การสำคัญตน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผ่านมาเฉยๆ, 24 เมษายน 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คนอื่นเขาจะติฉินนินทา ประนามเราทั่วทั้งสหโลกธาตุ ก็ช่างเขาเถิด ท่านจะแจมด้วยอีกสักคน ก็ไม่มีปัญหาอะไร? เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของเก่า เป็นของธรรมดา

    พระปฏิมายังราคิน
    การนินทาไม่ใช่ของใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาประพฤติกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว คนนั่งนิ่งเขาก็นินทาว่า ทำไมเจ้าคนนี้จึงนั่งนิ่งเหมือนคนใบ้ คนพูดมากเขาก็นินทาว่า ทำไมเจ้าหมอนี่จึงพูดตลอดเวลาไม่มีหยุด อย่างกับปากเป็นหุ่นชักยนต์ แม้คนพูดพอประมาณเขาก็นินทาว่า ทำไมเจ้าคนนี้จึงสำคัญว่า คำพูดของตนเหมือนทองคำหรือเงิน พูดคำสองคำก็นิ่งเสีย

    แผ่นดินก็ดี พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ดี คนก็ยังนินทา แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เพียบพร้อมด้วยคุณงามความดี คนก็ยังนินทา คนไม่ถูกนินทา ไม่เคยมีมาก่อน จักไม่มีต่อไป ถึงในขณะนี้ก็ไม่มี
    (ธรรมบท ๒๕/๒๗)


    อันนินทา กาเร เหมือนเทส้วม ถ้ารวบรวม รับไว้ ย่อมได้เหม็น
    หากไม่รับ กลับหาย คลายประเด็น ย้อนไปเหม็น ปากเน่า ของเขาเอง
    ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ขวัญใจโลก คนยังโขก ยังสับ งับเหยงเหยง
    ถ่มน้ำลาย รดฟ้า ด่าบรรเลง ใครจะเก่ง เกินลิ้น คนนินทา
    (ศรีตราด)

    พัสดุสิ่งของที่เราได้มา ถ้าเป็นของดีมีประโยชน์ เราก็เก็บเอาไว้ใช้ ถ้าเป็นของเสียไร้ประโยชน์ที่เรียกกันว่าขยะ เราก็ทิ้งไปไม่เก็บไว้ เพราะทำให้บ้านรกรุงรัง ไม่เป็นระเบียบ ไม่สะอาด คำพูดต่าง ๆ ก็เช่นกัน ถ้าเป็นคำพูดดีมีประโยชน์ เราก็รับฟังและจดจำไว้ ส่วนคำพูดที่เสียไร้ประโยชน์นั้น ก็ไม่ต้องไปจดไปจำ ไม่ต้องเก็บไว้ ให้ทิ้งไปเสียเหมือนทิ้งขยะ

    คำนินทาจัดเป็นคำพูดประเภทขยะ เป็นคำพูดที่เน่าเหม็น ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครอยากได้ยินได้ฟัง แต่ก็หนีไม่พ้น เพราะเป็นของคู่โลก ใคร ๆ ก็ถูกนินทากันทั้งนั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงถูกติฉินนินทามาแล้ว แม้องค์พระปฏิมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ เป็นของที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ก็ยังไม่พ้นการนินทาไปได้ ดังนั้นเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่เราก็ต้องถูกนินทาเช่นกัน จึงไม่ควรโกรธเคือง หรือเดือดเนื้อร้อนใจเมื่อถูกนินทา

    อันนินทา กาเร เหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำ เหมือนเอามีด มากรีดหิน
    แม้องค์พระ ปฏิมา ยังราคิน คนเดินดิน หรือจะสิ้น คนนินทา
    (สำนวนเก่า)

    คำพูดเป็นเพียงลมปาก เมื่อพูดแล้วคลื่นเสียงก็จางหายไปในอากาศ ไม่อาจทิ่มแทงหรือทำอันตรายร่างกายเราได้ เหมือนสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาต้องร่างกายเราแล้วจางหายไป คำพูดที่เขานินทาเรานั้น ได้จางหายไปในอากาศหมดแล้ว ดับสูญไปนานแล้ว ไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เหตุไฉนจึงยังเก็บเอาสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ตัวไร้ตน ที่ล่วงไปนานแล้ว มาคิดให้รกใจ ร้อนใจ ทุกข์ใจเปล่า ๆ ทำไม การกระทำอย่างนี้โง่หรือฉลาดกันแน่ ?

    นิสัยควาย แล้วไม่วาย จะบดเอื้อง คนรื้อเรื่อง อตีตัง มาตั้งขาน
    พิรี้พิไร ไม่รู้จบ งบประมาณ ก็เปรียบปาน ดังควาย น่าอายนา
    (อุทานธรรม)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    นึกว่าว่างทั้งวันแบบฟาส7 12-1 เสียอีก ไงบ่ายๆแก่มีงาน กระโจร พับฐานแล้วมั้ง

    Byeๆ
     
  3. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +385

    ถามได้เต็มที่ ผมเป็นฆราวาสครับ
    อย่างนั้นผมขอกล่าวครั้งที่สามนี้ และจะไม่กล่าวเรื่องนี้แล้วครับ
    คือเรื่องสังโยชน์

    ผมจะอธิบายถึงเหตุของการละสังโยชน์
    ให้คุณ VERAJAK ลองพิจารณาดูว่า
    เราไปทำอะไรกับสังโยชน์โดยตรงหรือไม่
    หรือเราแค่ทำเหตุ คือ มรรคแปดกันแน่

