสิ้น
    เรื่องที่น่าคิดคือ ในเนื้อหาข่าวสารเดียวกันทำไมแต่ละคนจึงได้รับผลกระทบต่างกัน
    ใครกันแน่ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้

    หากท่านมีเมตตาต่อคนที่เขาตื่นตระหนก
    แล้วท่านไม่มีเมตตาต่อคนที่เขาได้ประโยชน์คือการตื่นตระหนักหรือ ?

    ท่านได้ชี้ประเด็นว่าที่คนตื่นตระหนกก็เพราะการเตือนแบบไสยศาสตร์
    เรื่องนี้ผมขอละไว้เรื่องคำว่า 'ไสยศาสตร์'
    แต่ผมขอตอบในแง่ของ 'ความรู้ที่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์'

    การจะตื่นตระหนกหรือไม่ผมเห็นว่าขึ้นอยู่กับ ผู้ส่งสาร กับ ผู้รับสาร มากกว่า
    ผู้คนจะตระหนกไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์หรือนอกเหนือวิทยาศาสตร์

    ในแง่ผู้ส่งสาร
    ผู้ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะพูดให้คนตระหนกตกใจก็ย่อมทำได้
    เช่นเดียวกับผู้ที่ใช้ความรู้นอกเหนือวิทยาศาสตร์จะพูดให้คนสงบจิตใจ เกิดสติปัญญาก็ย่อมทำได้

    ในแง่ผู้รับสาร
    แม้ผู้ส่งสารมีเจตนาดีเตือนเพื่อให้ตื่นตระหนัก
    แต่ผู้รับสารอาจเก็บไปตื่นตระหนกก็ได้

    ความตั้งใจที่ห้ามเผยแพร่ข้อมูลที่อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์นั้น
    อาจไม่ใช่การกลั่นกรองแต่กลายเป็นการปิดกั้นข้อมูล

    สิ่งที่ควรจะเป็นจึงไม่ใช่การห้ามเผยแพร่
    แต่ควรช่วยกันตักเตือนท่านผู้ส่งสารทั้งหลายว่าพยายามอย่าใช้เนื้อหาที่สร้างความตื่นตระหนก
    ในขณะเดียวกันก็ช่วยกันเตือนสติและให้ข้อคิดแก่ผู้รับสารว่าควรตื่นตระหนัก

    การที่คนตื่นตระหนกเพราะขาดความรู้ความเข้าใจ
    สิ่งที่เราควรทำและวิทยากรตลอดจนทีมงานของเว็บพลังจิตพยายามทำอยู่นั่นคือการให้ความรู้ความเข้าใจ
    ตัวอย่างเช่นการจัดงานสัมมนาเจาะลึกภัยพิบัติทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา
    ส่วนสมาชิกหลาย ๆ ท่านก็ช่วยให้ความรู้ตามที่ตนเองถนัด
    เช่น คุณ Kongp ก็สามารถตอบคำถามเรื่องการเตรียมกาย เตรียมอุปกรณ์ยังชีพ
    สมาชิกหลายท่านก็ช่วยนำคลิปวีดีโอของ ดร.อาจอง ดร.ก้องภพ และท่านอื่น ๆ มาคอยเผยแพร่
    เรื่องนี้มีเพื่อน ๆ สมาชิกช่วยกันคนละไม้คนละมืออยู่แล้ว
    ดังนั้นที่ท่านถามมาว่าแทนที่จะให้ข้อมูลทางไสยศาสตร์
    ทำไม ไม่หาคำเตือนอย่าง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา หรือ ดร.ก้องภพ
    ท่านก็คงได้คำตอบว่าพวกเราทำกันมานานแล้ว
    จนบางท่านก็หยุดเพื่อออกไปทำงานภาคสนาม หรือออกไปปฏิบัติทางด้านจิต
    แม้ตัวผมเองก็อยากหยุดเช่นเดียวกับรุ่นพี่ ๆ หลาย ๆ ท่านนั้น

    ผมเห็นว่าหลายท่านที่ใช้ความรู้หรือแหล่งข้อมูลนอกเหนือวิทยาศาสตร์ค่อนข้างเป็นกังวลว่าผู้คนจะตื่นตระหนก
    บางท่านก็ทำใจไว้ล่วงหน้าเลยว่าต้องโดนตำหนิ แต่ท่านก็ยังออกมาเตือนเพราะรู้สึกเมตาสงสงสาร
    หรือรู้สึกผิดว่าหากไม่ได้ออกมาเตือนแล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็จะเป็นความผิดของตน
    เขาเหล่านั้นพยายามเตือนสติว่าสิ่งที่เขารู้อาจจะคลาดเคลื่อนก็ได้
    แต่เราต้องยอมรับความจริงว่ายังมีบางท่านโพสต์ข้อความที่ชวนสร้างความตื่นตระหนก
    บางครั้งก็โพสต์ข้อความสั้น ๆ ไม่มีการอ้างอิงที่มาที่ไป

