ก้อนหิน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 10 กรกฎาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ขอบใจครูติงมากๆครับ...
    ครูติงจะมีความชำนาญมากเรื่องการหารูปภาพดีๆมาให้ชม รวมไปถึงเพลงต่างๆก็ชำนาญมากด้วย...


    ............................................................
    ถ้าเราเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่ง คงไม่ต้องถึงกับยอมเผาตัวเองเพียงเพื่อให้ใครสักคนหันมาสนใจเราแค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรอกครับ...
    เพราะถึงเราจะธรรมดา...เราก็สร้างจุดสนใจที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆได้...

    คนที่เขาเก่ง ฉลาด หล่อ รวย ฯลฯ พวกนี้ไม่ต้องห่วงเลยนะ เขาได้รับความสนใจอยู่แล้ว เหมือนตัวอักษรขนาดใหญ่ หลากสีสัน....

    สำหรับคนธรรมดาๆอย่างเรา จะเปรียบไปคงเหมือนตัวอักษรพิมพ์ธรรมดาๆ ที่ใหญ่อย่างเขาไม่ไหว สีสันก็ไม่สามารถสรรหามาให้ได้ดั่งใจ...

    แต่เมื่อผมลองพิมพ์ให้ตัวอักษรนี้เล็กลงมากๆ...บนพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลย...
    มันกลับจะกระตุ้นความสนใจของคนอ่านว่า อีตานี่มันเขียนอะไรของมันนะ...
    ใช่ไหมล่ะครับ ...
    ธรรมชาติของคน ชอบสอดรู้สอดเห็น...

    ดังนั้นเพียงเราทำตัวให้เล็กลง น่าสงสัย ก็ได้รับความสนใจได้เช่นกัน...

    ยกตัวอย่างน้องหญิงคนหนึ่ง เธอหน้าตาธรรมดาๆมาก สีผิวนี้ดำ ดำจนเขียวเลยทีเดียวเชียว...
    จะไปเที่ยว ไปเธค ไปผับ กับเพื่อนฝูง ไม่มีใครสนใจเธอเลยครับ...คนธรรมดา โลกไม่จำ...จริงไหม? ผมว่าไม่จริงหรอกนะ...
    โลกไม่จำก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ขอให้คนที่รักเรา จำเราได้ก็เพียงพอแล้ว เพราะนั่นมันสำคัญกว่าให้โลกจดจำเป็นไหนๆ...

    น้องหญิงแม้ตัวจะดำ แต่เธอมีฝีมือทำกับแกล้ม ที่คนสมัยก่อนเรียกว่า เสน่ห์ปลายจวัก...จนทำให้นึกถึงกาพย์เห่เรือ ท่อนนึงที่ว่า...
    ก้อยกุ้ง ปรุงประทิน วางถึงลิ้น ชักกะดิ้นชักกะแด่ว...อืม...ของเจ้าฟ้ากุ้งล่ะมั๊งครับ...

    คืนหนึ่งน้องหญิง จะไปเธคแต่เพียงลำพัง เธอใส่ชุดสีดำ ปกปิดมิดชิด (ยังกะจะไปงานศพซะงั้น) แต่งหน้าเข้ม ทาเล็บนิ้วก้อยเท้าซ้ายด้วยสีแดง (คงกลัวผีแม่หม้ายจะมองไม่เห็นเธอในยามค่ำคืน) ใส่แว่นตาดำอันโต ทาปากสีแดง มองไวๆจึงเหมือน อีกาคาบพริก....เธอยืนนิ่งๆหันหลังให้กับเวที ในเธคแห่งหนึ่ง...แสงไฟ วูบๆวาบๆ กระทบสร้อยคอชุบโครเมี่ยมอันโต เหมือนจะบอกว่า อีกาตัวนี้มีเจ้าของ...

    ท่ามกลางเสียงกรี๊ดร้อง ท่าเต้นอันเร่าร้อน ของนักท่องราตรีหน้าเวที น้องหญิงกลับยืนหันหลังนิ่งๆ ปากคาบบุหรี่ไว้ไม่จุด...
    ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง กลับได้รับความสนใจขึ้นมาจากคนหลายๆคน...
    เพราะธรรมชาติของคน ชอบสอดรู้สอดเห็น ไม่นาน ก็มีคนเดินเข้ามาถาม...
    "น้องๆ มายืนทำไรที่นี่เหรอ"
    "...รอ...ว่าเมื่อไรจะมีคนเข้ามาถามนี่ไง"
    "โห...เปรี้ยวนี่หว่า...า..." เสียงคนถามอุทานต่อ...
    " อยากรู้ป่ะ ว่าตรงไหนเปรี้ยวสุด..."
    ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย อยากรู้เหมือนกัน ว่าอีกาคาบพริกจะมาไม้ไหน...
    น้องหญิงชี้ไปที่เล็บสีแดงตรงนิ้วก้อยเท้า..."นี่ไง...อยากชิมป่ะ"....

