การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านครับ
    ในครั้งพุทธกาลนั้น มีคนตั้งตัวเป็นอาจารย์ก็มากมายหลายท่าน

    โดยเฉพาะคณาจารย์บางท่านนั้น
    มีลูกศิษย์ลูกหามากมายยิ่งกว่าพระพุทธองค์ของเราเสียอีก
    เช่น ท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชก

    ขอเรียนถามว่า
    ท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชกนั้นเป็นคนดีมั้ย???
    ใช่ เป็นคนดี....

    ท่านอาจารย์สัญชัยเป็นมีคุณธรรมมั้ย???
    ใช่ เป็นผู้มีคุณธรรมในระดับหนึ่ง.....

    ท่านสอนให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดีมีคุณธรรมใช่มั้ย???
    ใช่ สอนให้เป็นคนดีมีคุณธรรม....

    ท่านอาจารย์สัญชัยเคยได้รับการชักจูงให้หันมาศึกษาศาสนาพุทธใช่มั้ย???
    ใช่ โดยท่านพระอาจารย์สารีบุตร

    ทำไม? ทำไม? ทำไม?
    ท่านสัญชัยทั้งๆที่รู้อยู่เห็นอยู่ว่า
    คำสอนของพระบรมครูนั้นดี มีประโยชน์ช่วยให้พ้นทุกข์ได้

    แต่ทำไมท่านกลับปฏิเสธหละว่า
    ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นไม่เหมาะสมกับตน(ดีเกินไป)
    ที่ท่านสอนอยู่ทุกวันนี้ดีอยู่แล้ว

    ทั้งๆที่ไม่ได้ช่วยให้ใครพ้นทุกข์ได้เลย
    เพียงสอนให้เป็นคนดีมีคุณธรรมเท่านั้น

    เพราะอะไร???
    เพราะง่ายๆสบายๆและลัดสั้น ไม่ต้องลำบากลำบนอะไรมากมาย ดูเฉยๆก็พอ

    ไม่แตกต่างไปจากที่มีอาจารย์บางท่านเลียนแบบการสอน
    ของ ท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชก ในขณะนี้เลย

    โดยพยายามแยกคนเมืองที่มีการศึกษา
    ออกจากคนบ้านนอกที่มีการศึกษาน้อยกว่า ว่ามีจริตแตกต่างกัน

    โดยชี้นำว่าคนเมืองนั้นเป็นพวกทิฐิจริต มีความคิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา
    ส่วนคนบ้านนอกเป็นพวกตัณหาจริต มีแต่ความทะยานอยาก

    คนบ้านนอกพวกตัณหาจริต
    ต้องอบรมด้วยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น(สมาธินำปัญญา)

    ส่วนพวกคนเมืองที่มีแต่ทิฐิจริตนั้น
    ต้องอบรมด้วยปัญญาแล้วเกิดสมาธิเอง โดยไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง
    เพื่อฝึกฝนอบรมการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา “พุทโธ”มาก่อนเลย

    ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และขัดแย้งกับพระพุทธพจน์อย่างชัดเจน

    มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้ที่มีจิตตั้งมั่น(สมาธิ) ดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(ปัญญา) ดังนี้”

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่า อาจารย์บางท่านที่สอนอยู่ทุกวันนี้
    ที่สอนธรรมะให้ง่ายๆ สบายๆและลัดสั้นนั้น
    ไม่ได้แตกต่างไปจากท่านอาจารย์สัญชัยปริพาชกที่สอนอยู่ในครั้งพุทธกาลเลย

    ถ้าเป็นปริพาชกอย่างท่านสัญชัย เราชาวพุทธก็ยังพอให้อภัยได้
    แต่นี่เป็นพุทธบุตรที่ขานนาคเข้ามาเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา
    กลับทำตัวเป็นลูกเต่าอกตัญญูต่อคำสอนของพระบรมครู...

    ครั้งพุทธกาล ท่านสัญชัย ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายยิ่งกว่าพระพุทธองค์เสียอีก
    มีทุกระดับชนชั้น ตั้งแต่ยาจกยันคหบดี และผู้มีการศึกษา ฯลฯ

    ทำไมท่านอาจารย์สัญชัยจึงว่าพระพุทธศาสนาไม่เหมาะกับท่าน???
    ทั้งที่คำสอนของพระพุทธองค์ ก็กระชับสามารถเข้าถึงได้
    ๑.ละชั่ว ๒.ทำดี ๓.ชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย.....

