การให้อภัย ลักษณะนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย PartNight, 9 พฤษภาคม 2013.

  1. PartNight

    PartNight Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2011
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +86
    ผมรู้สึกไม่สบายใจมานานกับเรื่องแฟนเก่า และอื่น ที่ผ่านๆมาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนัก ก็พยายามศึกษาธรรมมะ เคยสนทนากับพระท่านหนึ่ง ผมเลยตั้งคำถามกับพระท่านว่า จะทำอย่างไรดีกับคนพวกนั้น ท่านก็ตอบว่า ให้อภัย อโหสิกรรม หลังจากวันนั้นผมก็คิดอยู่นานทีเดียวหลายวัน เพราะในหลายๆสิ่งโดยเฉพาะสิ่งที่คนพวกนั้นทำกับผมเยอะ ในบางครั้งมันก็เกินกว่าที่จะให้อภัย การให้อภัยพูดง่ายแต่ทำยาก แม้จะยากเพราะใจไม่อยากทำ ก็ต้องฝืนใจ เพราะเมตตาและการให้อภัย วันหนึ่งผมก็เลยตัดสินใจให้อภัย อโหสิ ทั้งหมดในใจก็ไม่มีความอาฆาต การจะทำมันยากมาก แต่ก็คิดว่าจะพยายามทำให้ถึงที่สุด

    ยังไงช่วยแนะนำผมด้วยครับ
     
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    น่าดีใจที่ท่านผู้ถามมีจิตฝักใฝ่ในธรรมะ ขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่ง..

    ท่านผู้ถามพึงทราบว่า หลักคำสอนในพระพุทธศาสนามีอยู่ว่า ..."สิ่งทั้งปวงย่อมไหลมาแต่เหตุ" ไม่มีอะไรเกิดด้วยบังเอิญหรือเกิดเองลอยๆหรือเกิดเพราะฟลุคเลย ดังนั้น สิ่งที่เกิดกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่นำความทุกข์เดือดร้อนมาให้ ย่อมมาจาก"เหตุเก่า"คือบาปกรรมที่ท่านเองเคยทำไว้ในอดีต จะชาติใดก็ตาม..กรรมนั้นไม่ลืมท่าน เมื่อได้เหตุปัจจัยประุชุมพร้อม กรรมนั้นย่อมนำผลมาส่งให้ได้เสวย การโทษคนอื่นว่านำทุกข์เดือดร้อนมาสู่ตน เป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้เรื่องกรรม ไม่เคยสดับพระธรรมที่ถูกแท้ของพระพุทธเจ้า..ผ ู้ที่เคยสดับพระธรรมมาย่อมเข้าใจและปลงวาง ตลอดจนอภัยให้เขาอื่นได้ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กดข่ม..

    ท่านผู้ถามมาถูกทางแล้วที่หันเข้าหาพระธรรม ละการพยาบาทจองเวรเสียเพื่อยุติการวนในบาปกรรมแล้วๆ..เล่าๆให้ยุติลงในบัดนี้ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรเสมอ..นี้เป็นความจริงที่ไม่มีใครคัดค้านได้..ท่่านเมื่อบาปมาส่งผลแล้ว ผลนั้นย่อมลดหรือหมดไป ส่วนคนทำบาปใหม่ เมื่อยังเหลิงระเลิงบันเทิงยิ่งทั้งทำร้ายคนที่ไม่คิดร้ายตอบ บาปของเขาย่อมมีกำลังมาก ท่านพึงสงสารที่พวกเขา จะไ้ด้ฐานะอันทุกข์คับแค้นเช่นเดียวกับที่ท่านพบอยู่ ในภายหน้าอีกมากชาติทีเดียว..

    ขอให้พ้นทุกข์ภัย มีพระธรรมคุ้มครองเสมอครับ
     
  3. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    ดั่งที่สมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้แก่พระองคุลีมาลย์เถระดังนี้ว่า

     - อกุศลกรรมใดๆที่เคยทำมาแล้ว เมื่อหวนระลึกถึง ย่อมทำให้จิตใจนี้เศร้าหมอง
     - กุศลกรรมใดๆที่เคยทำมาแล้ว เมื่อหวนระลึกถึง ย่อมทำให้จิตใจแจ่มใส เบิกบาน
    - เธอจงหมั่นบำเพ็ญกุศล รักษาศีล รักษาใจให้แจ่มใสเบิกบานอยู่ทุกขณะจิตเถิด

    - แม้กุศลกรรมอันใดที่ผ่านมาแล้ว มันก็ได้ล่วงเลยมาแล้ว ในกาลอนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง ให้ยอมรับว่ามันผ่านพ้นมาแล้ว จบไปแล้ว
    - กลับมามองที่ปัจจุบันว่า เรากำลังดำเนินชีวิตอย่างไร มีสภาพจิตใตอย่างไร
    - พึงตั้งระลึกถึงกุศลจิตที่เราเคยทำมาแล้วคือ ศีลที่เราเคยตั้งเจตนาทำ พรหมวิหาร๔ที่เจริญมาแล้ว ทานที่เราได้สละให้มาแล้ว
    สิ่งใดๆที่ผ่านมาแล้ว ถือว่าเราสละเสียแล้ว สละให้แล้ว ไม่ติดใจข้อมใจใดๆอีก นี่เ้รียกว่า ทาน เป็นการสละให้
    - ยิ่งติดใจสิ่งไรๆไปมันก็มีแต่ทุกข์ เขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น เราเอาสิ่งที่ผ่านมาแล้วมาประชุมปรุงแต่งในใจเรานี่มันจึงเป็นทุกข์ ละมันไปเสีย รู้ว่าสิ่งนี้ๆติดใจไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆแก่เรานอกจากทุกข์ เมื่อมันหวนคำนึงถึงอีก ก็ให้รู้ว่าเราเสพย์สัญญาที่เป็นอกุศลเข้าแล้ว ละมันไปเสียมันไม่มีประโยชน์ใดๆแก่เรานอกจากทุกข์
    - จากนั้นพึงเจริญหมั่นทำในกุศลกรรมใดๆ แล้วระลึกในกุศลกรรมนั้นๆ จิตจะแจ่มใส เบิกบาน ไม่เป็นทุกข์ ก่อให้เกิด ปราโทย์ ปิติ ปัสสัทธิ สุข และ สมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...