การเห็น นิพพาน ของพระโสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 25 มกราคม 2012.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สังวัณณนาแห่งทัสสเนนปหาตัพพติกะ


    [๙๒] บทว่าทสฺสเนนโดยอรรถว่า อันโสดาปัตติมรรค.
    ก็โสดาปัตติมรรค พระผู้มีพระภาคตรัสว่าทัสสนะ
    เพราะเห็นนิพพานครั้งแรก.

    ส่วนโคตรภูเห็นนิพพานครั้งแรกก็จริง;
    ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า เห็น
    เพราะไม่มีการประหาณ (การละ) กิเลส อันเป็นกิจที่พึงเห็นนิพพานทำ,

    เหมือนอย่างบุรุษกล้าสู่ราชสำนักด้วยกรณียะเฉพาะบางอย่าง
    แม้ได้เห็นพระราชาซึ่งเสด็จทรงช้างไปตามถนนแต่ไกลเทียว
    เมื่อถูกถามว่า ท่านได้เฝ้าพระราชาแล้วหรือ
    (คำว่า เฝ้า หรือเข้าเฝ้าในภาษาบาลี ใช้กริยาศัพท์เดียวกันกับ เห็น นั่นเอง เพราะเฝ้า หรือเข้าเฝ้าก็คือเห็น หรือพบนั่นเอง)
    ก็ย่อมจะตอบว่า ยังไม่ได้เฝ้า
    เพราะ
    ยังมิได้ทำกิจที่พึงเข้าเฝ้า กระทำฉันใด, ก็ฉันนั้น นั่นแหละ.

    แท้จริงโคตรภูญาณนั้น ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอาวัชชนะของมรรค.
    บทว่า ภาวนาโดยอรรถว่า มรรค ๓ ที่เหลือ. ก็มรรค ๓ ที่เหลือ
    บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจภาวนา ในธรรมที่ปฐมมรรคเห็นแล้วนั่นเอง.
    ไม่ได้เห็นธรรมอะไรๆที่ปฐมมรรคไม่เคยได้เห็น;
    เพราะฉะนั้น
    พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า ภาวนา. บทที่ ๓ตรัสโดยการปฏิเสธบททั้ง ๒.

    บรรดาธรรมทั้ง ๓ นั้น จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง
    และที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาดวงหนึ่ง รวม ๕ ดวง
    เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรค (ทัสสนะ) พึงประหาณ(พึงละ) เทียว.
    จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นธรรมอันมรรค ๓ ที่เหลือ (ภาวนา) พึงประหาณนั่นเทียว.

    อกุศลจิตตุปบาท๖ ที่เหลือ ทั้งที่เป็นไปและไม่เป็นไปโดยความเป็นเหตุแห่งอบาย เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงประหาณ ก็มี,
    เป็นธรรมอันมรรค ๓ที่เหลือไม่พึงประหาณก็มี.
    ส่วนจิตตุปบาททั้งปวงเว้นอกุศล, รูป,และนิพพาน
    เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรค หรือมรรค ๓ ที่เหลือไม่พึงประหาณ.

    ส่วนบรรดาเจตสิกทิฏฐิ วิจิกิจฉา อิสสามัจฉริยะและกุกกุจจะเป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงประหาณเทียว.

    อกุศลที่เหลือเป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงประหาณก็มี.
    เป็นธรรมอันมรรค ๓ที่เหลือพึงประหาณก็มี;
    เจตสิกที่เหลือจากที่กล่าวแล้ว ๑๓ อย่าง
    อันมีชาติ ๓ เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคหรือมรรค ๓ ที่เหลือ
    ไม่พึงประหาณเทียว.

