กาล...ที่กรรมจะให้ผล

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 11 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    ต่างคน ต่างก็สะสม ต่างๆ กันมา

    และไม่มีใครสามารถที่จะรู้ ว่า ได้สะสมอะไรกันมาบ้าง.

    แต่ก็มีเวลา หรือ "กาล" ที่สภาพธรรม ที่ได้สะสมมาแล้ว

    จะเกิดขึ้น และ ปรากฏให้รู้ได้.



    .



    ในขณะที่กำลังหลับสนิท....ไม่ต่างกันเลย ใช่ไหมคะ.?

    โจรผู้ร้าย พระโสดาบัน พระอรหันต์ ................ฯลฯ

    ที่เหมือนกันหมดนั้น ก็คือ ไม่มีการพูด ................ฯลฯ

    และ ไม่มีการการคิดนึก ถึงสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น.



    .



    สิ่งที่ได้สะสมมาแล้วนั้น.............เมื่อไรถึงจะเกิด.?

    เห็นไหมคะ...ว่า สะสมมาทำไม.? ทั้งฝ่าย กุศล และ ฝ่าย อกุศล.!

    สิ่งที่ได้สะสมมาแล้วนั้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ที่จะทำให้มีอะไรเกิดขึ้น

    ก็คือ...ว่างเปล่า.

    แต่ สิ่งที่ได้สะสมมาแล้วนั้น

    สามารถเกิดขึ้น และ สามารถที่จะปรากฏให้จิต รู้ได้

    เมื่อ วิถีจิตขณะแรก เกิดขึ้น.



    .



    ถ้าเป็น วิถีจิตแรก ทางตา ก็คือว่า

    จะต้องมี รูป........ซึ่ง มีอายุสั้นมาก

    รูป..........ที่สามารถกระทบกับ จักขุปสาท

    และมี จักขุปสาท ซึ่ง ก็มีอายุสั้นมากด้วย

    คือ.......เกิดขึ้น แล้วดับไป อย่างรวดเร็ว.



    .



    ขณะจิตนั้นๆ..............เป็น "กาล" ที่กรรมจะให้ผล

    หมายความว่า จิต ที่เป็น วิถีจิตแรก จะต้องเกิดขึ้น

    และขณะนั้น จะไม่ใช่ จิต ที่เป็น ภวังคจิตอีกต่อไป.



    .



    ธรรมดา.....ธรรมชาติ......ของจิต ที่ดำรงภพชาติ นั้น

    มีการเกิดและดับ สืบต่อกันตลอดเวลา คือ ภวังคจิต.


    แต่ในขณะที่ "รู้อารมณ์ใหม่" ................

    จิต ที่รู้อารมณ์ใหม่นั้น จะเกิดทันทีไม่ได้.!



    .



    หมายความว่า จากขณะที่เป็น ภวังคจิต

    ก็มีเหตุปัจจัย ทำให้มีการ "รู้อารมณ์ใหม่"

    จิต เริ่มที่จะรู้อารมณ์ใหม่ โดยเป็น ภวังคจลนะ

    เกิดขึ้น ๑ ขณะ แล้วดับไป

    เป็นปัจจัยให้ ภวังคุปัจเฉทะ

    เกิดขึ้น ๑ ขณะ ซึ่งเป็นขณะที่ ๒

    เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป.



    .



    ถ้าได้ยินคำว่า ภวังคุปัจเฉทะ เมื่อไร.....ก็หมายความว่า

    ขณะจิตต่อไปนั้น จะเป็น ภวังคจิต อีกต่อไป ไม่ได้แล้ว.



    .



    เพราะว่า ภวังคุปัจเฉทะ

    หมายถึง การสิ้นสุดของกระแส ภวังคจิต.

    นี่แหละค่ะ....................!

    สิ่งที่สะสมมาในจิตของแต่ละคน จะเริ่มปรากฏแล้ว

    (ก็คือ กาล ที่กรรมจะให้ผล)



    .


    โดยถ้าเป็น ทางปัญจทวาร

    คือ วิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย.

    วิถีจิตแรก ก็คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต.


    และ ในขณะที่ ปัญจทวาราวัชชนวิถีจิต เกิดขึ้น

    จิตขณะนั้น เพียงรู้ว่า อารมณ์ ที่มากระทบนั้น ๆ

    เกิดทางทวารไหน เท่านั้น.


    แต่ขณะนั้น ยังไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น

    ไม่มีการรู้รส และ ไม่มีรู้การสิ่งที่กระทบสัมผัส ใด ๆ ทั้งสิ้น.!



    .