    จากน้องหญิงคนธรรมดาๆคนนึง ตัวดำ แต่ใจไม่ดำ ไม่เคยมีใครสนใจ ก็เกิดมีคนสนใจขึ้นบ้างแล้ว ในสถานะการณ์ที่ คนธรรมดาๆ ทำเรื่องให้มันเล็กๆ ชวนน่าสงสัย...

    หากแต่ถ้าคุณเป็นผู้ชาย แล้วคิดจะทำเช่นนี้บ้าง สิ่งที่ต้องเตรียมการล่วงหน้าคือ ศึกษาข้อกำหนดของกรมธรรประกันชีวิตให้ดีก่อนว่า รอบคลุมการเสียชีวิตแบบไหนบ้าง และใครจะเป็นผู้รับผลประโยชน์....

    "คนธรรมดาๆ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ ก็ทำให้มันเล็กๆ และแตกต่าง สร้างความสงสัยอยากรู้ให้กับมวลหมู่มนุษย์บ้าง...แต่อย่าเยอะ...พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว"

    น้องหญิง แต่งงานไปกับชายหนุ่ม และมีชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยเธอเห็นว่าตัวเธอแม้ดำแต่เธอก็เป็นคนที่เอาใจสามีเก่ง และทำอาหารได้ถูกปาก สามียิ่งนัก...
    ผมว่าชีวิตเธอเข้าท่าดี...ไม่ต้องสวยเหมือนนางฟ้า ไม่ต้องมีสามีหล่อรวยล้นฟ้า แล้วต้องเลิกราหาความสุขไม่ได้...สู้เป็นคนธรรมดาๆ มีสามีธรรมดาๆ และมีครอบครัวที่อบอุ่น ไปจนแก่เฒ่า ดีกว่านะ...

    ดังนั้น...คนธรรมดาๆอย่างเราๆน่ะ...ก็ดีเหมือนกันนะ...


    โพสต่อไปคือ...เรามาสร้างศัตรูกันเถอะ...
    ....เมื่อเจ้านายแย่งผลงาน...
    ....เรามาคิดลบ คิดร้าย จ้องจับผิด กันดีกว่า...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    ดำแต่นอกในแผ้ว ผ่องเนื้อ นพคุณ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2015
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2015
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เรามาสร้างศัตรูกันดีกว่า...
    ทำไมน่ะเหรอ....
    ก็เพราะคนบางจำพวกนั้น หากคบเป็นมิตรแล้วจะโดนเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนและนำปัญหามากมายมาสู่...การเป็นศัตรูกับคนเหล่านี้ จึงช่วยลดทอนปัญหาต่างๆลงได้ หรืออย่างน้อย ก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะคนจำพวกนี้นั่นเอง...
    ผมไม่ใช่พวกโลกสวย ผมมองโลกว่าเป็นโลก...มันเป็นของมันอย่างนี้เอง มีคนดี มีคนชั่ว มีเข้มแข็ง มีอ่อนแอ มีฉลาด มีโง่....

    การมองโลกในแง่ดี เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่การหลอกตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ๆ
    ระหว่างการมองโลกในแง่ดีกับการหลอกตัวเอง มันคั่นกันอยู่ด้วยใยแมงมุมบางๆเบาๆเท่านั้นเอง...
    การมองโลกในแง่ดี คือการมองกลับเข้ามาที่ตัวเราเอง ภายในใจในกายของเราเอง เพื่อให้เรามีกำลังใจที่เพิ่มมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น มีพลังมากขึ้น...

    การหลอกตัวเอง คือ การมองออกไปข้างนอกตัว แล้วพยายามปกปิดสิ่งไม่ดีต่างๆ จะด้วยการไม่ไปคิดถึง ไม่พูดถึง หรือแม้แต่การมองว่าสิ่งไม่ดีนั้นแท้จริงแล้วมันดี...อันนี้อาการหนักมาก และเกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วงหลายปีมานี้ เป็นอย่างมากเสียด้วย...

    สิ่งแรกเป็นสิ่งที่ดีครับ...คือดีทั้งนอก และดีทั้งใน...
    สิ่งที่สองไม่ค่อยดีครับ...คือภายนอกยังดูดี แต่เน่าใน...เข้าใจความรู้สึกที่เคยเจอะเจอกันมาใช่ไหมครับ...

    คนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ อ่อนแอ โลภมาก ขี้ขลาด (ซึ่งธรรมชาติของคนโลภ มักจะเป็นคนขี้ขลาดอยู่แล้ว).....

    คนพวกนี้ ควรเป็นศัตรูด้วย...
    หากคบมิตรกับคนที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ เห็นแก่ได้ เอาไว้ ก็ต้องโดนเอารัดเอาเปรียบอยู่ร่ำไปครับ มีแต่ต้องเดือดร้อนคับแค้นใจ เท่านั้นไม่พอ มันยังจะมาทวงบุญคุณอีกว่า ถ้าไม่มีคนอย่างมันแล้วไซร้ เราจะบำเพ็ญบารมีขั้นอุกฤติได้อย่างไร...จริงๆเลยคือมันเป็นขั้นวิกฤติไปแล้วครับ ไม่ใช่แค่ขั้นอุกฤติอย่างที่เข้าใจ..คนพวกนี้หากเลือกที่จะเป็นศัตรูเสียได้ ก็จะโล่งจากภาระที่ต้องเป็นฝ่ายถูกเอารัดเอาเปรียบไปได้

    สำหรับคนที่อ่อนแอนั้น มักจะมีปัญหามากมายในชีวิต มีแต่เรื่องทุกข์ยากแสนสาหัสต้องการความช่วยเหลือในทุกเรื่องซึ่งส่วนมากก็เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น...การเลือกเป็นศัตรูกับคนอ่อนแอจึงเป็นการลดภาระในการเข้าไปแก้ปัญหา อุ้มชู และยังเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้ฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็งขึ้นอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะได้ผลหรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่จำเป็นต้องไปรู้...

    วิธีการนี้ ดูมันช่างโหดร้ายเหลือเกินใช่ไหมล่ะครับ...ธรรมชาติมันก็เป็นแบบนี้เอง ผู้ที่เข้มแข็งกว่า ฉลาดกว่า ปรับตัวได้เก่งกว่า จึงจะอยู่รอด โลกจึงมีวิวัฒนาการ...ในธรรมชาติก็เป็นแบบนี้ มันเป็นการคัดสรรตามธรรมชาติอยู่แล้วครับ...

    ตัวอย่างคนที่ควรเป็นศัตรูด้วย เช่น น้าเริญ ในโพสก่อนหน้า...คนที่เห็นแก่ตัว หนีงานหนัก งานสบายก็หนี พอเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องผลประโยชน์แล้วก็ วิ่งเข้าใส่ทันที...คนแบบนี้พอเราเป็นศัตรูด้วยแล้ว เขาจะไม่กล้าเข้ามาใกล้ ดังนั้นเรื่องจะมาเอาเปรียบเบียดเบียนเรานี้ ก็จะน้อยลงไปมาก คนแบบนี้ไม่ค่อยมีคนจะคบด้วย พวกพ้องไม่ค่อยมี ดังนั้นเราไม่ต้องกลัวว่าจะโดนพวกเขาพากันมารุม เพราะคนแบบนี้ไม่มีใครอยากจะออกหน้าแทน แม้แต่ตัวเขาเองก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะลงมือทำอะไรเราได้...

    ความจริงมันโหดร้ายใช่ไหมล่ะครับ...แต่มันก็เป็นความจริง...
    ไม่จำเป็นต้องผูกมิตรกับทุกคน...
    สำหรับบางคนแล้วเป็นศัตรูดีกว่าครับ...
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เมื่อเจ้านายแย่งผลงาน...

    ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องปกติและธรรมดาเป็นอย่างมาก ที่เจ้านายจะต้องแย่งผลงานลูกน้องเอาไปพรีเซ้นท์ตัวเองกับเจ้าของกิจการครับ...
    ในเมื่อมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ยกผลงานให้เจ้านายไปซะเลยดีกว่าครับ
    ตัวผมเองนั้น สารภาพตามตรงเลยก็ได้ว่า ผมทำงานนี่ก็เพื่อเงินครับ ต้องการเงินอย่างเดียวแหละ ถ้าไม่ได้เงินนี่ ผมไม่ทำงานให้จริงๆครับ ผมไม่ได้ทำงานเอาหน้า หรือเอาผลงานมาเที่ยวอวดคนอื่นหรอกครับ คำชมไม่ต้องก็ได้ ขอเปลี่ยนจากคำชมเป็นเงินก็แล้วกัน...

