กำลังใจของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 20 มกราคม 2010.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    วันศุกร์ ณ บ้านอนุสาวรีย์ มีโยมได้นำวัตถุมงคล ๓ อย่าง ซึ่งเป็นของมีค่าที่สุดสำหรับชีวิตเขา มาถวายพระอาจารย์เล็ก และกล่าวอธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณ พระอาจารย์จึงได้เทศน์ให้ฟัง

    ถาม : นึกถึงคนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้เขามองต่างกัน สมัยนี้เขามองว่าการจุดไฟเผาตัวเอง(เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ) เป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก แต่พอนึกถึงกำลังใจคนสมัยโบราณ เขาไม่ได้ดูที่การกระทำ เขาดูที่กำลังใจ

    ตอบ : และโดยเฉพาะเขาเข้าใจว่าทำเพื่ออะไร ก็เลยมีคนโมทนาเยอะ

    ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจครับ ?

    ตอบ : เกิดบ่อยๆ ถ้าเกิดบ่อยจนเข้าที่ เดี๋ยวก็เข้าใจทุกอย่างเอง

    การที่ตัดใจสละสิ่งที่ตัวเองรัก ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ภายนอกมากๆ เลย เพราะว่าข้าวของอย่างนี้นับว่าเป็นโลกียทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ยังข้องเกี่ยวอยู่กับโลก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนว่า ถ้าหากว่ามีความจำเป็น ก็ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ อย่างเช่นว่า เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา จะต้องผ่าตัด เงินทองไม่พอ ก็อาจจำเป็นจะต้องสละทรัพย์ ก็คือ ไปจำหน่าย หรือสละเงินสละทองเพื่อรักษาตนเอง ก็จะได้รักษาอวัยวะของตนไว้ได้ แต่ท่านสอนต่อไปว่า ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต อย่างเช่นว่าถ้าเกิดเป็นเบาหวานขึ้นมา แผลมันเริ่มเป็นพิษแล้ว ถ้าหากว่าไม่ตัดขาออก ก็อาจจะถึงแก่ชีวิตในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก็จำเป็นต้องสละ แต่ท้ายสุดท่านบอกว่าให้สละทั้งทรัพย์ ทั้งอวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม ก็แปลว่าในเรื่องของธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่ทรงค่าสูงสุด ให้ประโยชน์ทั้งในชาตินี้ ให้ประโยชน์ทั้งในชาติหน้า และให้ประโยชน์สูงสุด คือพาเราไปนิพพานได้

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยความศรัทธาหลายอย่าง อย่างที่ท่านใช้คำว่า กรรมศรัทธา เชื่อกรรม เชื่อว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วก็ละชั่ว ทำดี กรรมวิปากศรัทธา เชื่อในผลของการกระทำ ก็คือ ทำดีแล้วต้องได้ผลดี ทำชั่วแล้วต้องได้ผลชั่ว ฉะนั้น..ทำดีดีกว่า ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ตถาคตโพธิศรัทธา ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นว่าพระองค์รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าไม่มีตรงนี้ การเชื่อมั่นของกรรมและผลกรรมก็ไม่เกิดกับเรา

    พระพุทธเจ้าบอกว่าศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่ว่าต้องพิสูจน์ดูก่อน ถ้าหากพิสูจน์แล้วมีผลเป็นไปตามนั้นเราค่อยเชื่อ แต่ถ้าหากพิสูจน์แล้วไม่เป็นไปตามนั้น แต่คนอื่นกลับทำได้ ขณะที่คนอื่นทำได้ ต้องให้ดูว่าตัวเราบกพร่องตรงไหน ?

    คราวนี้มากล่าวต่อ..เรื่องของการสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม โดยทั่วๆ ไปแล้วหลักการนี้สำหรับปุถุชนปกติ แต่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์ เกินกว่านั้นมาก