    อธิบายปฏิบัติมรรคแปด
    รบกวนอ่านตรงนี้ครับ >> กด << >> กด <<
    เอามาโพสในนี้ดูจะยืดยาวไป

    ถ้าคุณ VERAJAK อ่านแล้วก็พอจะเห็นว่า
    มรรคมีองค์นี่แหละครับ คือ ทางที่จะให้ละสังโยชน์ไป


    ส่วน"เหตุ"ว่าทำไม สังโยชน์จึงถูกละไป เป็นอย่างนี้ครับ
    ปฏิบัติมรรคแปดจนเข้าไปเห็นความจริงเข้าไปเห็นขันธ์5
    ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นแค่กระแสของนามธรรม เกิดดับ
    แต่การเห็นในครั้งใดมันขนาดกระแทกไปถึงจิตถึงใจ ขนาดมันฟันธงได้
    เกิดการสลด(วิราคะ) ในความโง่ที่เคยหลงไปคิดว่ามีตัวกู (ตรงนี้เป็นผลแล้ว)
    (ถ้าจิตไม่สลด นั่นไม่ใช่ผล ต่อเห็นการเกิด-ดับแค่ไหน
    เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์แค่ไหน ถ้าไม่มีวิราคะ ยังไม่เป็นผล)

    สังโยชน์ในข้อสักกายะทิฐิ ถูกละลงตรงนี้ จากการเข้าไปเห็นตัวกู
    ที่แท้เป็นเพียงกระแสของนามธรรม แค่นั้น

    และการปฏิบัติจนเข้าไปเห็นความจริงนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าพระธรรมนี้ของจริง
    รู้ทันทีว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติมาในโลก และตรัสรู้ธรรมเหล่านี้จริง
    และรู้ทันทีว่ามีพระอริยะสงฆ์ ที่เห็นธรรมไปก่อนหน้านี้เหมือนเราที่เห็นตอนนี้จริง
    ข้อนี้สังโยชน์ วิฉิกิจฉา ความสงสัย ถูกละไปด้วยการเห็นธรรม

    เห็นมรรควิธีที่ตนเองปฏิบัติมา ว่าทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง
    มรรคที่ว่าคือ มรรคมีองค์8 เห็นเลยว่าทางนี้ทางเดียวที่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง
    จะเห็นว่า การแก้กรรม สะเดราะเคราะห์ ลอดโบถส์ หรืออะไรก็ตาม
    ไม่อาจทำให้ พ้นไปจากทุกข์ได้จริง ได้โดยถาวรเลย มีแค่มรรคแปดนี้เท่านั้น
    สังโยชน์ในข้อ สีลัพพตปรามาส ถูกละไปเช่นกัน

    ธรรมของพระพุทธองค์มีเรื่องของเหตุ ของผลทั้งสิ้น
    ผมถึงได้ทักคุณ VERAJAK ไปว่า ให้จัดการที่เหตุ
    ปัญญาของพระพุทธองค์ทรงเห็นแล้วครับว่าจะแก้ ต้องจัดการต้นเหตุ
    การที่พยายามไปจัดการที่ผล มันไม่เคยได้ผลจริง
    มันได้แค่กลบๆเกลื่อนๆไป เพราะอะไร?
    เพราะมันจะสลัดอุปทาน ท่ามกลางอุปทาน
    จะละตัณหา ท่วมกลางตัณหา มันยากมาก
    แต่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางมรรคแปดนี้ ให้สัตว์เดินตาม ให้เข้าไปเห็นความจริงได้
    ท่ามกลางตัณหา ท่ามกลางอุปทานนี้เลยครับ
    จบเรื่องสังโยชน์แล้วแต่คุณ VERAJAK แล้วครับจะโยนิโสตามได้หรือไม่


    ส่วนเรื่อง สัมมาทิฐิ นั้น เมื่อคุณ VERAJAK ถามมา ผมก็ตอบตามจริง
    อวดตนหรือไม่ พิจารณาเอาครับ และผมท้าให้พิสูจน์ได้ครับ

    ส่วนในเรื่องของสัมมาทิฐิ คุณ VERAJAK พิจารณาเอาครับว่า
    ถ้าการเข้าไปเห็นความไม่มีตัวตนจริง จะเกิดสัมมาทิฐิหรือเปล่า
    จะเห็นทุกข์ เห็นเหตุ เห็นทาง เห็นความดับ หรือไม่ครับ
    คุณ VERAJAK อยากจะถามในเรื่องสัมมาทิฐิก็ได้ ยินดีครับ
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    เหนือฟ้ายังมีฟ้า ขอเพียงจุติธรรมในตนได้ เราสรรเสริญผู้นั้นยิ่งแลฯ

    ผู้ที่นั่งนิ่งเมียงมองอยู่ข้างๆนี่สิ! เขาไปถึงระดับไหนแล้ว ที่แน่ๆในจุดๆหนึ่งในเสี้ยววินาทีที่เขาคิดตาม และระงับอธิกรณ์ในใจได้ ห้ามไว้ในใจได้ และมีโอกาสทำลาย อธิกรณ์นั้น โดยไม่ต้องไปลงทุนหา ลงทุนสร้างเหตุเผชิญเหตุอื่นด้วยตนเองเลย นอกจากใช้ ดวงตา สัมผัส จากมหาภูติต่างๆ แล้วสรุปผล