    เชื่อผมไหมล่ะครับว่า คนเป็นเจ้าของกิจการได้ มันไม่ได้โง่มากนักหรอกครับ มันต้องดูออกแหละว่าใครเป็นคนทำ ใครมาเสนอเอาหน้า ...
    ดังนั้นต่อให้เจ้านายได้ผลงานไป เขาไปพรีเซ้นท์ได้ ถึงเวลาที่ถูกซักถามลงลึกในรายละเอียดตอบไม่ได้ ก็ต้องกลับมาถามเราอยู่ดี...
    ดังนั้นแทนที่เราจะไปโกรธเจ้านาย เราควรจะหาประโยชน์จากการยกผลงานให้เจ้านายอย่างหน้าชื่นตาบาน โดยแลกกับเงินรางวัล หรือวันหยุดพักผ่อน หรือโดดงานเป็นบางครั้ง เลี้ยงข้าวมื้อเที่ยงก็ยังดีนะ กินฟรีนี่ของชอบของครอบครัวเชียวแหละ...

    ดังนั้นแล้ว การจะไปคิดโกรธเกลียดเคียดแค้นที่โดนเจ้านายแย่งผลงานไป ไม่มีประโยชน์เท่ากับยกผลงานให้เขาไปเลยดีกว่า แล้วหันกลับมาตั้งใจพยายามทำงานอย่างจริงจัง อย่าไปคิดว่าทำงานหนัก ทำอยู่คนเดียว บริษัทฯเอาเปรียบ เจ้านายเอาเปรียบ

    เราทำงานหนึ่งอย่างสำเร็จ บริษัทฯได้เพียงผลงานหนึ่งครั้งเท่านั้นเองครับ แต่ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานจนสำเร็จนั้น จะติดตัวเราไปตลอดไป เราต่างหากล่ะที่ได้ประโยชน์จากการขยันตั้งอกตั้งใจทำงาน...
    ทำไปเถอะครับ แล้วประสบการณ์ที่ทำจะช่วยเราให้ไปถึงฝั่งฝันได้เอง...

    "เป็นผู้น้อยค่อยก้ม ประนมกร..
    รอไปก่อนจะสบาย เมื่อปลายมือ..."
     
  7. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ื่ท่านอาจารย์คุณป๋ามองมุมทุกมุมสวยไปหมดแระคะ...อิอิ
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เรามาคิดลบ คิดร้าย จ้องจับผิด กันดีกว่า....

    วันหยุดช่วงปีใหม่ ทำให้พอมีเวลา ขีดๆเขียนๆเล่าสู่กันฟังบ้างครับ...
    มีข่าวชวนน่าหดหู่ คือการฆ่าตัวตายยกครอบครัว 5 ศพ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราจะมีทางไหนบ้างนะ ที่จะช่วยให้คนฆ่าตัวตาย เปลี่ยนใจ...
    การฆ่าตัวตายจากปัญหาเศรษฐกิจ...ถ้ารอจนผมเล่าเรื่องไปถึงวิธีการสร้างกิจการ สงสัยว่าจะไม่ทันการณ์กัน...ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2558 จะเป็นปีที่มีชนชั้นกลางและชนชั้นล่างฆ่าตัวตายกันมากเป็นพิเศษ ด้วยอิทธิพลของเศรษฐกิจ...

    จึงคิดว่าจะเขียนบทความขึ้นเฉพาะกิจ สำหรับให้ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตาย ได้หยุดคิดสักนิดหนึ่ง...จะพยายามทำเป็นอีบุ๊ค แม้ว่าจะไม่ค่อยถนัดนักก็ตาม...

    มาว่ากันถึงเรื่องการคิดลบ คิดร้าย จ้องจับผิดกันดีกว่าครับ...

    ที่มาของเรื่องนี้มันเกิดจากชีวิตผมเอง ที่เกิดมาพร้อมกับความซวย มันไม่ใช่เฮงซวย คือมันซวยอย่างเดียว เฮงไม่มี...อันนี้เรื่องจริง
    เวลาจะประชุม เอกสารสำคัญมักจะหายทุกทีครับ
    ไปประชุมไม่ทัน
    ทำงานแทบล้มประดาตาย พึ่งจะพักนั่งกินกาแฟ เจ้านายเดินมาเห็นเข้าพอดี
    ทำงานอะไรที่กำลังจะได้เงินเห็นๆแล้ว เป็นอันต้องชวดในวินาทีสุดท้าย

    หมาวิ่งตัดหน้ารถกระทันหัน...
    รีบๆ จู่ๆ ยางก็มารั่วซะงั้น...
    คนเขากำลังทะเลาะกันอยู่หาที่ลงไม่ได้ก็มาลงที่ผมนี่แหละ...ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย..
    ถ้าพรุ่งนี้นัดรับเช็ค...ผมจะไม่เคยได้รับมัน...ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก...