    พระโพธิสัตว์นั้น การตัดแขนตัดขา เชือดเนื้อตัวเอง หรือตัดศีรษะ ควักหัวใจถวายเป็นพุทธบูชา ท่านทำเป็นเรื่องปกติ ถ้ากำลังใจไม่เพียงพอที่จะทำอย่างนั้น ก็แปลว่าบารมียังไม่เข้มข้นพอ ก็ต้องรอการก้าวผ่านตรงจุดนั้นต่อไป ดังนั้น..โยมเขาตัดใจสละสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เพื่อความปรารถนาในพระโพธิญาณ ตัดใจในระดับนี้ ความรู้สึกของเราคือ มันยาก แต่สำหรับพระโพธิสัตว์แล้วเป้าหมายท่านยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือพระโพธิญาณ จะได้ทำหน้าที่ขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ทรัพย์สินทุกอย่างกลายเป็นของเล็กน้อยมาก เหมือนกับว่าสิ่งที่ท่านปรารถนาคือภูเขาพระสุเมรุ เป็นการสละส่วนปลายเล็กน้อยเพื่อแลกกับภูเขาพระสุเมรุทั้งลูกท่านทำได้ เพราะท่านเห็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ในภายหน้า ถ้าเราไม่เห็น ก็จะเห็นว่าสละได้ยาก แต่สำหรับของท่านแล้ว..ท่านเห็น

    เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นทรัพย์สมบัติภายนอก ก็เลยกลายเป็นของเล็กน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกำลังใจของท่าน เพราะฉะนั้นใครจะตัดแขนมาก็เชิญจ้ะ ยินดีต้อนรับ

    จำได้ไหมว่า เจ้าแม่กวนอิมท่านตัดแขนและควักดวงตาให้พ่อ เพื่อประกอบยารักษาโรค ปรากฏว่าท่านยอมสละตัดให้จริงๆ บรรดาชาวบ้านทั้งหลายก็สงสาร ว่าพระธิดาเป็นคนดีแสนดี แล้วก็ต้องมาแขนขาดข้างหนึ่ง ต้องมาตาบอดข้างหนึ่ง ก็เลยทำแขนปลอมตาปลอมให้ ปรากฏว่าใจเดียวกัน ทำกันมาเยอะแยะหลายคน ท่านก็เลยอธิษฐานให้เขาเห็นเป็นลักษณะพันมือพันตา ที่เราเห็นว่าบางปางมีมือเยอะแยะไปหมด และในมือมีดวงตาอีกต่างหาก นั่นท่านแสดงให้เห็นว่า จริงๆ แล้วท่านมีฤทธิ์ มีอำนาจขนาดนั้น แต่สิ่งที่ท่านทำเนื่องด้วย ๒ ประการด้วยกัน

    ประการแรกก็คือ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพระบิดา อีกประการหนึ่งก็คือ เพื่อพระโพธิญาณของท่าน

    การสละอวัยวะเพียงนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ท้ายสุดก็ต้องสละบุตรและภรรยา สมัยนี้จ้องจะสละกันจริงๆ ด้วยกำลังใจห่วยแตกของพวกเรา ประเภทไม่ชอบใจ ทะเลาะเบาะแว้ง ด่ากัน ขัดใจกัน ก็จะสละ แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราดูตัวอย่างพระเวสสันดรนี่ พูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่อยู่ร่วมกันมา คำน้อยที่จะพูดให้เสียใจก็ไม่มีเลย มีแต่ยอมรับใช้ทุกอย่าง ท่านใช้คำว่าเป็นดั่งบาทบริจาริกา คือ ข้าทาสรับใช้ ถ้าหากว่าเป็นภรรยาที่ดีขนาดนั้น แล้วคนสามารถตัดใจสละได้ เป็นลูกที่น่ารักขนาดนั้นแล้วคนสามารถตัดใจสละได้ ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน นั่นไม่ใช่เป็นของที่ไม่ต้องการแล้ว แต่เป็นของที่รักสุดหัวใจ

    เพียงแต่ว่าความรักในพระโพธิญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่า โดยเฉพาะตอนที่ท่านปลอบลูกให้ยอมไปกับพราหมณ์ ท่านบอกว่า "ให้ทำตัวเป็นสำเภาทอง เพื่อส่งพ่อให้ข้ามพ้นไปสู่ฝั่ง" แล้วกัณหากับชาลีก็โมทนาด้วย ตรงนั้นต้องดูสองอย่าง อย่างแรกก็คือกำลังใจของพระเวสสันดร ท่านสละได้ ขณะเดียวกันลูกเล็กๆ สององค์เข้าใจด้วย เข้าใจเรื่องอย่างนี้ด้วยว่าพ่อทำเพื่ออะไร แทนที่จะตัดพ้อต่อว่า ในลักษณะพ่อไม่รักแล้ว ไม่ใช่...โมทนาด้วย ยอมลำบากลำบน เพื่อความปรารถนาพระโพธิญาณของพ่อจะได้สำเร็จลง

    ฉะนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราอ่านแล้ว เราอย่าอ่านเฉยๆ แบบที่เมื่อเช้าตั้งข้อสงสัยไป อ่านแล้วต้องคิดให้เป็น ถ้าคิดให้เป็นเราจะเห็นคุณพระรัตนตรัยมหาศาลมาก พระโพธิสัตว์กว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ท่านบอกว่าแค่น้ำตาก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่แล้ว การเกิดในระดับนั้น ท่านไม่ได้เกิดเพื่อตัวเอง เกิดเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดเพื่อทำหน้าที่ที่ตัวเองตั้งใจไว้ ลำบากแค่ไหนก็ยอม ในลักษณะเดียวกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ท่านบอกว่าตราบใดที่ยังมีสัตว์โลกเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ตราบนั้นท่านจะยังไม่ยอมเข้านิพพาน อยู่โปรดจนรายสุดท้ายจึงจะไป ของเราชาติเดียวก็เข็ดแล้ว ของท่านเองกำลังใจเหลือล้น โปรดจนคนสุดท้ายแล้วค่อยไป ท่านไม่ได้อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย แต่จะอยู่โปรดจนคนสุดท้ายค่อยไป

    ฟังแล้วน่าไปต่อนะ..! อาตมามาไกลขนาดนี้แล้ว ยังเลี้ยวเฉยเลย แต่ว่าคงไปไม่ไกลหรอก เพราะเคยมีนิมิตอยู่ครั้งหนึ่งว่า ขึ้นเรือไปแล้ว มองกลับมา โอ้โห...เขายังตกค้างอยู่บนฝั่งอีกเยอะ ก็เลยโดดกลับมายืนเป็นเพื่อนเขา อะไรจะปานนั้น..แสดงว่าเชื้อชั่วไม่ยอมตาย เคยทำหน้าที่นั้นมา ขนาดในนิมิตยังตามไปช่วยเขา...


    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันศุกร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓



    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1504



    .
     
  2. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    อยากจะเผาตัวเองตอนที่กำลังใจพุ่งสุดๆๆ แต่ตอนนี้ขอทำงานเพื่อพระศาสนาก่อนนะครับ
    กราบอนุโมทนา สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2010
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    เอางั้น เลยเหรอครับ ท่านพี่
    งัยก็ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
    ผมอนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
     
  4. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ใช่แล้ววจ้า อยากได้ผลแบบไหน เราต้องหวานพืชแบบนั้นก่อน
    เพราะทุกอย่างมีเหตุมีผล ของตัวมันเอง ต้องทำให้ถึง จะทำให้รู้ลึกและเข้าใจชัด




    ฝากชมรม คุณความดีพรหม-เทวดาในศาสนาพุทธ

    เพื่อศึกษาพรหม-เทวดาในศาสนาพุทธ รวบรวมบทความเกี่ยวความดีของพรหม-เทวดาในศาสนาพุทธ เพื่อแก้ข้อสงสัยว่าพรหมเทวดาเคารพบูชาได้รึไม่ และ ทำอย่างไรจึงจะเกิดเป็นพรหม-เทวดา ตามหลักพุทธ พุทธศาสนา<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2010
  5. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ล้างใจ

    ถ้าเผากิเลสสิ่งไม่ดีอย่างเด็ดขาดล่ะก็ ผมขออนุโมทนาด้วยคน
    แต่ถ้าคุณจะเผากายเนื้อของคุณ ผมว่าตัวใครตัวมันครับ
    :cool::'(
     
  6. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ผลแห่งการถวายชีวิตเป็นประทีป
    ของพระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ชื่อว่าพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมปรากฏแก่ชนทั้งหลายเป็นคุณลักษณะพิเศษที่ทำให้พระพุทธองค์แตกต่างจากชนทั่วไป ด้วยอานิสงส์ที่พระพุทธองค์สั่งสมไว้เป็นอย่างดี ถึงกระนั้นแล้วก็ยังมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ชื่อว่า รัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์นั้น มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ แสงแห่งพระพุทธองค์ทรงครอบงำ แม้แสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แม้หมื่นโลกธาตุก็สว่างจ้า ด้วยกุศลใดหนอจึงทำให้เป็นเช่นนั้น