    เรื่องที่เราปราถนามากคือ การที่มีผู้มีปัญญาธรรมสูงส่งกว่าเราเกิดขึ้นมากๆและเรื่อยๆอย่าได้หยุด อยากให้ทุกคนทุกท่านได้สำเร็จมรรคผลอันควร แน่นอนเราอาจจะได้พึ่งบารมีนั้นด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2015
  5. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +385
    ข้อนี้ผมคงไม่ต้องตอบนะครับ ลองดูในลิงก์เอาครับ
     
  6. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +385
    ขออภัยด้วยนะครับที่เป็นเหตุให้ คุณVERAJAK กับคุณจ่ายักษ์ ตอบโต้กัน
    แต่สำหรับผมเปิดให้ทุกคนโต้แย้งผมได้เลยครับ ไม่ขึ้นอยู่แต่เฉพาะที่สนทนากันสองคนแค่นั้นครับ
     
  7. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    เหตุนั้นไม่เกี่ยวก้บคุณสบายใจได้ครับ เเละผมกับจ่ายักษ์ก็จบครับ ต่างก็เดินตามทางของตนไป ไม่ติดใจ ไม่มีอะไรต่อกันอีกแล้ว สบายใจได้
    ส่วนคุณกับผมมาต่อกันครับ
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ถึงเคนซัง

    ธรรมดาของนักสู้นักเลงนักมวยฯลฯ

    ถ้าไม่บู๊กันก่อนเป็นเพื่อนรู้ใจ รู้จริตกันไม่ได้หรอกฉันใด


    นักธรรมที่ครุ่นคิดเคร่งในธรรมเหมือนกันมีความเห็นต่างกัน ยกวาทะขึ้นเปรียบเปรย ประดุจนายขมังธนูยิงลูกดอกใส่กัน หลบได้ก็หลบหลบ ปัดได้ก็ปัด จับลูกศรหักคามือ หรือจับศรนั้นขึ้นสายยิงกลับไป รับถ้าไม่ได้ก็แอ่น อกรับ ยอมรับฝีไม้ลายมือกัน ก็เพียงเท่านั้น เรียนตำราหน้าเดียวกัน จะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับการที่ได้สั่งสมมาฉันนั้นแลฯ


    เราท่านนั้นสมควรตาย
    ไม่มีใครที่เรียนธรรมนี้ไม่รักพระพุทธเจ้าหรอก เป็นธรรมทายาท เป็นลูกพระตถาคต ทะเลาะกันก็ในเรื่องธรรมของพระตถาคต สมควรแล้ว ตายก็สมศักดิ์ศรี ดีกว่าไปทะเลาะและฆ่ากันตายในเรื่องอื่น ที่มีเห็นกันทุกวัน จะเทียบกับ "บุคคลผู้เป็นบัณฑิต ที่สมควรตายอย่างเราท่านนี้ หามิได้เลย"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2015
  9. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +385

    คนธรรมดา ที่ไม่ได้หมดอุปทาน ล้วนเพลินไปในสุข และทุกข์
    เชื่อไหมครับ แม้ความทุกข์ที่ว่าทุกคนไม่อยากมี ไม่อยากเจอ อยากผลักมันออก
    แต่เอาเข้าจริงจิตมันก็เพลินอยู่ในทุกข์นั้น
    เพราะความไม่รู้จริงๆของสัตว์ จึงเสพและเพลินไปในอารมณ์ทุกข์
    เมื่อไรเพลิน เมื่อนั้นไม่พ้นจะก่อให้เกิดตัณหา อุปทาน

    ที่นี้ คุณ VERAJAK กล่าวถึงคนที่ไม่มีนันทิ(ความเพลิน)
    เมื่อไหร่ตากระทบรูป แล้วเห็นเป็นแค่ธาตุ ขันธ์ จิตไม่ปรุงแต่งร่วม
    เมื่อนั้นจะไม่เกิดความพอใจ ไม่พอใจ
    พอไม่เกิดความพอใจ ไม่พอใจ ความเพลินใจอารมณ์ ความเพลินจาการเห็นรูป ก็ไม่เกิด
    ตัณหา อุปทานจะมีมาจากไหน
    ผู้จะไม่เพลินไปในอายตนะ ก็มีแค่พระอรหันต์
    ส่วนปุถุชน ก็พร้อมจะเพลิน ไปในอารมณ์ได้ตลอดเวลา
    ด้วยความไม่รู้ก็หลงยึด หลงสร้างตัวตนไม่หยุด
    และมันผูกกันไปถึงเรื่อง ของ กรรม และ วิบากด้วย

    ปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธองค์จึงน่าอัศจรรย์มาก
    ที่ชี้มรรคแปดให้สัตว์เดินตาม เพื่อออกจากวัฏสงสาร
    ท่ามกลางอุปทาน ท่ามกลางกิเลส
    ท่ามกลางการกระทบของผัสสะ ที่พร้อมจะก่อตัวตน จนเกิดเป็นอุปาทาน
    อัศจรรย์ที่ว่า
    ทำตัวคนที่ตกอยู่ในน้ำโสโครกให้สะอาดได้ แม้ตัวเค้าจะจมอยู่ในน้ำโสโครกอยู่ก็ตาม

    ส่วนมรรควิธีเพื่อดับนันทิ ก็ไม่พ้นมรรคแปด ที่ว่ามรรคแปด คือกล่าวโดยรวม
    ส่วนที่คุณ VERAJAK ยกมา
    "เธอไม่มีในโลกนี้และโลกหน้า" นั้นคือการกระจายผัสสะ แบบ"สักแต่รู้สักแต่เห็น"
    และนี้ก็คือ "มรรคแปด" เช่นเดียวกัน