    พวกเราก็คงพอคะเนได้อยู่แล้วว่า
    ไม่ว่าศาสนาหรือลัทธิใดๆในโลกล้วนสอนเฉพาะข้อ ๑ และข้อ ๒ เท่านั้น
    ง่ายๆ สบายๆและลัดสั้น ดังมีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

    ส่วนข้อ ๓ นั้น มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาของเรา
    ที่สอนไว้ว่าต้องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
    (โดยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘) ซึ่งศาสนาอื่นๆไม่มี

    จะมีก็เพียงแต่พวกที่เข้าใจผิดๆและอ้างว่าที่ตนสอน
    เป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งๆที่สอนไม่ถูกต้องว่า

    เพียงแค่ดูเฉยๆและรู้ทันก็พอ ไม่ต้องทำอะไร จิตก็จะชำระตัวมันเองได้
    โดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แม้แต่การสร้างสติ ก็ให้สติเกิดเอง

    เป็นไปได้มั้ย? ขนาดสอนว่าให้รู้ทัน ยังกล้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไร?
    ถ้าไม่มีการตั้งจิตเจตนาระมัดระวังที่จะระลึกรู้ จะระลึกรู้ทันมั้ย???

    เห็นหรือยังครับว่าคำสอนของอาจารย์บางท่านในขณะนี้
    ไม่แตกต่างอะไรกับท่านอาจารย์สัญชัยสอน

    ง่ายๆ สบายๆและลัดสั้น ไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากนั่งหลังขดหลังแข็ง
    คิดเองเออเองว่าเหมาะกับคนเมืองผู้มีปัญญา เป็นพวกทิฐิจริต


    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเสมอๆถึง ศีล สมาธิ ปัญญา
    หรืออริยมรรค ๘ หรืออริยสัจจ์ ๔ หรือสติปัฏฐาน๔

    พระองค์ทรงตรัสว่า
    ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
    ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว (เป็นที่ไปของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปในที่แห่งเดียว)
    เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์(ผู้ข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย
    เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและร่ำไร
    เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
    เพื่อบรรลุญายธรรม (ธรรมที่ควรรู้ ธรรมที่ถูก คืออริยมรรค)
    เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
    ทางนี้คือสติปัฏฐาน(ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติอย่างต่อเนื่อง)๔ อย่าง

    ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสมานี้ พระพุทธองค์รู้มั้ย?
    ต้องรู้สิ

    ถ้าไม่รู้ พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ได้หรอก ใช่มั้ย?
    ใช่สิ

    ถ้าจิตผู้รู้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
    พระพุทธองค์ทรงเอาอะไรมาตรัสสั่งสอนหละ?
    นั่นสิ


    ธรรมภูต

    ;aa24
     
  2. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    โดยพยายามแยกคนเมืองที่มีการศึกษา
    ออกจากคนบ้านนอกที่มีการศึกษาน้อยกว่า ว่ามีจริตแตกต่างกัน

    โดยชี้นำว่าคนเมืองนั้นเป็นพวกทิฐิจริต มีความคิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา
    ส่วนคนบ้านนอกเป็นพวกตัณหาจริต มีแต่ความทะยานอยาก

    คนบ้านนอกพวกตัณหาจริต
    ต้องอบรมด้วยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น(สมาธินำปัญญา)

    ส่วนพวกคนเมืองที่มีแต่ทิฐิจริตนั้น
    ต้องอบรมด้วยปัญญาแล้วเกิดสมาธิเอง โดยไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง
    เพื่อฝึกฝนอบรมการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา “พุทโธ”มาก่อนเลย
    -----------------------------------------------

    สอนอย่างนี้จริงหรือนี่ . .
    วันนี้ก็คิดอยู่นะว่าการปฎิบัติบางอย่างอาจจะเป็น วิจิกิจฉา ได้ไหมนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ไม่ได้สอนอะไรแบบนั้นหรอกพี่ชาติ ที่ จขกท กล่าวมานั้น มันเป็นความที่ จขกท ไม่เคย
    ไปไต่ถาม อีกทั้ง ลืมหลักการที่ตัวเองก็ใช้

    มาดูสิ่งแรก คำว่า สภาวะธรรมที่พ้นเจตนา ให้เอามาระลึกรู้

    ตรงนี้ พวกเขาไปแปลว่า ไม่ต้องตั้งใจ ไม่ต้องใส่เจตนา ละกิเลส

    แต่จริงๆ คำนี้ เป็นภาษาปฏิบัติ .....