    ได้เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อพระโกณฑัญญศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่แสนปี เพราะพระสาวกของพระพุทธะและอนุพุทธะอันตรธานหายไป ศาสนาของพระองค์จึงอันตรธานหายไปตาม ต่อจากสมัยนั้นไปอีกหนึ่งอสงไขย แต่อยู่ในกัปเดียวกัน ได้บังเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีก 4 พระองค์ คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ

    หนึ่งในสี่ของพระพุทธเจ้านั้นก็คือ พระมังคละพุทธเจ้า ซึ่งจะได้กล่าวถึงในที่นี้ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนกัป บังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงตลอดอายุในสวรรค์ชั้นนั้น

    นับแต่พระมังคละมหาสัตว์ ผู้เป็นมงคลของโลกทั้งปวง ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอุตตระมหาเทวี พระรัศมีแห่งพระสรีระก็แผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอกทั้งกลางคืนกลางวัน แสงจันทร์และแสงอาทิตย์ก็สู้รัศมีนั้นไม่ได้ พระรัศมีนั้นสามารถกำจัดความมืดได้โดยไม่ต้องใช้แสงสว่างอย่างอื่นเลย พระรัศมีดังกล่าวนั้นชื่อว่า มีเกินกว่าพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ มีโดยรอบประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้าง

    หากแต่พระรัศมีของพระมังคละพุทธเจ้านั้น แผ่ตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ ต้นไม้ ภูเขา เรือน กำแพง หม้อน้ำ บานประตู ทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทอง พระองค์มีพระชนมายุถึง ๙ หมื่นปี คราวนั้นรัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์หรือแม้แต่ดวงดาวไม่มีตลอดเวลา กลางวันและกลางคืนก็ไม่สามารถกำหนดได้ เพราะไม่มีความแตกต่างของแสง สัตว์ทั้งหลายอาศัยแสงสว่างแห่งพระพุทธองค์ในการประกอบการงาน โดยแยกกลางวันกลางคืนด้วยดอกไม้ยามเย็น และเสียงนกร้องในยามเช้า

    มีข้อสงสัยว่า อานุภาพอย่างนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ นั้นไม่มีหรือ ตอบว่าไม่มี แม้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ เมื่อทรงประสงค์จะแผ่พระรัศมีแห่งพระสรีระไปตลอดหมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้นได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปโดยพระประสงค์ หากอานุภาพของพระมังคละพุทธเจ้านี้เป็นไปโดยธรรมชาตินิรันดร ทั้งนี้ก็ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ดังต่อไปนี้คือ

    ครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้เห็นพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่า “ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นี้” จึงได้ให้เขาพันทั่วทั้งสรีระเหมือนกับพันด้ามประทีป ให้บรรจุถาดทองมีค่านับแสน ซึ่งมีช่อดอกไม้ตูมขนาดศอกหนึ่ง เต็มด้วยของหอมและเนยใส จุดไส้เทียนพันไส้ไว้ในถาดทองนั้น ใช้ศีรษะเทินถาดทองนั้นแล้วให้จุดไฟทั่วทั้งตัว แล้วทำประทักษิณรอบพระเจดีย์ตลอดทั้งคืน เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้นอย่างนี้ ไออุ่นจากไฟไม่จับแม้เพียงขุมขน พระมหาสัตว์ได้ตั้งความปรารถนาว่า


    “ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองเดียวกันนี้” เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีสว่างไสวไม่มีประมาณเปล่งออกจากสรีระแผ่ไปตลอดทุกสถานที่ มีนัยดังพรรณนามาแล้วข้างต้นนี้เป็นอานิสงส์ของการบูชาพระเจดีย์ด้วยจิตศรัทธา ที่เหนือกว่าการถวายประทีปเป็นพุทธบูชาทั่ว ๆ ไป เพราะเหตุที่ประทีปนี้คือ ประทีปชีวิต อันยากยิ่งที่จะมีใครสละได้โดยง่าย เมื่อบุญส่งผล อานิสงส์ที่ได้รับจึงเลิศกว่าบุคคลอื่นในฐานะเดียวกัน ตามเหตุที่ประกอบ