    คำที่ว่า "เธอไม่มีในโลกนี้และโลกหน้า" ถ้าตีความแบบคนธรรมดาได้อย่างไรผมไม่ทราบ
    แต่ การสักแต่เห็นนี้ คือ ไม่ให้ค่าแก่สิ่งกระทบ
    เมื่อไหร่ ตาเห็นรูป คนธรรมดาจะสร้างความรู้สึกที่เป็น โลกส่วนตัวขึ้น
    สร้างกรอบความรู้สึกขึ้น
    มีกูเห็นรูปนี้ กูชอบรูปนี้ กูอยากได้รูปนี้ รูปนี้เป็นของกู
    นี่คือ "มีเราอยู่ในโลกนี้"
    และคนธรรมดายังสร้าง การปรุงแต่ง หรือ จินตนาการ ไปในโลกหน้าด้วย
    มีตัวเราโลกหน้า คือ มีความรู้สึกปรุงแต่ง ว่ามีตัวกูเป็นนั่นเป็นนี่
    ปรุงแต่ง จิตนาการ บ้านหลังใหญ่ รถคันใหญ่ เป็นของเรา เรามีพ่อแม่ชื่อนั้นชื่อนี้
    ล้วนไปสร้างตัวตน ที่เป็นตัวกูของกู ในการปรุงแต่ง
    ในการจินตนาการ ของโลกที่ไม่เคยมีอยู่จริง นี้คือ "โลกหน้า"

    แบบเดียวกับที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระพาหิยะในตอนท้าย
    ว่า การที่ไม่สร้างความรู้สึกว่าเป็นตัวตนขึ้นในขึ้นมาในโลกนี้(ปัจจุบัน) ตัวกูก็จะไม่มีในที่นี้
    และไม่สร้างความรู้สึกว่าเป็นตัวตนขึ้นในขึ้นมาในโลกหน้า(กรอบความคิดปรุงแต่ง) ตัวกูก็จะไม่มีในที่อื่น
    ความรู้สึกที่พ้นจากตัวตน พ้นจากอุปทานว่าเป็นตัวตน นั่นล่ะครับ ที่สุดแห่งทุกข์


    จะเห็นว่า ข้างบนนี้ เข้าไปทำตรงๆที่ตัวสังโยชน์หรือไม่ ลองพิจารณาดูครับ
     
  10. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ที่ท่านกล่าวนั้นล้วนเป็นภาคทฤษฏี มิใช่ปฏิบัติครับ ผมรู้โดยท่านมิต้องกล่าวหรอกในพระไตรปิฏกก็มี ปฏิบัติตามมรรคมีองค์8
    คำถามคือใครทำได้บริบูรณ์ต่างหากละครับ ถ้าทำได้ครบบริบูรณ์คือพระอรหันต์เท่านั้นโดยเฉพาะสัมมาทิฏฐิ สิ่งสุดท้าย ผมไม่ได้เดินตามมรรคมีองค์8เป็นหลักแต่ผมทำสังโยชน์10ที่ละข้อ ทางเดินเราต่างกัน คนละเส้นทาง. ท่านจะเดินยังไงก็เรื่องของท่าน ส่วนผมจะเดินยังไงก็เรื่องของผม. สุดท้ายใครจะถึงรึไม่ถึงย่อมขึ้นกับความเพียรของแต่ละบุคคล ท่านพยายามทำมรรคให้ได้ก็เรื่องของท่าน ส่วนผมจะทำสังโยชน์จนครบก็เรื่องของผม. อย่าได้เอาทาง2ทางมาแล้วบอกทางนี้ผิดต้องทางนี้ถึงถูก เพราะทั้ง2ทางพระพุทธองค์ตรัสบอกให้เดินไปแล้วจะพ้นทุกข์ ไม่ใช่พระอริยมรรค์มีองค์8เท่านั้นที่พ้นทุกข์มีอีกมากมายที่พระองค์ท่านกล่าวไว้แล้วจะพ้นทุกข์ จริตใครก็จริตใคร ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างเดิน ทางใครทางใครจะเลือกเดินยังไงก็แล้วแต่ครับ สิ่งที่ท่านกล่าวท่านเหมารวมแล้วกล่าวตามตำรา. ต้องยังงันถึงเป็นยังงี้ เอาเป็นว่าฆราวาสไม่มีทางหรือน้อยมากที่จะทำพระอริยมรรคได้สำเร็จ ส่วนสังโยชน์10ดับเป็นข้อๆยังพอไหวตามความเพียรและความสามารถของแต่ละคน ไม่ใช่มรรคเป็นเหตุ สังโยชน์เป็นผล และไม่ใช่สังโยชน์เป็นเหตุและมรรคเป็นผล. ต่างเป็นเหตุและเป็นผลในตัวต่อกันเองครับ. หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ มืดกับสว่าง สติเป็นสวิท สาธุ
    ป.ล.สังโยชน์10ใครจะดับแค่ไหนล้วนได้ทั้งนั้น ทำ1-3แล้วพอใจก็เป็นพระโสดาบันไม่ต้องพะวงว่าต้องทำมรรคให้ครบ ทำ4-5ให้บางเบาก็พระสกทาคามี ก็พอใจแค่นี้ก็ได้ ไม่ต้องพะวงกับพระอริยมรรคมีองค์8ไม่ครบไม่สำเร็จ. รึดับ5ข้อแรกเป็นพระอนาคามีก็พอ ไม่ต้องพะวงกับมรรค 8. บอกแล้วจริตใครต้องการแค่ไหนก็เรื่องของคนนั้นๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2015
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่ไหว เพลีย... จิงๆ