    แทนที่จะเหมารวมว่าข้อมูลที่อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์เป็นไสยศาสตร์ไปทั้งหมด
    และแทนที่จะเหมารวมไปหมดว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์ทั้งหมดทำให้คนตื่นตระหนก
    ทำไมไม่มาช่วยกันเผยแพร่และแนะว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี แยกแยะออกมาอย่าไปเหมารวม

    ดังนั้นหากท่านมีเมตตา มีความเป็นห่วงเป็นใยคนที่เขาตื่นตระหนก
    ก็ควรมาเข้าร่วมทำหน้าที่เป็น ' ผู้เตือนและผู้วิเคราะห์ ' ในห้องเตือนภัยพิบัตินี้
    ไม่ต้องไปห้ามเผยแพร่ครับ แต่เราคอยเขียนบทความ คอยให้ความเห็น
    คอยชี้แจงวิเคราะห์ว่าอะไรมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยอย่างไร
    ควรเตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมจิตอย่างไร
    ปฏิบัติต่อกันอย่างกัลยาณมิตรผู้หวังดีต่อกัน หวังดีต่อเพื่อน ๆ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทุกท่าน

    *** โอกาสหน้าจะมาตอบเพิ่มเติม ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2012
  14. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619

    ขอบคุณ คุณkaran20 ในการตอบครั้งนี้

    บอกได้อย่างเดียวเลยว่า เป็นการตอบที่ดีมากๆ ดีจริงๆ

    ด้วยความเคารพ จากใจ ขอบคุณมากๆ _/|\_
     
  15. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    (3) เราก็เลยให้ความคิดเห็นส่วนตัวที่ว่า เอาแนววิทยาศาสตร์มาเตือนดีกว่า
    มีหลักการ และ ความเป็นไปได้ มากกว่า การทำใจยอมรับ ของคนทั่วไป
    เขาย่อมรู้สึกดีกว่า ที่จะมาเจาะจงพื้นที่ของเขา แค่ให้คำเตือนเป็นการบอกกล่าว
    ที่ว่าพื้นที่นั้นๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดภัยอะไรบ้าง เพราะแต่ละพื้นที่ ต่างกัน
    ความเสี่ยงจากภัย ต่างกัน อย่างนี้น่าจะเป็นการเตือนที่ดีต่อความรู้สึก และ
    แต่ละพื้นที่จะได้ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง เหมาะสมกับตน หากเกิดภัย

    มิดีกว่าหรือ (4) หากจะเตือนกันแบบ ค่อยเป็นค่อยไป ให้ใจคนได้ค่อยๆยอมรับ
    เพราะทุกวันนี้ ภัยมากขึ้น และ รุนแรงขึ้น ทุกคนก็เห็นๆกันอยู่ หากการทำนาย
    แบบนั่งฌาณ แล้วไปเจาะจงพื้นที่ใครเขาเข้า คนพื้นที่นั้น ย่อมเสียทั้งความรู้สึก
    และการทำมาหากินขอวพวกเขา (หรือท่านเจ้าของกระทู้ว่าอย่างไร.?)



    ประเด็นเรื่องการเตือนโดยวิทยาศาสตร์
    การใช้วิทยาศาสตร์มาเตือนนั้นเป็นเรื่องดี
    แต่คงจะดียิ่งไปกว่านั้นถ้าเราได้นำเอาทุกศาสตร์มาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อหาความเป็นไปได้
    เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิมนั้นยังมีข้อจำกัดอยู่ และไม่ใช่ว่าวิทยาศาตร์จะไม่ผิดพลาดเลย
    เช่นตามที่รู้กันอยู่ว่ากรมอุตุนั้นพยากรณ์ผิดพลาดบ่อยมาก อ้างอิง