    "พุทธบูชา มหาเตชะ วันโต" "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2010
  7. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    คือแบบว่า
    ท่านพี่ ทามทาม ท่านจะบำเพ็ญปรมัตถบารมีโดยการเผาตัวเองบูชาพระรัตนตรัยนะครับ (ตอนที่กำลังใจพุ่งสุดๆๆ) เรื่องเผากิเลสนะตอนนี้ท่านเผาอยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2010
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603

    สาธุ ผมขอกราบอนุโมทนากับ "องค์พระมังคละพุทธเจ้า" ด้วยนะครับ
    และกราบอนุโมทนากับท่านพี่ทามทาม ที่นำมาให้อ่านด้วยนะครับ
    อีก พระองค์หนึ่งครับ "พระรามเจ้าโพธิสัตว์ " ได้บำเพ็ญในยุคขององค์พระทศพลกัสสปะพระพุทธเจ้า

    " ดูก่อนสารีบุตร พระรามโพธิสัตว์เจ้าได้บำเพ็ญกองบารมีทั้งหลายมาช้านานเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีธรรมครั้งหนึ่งนั้น ปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เพราะเหตุดังนั้นพระรามสัพพัญญูเจ้า จึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า ในเมื่อครั้งพระศาสนาพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระรามองค์นี้เป็นบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่านารทมาณพ วันหนึ่งนารทมาณพได้ทัศนาการเห็นองค์พระพุทธกัสสปสัพพัญญูบรมครูเจ้าครั้งนั้น ก็มีความโสมนัสยินดีปรีดา คิดว่าจะกระทำสักการบูชาแก่พระองค์ให้เห็นศรัทธาของอาตมา มิได้คิดแก่ชีวิตอินทรีย์ คิดแล้วจึงเอาผ้า ๒ ผืนชุบน้ำมัน พันสรีรกายตั้งแต่เศียรเกล้าตลอดปลายเท้าทั้ง ๒ แล้วก็จุดไฟขึ้นบนศีรษะเป็นประทีปกระทำสักการบูชา ถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม อันว่าองค์อวัยวะน้อยใหญ่ในสรีรกายของข้าพระพุทธเจ้า คือเลือดเนื้อเป็นอาทิ กระทำเป็นทานถวายแก่พระองค์ในกาลบัดนี้ ปัจจโย โหตุ จงบังเกิดมีเป็นปัจจัย ให้อุปการคุณอุปถัมภกยกชูข้าพระพุทธเจ้าให้ได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเถิด

    ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ทำนายนารทมาณพนั้นในท่ามกลางบริษัททั้ง ๔ มีพระพุทธฎีกาว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ในเมื่อภัทรกัปนี้ฉิบหายไปแล้ว บังเกิดมีกัปป์ตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นสุญญกัปอยู่สิ้นกาลช้านาน นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว ครั้งนั้นจึงบังเกิดมัณฑกัปป์ ในกาลเบื้องหน้าคือตัวของมาณพนี้จะได้บังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระรามสัพพัญญูในมัณฑกัปป์อันนั้น พระองค์ทรงพยากรณ์ทำนายมาณพดังนี้แล้ว ครั้นเวลาราตรียังรุ่ง ก็กระทำกายของมาณพเป็นประทีปถวายต่างเครื่องสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอันดี ครั้นนารทมาณพดับจิต ก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ในที่เผาสรีรกายกระทำสักการบูชาแห่งมาณพนั้นก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา มหาชนเห็นเป็นอัศจรรย์จึงกล่าวสรรเสริญชมว่า จะหามนุษย์ผู้ใดเปรียบเสมอสองหามิได้ นานไปจะได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    - ด้วยผลอานิสงส์ที่ท่านมิได้เอื้อเฟื้อแก่สรีรกายและชีวิตของอาตมากระทำเป็นมหาบริจาค เจตนาอันใหญ่ยิ่งกว่าบารมีทั้งหลายทั้งปวง
    - ด้วยเดชะอานิสงส์ที่บูชาสรีรกายของอาตมานั้นเมื่อได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีสรีรกายสูง ๘๐ ศอก
    - สละชีวิตเป็นทาน เป็นปรมัตถบารมีอันอุดมอุกฤษฏ์นั้น จะมีพระชนมายุได้ ๙ หมื่นปีเป็นกำหนด
    - เวลาราตรียังรุ่งตามประทีปแล้ว คือ สรีรกายของอาตมากระทำสักการบูชานั้น จะบังเกิดพระรัศมีรุ่งเรืองงามสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นนิจจกาล อาจปกปิดเสียซึ่งแสงพระจันทร์และพระอาทิตย์ กระทำให้อัปภาคย์แพ้พระรัศมีของพระองค์ฯ
    สำแดงมาด้วยเรื่องราวพระรามโพธิสัตว์คำรบ ๒ ก็ ยุติแต่เพียงนี้ฯ "
     
  9. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,716
    แวะเข้ามาดู ก๊าบ :)
     
  10. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
    สาธุ ...
     