    [FONT=&quot]ถาม : พระอัลเลาะห์ ?
    ตอบ : พระอัลเลาะห์จริง ๆ คือ พระโยนกธรรมรักขิต เป็นพระอรหันต์

    ในพระพุทธศาสนา แต่ตอนหลังคนนับถือไปนับถือมาจนเพี้ยน
    เพราะว่ารอจนกระทั่งประมาณ ๑,๒๐๐ ปีแล้ว ถึงมาเริ่มฟื้นฟูกันใหม่

    แถว ๆ เขตนั้นเขาเรียกว่าโยนก มีในส่วนของอัฟกานิสถาน

    จะมีแถวที่เขาเรียกแบกเทรีย ที่เป็นอาณาจักรโบราณ
    แล้วก็มีทาริม ปัจจุบันสถานที่พวกนี้อยู่ในประเทศที่ลงด้วยคำว่า "สถาน" เยอะแยะไปหมด เช่น อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน
    คีร์กิสถาน ฯลฯ

    อัลเลาะห์จริง ๆ มาจากคำว่า "อัลลาฮะ" ก็คือ "อรหันต์"

    เขาออกเสียงได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไหว้พระอัลเลาะห์
    ถูกตัวจริง ๆ ก็จะเป็นพระอรหันต์ คือพระโยนกธรรมรักขิตตะ

    ถาม : ทำไมไม่มีรูปแทนองค์พระอัลเลาะห์ ?
    ตอบ : พระโยนกธรรมรักขิต ท่านตั้งใจว่า ถ้าหากยังมีสิ่งให้ยึด

    คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกับบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่
    แต่ยังยืนกอดเสาอยู่ แล้วจะไปได้ไหมเล่า ? นั่นจริง ๆ
    เป็นเจตนาที่ดีมาก ๆ เลย
    ที่มา เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือน กันยายน 2554
    หน้า3 หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน
    ___________


    เพื่อจะหายจาก อวิชา ขึ้นมาบ้าง

    [/FONT]

     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    น่าน ไม่รู้ทางคำสอนจริงๆที่อ้างมา อย่าก๊อปมาวางเลยครับ อายเขา คุณSeber
    คัมภีร์ที่เก่าแก่นานถึง 1400 นานกว่านั้นก็มี คือ เตารอต อินยีล ซาบูร การนับปีเวลายุคสมัย จะถูกเปลี่ยน และยกขึ้นมานับใหม่โดยตลอดเวลา ตามยุคสมัยของนบีแต่ละท่าน สมัยนี้ นบี มูฮัมหมัด กินเวลามา ฮ.ศ.1437 ปีแล้ว

    ไม่ใช่อวิชชาหรอกครับ ถ้าเขียนออกมาแบบนี้ โดยไม่รู้ว่า เขาสอนอะไร คัมภีร์มีกี่เล่มกี่ทอด ตั้งแต่บทกำเนิดโลก

    นบีมีกี่คน ? พระโยนกเกิด พ.ศ อะไร? แล้ว คัมภีร์มีแต่ไหนมา เตารอต อินยีล ซาบูรและอัลกรุอาน นี่กี่หมื่นกี่พันปีแล้วครับ 555
    เขาเรียก ผีบ้าครับ ข้อมูลที่ท่านเอามาวาง 555 ดีนะไม่มีห้องรวมศาสนา

    เขาคงมาฮากันสนั่น เหมือนกับ เทวดาพระสีอานปลอม ที่บอกว่า ตนเป็นผู้นำของทุกศาสนา

    รู้นะว่าคุณSeberเอาฮา ตลอดรายนี้ ที่มาบ้านสวนปิรามิด คิกๆ 555

    สุดท้ายคงมีคำสอนหรือคำส่งคำสั่งให้ถล่มนาลันทาใช่ไหม?ครับ ลงพ.ศ ให้ชัดเจนด้วยนะครับ เดียวมันจะขัดกับทางโบราณคดี แล้วพระโยนกนี่ มาก่อนพระเจ้าอโศกหรือหลังพระเจ้าอโศกครับ? ลงลำดับเวลาให้ถูกน้า ถ้ามาก่อนนี่พระโยนกเป็นพระอรหันต์ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ใดครับ
    แล้วถ้ามาหลังนี่ :cool: เจาะเวลามาหาอดีต สนุกเลยนะครับ สงสัยจะเป็นโคตรภูสงฆ์แน่ๆ


    ระบุเวลาให้ชัดเจน เพราะมีตัวละครลึกลับซ่อนอยู่เพียบในแต่ละยุคสมัย ชื่อดังก้องโลก ฉนั้นแต่ละบุุคคลจะมีตำนานบันทึกของตนเอง เช่น พระนาคเสน พระเจ้าเมนันเดอร์ที่ 1
    คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เศาะลาฮุดดีน อัลอัยยูบีฯลฯ แน่นอนทีเดียวที่พระโยนกที่ว่ามาในที่นี้ จะต้องมีคนชื่อดังของโลกรู้จักมากมาย

    ออ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปีก่อนคริตศักราช นี่ ตอนนี้ก่อนจะล่มสลาย ชาวฮิบูรที่บูชาพระเจ้า เขาอยู่มานานแล้วครับ
    เทียบเวลาคงตาแจ้งนะ รายละเอียดแค่นี้คงพอ รู้ที่ไปที่มา พระโยนกที่ว่านี่คงเกิดไม่ทันแน่ๆ ถ้าเกิดทันก็คงเป็นพระอรหันต์ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นนะครับ สรุป กินยาหรือยัง?


