การเข้าถึงพระนิพาน

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย กาฝากรัก, 25 ตุลาคม 2012.

  1. กาฝากรัก

    กาฝากรัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +191
    ทำอย่างไรเราจึงจะเข้า
    ถึงพระนิพพานได้
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนทุกคนมีความดี ที่
    จะเข้าถึงพระนิพพานได้ทุกคน และ
    ยังตรัสอีกว่า “การที่จะไปนิพพานได้
    ไปได้หมด คือ พรหมก็ไปนิพพานได้
    เทวดาก็ไปนิพพานได้
    มนุษย์ก็ไปนิพพานได้
    แม้แต่สัตว์ก็ไปนิพพานได้”
    คำว่า “สัตว์ก็ไปนิพพานได้”
    ในที่นี้พระพุทธเจ้าหมายความว่า
    สัตว์ทุกตัวที่เกิดเป็นสัตว์ ตั้งแต่สัตว์ใหญ่
    หรือสัตว์เล็กตามที นั่นคือ คน
    คนที่สร้างกรรมที่เป็นอกุศล สร้าง
    ความชั่ว ถ้ากำลังของกรรมหนักจริงๆ
    พาคนลงนรกไปก่อน เป็นสัตว์นรกก่อน
    เมื่อกรรมเบาขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ผ่าน
    จากนรกก็มาเป็นเปรต จิตใจก็ยังมี
    ความรู้สึกอย่างคน
    เมื่อกรรมเบาขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง พ้นจาก
    ความเป็นเปรต มาเป็นอสุรกาย
    ความรู้สึกของจิตใจก็ยังเหมือนคน
    เพราะใจมันใจคน จากอสุรกายมา
    เป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เล็กถึงสัตว์
    ใหญ่ แต่ความรู้สึก ความ
    ต้องการของใจก็เท่าคน คือจิตเป็นคน
    ดังนั้น ขึ้นชื่อว่า สัตว์ เราจะคิดว่า
    เป็นสัตว์ต่ำทราม เสมอไปน่ะไม่ได้ คือ
    ด้วยมีจิตใจเป็นคน
    การที่พระพุทธองค์ตรัสว่า แม้แต่สัตว์ก็
    สามารถจะไปนิพพานได้ ก็เพราะว่า
    ถ้าสัตว์ทั้งหมด
    เขาชำระกฎของกรรมเดิมหมดสิ้นแล้ว
    สัตว์เหล่านี้ก็กลับมาเกิดเป็นคน
    สามารถบำเพ็ญกุศลเข้าถึงนิพพานได้
    วิธีการเข้าถึงพระนิพพาน
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี 4 แบบ
    แบบที่ 1 สุกขวิปัสสโก
    แบบที่ 2 เตวิชโช
    แบบที่ 3 ฉฬภิญโญ
    แบบที่ 4
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    สำหรับแบบที่ 1สุกขวิปัสสโก ได้ชื่อว่า
    ง่าย แต่ทำยาก คือปฏิบัติแล้ว
    ไม่เห็นอะไร
    เหมือนคนเอาผ้าดำผูกตาเดิน ซึ่งเหมือน
    กับพุทธบริษัททั้งหลายส่วนใหญ่ ที่ทำกัน
    อยู่ในวลานี้ ถ้าไม่เลิกปฏิบัติก็
    ถึงนิพพานเหมือนกัน ก็ได้แก่ปฏิบัติ
    ทาน ศีล ภาวนา
    ทาน การให้ การถวายสิ่งของ
    กับพระก็ดี ให้แก่คนยากจนก็ดี
    ให้แก่คนที่ลำบากก็ดี
    ให้แก่สัตว์เดรัจฉานก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นทาน
    และการให้ทาน ถ้ามีความมุ่งหมายอย่าง
    อื่น ก็จะพลาดจากนิพพานไปได้ ฉะ
    นั้นการให้ ทานจึงควรตั้งใจ
    โดยเฉพาะ เพื่อตัดกิเลสให้
    เป็นสมุจเฉทปหาน ให้คิดว่า ทาน นี้ เรา
    ให้เพื่อตัด โลภะ ความโลภที่อยู่
    ในจิตใจของเรา มันเป็นสิ่งสกปรก เรา
    ต้องให้ไปไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
    ในชาติปัจจุบัน สำหรับผู้รับไป เขา
    จะนำไปใช้ เขาจะไปให้คนอื่นต่อ เขา
    จะนำไปทิ้ง ก็เรื่องของเขา
    แต่กำลังใจของเราตัดเยื่อใยใน
    ความผูกพันในทรัพย์สมบัติ สิ่งของที่เรา
    ให้ไปหมดสิ้นแล้ว
    อย่างนี้พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นการชนะ
    ความโลภ เป็นการตัดกิเลสตัวสำคัญ
    ตัดรากเหง้ากิเลสได้รากหนึ่ง
    สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    การรักษาศีลตามประเพณีมีประโยชน์น้อยเต็มที
    สักแต่ว่าสมาทานศีลก็
    ไม่เกิดประโยชน์อะไร จะ
    ให้เกิดประโยชน์ต้องรู้พื้นฐานของศีล
    จะทำให้ ศีลเป็นตัวตัดโทสะ ความโกรธ
    รากเหง้ากิเลสตัวที่ 2 ได้
    จงจำไว้ว่า ศีล จะมีขึ้นกับใจ
    ต้องอาศัยเหตุ 3 ประการ คือ
    1.เมตตา ความรัก จิตคิดไว้เสมอว่า เรา
    จะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั่วโลก จะ
    ไม่เป็นเวรเป็นภัยกับใครจะไม่เป็นศัตรู
    กับใคร จะคบหากับบุคคล
    อื่นเหมือนคบหาตัวเอง เราจะรักคน