    ก็เหมือนกับ ที่พระให้เอา ลมหายใจ มาระลึกรู้

    พี่สองชาติพิจารณาเอาก็ได้ว่า ลมหายใจ คือ สภาวะธรรมที่พ้นเจตนาหรือไม่

    ถ้าใช่ ก็นั่นแหละ 1 ในตัวอย่างที่ แซมปิ้งขึ้นมา ใช้ระลึกรู้ เอามาฝึกสติ

    จะเห็นว่า ประโยคที่ว่า ให้หาสภาวธรรมที่พ้นเจตนา ที่มันเกิดเอง เอามาฝึกสติ
    พวกเขาเอง ที่อ้างว่า ทำอานาปานสติ ก็ใช้หลักคำสอนนี้ แต่ด้วยใจที่มืดมัว
    ก็ปรักปรำไปเป็นอย่างอื่น

    มาดูกันต่อว่า สภาวะธรรม ใดๆ อีกบ้างที่มีในกายในใจเรา ที่พ้นเจตนาปรุงแต่ง

    หากระลึกดูดีๆ ก็พบว่า มีเต็มไปหมด ไม่ว่า ง่วง เหม่อ ดีใจ เสียใจ อยากได้ อยากมี
    อยากเป็น อยากกิน อยากทาน ปิติ สุข เหล่านี้เป็นสภาวะธรรรที่ในชีวิตปรกติเราไม่
    ได้จตนาคิดสร้างขึ้น สภาวะธรรมที่พ้นเจตนา (ไม่ได้เกิดจากการคิด - พ้นคิด -เกิด
    ก่อนจิตคิด ) เหล่านี้แหละที่เอามา ภาวนาเจริญสติ ได้เหมือนๆ ลมหายใจ

    * * * *

    คราวนี้ก็มาคำว่า "ไม่ต้องทำอะไร ให้ระลึกดูเฉยๆ" ก็เหมือนเดิม เป็นภาษาปฏิบัติ
    ที่ต่อจากการเลือก สภาวะธรรมที่พ้นเจตนามาดู ของ อานาปานสติ ใช้ลมหายใจ
    มาดู คนดูใหม่ๆ ก็ทำไม่ถูก อย่างไหนสั้น อย่างไหนยาว ก็จะไปคิดปรุงลมหายใจ
    ให้สั้น ให้ยาวขึ้นมาดู ทำขึ้นมา คนสอนก็ต้องสอนว่า "อย่าทำ ให้ดูเฉยๆ"

    เช่นกัน ของดูจิตที่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มกิเลส โลภะ โทษะ โมหะ หากไปปรุงขึ้นมา
    เพื่อดู ก็แย่สิ ก็ต้องย้ำเน้นๆกันเลยหละว่า ดูเฉยๆ อย่าไปปรุงกิเลสขึ้นมาดู ก็จะเห็น
    ว่า สอนเหมือนกัน คืออย่าไปปรุงแต่งการปฏิบัติ

    หากไปปรุ่งแต่งการปฏิบัติ ต่อให้เป็นลมหายใจที่บางเบา ก็เครียด แข็งๆ จุกอกขึ้นมา
    ได้พอๆ กันกับการไปปรุงกิเลสขึ้นมาดูเสียเอง ....ซึ่งก็ต้องย้ำกันอีกว่า ให้ดูเบาๆ
    สบายๆ(คนที่ตกใจ ยังไม่เข้าใจก็ ตกใจซ้ำอีก คิดว่าให้ดูกิเลสสบายๆ ตรงนี้เขาหมาย
    ถึงอย่าไป คิด ทำกิเลสขึ้นมาดู นั่นแหละ -- เพราะทิฏฐิจริต จะชอบคิดเพื่อแก้ปัญหา
    -- พอเครียด..ก็อยากเห็นเร็วๆ จิตมันจะเผลอไปสร้างกิเลสขึ้นมาดู จึงต้องย้ำให้
    ผ่อนคลาย อย่าเร่งการปฏิบัติ ให้ค่อยๆดู แบบสบายๆ พวกแนวกสิณก็ชอบคำนี้ )