    ยุคกรีก - โรมัน(พ.ศ. 211 ถึง พ.ศ. 1182)
    กษัตริย์มาซิโดเนีย (พ.ศ. 211 ถึง พ.ศ. 238)
    ราชวงศ์ปโตเลมี (พ.ศ. 238 ถึง พ.ศ. 513)
    อียิปต์ตุส (รัฐหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน พ.ศ. 513 ถึง พ.ศ. 1182)
    มุสลิมบุกอียิปต์ (พ.ศ. 1182)


    เอาให้แน่นะจ๊ะ:cool:

    ผู้เรียบเรียงนี่มาจากศาสนาบาไฮ
    พระบะฮาอุลลอฮ์ ศาสดาของศาสนาบาไฮ กล่าวถึงพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาเพื่อทำหน้าที่นำพาและให้ความรู้แก่มนุษย์ในยุคสมัยหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ คือ พระกฤษณะ โมเสส ซาราธุสตรา พระพุทธเจ้า นบีมุฮัมมัด พระบาบ[55] โดยพระบาฮาอุลลออ์อ้างว่าตนเองคือ "พระวิญญาณแห่งความจริง" (ยอห์น 16:13) และเป็นพระคริสต์ผู้มาเป็นครั้งที่สอง "ด้วยรัศมีของพระบิดา" (มัทธิว 16:27) ตามที่พระเยซูได้ทำนายไว้

    หรือลัทธิอนุตตรธรรมกันน้า
    ลัทธิอนุตตรธรรมถือว่าอนุตตรธรรมเป็นรากเหง้าของทุกศาสนารวมทั้งศาสนาคริสต์ โดยพระเยซูเป็นศาสดาองค์หนึ่งที่พระแม่องค์ธรรมทรงส่งมาเพื่อโปรดเวไนยในช่วงธรรมกาลยุคแดง เช่นเดียวกับพระโคตมพุทธเจ้าและนบีมุฮัมมัด และยุคแดงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1912 ปัจจุบันจึงเป็นธรรมกาลยุคขาวซึ่งมีลู่ จงอี เป็นผู้ปกครอง

    ลัทธิอนุตตรธรรมได้จัดพิธีกรรมหลายครั้งที่อ้างว่ามีพระเยซูมาประทับทรงเพื่อประกาศรับรองว่าลัทธิอนุตตรธรรมเป็นทางสวรรค์ที่แท้จริง ที่สำคัญเช่นปี ค.ศ. 1941 ซุน ฮุ่ยหมิง เจ้าลัทธิอนุตตรธรรมได้เชิญวิญญาณพระเยซูมาประทับทรงที่กระบะทรายเพื่อประทานพระโอวาท เนื้อความสำคัญที่ถูกถ่ายทอดคือประกาศว่าซุน ฮุ่ยหมิง เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในยุคนี้ และให้คริสตชนนมัสการบูชาเธอยิ่งกว่าพระเยซูเอง เพราะมีเธอคนเดียวที่จะประทานความรอดให้แก่มวลมนุษย์ได้

    อืม? อย่างสุดท้ายสำคัญมากนะครับ เทวรูป หรือพุทธรูป สิ่งก่อสร้างทุกชนิด จากพุทธันดร๑จะไม่มีทางหลงเหลือข้ามไปถึงพุทธันดร๒นะครับ เพราะฉนั้นจะต้องถูกสร้างในสมัยใด? คงไม่ต้องอธิบายนะครับ

    ๕๕55 Sebaa

    แถม
    ถาม : ทำไมไม่มีรูปแทนองค์พระอัลเลาะห์ ?
    ตอบ : พระโยนกธรรมรักขิต ท่านตั้งใจว่า ถ้าหากยังมีสิ่งให้ยึด
    คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกับบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่
    แต่ยังยืนกอดเสาอยู่ แล้วจะไปได้ไหมเล่า ? นั่นจริง ๆ
    เป็นเจตนาที่ดีมาก ๆ เลย
    ที่มา เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือน กันยายน 2554
    หน้า3 หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน

    แล้วพระโยนกท่านนี่ ไปร่วมการพิจารณาสร้างพุทธสถาน โบราณสถาน ร่วมทั้งพระปฎิมากร แกะสลักภูเขาและ หินทรายต่างๆ
    ขึ้นไหม?น๊า แล้วที่มีที่สร้างไว้ จะไม่กลัวว่าใครจะไปยึดเอาพระพุทธปฎิมากร จนทำให้หลุดพ้นยากหรือ.... และศาสนาอิสลาม เขาสอนหลุดพ้นแบบไหนกันน๊า หลุดจากโลกมนุษย์ หลุดจากนรกไปสวรรค์ หรือหลุดแบบไหนกันเหรอ?