    ประเด็นเรื่องการเตือนนั้นควรระบุพื้นที่หรือไม่
    เพื่อไม่ให้หลงประเด็น เราลองมองข้ามถึงแหล่งที่มาของคำเตือนไปก่อน
    ว่าแหล่งข้อมูลเป็นวิทยาศาสตร์หรือนอกเหนือวิทยาศาสตร์
    แล้วลองพิจารณาการเตือนในข้อต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    1. โลก มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินไหว
    2. ทวีปเอเชีย มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินไหว
    3. ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินไหว
    4. ประเทศไทย มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินไหว
    5. ภาคกลาง มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินไหว
    6. กรุงเทพ มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินไหว

    ถ้าบ้านท่านอยู่กรุงเทพ ท่านคิดว่าคำเตือนไหนมีประโยชน์กับท่านมากที่สุด
    ผมคิดว่าการเตือนข้อที่ 6 นั้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่าข้ออื่น ๆ
    ส่วนการเตือนข้อที่ 1 นั้นน่าจะมีประโยชน์น้อยที่สุด
    จนอาจมีคนตั้งคำถามว่า ถ้าเตือนกันกว้างขนาดนี้จะเตือนไปทำไม
    แม้แต่คำเตือนข้อ 4 ที่บอกว่าประเทศไทยมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวนั้น
    หากมีใครมาเตือนเราตอนนี้ ถ้าสนิทกันสักหน่อย เราอาจตอบกลับไปว่า

    " เขารู้กันหมดแล้วจ๊ะ เธอไปอยู่ดาวไหนมาเนี่ยยยย "

    ที่คนกรุงเทพอยากรู้ตอนนี้คือ กรุงเทพ จะมีแผ่นดินไหว
    หรือได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวหรือไม่ต่างหาก

    จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา
    ผมเชื่อว่าคำถามที่คนกรุงเทพถามและสนใจมากที่สุดคือ น้ำจะท่วมกรุงเทพไหม
    ที่ถามมากไปกว่านั้นคือ ' น้ำจะท่วมบ้านฉันไหม '

    ถ้าคำเตือนคือ ' บ้านคุณมีโอกาสถูกน้ำท่วม '
    แน่นอนคำถามที่ตามมาคือ จะท่วมเมื่อไหร่และจะท่วมนานไหม ท่วมมากน้อยระดับไหน

    สิ่งที่คนต้องการคือคำเตือนที่ระบุพื้นที่ ระบุเวลา และระบุความรุนแรง
    ทั้งนี้เพื่อการเตรียมตัวรับมืออย่างเหมาะสม ว่าต้องรับมืออย่างไร
    จำเป็นต้องอพยพหรือไม่ หากรู้ได้ว่าควรจะต้องอพยพเมื่อไหร่ก็ยิ่งดี
    แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่าคำเตือนต่างจากสัญญาณเตือนภัย
    คำเตือนคือการบอกล่วงหน้าว่ามีแนวโน้มที่ภัยพิบัติอาจจะเกิดขึ้น
    แต่ไม่ใช่การระบุว่ามันต้องเกิดขึ้น

    ในภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคต
    คำถามที่คนถามกันมากที่สุดก็คือ พื้นที่ไหนจะปลอดภัย
    ไปอยู่ตรงไหนถึงจะปลอดภัยไหม ที่จังหวัดฉันจะปลอดภัยไหม


    สิ่งที่เราต้องการคือคำเตือนที่ระบุพื้นที่ ระบุเวลา และระบุความรุนแรง
    เพียงแต่เราต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ว่าคำเตือนคือคำเตือน
    แม้แต่คำเตือนทางวิทยาศาสตร์ก็ผิดพลาดมาแล้ว
    สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นครั้งล่าสุดคงเป็นตัวอย่างให้เราพึงสังวรณ์ระวัง
    ดังนั้นคำเตือนคือการคาดการณ์เท่านั้น
    ยิ่งถ้ารู้ว่าไม่ใช่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยิ่งไม่ต้องด่วนปักใจเชื่อ
    ลองตรวจสอบแหล่งข้อมูลอื่น ๆ สิว่าพอจะมีความเป็นไปได้ไหม
    แล้วก็ควรรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง

    คำเตือนไม่ใช่สัญญาณเตือนภัย แต่หากรอจนสัญญาณเตือนภัยดังนั่นหมายถึงภัยพิบัติได้เริ่มขึ้นแล้ว
    และนั่นอาจหมายถึงเราแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวอีกแล้ว
    หรือแม้กระทั่งในบางกรณีที่รุนแรงนั่นอาจหมายถึงไม่มีเวลาพอสำหรับการอพยพอีกแล้ว