    ทั้งนี้ เรามุ่งระลึกรู้ และเพื่อเจริญสติให้เป็นก่อน จับลมให้เป็นก่อน จับอาการเจตสิกให้
    เป็นก่อน พอจับเป็น คราวนี้ก็คล่องเอง ไม่ต่างกัน อะไรที่ผิด ไม่ถูก ทำแล้วไม่เกิดปิติ
    เกิดสุข เกิดปัสสัทธิ ก็จะถูกขัดออกไปเหมือนๆ กัน พอระลึกคล่องแคล้วกิเลสนิวรณ์ก็
    กระเด็นเหมือนๆกัน

    พอได้แบบนี้ก็มีสมาธิ พอมีสมาธิ ก็มาพิจารณาแยก รูป เจตสิก จิต เพื่อเห็นปรมัตถ์
    ไปตามระเบียบ ก็เพื่อถอดถอนอวิชชา หากทำไม่ได้ ก็แยกรูป แยกนามไปเรื่อยๆ
    หากแยกรูป นาม ไม่ได้ ก็แยกกองขันธ์5 ไปเรื่อยๆ หากแยกไม่ได้ก็ต้องไปแยกธาตุ4
    เพราะมาถึงตรงนี้ กำลังสมาธิก็จะมีเยอะพอทำกายคตาชนิดต่างๆได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2009
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    เรื่องของผู้ฝึกแบบสติ กับผู้ฝึกแบบสมาธิ....

    จริงๆแล้ว...ในสติปัฏฐานสูตร....ก็มีอยู่หลาบบรรพนะ.....

    ถ้ารวมเข้ามา....แบบในพระสูตร.....ไม่ตีค้านกรรมฐานในพระสูตรด้วยกัน.....ผมว่าดีนะ...
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    ก็จะเห็นว่า คนเมือง เขามีทรัพย์กร คือ จิตคิด จิตอยาก เศร้า เหม่อ โกรธ หลง ฯลฯ
    เหล่านี้ มากๆพอๆกับ ลมหายใจ

    คนชนบท มีเวลาว่าง เขาก็ไปทำสมาธิ โดยใช้สภาวะธรรมที่เกิดเอง พ้นเจตนา อย่าง
    ลมหายใจ เอามาฝึกระลึกรู้ เพื่อเจริญสติ เพื่อปัดอกุศลจิต นิวรณ์ที่กลุ่มรุมจิตออกไป

    คนเมือง ไม่มีเวลาว่าง เขาทำสมาธิตามรูปแบบไม่ได้ แต่เขาสามารถใช้สภาวะธรรมที่เกิด
    เอง พ้นเจตนา อย่าง จิตคิด จิตอยาก เศร้า เหม่อ โกรธ หลง ฯลฯ เหล่านี้แหละ เอามาฝึก
    ระลึกรู้เห็นสภาวะ เพื่อเจริญสติ เพื่อปัดอกุศลจิต(มนุษย์ คือ ภพของผู้มีจิตใจสูง) นิวรณ์ที่
    กลุ่มรุมจิตออกไป

    สรุปคือ ไปรวมกันที่การเกิด สมาธิ เพราะ สมาธิ คือ สภาวะที่จิตปราศจาก กิเลส นิวรณ์

    เมื่อคนชนบทมีจิตตั้งมั่นรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องบริกรรม หรือ ภากษ์อีก ก็จะเกิด
    ปิติ สุข เอกัคคตา ไปตามลำดับ

    เมื่อคนเมืองมีจิตตั้งมั่นระลึกรู้เจตสิกไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องบริกรรม หรือ ภากษ์อีก ก็จะเกิด
    ปิติ สุข เอกัคคตา ไปตามลำดับ

    ที่เหลือ.....เป็นเรื่อง...การเพียรให้สมควรแก่ธรรม

    * * * * *

    มนุษย์ คือ ภพของผู้มีจิตใจสูง กับ จิตมีธรรมชาตไหลลงต่ำ

    สองประโยคนี้ อย่าเอามาปนกันจนสำคัญไปว่า

    จิตมนุษย์ คือ ภพของจิตที่มีธรรมชาติไหลลงต่ำ ต้องดูดีๆว่า
    คำว่า มนุษย์ คือ ภูมิของคนที่มีจิตใจสูง พร้อมยกขึ้น หากกิเลส
    นิวรณ์ไม่ครอบงำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    อานา ก็ อานาปานบรรพ...ในกายานุปัสสนา...