    สรุปการมีพระพุทธรูปในปัจจุบันนี้ พระโยนกคงเข้าใจว่า พระพุทธปฎิมากรที่มีมาถึงในปัจจุบันและอนาคตต่อไปข้างหน้า คงเป็นสิ่งให้ยึด
    คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกันสินะ!จึงเปรียบเทียบอย่างนั้น หลวงเพ่ใหญ่ ผีขนุน


    สุดท้ายอย่าบอกนะว่า พระโยนกนี่คือพระเจ้ามิลินท์หรือพระเจ้าเมนันเดอร์ที่ 1 ๕๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2015
  13. biox

    biox Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +60
    7หน้ากระทู้ผ่านไป :)

    ว่าโดยย่อ..
    "กูรู"เยอะ แต่ "กูไม่รู้" เยอะกว่า...

    การมีแสดงอาการแห่ง ตัวกู ของกู มีการกระทบอารมารณ์ แล้ว จับ กระทบอารมารณ์ สะท้อนกันไปมาตลอด 7หน้า
    มีการแสดงอาการแห่งมานะ ตลอดเวลา
    ผมนั่งขำ ที่ "กูรู" แห่ง "กูไม่รู้" มาเถียงกันเรื่อง พระนิพพาน ทั้งที่แค่ลูบๆ คลำๆกัน อย่ากะตาบอดคลำช้าง
    มีใครถึงพระนิพพาน ซักคนหรือยัง?
    นั่นแหละความหมายที่แท้จริง ของ " นิ่งเสีย โพธิสัตว์"
    .
    .
    ถอยจิตกลับมาดูตัวเองนะ..
    ต่างหาเหตุ หาผล มารองรับอาการแห่งตัวกูกันเต็มไปหมด << เห็นตามนี้ได้มั้ย ?????
    .
    .
    ถ้ายังคิดเห็นต่างก็ไม่มีทางเจอสันติ
    มันจะเจอได้ได้อย่างไร เพื่อจิตมันยังไม่พ้นของคู่ คือความ แพ้ ชนะ กัน
    .
    .
    เพราะจิตยังไม่พ้นกับดัก คือความคิดตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่ถูกรู้ จึงยังไม่จริง มันยังไม่เป็นสัมมาทิฐิที่สมบูรณ์
    .
    .
    แล้วหันไปกางตำราเทียบ
    " ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่ขัดแย้งกับโลก. แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา. ผู้กล่าวเป็นธรรมย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลก " จาก ปุปผสูตร

    ของจริงเค้าอ่านแผนที่ก่อน แล้วเดิน ติดตรงไหนก็ กางแผนที่ดูเป็นเรื่องๆไป ของจริงเค้าทำกันแบบนี้ ชีวิตมันจะง่าย :)
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    โอ้ นี่รึผู้บรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิดีพร้อมมูล ขอให้ท่านเจริญในธรรม อันเจริญยิ่งขึ้นไปเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ในนี้มีมานะทั้งนั้นแหละครับ อยู่ที่ว่าใครจะยอมร้บแค่ไหน ผมเคยโพสบอกไว้แล้วว่าผมมีมานะจริง แต่ใครจะรับรึไม่รับไม่ใช่ สาระ
    สาระอยู่ที่ว่าเค้ารู้ตัวรึเปล่าต่างหากละ บางคนยิ่งกว่าเป็นมนุษย์อุจาระเหม็นยังคิดว่าเป็นโน้นนั้นนี่ จะต้องทำโน้นนั้นนี่ อย่างนี่หนักกว่าอีกครับ
    ที่ท่านกล่าวผมยอมรับ คือรู้แต่ยังทำไม่ได้ครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ สาธุ
    ป..ล.รู้จักตนรูัจักตัว. ดีกว่าหลงตัวหลงตน ไม่รู้ว่าอุจาระเหม็นเหมือนๆกับทุกสรรสัตว์ คิดว่าดีเลิศประเสริญศรี เฮอะ เวรกรรมๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2015
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    บางทีคู่สนทนาที่ดี เหมาะสมและคู่ควร กับคนที่มีสติปัญญาใกล้เคียงกันที่สุด ขอยกให้เป็นภาระของพี่Taeก็แล้วกันนะ

    ขวัญใจมิตรรักแฟนเพลงตลอดกาล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • avatar31_1.gif
      avatar31_1.gif
      ขนาดไฟล์:
      57.1 KB
      เปิดดู:
      125
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2015
  17. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +385

    ธรรมที่ผมกล่าวออกไป
    คุณ VERAJAK เห็นว่าเกิดไปตรงกับตำรา พุทธพจน์ หรือครูบาอาจารย์ ก็ตาม
    อย่างนั้นคุณ VERAJAK ยิ่งต้องพิจารณาเลยครับว่า ทำไมผมกล่าวอย่างนี้
    ถ้าผมเอามาจากตำรา หรือลักจำมา ก็ขอให้คุณ VERAJAK พิสูจน์เอาได้ครับไม่ยาก
    ถามคำถามที่ยิ่งขึ้นไปอีก ที่ลึกเข้าไปอีก ถามไปถึงเหตุของธรรมต่างๆ เพื่อพิสูจน์

    คุณ VERAJAK คิดว่าธรรมที่ออกมาจากหลวงปู่ หลวงตา ที่ท่านถึงธรรมนั้น
    มาจากการอ่านตำรามามากหรือไม่ ถึงทำให้ท่านกล่าวได้ตรงกัน และตรงกับพระพุทธองค์
    คิดว่าธรรมนั้นมาจากไหน?