  11. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373


    กราบอนุโมทนา สาธุ กับท่านน้องต้นละ และเพื่อนๆ ด้วยจ้า

    และเป็นกำลังใจให้เพื่อนพุทธภูมิ ทุกท่านๆ สาธุ
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่



    วันที่สมัคร: Sep 2005
    อายุ: 26
    ข้อความ: 757
    พลังการให้คะแนน: 207

    อยากจะเผาตัวเองตอนที่กำลังใจพุ่งสุดๆๆ แต่ตอนนี้ขอทำงานเพื่อพระศาสนาก่อนนะครับ
    กราบอนุโมทนา สาธุครับ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย timetime : 20-01-2010 เมื่อ 12:03 PM

    ขอบคุณมากๆๆนะครับ สำหรับกำลังใจ
    ผมเองได้อ่านเรื่อง สละร่างกาย( เผาร่างกายของกระต่ายโพธิสัตว์เพื่อเป็นอาหารให้แก่พราหมณ์ ) สละเนื้อเพื่อทำเป็นทองคำเพื่อปิดพระพุทธรูปไม้แก่นจันทร์ ( ขององค์พระทศพลพระองค์ปัจจุบัน) การตัดพระเศียรบูชาพระธรรม ( ขององค์พระศรีอาริย์ ) การเผาร่างกายเพื่อบูชาพระรัตนตรัย (ขององค์พระรามเจ้าโพธิสัตว์ ขององค์พระสุมังคละโพธิสัตว์) และท่านพี่ทามทาม(อยากจะเผาตัวเองตอนที่กำลังใจพุ่งสุดๆๆ)
    ผมเองก็คิดจะทำเหมือนกันนะครับ แต่ยัง "คิดถึงแม่และยังอยากอยู่กับแม่ " นานๆๆๆนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2010
  13. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    บางพระชาติก่อนตรัสรู้เป็นพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

    .....พระพรหมดาบส
    .....พระชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นลูกชายในตระกูลพราหมณ์ชื่อ พรหมกุมาร ศึกษาสำเร็จไตรเพทแล้ว เป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์ ๕๐๐ คน เมื่อบิดามารดาสิ้นชีวิตแล้วพรหมกุมารนำทรัพย์สมบัติออกบริจาค แล้วออกบวชเป็นฤๅษี ศิษย์ทั้ง ๕๐๐ ได้พากันทยอยบวชตามมาอยู่ด้วย
    .....หัวหน้าศิษย์ทั้งหมดในครั้งนั้นคือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ วันหนึ่งขณะที่เหล่าศิษย์พากันออกไปเที่ยวหาผลไม้มาบริโภค พระพรหมดาบสได้ไปกับศิษย์ที่เป็นหัวหน้า สองคนปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาปัณฑระ เมื่อมองลงไปที่เชิงเขา ดาบสทั้งคู่เห็นเสือแม่ลูกอ่อนเพิ่งคลอดลูกได้ ๒-๓ วัน กำลังหิวจัด แม่เสือมองจ้องลูกเขม็งเหมือนเตรียมจะขย้ำกินเป็นอาหาร
    .....พระพรหมดาบสเห็นแล้วสลดใจ เห็นทุกข์ภัยในการเกิดเป็นสัตว์โลก มีแต่การเบียดเบียนกันเพื่ออยู่รอด ไม่เว้นแม้แต่จะเกิดเป็นแม่ลูกกัน ตราบใดถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิด จะต้องหนีไม่พ้นการเบียดเบียนนำทุกข์มาให้แก่กันและกัน
    .....พระดาบสเห็นใจในความหิวโหยของแม่เสือที่ยังไม่มีกำลังออกไปหาเหยื่อ และก็มีความกรุณาในชีวิตน้อยๆ เพิ่งเกิดของลูกเสือ จึงคิดบำเพ็ญปรมัตถทานบารมี สละชีวิตตนเพื่อให้ซากศพเป็นทาน แม่เสือกินแล้ว
    .....คิดดังนั้นแล้ว พระดาบสจึงแสร้งใช้หัวหน้าศิษย์ที่มาด้วยกันให้ไปเที่ยวหาซากสัตว์ที่อาจมีในบริเวณนั้นมาให้แม่เสือ เมื่อดาบสผู้เป็นศิษย์เดินไปลับตา พระพรหมดาบสก็อธิษฐานจิตเอาอำนาจปรมัตถทานบารมีของตนครั้งนี้ เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในเบื้องหน้า แล้วตัดสินพระทัยกระโดดลงมาสิ้นชีวิตทิ้งร่างไว้ต่อหน้าแม่เสือ แม่เสือจึงเลิกคิดกินลูกของมัน หันมากินร่างพระโพธิสัตว์แทน
    .....การกระทำครั้งนี้เรียกว่า พุทธการกธรรม เป็นการกระทำที่ทำได้ยากยิ่ง สามารถสละสิ่งที่ทำได้ยาก เพื่อปรารถนาการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลื้องทุกข์ให้ตนเองและสัตว์โลกให้จงได้
    .....พระพรหมดาบสสิ้นชีวิตแล้วไปบังเกิดในสุคติเทวโลก