    ในเมื่อชีวิตผมเจอแต่เรื่องซวยๆแบบนี้แล้ว จะให้ผมไปอ่านหนังสือวิธีสร้างตัวเอง ทำยังไงให้รวยในพริบตา เทคนิคการประสบความสำเร็จในหน้าที่อาชีพ พ่อรวยสอนลูก ฯลฯ
    ไม่มีประโยชน์ใดๆสำหรับคนอย่างผมครับ...

    คุณเคยคิดไหมว่า ทำไม ชายสี่ ต้องบะหมี่เกี๊ยว ทำไมเคี๊ยง ต้องราดหน้ายอดผัก ทำไมชายสี่ ราดหน้ายอดผักบ้างไม่ได้เหรอ?
    ทำไมตัน ต้องชาเขียว ... ขนาดขายกิจการไปแล้ว ตัวเองไปทำน้ำผลไม้ชนิดอื่น ไปไม่รอด ต้องกลับมาทำชาเขียวเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนยี่ห้อ...
    ทำไมเถ้าแก่น้อยถึงต้องสาหร่ายทะเล...
    ทำไมเถ้าแก่น้อยไม่ขายซาลาเปา...ทำไมซาลาเปาต้องทับหลี ทับแกก็ไม่ได้ด้วย...

    เนื่องจากความสำเร็จใดๆนั้น นอกจากจะมาจากความสามารถของเราแล้ว
    ยังประกอบด้วยปัจจัยอื่นอีกหลายประการได้แก่
    บุคคลรอบข้าง...
    เวลาหรือโอกาส ในขณะนั้น บางทีเราก็เรียกว่าจังหวะ
    สภาพแวดล้อมที่เราอยู่
    ความสัมพันธ์ที่เรามีในเวลานั้น...
    สิ่งเหล่านี้นี่เองครับ ที่ทำให้ชายหก อย่างผมไม่สามารถประสบความสำเร็จกับบะหมี่เกี๋ยวเท่ากับชายสี่...

    แต่สำหรับความซวยแล้ว เรามีกันได้พอๆกัน สามารถเกิดขึ้นกับพวกเราได้ ไม่ยากเลยครับ...
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    งานไหนยากๆ มีปัญหา ทุกคนหนีหมด...คนสุดท้ายที่หนีไม่ทันคือผม...ที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วแหละครับ...ทุกทีมันก็อย่างนี้เอง...

    อาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ผม เคยกล่าวไว้ว่า "ยากๆทำได้ ง่ายๆจะทำ ทำไม"
    จริงๆแล้วคือพูดเอาเท่ห์ไปอย่างนั้นเองแหละครับ...คืองานง่ายๆคนอื่นเขาแย่งเอาไปทำหมดแล้ว เหลือแต่ยากๆ ถ้าขืนไม่ทำ ก็อดตาย...ดังนั้น ก็ต้องกัดฟันทำไป แล้วก็หาคำพูดหรูๆมาปลอบใจตัวเอง ไปอย่างงั้นเอง...

    ทันทีที่ผมเจอเข้ากับงานเหล่านี้ ... ผมไม่ได้มองมันในแง่ดีเลยครับ เพราะจริงๆแล้วมันคือเรื่องซวยๆที่วิ่งเข้าหาเราชัดๆ จะไปคิดให้มันดี ก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อมันร้าย ก็มองมันว่าร้าย อย่างที่มันเป็น...
    ผมจะคิดว่า มีกรณีเลวร้ายที่สุด ที่จะเกิดขึ้นได้ อย่างไรบ้าง...
    แล้วผมจะเขียนมันออกมา...

    เขียนออกมาเสร็จแล้ว ผมจะคิดหาวิธีป้องกัน...
    เมื่อผมหาวิธีป้องกันกรณีเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว...
    ผมก็จะคิดว่าหากวิธีป้องกันผมไม่ได้ผล มันจะเกิดมาจากอะไรได้บ้าง...
    มันทำให้ผมเลือกวิธีป้องกันที่ปลอดภัยที่สุดให้กับตัวเอง...

    ชีวิตผมเจอแต่เรื่องซวยๆมาทั้งชีวิต มันเลยไม่ยากหรอกครับที่ผมจะออกว่ามีเรื่องซวยๆอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้นกับผมได้...
    แต่การคิดเช่นนี้ ผมไม่ได้วิตกจริต คือไม่ได้คิดจนครุ่น ผมคิดหาทางป้องกันจนจบแล้ว ผมก็จะ list รายการทั้งหมดออกมา แล้วมันก็จบครับ ผมไม่ต้องคิดมันต่ออีก...
    ผมไปคิดเรื่องอื่นต่อ...