    ส่วนการประหาณแม้ซึ่งกุศลและอัพยากฤตที่ท่านอนุญาตไว้

    โดยนัยมีคำว่า
    นามและรูปที่พึงบังเกิดในสังสารวัฏ อันไม่รู้เงื่อนต้นเงื่อนปลายเว้น ๗ ภพย่อมดับลงในที่นี้เพราะอภิสังขารวิญญาณดับลงด้วยโสดาปัตติมรรคญาณ

    ดังนี้เป็นต้นนั้น

    ท่านกล่าวหมายปริยายนี้ว่าเพราะได้ประหาณบรรดากิเลสอันเป็นอุปนิสสัยปัจจัยแห่งนามและรูปที่พึงบังเกิดขึ้นเพราะมิได้ยังมรรคนั้นๆให้เกิด.
    อนึ่ง ติกะนี้เป็นนิปปเทสัตติกะ.ทัสสเนนปหาตัพพติกะจบ

    <O:p></O:p>
    เครดิต http://palungjit.org/threads/๑๓-โมหวิเฉทนี-เสสติกสังวัณณนา.295973/
     
  2. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    เห็นพระนิพพาน กับถึงพระนิพพาน ไม่เหมือนกัน มันไม่ใช่แต่ใกล้เคียง

    yimm
     
  3. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    แสดงว่า พระโสดาบัน ก็ยังไม่สามารถเห็นนิพพาน ใช่มั้ยครับ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
     
  4. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    ผมยังไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลานึกอะไรเกี่ยวกับธรรมมะจะขนลุกซู่ๆ น้ำตาคลอเบ้าเหมือนกัน
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    จะพูดแบบนี้ ก็ไม่น่าจะถูกนะ เรามีความเห็นว่า
    พระโสดาบัน คือผู้เห็นและเข้าถึง โสดาปัตตมรรค โสดาปัตติผล ย่อมรู้และตกกระแสพระนิพพานแล้ว

    อันนี้ ก๊อปมาให้พิจารณา

    โสดาปัตติมรรค=ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาบัน ,ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
    โสดาปัตติผล= ผลคือการถึงกระแสสู่นิพพาน,ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ด้วยโสดา
    ปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน
    โสดาบัน = ผู้ถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน,พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล มี ๓ ประเภทคือ ๑. เอกพีชี เกิดอีก
    ครั้งเดียว ๒. โกลังโกละ เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง ๓. สัตตักขัตตุปรมะเกิดอีก ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001343.htm
     
  6. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ในการที่อริยมรรคเบื้องบน๓ ชื่อว่า ภาวนา นั้น (อริยมรรคเบื้องบน๓ คือตั้งแต่
    สกทาคามิมรรค จนถึงอรหัตตมรรค)
    เพราะเหตุว่า องค์มรรค๘ ที่อยู่ในอริยมรรคเบื้องบน๓ นี้
    มีการเจริญในการประหาณกิเลสยิ่งกว่าองค์มรรค๘ ที่อยู่ในโสดาปัตติมรรค
    ฉะนั้น จึงชื่อว่า ภาวนา สำหรับการเห็นอารมณ์นั้น ไม่ได้เห็นอารมณ์ที่เป็น
    พิเศษไปจากอารมณ์ของโสดาปัตติมรรค คงเห็นแต่อารมณ์กล่าวคือ
    นิพพานที่โสดาปัตติมรรคเห็นมาแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ใช่ชื่อว่า ทัสสนะ
    โสดาปัตติมรรคจึงชื่อว่า ทัสสนะ

    และการประหาณอกุศลกรรมโสดาปัตติมรรคมี ๒ อย่างคือ
    ๑.สมุจเฉทปหาณ = ละได้เด็ดขาด
    ๒.ตนุกรปหาณ = ละได้โดยทำให้เบาบาง

    -อกุศลธรรมที่โสดาปัตติมรรคประหาณได้เด็ดขาด ได้แก่ ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต๔
    วิจิกิจฉาสัมปยุตตจิต๑ เจตสิก๒๒
    -อกุศลธรรมที่โสดาปัตติมรรคประหาณโดยทำให้เบาบางลง ได้แก่
    ทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต๔ โทสมูลจิต๒ เจตสิก๒๕ที่นำไปสู่อบาย(อปายยคมนิย)

    ฝากไว้ให้ผู้ต้องการเข้าใจอ่านด้วย ขอบคุณค่ะ
     
  7. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เห็นกล้วย กะกินกล้วย ไม่เหมือนกันนะ
    แต่หากเคยกินกล้วยแล้ว แค่เห็นกล้วยก็รู้ รสได้ เช่นกัน
     
  8. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ธรรมไม่ได้เรียนด้วยสมอง ไม่ได้เรียนด้วยหัวใจ
    แต่เป็นการรู้ ว่าเราปล่อยสมองและหัวใจ ได้ไหม
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เข้าใจเช่นนั้นเหมือนกันครับ