    ดูจิต ก็ จิตตานุปัสสนา...

    กรรมฐานในมหาสติสอนกันถึงฌาน ๔ หมด ...... ดูในจิตตานุปัสสนาสิ....มีคำว่า จิตเป็นมหรคต...อยู่นะ.....ไอ่นี้แย้งไม่ได้...แต่ท่านให้รู้เท่านั้นเอง....

    ยิ่งใน...สัจจบรรพ.....กล่าวถึงฌาน ๔ ชัด.....อันนี้ค้านไม่ได้เลย....

    อย่างไรก็ตั้งใจปฏิบัติกันนะครับ....
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    คนเมืองนั้น คุ้นชินกับ กิเลส กับการแก่งแย่ง และใช้ประโยชน์จากกิเลส

    หากคนเมือง ได้ฝึกเจริญสติ โดยเอากิเลส มากางดู เอามาแผ่ออกดู
    แล้วพบว่า มันเป็นโลกที่คับแคบ เขาก็จะต้อง ดำริออก หาอุบายนำออก
    เมื่อเห็นว่า หากระลึกรู้ทันกิเลส กิเลสไม่ครอบงำ จะเกิด ปิติ สุข(สภาวะ
    สมาธิ) เขาก็จะได้ลิ้มรสของธรรม เมื่อนั้น จึงเกิดศรัทธาขึ้น

    เมื่อเกิดศรัทธาขึ้น ก็เป็นอันว่า ชักนำคนเมืองเข้าสู่ทางธรรมได้ ชักชวนคน
    เมืองเข้าวัดได้ โดยที่ไม่ใช่มาแค่ทำบุญแก้บน ขอให้รวย เป่ายันต์ สักยันต์
    หว่านเงินให้พระ ให้วัด

    แต่จะเข้ามาหาที่สัปปายะ และ ปฏิบัติธรรม ... เพื่อพระนิพพานอย่างจริงจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    จะคนเมือง คนบ้านนอก....จริงๆมันก็เหมือนกันหละ...ขี้หมากองเดียวกัน....จิตมันก็ไปเหมือนกัน.....

    คนเมืองคิดแบบคนเมือง....คนบ้านนอกเขาก็คิด...ไม่ใช่ไม่คิด.....


    ข้อนี้ตัดสินกันไม่ได้หลอกนะ.....
     
  9. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,463
    ค่าพลัง:
    +1,137
    จริงๆแล้วเค้าพูดสำหรับคนที่มีปัญญาแล้วทำได้เลยในการมองเฉยๆ
    คนที่ยังไม่มีปัญญาต้องฝึกทั้ง2แบบคู่กัน
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    จริงๆแล้วไม่มีกรรมฐานกองใดจะเหมาะกับคนทุกคนหลอก......

    บางคนก็ชอบแนวสติ.....บางคนก็ชอบแนวสมาธิ....ไม่ดีไม่เลวไปกว่ากัน....

    พวกหนึ่งก็สติดีกว่า.....พวกหนึ่งก็สมาธิดีกว่า.....ถกกัน.....ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย....

    คนที่ใหนขึ้นชื่อว่าคน..ชาติใหน...ภาษาใหน....คนรวย....คนจน....คนโง่....คนฉลาด...คนบ้านนอก...บ้านนอกเข้ามาอยู่ในกรุง(ลืมอดีต)...คนกรุง..คนอีกสารพัด...มันอันเดียวกันหมด....มันก็คิด...มันก็ โลภ โกรธ หลง....รักสุขเกลียดทุกข์...เหมือนกันหมด....

     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,805
    ค่าพลัง:
    +7,940
    คำว่า คนเมือง ที่ปรากฏคู่กับ ปรากฏการณ์พระปราโมทย์ แท้จริง ไม่ได้เป็น
    เพราะ พระท่านเป็นผู้แบ่งแยก ดั่งที่คนคิดเอาแต่ปรักปรำพระท่านกล่าว

    คำว่า คนเมือง คือ คลื่นวัฒนธรรม เป็น เหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้น ก่อตัวขึ้นมา
    อย่างเป็นลำดับ โดยโลกปริวัตรของมันเอง