    การวิตกจริตคือ การย้ำคิดย้ำทำ กังวลเรื่องเดิมๆซ้ำๆซากๆ อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ คิดมันไปให้สุดเลยครับว่า ถ้ากรณีเลวร้ายที่สุดมันจะเกิดอะไรได้บ้าง แล้วป้องกันมันไว้...4 ชั้น...ถ้ามันผ่านชั้นที่ 4 ไปได้...ก็ยอมรับซะเถอะครับ...ว่าเรานี่มันซวยของแท้ ไม่มีอะไรน่าเสียใจ หรือเสียดาย...

    เช่น เวลาประชุมใหญ่...เอกสารสำคัญ ที่จะต้องรายงาน มักจะหาไม่เจอครับ...
    ผมจะมีสำเนาให้กับหน้างาน ใส่แฟ้มเอาไว้..แต่ก็นั่นแหละครับ ผมคิดว่า คงจะต้องมีใครมาหยิบไปแล้วไม่เอามาคืน...ซึ่งมันก็เคยเกิดขึ้น
    ผมจึงสำเนาไว้ที่สำนักงานด้วย...ซึ่งก็เคยมีคนหยิบไปแล้วไม่เอามาคืนอีกเหมือนกัน
    ผมจึงสำเนาเก็บไว้ที่ตู้เอกสารส่วนตัวผม ใส่แฟ้มเอาไว้...เวลาผมไม่อยู่ คนที่มักง่าย ก็มาหยิบเอาไปแล้วไม่เอามาคืน จับมือใครดมไม่ได้ มือมันเหม็นพอๆกันหมด
    ผมจึงแสกนเก็บไว้ในคอมฯที่โต๊ะผม...ซึ่งบางทีเจ้านายก็แอบมาใช้ บางทีผมไม่อยู่ก็มีการแอบมาเล่นเกม โดนไวรัสข้อมูลหาย...
    ผมจึงก็อปเก็บไว้ในแฟลซไดร์ส่วนตัวอีกอันนึงครับ...
    ถ้ามันยังจะหายอีกก็นะ... Let's it be...

    แล้วก็เกิดเรื่องจนได้ เมื่อมีการเรียกประชุม รุ่นพี่ซึ่งโดยตำแหน่งเป็นลูกน้องผม ไม่เข้าประชุม แถมเอาเอกสารที่ผมสำเนาไว้ที่สำนักงานไปด้วย เจ้านายผมก็ต้องการด่วน ผมจึงเอาสำเนาที่เก็บในแฟ้มส่วนตัวส่งให้เลขาไปสำเนาให้อีกที ที่สำเนานี้มีลายเซนต์ผมอยู่ด้วย เพื่อจะด่าเป็นนัยว่า...ระบบการทำงานพวกท่าน แย่มากนะครับ...แต่เจ้านายผมกลับชมว่าผมรอบคอบ...

    ขับรถไปตรวจงาน ผมก็จะคิดว่าถ้ามีหมาวิ่งตัดหน้าระยะประชิด จะทำไง....
    ผมจะชน โดยเอามุมกันชน กระแทก เพื่อไม่ให้โดนหม้อน้ำ ไม่งั้นหม้อน้ำแตก ขับต่อไม่ได้ และผมจะไม่เบรคกระทันหัน จนทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เพราะผมไม่ใช่เป็นฝ่ายผิด ฝ่ายที่ผิดคือหมาที่วิ่งตัวหน้าระยะกระชั้นชิด ใครผิดก็ต้องได้รับโทษสิครับ ใครไม่ผิดจะรับโทษได้อย่างไร?...

    แต่ถ้ายางหน้าแตกกระทันหันผมจะไม่แตะเบรค เพราะรถจะหมุน ผมจะกดพวงมาลัยเอาไว้แน่นๆแล้วดูรถรอบข้างก่อนจะเอาเข้าข้างทาง ...

    คือในเมื่อความซวยมันไม่เข้าใครออกใคร...คิดแง่ลบเอาไว้ดีกว่า คิดแล้วหาทางป้องกัน ถ้าเราสามารถกันกรณีเลวร้ายที่สุด ที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว เรื่องซวยเล็กๆน้อยๆ มันก็ไม่เท่าไร...ใครจะว่าผมเตรียมการจนเป็นเหมือนบ้าหอบฟางก็ไม่เป็นไร เตรียมการไว้ แม้ไม่เกิดเรื่องร้าย ก็ดีไปครับ มันก็เหมือนกับที่เราทำประกันชีวิตนั่นแหละ...ทำเอาไว้น่ะดี แต่ไม่ใช้มันจะดีเสียกว่าน่ะครับ
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    วันดีคืนดี ก็มีนักร้องโทรมาหา ผ่านเลขามาอีกทีนึง...
    ข้อหาคือ ผมไปทำนักร้อง ท้อง แล้วปิดมือถือหนี....