    ส่วนในมรรควิธี ผมแค่สะกิดให้คุณ VERAJAK ดู ไม่ไปอคติจนเห็นว่าผมมาจับผิดซะก่อน
    ก็พอจะเห็นว่าผมพยายามชี้ ให้ไปทำที่เหตุ อย่างเดียวกับพระพุทธองค์
    เจตนาผมไม่ได้มีอะไร ผมเคยเป็นมาก่อน เคยเสียเวลาไปทำตรง "ผล" ของมัน
    พออ่านเจอก็เลยอยาก สะกิดหน่อย จะได้ไม่เสียเวลาในการปฏิบัติ
    วันนี้คุณ VERAJAK อาจจะไม่เห็น ไม่เข้าใจ ที่ผมกล่าว
    แต่วันนึงที่ลองผิดลองถูกด้วยการปฏิบัติแล้วจะทราบเอง ว่า "มรรค" ควรทำตรงไหน
    มันไม่ใช่เรื่องของจริต เพราะมรรคแปดนี้ พุทธองค์ใช้ "ขน" เหล่าสัตว์ทั้งหลายออกจากกองทุกข์
    จริตเป็นเรื่องของความพอใจในอุบาย แต่ยังไงต้องเดินบนมรรค
    ผมไม่ได้มากล่าวหรูๆ เรื่องของ มรรคแปด นะครับ
    แต่คุณ VERAJAK เอง ไม่ว่าจะใช้อุบายไหนอยู่ ถ้าไม่อยู่บนทางมรรคแปด ก็ยากจะถึงปลายทาง
    ส่วนมรรคแปดนี้ใครก็กล่าวได้ครับ
    แต่จะมีคนที่เข้าใจและ ปฏิบัติจริงๆ กี่คน นับคนได้เลยครับ

    ส่วนในเรื่องของสังโยชน์
    ถ้าอริยะบุคคลเป็นง่ายอย่างที่คุณ VERAJAK กล่าวมา ธรรมนี้ก็ดูจะเป็นของตื้น
    ความจริง คือ มันไม่ใช่อย่างที่คุณ VERAJAK เข้าใจ
    "การทำใจจิตให้เชื่อถึงความไม่มีตัวตน
    ทำจิตให้เชื่อในพระรัตนตรัย
    ทำจิตให้เชื่อทางที่พระพุทธเจ้าชี้"

    "การทำใจให้เชื่อ" ยังไม่ใช่ สิ่งนี้มันแปรปรวนได้อยู่ เป็นอื่นได้อยู่
    การทำใจให้เชื่อ ไม่เคยละสังโยชน์ได้จริง ข้อนี้ผมยืนยัน

    ธรรมวินัยนี้แม้จะอาศัยความเชื่อความศรัทธาเป็นตัวนำ แต่ที่สุดปลายทางไม่ได้อยู่ที่การเชื่อ
    แต่อาศัยการพิสูจน์จนเห็นความจริง

    การพยายามดับที่ตัวสังโยชน์ มันไม่เคยดับจริง ไม่เคยทำลายได้จริง
    ดับที่ปลายเหตุเดี๋ยวก็กำเริบใหม่ครับ
     
  18. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ถ้าท่านกล่าวยังงี้พระพุทธเจ้าก็สอนผิด แสดงว่าท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้า สังโยชน์10พระพุทธองค์สอนให้ดับ เมื่อดับได้สนิทก็จบกิจสำเร็จเป็นพระอรห้นต์ แต่ท่านบอกไม่มีวันดับได้ ถ้าดับไม่ได้จริงพระพุทธองค์จะสอนทำไม? ทางใครทางมันดีแล้วยิ่งท่านกล่าวยิ่งไปปรามาสพระพุทธเจ้า ถ้าจะเถียงเรื่องสังโยชน์ที่ผมทำอยู่ท่านไปเถียงกับพระพุทธเจ้า. ท่านสั่งสอนให้ดับสังโยชน์10ได้ก็จบ แต่ท่านบอกดับไม่ได้จริง ท่านไปเถียงกับพระองค์เองผมไม่เกี่ยว และผมจะเดินทางนี้ที่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เดิน. ถ้าจะหลงก็จะขอหลงตามคำสั่งสอนของพรเองค์ท่าน. สาธุ
    ป.ล. หลวงพ่อฤาษีลิงดำสอนให้ทำสังโยชน์3ข้อก็เป็นพระโสดาบัน ก็โกหกซิในเมื่อดับไม่ได้จริงตามท่านว่า ก็โสดาบันปลอม นางวิสาขา ฯลฯ ในสมัยพุทธกาลก็ของปลอมเพราะไม่มีว้นทำได้เดี่ยวก็กลับมาอีก พระพุทธองค์ทรงรับรองเองว่านางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน มี3ข้อของสังโยชน์10มีโลภ โกรธ หลงครบ แต่อยู่ในขอบเขตของศีล. ท่านก็กล่าวหาพระพุทธองค์มุสาซิในเมื่อท่านบอกทำไม่ได้จริงดับไม่ได้จริง.
    อีกอย่างครับ ผมไม่เคยยอกว่าความเชื่อ ความศรัทธา การอ่าน การเรียนนั้นจะสำเร็จ ได้ คนเราทุกคนต้องปฏิบัติถึงจะสำเร็จครับ ส่วนยากรึง่ายผมก็ไม่เคยกล่าวนะครับ ผมจะบอกอีกครั้งนะครับว่าผมเป็นชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2015
  19. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    รูปอวตารของคุณจ่ายักษ์สวยสง่ามากค่ะ ไม่ทราบว่าคือใคร
     
  20. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ศรัทธา..วิริยะ...ปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...