    ปัญจทวาราวัชชนจิต

    ถ้ามี อารมณ์ ที่สามารถกระทบ จักขุปสาท

    ก็เป็นเหตุปัจจัยให้ จิต ซึ่งเป็นวิถีแรก เกิดขึ้น

    แล้วจิตนี้ ก็รู้ ว่า มีอารมณ์ กระทบตา.


    และถ้าเป็นอารมณ์ ทางหู (เสียง ที่กระทบโสตปสาท)

    จิตนี้ ก็รู้อีกว่า มีอารมณ์ กระทบหู.


    แต่ขณะนั้นๆ....ไม่มีการเห็น การได้ยิน.


    (เป็นต้น)


    .



    เพราะฉะนั้น

    ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็น วิถีปฏิปาทกมนสิการ.



    .


    เมื่อ วิถีจิตแรก เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป...............

    ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้จิตขณะต่อๆไป เกิดขึ้น

    และ รู้อารมณ์เดียวกัน....ที่เกิดกับ จิตวิถีแรก

    จะไม่มีวิถีจิต ที่เกิดขึ้น เพียง ๑ ขณะเลย.!



    .



    เพราะฉะนั้น.............วิถีจิตแรก ทางปัญจทวาร

    คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    เรียกว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต.


    วิถีจิตแรก ทางมโนทวาร คือ ทางใจ (หทยรูป)

    เรียกว่า มโนทวาราวัชชนจิต.


    ชื่อว่า เป็น

    แดนเกิดของธรรม ที่ได้สะสมมาแล้ว ทั้งหมด.



    .



    เมื่อไร..................ที่จะอารมณ์ จะปรากฏ.?


    ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก

    ทางลิ้น ทางกาย และ การนึกคิด ทางใจ.


    สิ่งที่ได้สะสมมาแล้ว .....จะปรากฏไม่ได้เลย.


    และ สิ่งที่ได้สะสมมาแล้วนั้น..........

    จะปรากฏ เมื่อ วิถีจิตแรก เกิดขึ้น.



    .



    ในขณะที่เป็น ปัญจทวาราวัชชนจิต.......จิตขณะนั้น เป็น ชาติกิริยา

    เพราะว่า อารมณ์ ที่มากระทบนั้น ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ที่ดี หรือ ไม่ดี

    จิตขณะนั้น เพียงเกิดขึ้น แล้วทำกิจรู้ว่า มีอารมณ์มากระทบ เท่านั้น.



    .



    เพราะฉะนั้น ปัญจทวาราวัชชนจิต

    จึงเป็น แดนเกิด ของสิ่งที่แต่ละคน.....ได้สะสมมาแล้ว.


    และเป็น "ขณะ"...............................

    หรือ "กาล" ที่จะปรากฏให้จิต รู้ได้ ว่า

    แต่ละคน ได้สะสมอะไรมาบ้าง...มากน้อยแค่ไหน

    ทั้ง กุศลธรรม และ อกุศลธรรม.



    .



    สำหรับขณะจิตที่เป็น ปัญจทวาราวัชชนจิต นั้น

    ไม่ใช่ อกุศลวิบากจิต และ ไม่ใช่ กุศลวิบากจิต

    แต่เป็น กิริยาจิต คือ จิตที่เกิดขึ้น ก่อนการเห็น

    การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส

    และการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางกาย.



    .



    พระอรหันต์ มีไหมคะ....วิถีจิตแรก.?

    ลองสมมติ ว่า........เป็น พระอรหันต์.


    จิตขณะแรก ก่อนที่จะเกิดการเห็น

    มีปัญจทวาราวัชชนจิต เกิดขึ้น เป็น วิถีจิตแรก.


    ทางตา เป็น จักขุทวาราวัชชนจิต

    เป็น อาวัชชนจิต ซึ่งเป็น กิริยาจิต.


    และเมื่อ กิริยาจิต ดับไปแล้ว

    ก็เป็นเหตุปัจจัยให้ถึง "กาล" ที่วิบากจิต เกิดขึ้น

    คือ การให้ผล ของกรรมที่ได้กระทำแล้ว นั่นเอง.


    ซึ่งจะเกิดขึ้น ปรากฏเป็น อารมณ์

    ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น

    ทางกาย และ ทางใจ.




    .
    .
    .




    พื้นฐานอภิธรรม

    วันอาทิตย์ ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑

    ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา


    .


    บรรยายโดย

    อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

    ถอดเทปโดย

    คุณสงวน สุจริตกุล
     
  2. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    หน้าที่ของ"จิต ที่ปกติสมบูรณ์ คือ รู้ ตื่น และเบิกบาน"
     

แชร์หน้านี้

Loading...