    มีเซลผู้ชายโทรมาด่าผม ว่าผมไปชวนน้องผู้หญิงที่เป็นเซล ไปนอนด้วยกันที่โรงแรม...

    พ่อของลูกน้องโทรมาด่าผมว่า บริษัทฯพึ่งจัดไปเที่ยวกลับมา ทำไมถึงพาลูกสาวเขาไปกินเลี้ยงมื้อเย็นต่อ...

    เมียเจ้านาย โทรมาถามว่า ทำไมมีประชุมบ่อยนัก แล้วกว่าจะกลับบ้านก็ค่ำๆมืดๆ งานอะไรมันสำคัญนักหรือไง?

    ...........................
    2 กรณีแรก เป็นลูกน้อง แอบเอานามบัตรผมไปหลอกนักร้อง ฟันแล้วหนี...จากนั้นก็ปลอมเป็นผม ไปจีบเซลผู้หญิงคนนึง แล้วก็จะชวนไปนอนด้วย...
    ความจริงเรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยากครับ...ก็ผมไม่ได้ทำ...จับตัวได้ผมก็เอามาประจานทั่วบริษัทฯแหละครับ...ทีหน้าจะได้ไม่กล้าทำอย่างนี้อีก...

    กรณีที่ 3 คือ พ่อหวงลูกสาว ลูกสาวมีแฟน แฟนชวนไปกินอาหารเย็น ไม่กล้าบอกพ่อ เลยมาอ้างชื่อผมว่าเป็นคนชวนไป...

    กรณีที่ 4 นี่เจ้านายหนีเที่ยว ไม่รู้จะอ้างชื่อใคร อ้างชื่อผมนี่แหละดี น่าเชื่อถือสุดแล้ว เพราะวันๆมันทำงาน แถมงานอะไรไม่มีใครเอาแล้วส่งมันไปเคลียร์มันจัดการให้เรียบร้อย เป็นที่ไว้วางใจ จนเจ้านายทิ้งกิจการไปตีกอล์ฟได้อย่างสบายใจ ตีไปตีมาชักเพลินไปหน่อย ตีเสร็จไปกินไปเที่ยวต่อ แล้วเอาชื่อผมไปอ้าง....โดยไม่เตี๊ยมกันก่อน...

    กรณีแบบนี้ก็ต้องยอมรับสมอ้างไปก่อนครับว่างานเยอะ ลูกค้าชอบประชุมกันเย็นๆ ประชุมเสร็จแล้วก็ต้องไปทานข้าวต่อ จะหนีก็หนีไม่ออก...ทำเป็นว่าผมอยู่ในเหตุการณ์เป็นพยานได้...แต่วางหูเสร็จก็ต้องเดินไปเคลียร์กันสักหน่อย ถึงจะเป็นเจ้านาย แต่เอาชื่อเราไปอ้างอย่างนี้นี่มันหวาดเสียวมาก และอ้างโดยไม่บอกให้เรารู้ตัวก่อน ถ้าตั้งหลักไม่ทัน บอกความจริงไป งานนี้ได้บ้านแตก....

    โตๆกันแล้วครับ ถามสั้นๆ ก็พอ ไม่ต้องด่า หรือไล่บี้ให้จนมุมหรอกครับ ยังไงเขาก็เป็นเจ้านายเรา....โทษฐานความผิดนี้ ถ้ารู้ถึงเมียนี่เรื่องใหญ่ จัดอยู่ในขั้นร้ายแรงทีเดียว...
    ดังนั้นก็ควรน่าจะพอเดาได้ว่า การปรับฐานเงินเดือนตอนสิ้นปี เจ้านายต้องพิจารณาให้รอบคอบซะแล้วครับ รวมถึงโบนัสด้วยเช่นกัน...ห้องนอนผมยังไม่มีแอร์ติด ท่านก็จัดหาไปให้ครับ พร้อมติดตั้งเสร็จ เพราะกลัวผมจะนอนหลับไม่สบายแล้วหงุดหงิด...