    การเตือนภัยพิบัติทางวิทยาศาตร์แบบดั้งเดิมส่วนใหญ่จะไม่สามารถระบุวันที่ได้
    ยกเว้นวิทยาศาสตร์ใหม่เช่นที่ ดร.ก้องภพ ใช้
    คือปรากฏการณ์ดาวเรียงตัว ตำแหน่งดวงจันทร์ และการเกิดพายุสุริยะ
    ตรงจุดนี้หากเราใช้ความรู้จากแหล่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือวิทยาศาสตร์มาช่วยยืนยันกัน
    ก็คงจะเป็นประโยชน์มากกว่าใช้เพียงวิทยาศาสตร์ดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว

    ในทางกลับกันหากมีข้อมูลเตือนภัยพิบัติที่นอกเหนือวิทยาศาสตร์
    เราก็เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยตรวจสอบยืนยันกัน
    หากตรงกันหลายทางเราก็เพิ่มระดับการเตือนภัยและการระวังภัย

    คำถามคือถ้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นจริง
    เช่นที่ตาม ดร.อาจอง บอกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้นับแต่ตอนนี้

    อ้างอิงจากคลิปวิดีโอ นาทีที่ 04.30
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rb_yn8p-roo&feature=player_embedded"]2011 12 27 Hot Topic Voice TV ?????????? ?????????????? - YouTube[/ame]


    โลกและประเทศไทยนับแต่ปี 2555 เป็นต้นไปจะมีแผ่นดินไหวและเขื่อนอาจแตกได้
    นั่นหมายความว่าเราจะต้องระวังตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน เป็นเวลา 5 - 10 ปี เลยหรือ

    แต่หากมีแหล่งข้อมูลที่นอกเหนือวิทยาศาตร์มาช่วย 'เก็งข้อสอบ'
    ว่าแผ่นดินไหวอาจจะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่นะประมาณปี 2555
    แบบนี้เราจะรับมือกับภัยพิบัติง่ายกว่าหรือไม่ เพราะอย่างไรเราก็ต้องระวังกันอยู่แล้ว
    เพียงแต่เราเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงเวลาเทศกาลดังกล่าวในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น




    ติดตามทาง Facebook กาขาว

    รวมบทความและกระทู้โดย 'กาขาว'
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2012
  16. kuzawa

    kuzawa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +35
    จริงครับ ผมเองก็ใช้ประโยชน์จากเวปนี้เยอะมาก ผมก็ไม่รู้นะครับเรื่องใดจริง ไม่จริง แต่ทุกวันนี้ ตัวผมเองก็ต้องแยกข้อมูลข่าวสารจนเป็นเรื่องปกติแล้ว ได้ฝึกไปด้วย
     
  17. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619
    ขอขอบคุณ คุณkaran20 อีกครั้ง ในความกรุณา ที่
    สละเวลา อันมีค่าของท่าน เพื่อมาให้ความกระจ่าง แก่
    ผู้น้อย ด้อยประสบการณ์

    ขอบคุณ ในความกรุณา ของท่าน _/|\_
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ปิระมิด
    ให้คว่ำหัวลงได้แล้วนะครับช่วงนี้

    พลังงานลบ จากกาแลคซี่อันโดรเมด้าลงมาที่โลกเยอะ

    ( ท่านบอกไว้ก่อนแผ่นดินไหวที่อินโด 7.3 ริคเตอร์วันก่อนแล้ว )


    ถ้าปรับคว่ำลงแล้ว ก็ลองทำสมาธิดู ( คนที่ละเอียดแล้วก็รู้สึกเอง ไม่ต้องทำสมาธิ ) ก็จะเห็นความแตกต่างเอง ว่าความสบายกาย และ ใจ ต่างกันอย่างไร<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ ผมก็เห็นด้วย ชีวิตนี้เราจะอยู่กับวิทยาศาตร์อย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ เพราะทุกสิ่งในโลกนั้ต้องมี เกิด และ ดับ เหรียญยังมี 2 หน้าเลยครับ
     
  20. ืืืืืืnalunta

    ืืืืืืnalunta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +203
    ปัญหาของเรื่อง ไม่ใช่ว่าไสยศาสตร์ไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นคนที่ออกมาให้ข้อมูลต่างหาก ไม่น่าเชื่อถือ ถ้าทายถูกก็บอกว่า นั่นไง ตรูบอกแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ถูก งุบงิบดำดินหายไปเลย พอถุกถามมากๆ ก็บอกว่าอย่ามา ปรามาส สรุปก็คือ เอาแด่ได้ ไม่ยอมเสีย ถูกต้องไหมเอ่ย
     

แชร์หน้านี้

Loading...