    ดัง อรรถกถาที่ยกมาข้างบน

    แต่ว่า พระโสดาบันเป็นผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอน
    ว่า ต้องได้นิพพานไม่เกิน 7ชาติ

    ก็จะสมกับคำว่า นิพพานไม่มีเกิดมีดับ
    ถึงแล้วถึงเลย เห็นแล้วเห็นเลย ชิมแล้วชิมเลย ไม่มีมาเข้าๆออกๆ

    อุปมาเพิ่มเติมอีกว่า
    คนที่ไปเฝ้าพระราชา ต้องรอที่ท้องพระโรง
    เพียงแต่พระราชา ยังไม่ได้ออกมาพบเท่านั้นเอง
    และเป็นอันแน่นอนว่า
    พระราชาต้องออกมาพบคนที่มารอเข้าเฝ้านั้นแน่นอน

    อีกอย่างหนึ่ง เหมือนคนมีกล้วยอยู่ในมือแต่ยังไม่ได้กิน
    รอเวลากินเท้านั้น จึงจะได้สมกับว่า รสชาติกล้วยนั้นเป็นอย่างไร
    กินแล้วก็รู้ซึ้งเลย ไม่มีการมาคาดคะเนอีกต่อไป
     
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เอาอะไรไปรู้ล่ะ
    สมอง ก็ธรรมหนึ่ง
    หัวใจ ก็ธรรมหนึ่ง
    อิสระ แห่งใจ ก็ยังไม่ใช่ที่สุดหรอก
     
  11. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ลองทำดู แล้วจะรู้ว่าผมพูดไม่ผิด
    อย่าเชื่อเพราะตรรกะ
    อย่าเชื่อเพราะน่าเชื่อถือ
    แต่เชื่อในการปฏิบัติพร้อมพละ 5
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เอาอะไรไปทำล่ะ
    เอาอะไรไปรู้ล่ะ
     
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แล้วที่ว่า เรา
    เรา คืออะไร
    แล้วที่ว่า ปล่อยสมองและหัวใจ ปล่อยยังไง
    ปล่อยแล้วยังไงต่อ
     
  14. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ตรงนี้คุณยังมาถามแสดงว่า ยังภาวนาไม่ได้เรื่องเท่าไร
    ถึงเวลาค่อยมาคุยกัน
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ระวังนา...ลองพิจารณาดูดีดี อรรถกถาที่ยกมา พูดถึง 2 ญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ กับ โคตรภูญาณ และเรื่องพระราชาก็ใช้อธิบายโคตรภูญาณ ไม่ใช่ โสดาปัตติมรรคญาณ

    [๙๒] บทว่าทสฺสเนนโดยอรรถว่า อันโสดาปัตติมรรค.
    ก็โสดาปัตติมรรค พระผู้มีพระภาคตรัสว่าทัสสนะ
    เพราะเห็นนิพพานครั้งแรก.

    ส่วนโคตรภูเห็นนิพพานครั้งแรกก็จริง;
    ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า เห็น
    เพราะไม่มีการประหาณ (การละ) กิเลส อันเป็นกิจที่พึงเห็นนิพพานทำ,
    ..................................................

    และจากที่กล่าวว่า โคตรภูญาณ ไม่เห็นนิพพานเพราะไม่มีการประหาณกิเลส สนับสนุนต่ออีกว่า
    ในอรรถกากล่าวว่า

    บรรดาธรรมทั้ง ๓ นั้น จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง
    และที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาดวงหนึ่ง รวม ๕ ดวง
    เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรค (ทัสสนะ) พึงประหาณ(พึงละ) เทียว.
    จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นธรรมอันมรรค ๓ ที่เหลือ (ภาวนา) พึงประหาณนั่นเทียว.