    อื่นเหมือนกับรักตัวเราเอง
    2.จิตคิดสงสาร หวังจะเกื้อกูลให้มี
    ความสุข ให้คิดว่าถ้าเราสงสารตัวเราเอง
    เท่าไร เราก็สงสารเขาเท่านั้น เว้น
    ไว้แต่เรื่องผิดระเบียบวินัยประเพณี ก็
    ต้องลงโทษกันตามระเบียบประเพณี
    อย่างพระพุทธเจ้าทรงลงโทษพระ เพราะ
    ความเมตตาปรานี เกรงว่าจะเลวไปกว่า
    นั้น แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นความโกรธ
    3.สันโดษ ยินดีเฉพาะทรัพย์สิน ที่เรามี
    อยู่โดยชอบธรรม
    และยินดีเฉพาะคนรักที่เรามีอยู่
    โดยชอบธรรม
    ไม่ล่วงเกินคนรักของบุคคลอื่น
    การรักษาศีลให้ดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ค่อยๆรักษาไปเรื่อยๆ ทำใจสบาย
    กิเลสคือความโกรธ ก็ค่อยๆลดไป
    ในที่สุดมันก็จะหมดไปเอง
    เป็นการปฏิบัติด้านสุกขวิปัสสโก
    ภาวนามัย พระพุทธองค์ตรัสว่า
    เรื่องการภาวนาด้าน สุขวิปัสสโกนี้
    มีฌานเบื้องต้น ไม่สูง โดยเริ่มต้น
    ใช้อารมณ์ พิจารณาตั้งแต่ ขณิกสมาธิ
    คือยามปกติ เมื่อเราให้ทานก็ให้ คิดว่า
    คนที่เราให้ทาน ทุกคนเมื่อเขารับทานที่
    ให้มาแล้ว เขาก็มีความสุข
    ในการบริโภคทาน แต่ว่าเราผู้
    ให้ทานก็ดี ผู้มารับทานก็ดี คนทั้งหลาย
    ทั้งหมดนี้ ไม่มีชีวิต
    อยู่ตลอดกาลตลอดสมัย
    เกิดขี้นมาเมื่อไรก็ค่อยๆเสื่อมไปทุกวันๆ
    ในที่สุดก็ตายเหมือนกันหมดทุกคน
    ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นคน
    เป็นสัตว์เป็นวัตถุก็ดี ในโลกนี้
    ไม่มีอะไรเหลือ นี่
    เป็นด้านวิปัสสนาญาณควบสมถะของสุกขวิปัสสโก
    ตราบใดเรายังหวังความเกิด
    เป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี
    เราต้องเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้
    หาที่สิ้นสุดไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    สถานที่พระนิพพานเป็นแดนที่มั่นคง
    เป็นแดนอมตะ เรายอมเชื่อพระพุทธเจ้า
    ทำจิตให้หลุดพ้นจากกิเลส
    เป็นสมุจเฉทปหาน คือ ทำลาย
    ความโลภด้วยการให้ทาน ทำลาย
    ความโกรธด้วยศีล คือมี
    ความเมตตาปรานีเป็นที่ตั้ง ทำลาย
    ความหลงด้วยปัญญา ให้เห็น
    ความจริงว่า โลกนี้ไม่เที่ยง ผู้ที่เกิดมา
    แล้วก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ในที่สุด ในที่สุด กระทั่งจิตของเรา
    ก็ปลอดปราศจากกิเลส ทั้ง 3 ประการ คือ
    ความโลภไม่มี ความโกรธไม่มี
    ความหลงไม่มี อย่างนี้ได้ชื่อว่าเป็น
    “นิพพานัง ปรมัง
    สูญญัง” นิพพาน
    เป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง
    ในเมื่อเชื้อสายความเร่าร้อนไม่มี จิตก็
    เป็นสุข
    อย่างนี้ท่านเรียกว่า นิพพานตัดกิเลส
    มีเบญจขันธ์เหลือ
    ต่อจากนี้ก็เป็นรายละเอียดในด้าน
    เตวิชโช หรือด้านวิชาสาม อภิญญาหก
    ปฏิสัมภิทาญาณ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่เข้า
    ถึงพระนิพพานได้รวดเร็วและได้มากกว่า
    มีกำลังดีกว่า ไม่สงสัย
    ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า สวรรค์มีจริง
    เราเจอะสวรรค์แล้ว พรหมโลกมีจริง
    เราเจอะพรหมโลกแล้ว
    พระนิพพานมีจริง เราเจอะพระนิพพาน
    แล้ว นรก เปรต อสุรกาย มีจริง เราพบ
    แล้ว ทั้งหมด เป็นอันว่าทุกคน
    ไม่สงสัยคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ถ้าบุคคลใด
    ไม่สงสัยคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง
    มีศีล 5 บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง
    มีจิตรักพระนิพพาน
    เป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง
    อย่างนี้ท่านเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ
    สกิทาคามี และเมื่อทำให้จิตว่าง
    จากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ตายเมื่อใดก็
    ถึงนิพพานเมื่อนั้น
     
  2. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    ที่นี่้ห้องคาถานะครับตั้งผิดห้องแล้วละ
     

แชร์หน้านี้

Loading...