    ที่มา<<<<<<<<<<<<<<
     
  14. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    กราบโมทนา สาธุ กับท่านน้องต้นละ อยู่กับแม่พ่อ เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นบุญใหญ่
     
  15. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603


    ท่านพี่ครับ
    ผมกับ พ่อแม่ ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกครับ
    ผมกับแม่ทำกรรมร่วมกันแยกลูกแยกแม่เขาไว้เยอะ( ไข่มดแดงที่อยู่บนต้นไม้ เอาไปขาย เยอะมากเลยไม่รู้จะถึงล้านตัวรึเปล่านะครับ ตอนผมเป็นเด็กนะครับ)
    กรรมพากลูกพากแม่เขา นี้กระมั้งครับ เลยไม่ได้อยู่กะท่านนะครับ
    ทุกวันนี้เลยได้แต่นึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลา ได้แต่คอยบอกท่านว่า อย่าเบียดเบียนสัตว์เล็ก ใหญ่ ทั้งหลาย
    ท่านเองก็เชื่อผมนะ ทุกวันนี้ท่านทานอาหารเจมาเป็นเวลา ๑๐ ปีแล้วครับ(บอกให้ท่านทานนะครับ )
     
  16. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603


    สาธุ กราบอนุโมทนา
    " องค์พรมหมฤาษีโพธิสัตว์ (องค์พระทศพลพระองค์ปัจจุบัน) และองค์หัวหน้าศิษย์โพธิสัตว์คนแรก (องค์พระศรีอาริย์) และท่านพี่ทามทาม ด้วยครับ
    ที่นำชาดกมาให้อ่าน (เหตุการณ์นี้เกิดมานานมากครับ )
     
  17. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    พระพุทธเจ้าในอนาคตที่หลังจาก10ระองค์มีอีกไหมครับ
    น่าจะมีนะครับ ใครทราบกรุณาเผยแพร่หน่อยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2010
  18. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    มีครับ
    แต่ยังไม่ปรากฏชื่อนะครับ
    ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ทูลถามเรื่องพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในอนาคต องค์พระทศพลตรัสบอกว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหมดมีประมาณ ๕๑๐ พระองค์ แต่ที่มีบารมีแก่กล้าที่จะตรัสรู้ในเวลาอันใกล้( แต่ยาวนานมาก ) มีอยู่ ๑๐ พระองค์ คือ

    - พระศรีอาริยเมตไตรย์ พระองค์หนึ่ง
    - พระราม พระองค์หนึ่ง
    - พระธรรมราช พระองค์หนึ่ง
    - พระธรรมสามี พระองค์หนึ่ง
    - พระนารท พระองค์หนึ่ง
    - พระรังสีมุนีนาถ พระองค์หนึ่ง
    - พระเทวเทพ พระองค์หนึ่ง
    - พระนรสีหะ พระองค์หนึ่ง
    - พระติสสะ พระองค์หนึ่ง
    - พระสุมงคล พระองค์หนึ่ง
    ที่เหลืออีก ๕๐๐ พระองค์บารมียังอ่อนอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...