    โดยเริ่มปรากฏคำว่า คนเมือง เด่นชัดขึ้นตั้งแต่ สมัยพระพุทธทาส โดยจะ
    พบว่า หนังสือธรรมะขายดิบขายดีมาก ยอดขายที่มาก ทำให้หนังสือธรรม
    เปลี่ยนรูปแบบจากปกอ่อนธรรมดาๆ พิมพ์ได้แต่เล่มบางๆ หนาไม่ถึง 200 หน้า
    ก็กลายมาเป็น ปกแข็ง ความหนากว่าพันหน้า ตำราพระไตรปิฏกเองก็พัฒนา
    รูปเล่มขึ้นมาด้วย จนถึงขีดสูงสุด ทำเป็นฉบับพิมพ์ทองแจกจ่ายทั่วโลก

    ทั้งนี้ เกิดจากฐานของคนที่หิวกระหายพระธรรมนั้น ย้ายกลุ่มเข้ามาในเมือง
    จริงๆ ก็มาพร้อมลูกหลานชนบทที่เรียนจบนั่นแหละ ทางสังคมศาสตร์เรียกว่า
    กระบวนการเป็นเมือง การอพยพถิ่นฐาน ลูกหลานของคนชนบทที่เคยถูก
    ปลูกฝังการไปวัด โตขึ้นมาย้ายเข้ามาทำงานในเมือง แต่เวลาเข้าหาวัดปฏิบัติ
    ธรรมนั้นน้อยลง หาได้ยาก ลาแค่สองสามวันก็อดพิจารณาขึ้นเงินเดือน กลับ
    เร็วก็ถูกคัดออก ดังนั้น ความหิวกระหายธรรมนั้นจึงมาสุมในรูปของคนเมือง

    โดยระบบของกลุ่มชนเอง ไม่ใช่โดยพระ การไปปรักปรำว่าพระแบ่งแยก เป็น
    เหตุของการแบ่งแยก จึงเป็นเรื่อง ทิฏฐิไม่สิ้นของคนที่ปรักปรำ

    * * * * *

    การสอนเรื่องจิตภาวนาที่เหมาะกับคนที่มีสมาธิอินทรีย์อ่อน มีปัญญาอินทรีย์
    พอประมาณ จริงๆแล้ว ก็มีมาก่อน

    แต่ปรากฏการณ์พระปราโมทย์นั้น มันเป็นความสอดคล้องของเวลาที่เกิด วิกฤติ
    ต้มยำกุ้งซ้ำเติม ทำให้เกิดตัวเร่ง ภาพจึงออกมาว่า คนแห่ไปหาแหล่งธรรม
    แหล่งเดียวจนภาพนั้นหลอกตาคนที่ชอบปรักปรำ จนคิดว่า พระไปเกณฑ์คน
    เป็นกลุ่มตน แต่จริงๆแล้ว หากไปดูตามสำนักวิปัสสนา คนก็แห่กันไปทุกที่นั่นแหละ

    แม้แต่สังเวชนียสถานที่ห่างไกล คนก็แห่กันไปมากขึ้น หลายกรุป หลายทัวร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    สามัคคีกันเถอะ.....จับมือกันซะ....

    ครูบาอาจารย์ท่านก็ดีของท่าน....ทางใครทางมัน...ชอบใครชอบมัน....อาหารอร่อยก็อยู่ที่คนชอบ....

    ถ้าผิดก็แย้ง....ให้มันถูก....รับฟัง.....ไม่ใช่ยกทิฏฐิ....กูดีกูถูก...อย่างเดียว....

    สมัยนี้ยิ่งขาดแคลนอยู่นะ....พระท่านปฏิบัติ...มีน้อย....ดีกว่าพระมั่วสีกา....ที่ออกตามข่าว(ยิ่งมากอยู่).....

    คนเรามันเห็นข้างนอกชัดกว่าเห็นตนเอง......ผู้ปฏิบัติควรเห็นตนเอง.....ไม่ใช่เห็นข้างนอกอย่างเดียว....
     
  13. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    การเรียนการศึกษาใดที่ทำให้ยึด อัตตา ตัวตน ...ก็ลดๆกันบ้างนะ....