    อาจกล่าวได้ว่า เพราะมีการประหาณ (การละ) กิเลส เป็นกิจที่พึงเห็นนิพพานทำ ในขณะของโสดาปัตติมรรค

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2012
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่รู้จริง ก็อย่าพูดเลยครับ อายเขา
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมเองที่ถาม ก็แค่ให้ได้พิจารณาน่ะครับ
    ผู้ตอบคำถามได้ เขาจะไม่ย้อนมา หรอกนะ ว่า

    ตรงนี้คุณยังมาถามแสดงว่า ยังภาวนาไม่ได้เรื่องเท่าไร
    ถึงเวลาค่อยมาคุยกัน

     
  18. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    อย่างนี้ ที่บอกว่าเห็นพระนิพพาน เพราะพระโสดาบัน คือการเข้าสู่ภาวะปกติ ขอมีศีล 5 อย่างบริสุทธ์ และความเป็นความสงบของสัจจะธรรมเริ่มเกิด เริ่มมีปัญญาเพื่อมองกิเลส ตัวเองได้โดยไม่ลังเล และแน่วแน่แล้ว ว่าทาง
    นี้ คือทางสุดท้ายของกิจ จึงเป็นทางดำเนินต่อไป แต่ยังไม่สิ้นสุดเลยไม่ถือว่า
    นั้นคือการถึงนิพพาน เมื่อสัจจะ มาพบสัจจะเท่านั้น
     
  19. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    โสดาปัตติมรรค ผู้ถึงกระแสสู่นิพพาน เห็นพระนิพาน ข้ามโคตรปุถุชนเป็นอริยะชน

    โคตรภู เห็นพระนิพาน ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เรียกว่า เห็น
    เพราะไม่มีการประหาณ (การละ) กิเลส อันเป็นกิจที่พึงเห็นนิพพานทำ
    ไม่เป็นผู้ถึงกระแสสู่นิพพาน ยังไม่ข้ามโคตรปุถุชนเป็นอริยะชน เสมือนประสบพบเจอทางสองแพร่งระหว่างทางโลกีย์กับโลกุตระ

    อนุโมทนา กับบทความของคุณขวัญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2012
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ไม่รู้จะเข้าใจที่ป๋าพูดถูกไหม ถ้าบอกว่าเห็นพระนิพพาน นี่ก็เรียกว่าพระโสดาบันได้ ถ้ามีการประหาณกิเลสสังโยชน์3 แล้ว จะไม่ลังเลไม่สงสัยในทางและพระนิพพาน เพราะชิมเองแล้วรู้แล้ว

    แต่มีอีกอย่างที่มันก้ำกึ่งกับโสดาปัตติมรรคญาณ อย่าง โคตรภูญาณ นะ คือเห็นพระนิพพาน แต่ยังประหาณกิเลสไม่ได้ คงจะคล้าย สัจจะมาพบสัจจะ อย่าง ที่ป๋าบอกนั่นแหละ เรารู้เองอยู่ว่ายังประหาณไม่ได้ เพราะยังขาดปัจจัยและเหตุยังไม่พร้อม ยังเดินโสดาปัตติมรรคไม่ได้ ต้องภาวนาสะสมการเห็นการรู้เหมือนการกินข้าวมันยังไม่รู้รสอิ่ม ยังไม่พอ ยังไม่ถึงกิจประหาณ ยังหิวอยู่ก็รู้ว่ายังหิวอยู่ ส่วนภาวะปกติ คนมีศีลมันก็มีกันได้ในปุถุชนคือมีสติระลึกรู้ศีล5อยู่ ก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ แต่มันมีเสื่อม มีพร่อง มีขาดสติหลงหน้ามืดไปชั่วคราว แล้วกลับมาเจริญอีกได้ เวลาหน้ามืดก็ไม่ได้นานจนกู่ไม่กลับ เพราะ เราฝึกเจริญสติระลึกรู้ตัวอยู่เป็นอาจิณกรรมที่เกิดจากการภาวนา จนเป็นนิสัยเท่านั้น มันคนละอาการกับการเดินโสดาปัตติมรรคประหาณกิเลสบางส่วนลงได้ แล้วเกิดเป็นโสดาปัตติผล มันมีของจริงเกิด ตกกระแสนิพพานเหมือนชิมไป1อิ่ม ไปแล้วมันรู้ชัดว่ากินแล้ว รู้ว่าประหาณกิเลสสังโยชน์3ไปแล้ว

    อันนี้ก็ก็พูดเกินภูมิของอิชั้นไปแล้ว ป๋าอาจจะอ่านแล้ว งง ได้ ขออภัยที่ต้องแก้หลายครั้งเพราะ มันไม่ตรงใจ นี่ก็ยังไม่ตรงอยู่นะ แต่ยิ่งแก้ อาจ งง หนักกว่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...