    ความรู้ทางโลก มันของแลกข้าว.....ยึ่งไปยึดก็ยึ่งออกไกล....กูเป็นนั่นเป็นนี่...จบนั้นจบนี่...อย่างนั้นอย่างนี้.....จริงๆมันก็คนขี้เหม็นๆคนหนึ่งเหมือนกัน.......หรือเป็นคนขี้หอมเหรอ....เอามาทำน้ำหอมส่งออก...ได้ไม...
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ตัณหาจริต กับ ทิฐิจริต มีอยู่ในทุกคนล่ะครับ ไม่ต้องแบ่งแยก

    .
    [​IMG]
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    อย่าเอาอัตโนมัติอาจารย์มาขัดแย้งพระพุทธวจนะครับ

    ..
    [​IMG]
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ไม่มีในพระวจนะครับว่า ดูก่อนภิกษุที่มีจริตนี้ ต้องไปตามฐานนี้"

    ...
    [​IMG]
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่เธอ

    "ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท
    อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ ฯ


    ทรงสอนตลอดพระชนม์ชีพ
    เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่เธอ

    การเพ่งคือการมีสติรู้อยู่เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
    ไม่ใช่การใช้ตาเนื้อเพ่งซะที่ไหนหละ

    เพราะความที่ไม่เคยเจริญสมาธิกรรมฐานภาวนา
    จนเข้าถึงกายในกายเป็นภายใน จึงไม่รู้จักคำว่า "เพ่ง"
    ได้แต่คิดเองเออเองว่าเป็นสิ่งน่ากลัว

    การรู้อะไรแบบต่อเนื่องไม่ขาดสาย ล้วนเรียกว่า "เพ่ง"ทั้งนั้น

    ;aa24
     
  18. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ถ้าจิตผู้รู้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
    พระพุทธองค์ทรงเอาอะไรมาตรัสสั่งสอนหละ?

    นั่นสิ

    ตอบพี่ธรรมภูต ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น<!-- google_ad_section_end -->
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,927
    ค่าพลัง:
    +9,209
    เมื่อวันก่อนมีคน เอาเสียงพระปราโมทย์มา ออกเว็บ

    ผมฟัง ท่านว่า ศพพ่อของท่านโดนน้ำเข้าไปในโลงศพ

    ท่านกลับมาบ้าน นอนไป ท่านไม่อยากไปดู แต่จิตมันอยากไปดู
    พอท่านนอนไปอีก จิตมันก็อยากไปดูเอง ท่านไม่ได้อยากไป จิตเค้าอยากไป


    ถ้าใครรู้จักสันโดษ สันโดษจะชอบพูดคำเช่นนั้นเสมอ เช่น ว่า จิตเขาอยากเป็นเอง สันโดษไม่ได้อยากเป็น จนสุดท้ายกลายเป็น soly บ้าง กลายเป็น sailor moon บ้าง กลายเป็น
    เจ้าเข้าบ้าง เจ้าแม่กวนอิม อะไรให้เต็มไปหมด

    นี่นะหรือ คำสอนที่ถูกต้อง ถ้ามันจะกรรม ก็คือ กรรมตกสู่พระปราโมทย์นั่นแหละ ที่คำสอนของท่านทำให้คนติดอยู่กับ วังวน

    ต่อมา กลายเป็น ความบ้าบอในเว็บพลังจิต คือคุยกัน เพี้ยนๆ แล้วอ้างว่า จิตเขาอยากทำ เราก็ปล่อยให้เขาทำ จะรู้สึกเพี้ยนๆ อย่างไร ก็ทำไป

    ผมเกรงว่า นั่นคือ ความน่าอับอายในคำสอน เพราะว่า ลัทธิที่ปล่อยให้จิตดำเนินไปนั้นมีมานานแล้วในสมัยพุทธกาล คือ เสพอารมณ์ให้เต็มที่

    จากนั้นพระปราโมทย์ ก็มาผสมผสาน สิ่งเหล่านี้เข้ากับศาสนาพุทธ

    ใครช่วยมาชี้แจงให้ ชาวพุทธเข้าใจทีเถอะว่า ผลเสียนั้นมันคืออะไร
    มันจะเป็น mutation ของพุทธศาสนาหรือไง ให้กลายพันธ์ หรือ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ดูจิต = ดูผู้รู้

    รู้จิต = รู้ผู้รู้

    เห็นจิต= เห็นผู้รู้

    ถ้าทำได้ถูกต้อง ก็ถึงจุดหมาย จิตเห็นจิต เป็นมรรค
    เดินตลอดสายตั้งแต่ต้นจนจบได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...