    ผมต้องโดดงานตอนกลางวันบางเวลาเพื่อไปเรียนโท ท่านก็ไม่ว่าอะไร เพราะงานในหน้าที่ผมไม่ได้เสียหายนี่นะ...
    ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนแบบนี้เองครับ...ถือไพ่ตายไว้ในมือ ไม่มีปัญหาอะไรที่เจ้านายจะเคลียร์ให้ไม่ได้ครับ...แลกกับที่ต้องโดนกล่าวหาว่าชวนกับไปพบลูกค้าดึกๆบ่อยๆแล้ว ถือว่าเล็กน้อย เพราะชีวิตผมโดนมาตลอด ...

    ูโลกนี้มันไม่มีอะไรได้มาฟรีๆหรอกครับ...แม้แต่ความซวย ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องได้มาฟรีๆนะ มันก็ต้องแลกมากับอะไรบางอย่างด้วยเหมือนกัน...
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    การทุจริต คอรัปชั่น ในองค์กร...

    อย่าพึ่งพูดกับใครเลยครับว่า คุณจะไม่โกง...
    การที่คนเราไม่โกงนั้น อาจเป็นเพราะเรายังไม่มีโอกาสก็เป็นได้
    หรือจำนวนเงินที่โกงมันยังไม่คุ้ม..แน่นอนว่า ชีวิตคนๆนึงจะโกงได้สักกี่ครั้งเชียว...ไม่คุ้มก็อย่าไปทำมันดีกว่า...

    เงื่อนไขบีบคั้นมันยังอาจจะไม่มาถึง เช่น แม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เมียโดนรถชน บ้านจะโดนยึด ลูกไม่มีเงินไปโรงเรียน ข้าวสารหมดแล้ว ฯลฯ

    เมื่อมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้า สิ่งที่เซลจะนำเสนอคือ เงินใส่ซอง เรื่องนี้เวลาผมเจอเข้าผมก็จะบอกว่าให้ลดราคาลงมาในใบเสนอราคาเลยดีกว่า แล้วผมจะพิจารณาอีกทีว่าจะให้บริษัทฯไหนได้ออเดอร์ไป...

    เซลพวกนี้ก็จะมีเทคนิคอีกว่า ลดในใบเสนอราคาให้ไม่ได้แล้วครับ เป็นนโยบายบริษัทฯ เงินจำนวนนี้ให้พี่ไว้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น อันนี้เจ้านายสั่งมาเองเลยครับ...

    ในการทำงานร่วมกันนั้น ต่างคนต่างก็จ้องดูกันอยู่ครับ เพื่อนร่วมงานก็มองเรา ลูกน้องก็มองเรา ทุกคนมองมาที่เรานี่แหละครับ...
    ผมตัดสินใจรับเงินจำนวนไม่กี่หมื่นนั้นไว้ โดยผมบอกกับทุกคนในแผนกถึงเรื่องที่เซลคนนี้จะเสนอเงินมาให้ ซึ่งไม่สามารถลดราคาลงมาในใบเสนอราคาได้อีก ผมจึงขอให้เงินส่วนนี้เป็นเงินกองกลาง สำหรับเลี้ยงกันภายในแผนกตามวาระอันสมควร ใครหมุนเงินไปทันก่อนสิ้นเดือนก็มาหยิบยืมจากส่วนนี้ไปหมุนก่อนได้ เงินเดือนออกค่อยมาคืน ไม่มีดอกเบี้ย เงินจำนวนนี้ให้เก็บไว้กับเลขา เจ้านาย และหัวหน้าธุรการร่วมกันดูแล..

    เสร็จแล้วผมก็รายงานเจ้านายให้รับทราบถึงการตัดสินใจของผมเกี่ยวกับเรื่องเงินจำนวนนี้...
    ทุจริต คอรัปชั่น โกงกิน เรื่องชั่วๆ มันกลัวการเปิดเผยครับ ... ถ้าต้องเปิดเผยเมื่อไร เรื่องเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นได้ จะทำได้มันต้องแอบๆ ทำกันลับๆ เท่านั้น...
    พอวันที่เซลเอาเงินมาให้ ผมเรียก เลขา กับหัวหน้าธุรการ มารับเงิน...
    เซลก็งงครับ เพราะคิดว่า ผมจะแอบๆทำ ไม่คิดว่าผมจะกล้ารับเงินโดยเปิดเผย ...
    เมื่อเซลรู้เรื่องที่ผมตัดสินใจทำลงไปนั้น เขาถึงกับเอ่ยปากชื่นชมผม...แต่ลับหลังผมมันก็เอาผมไปด่ากับพวกเซลด้วยกันว่า"ควายๆๆๆ"

    ลูกน้องผมเองมันก็มาสารภาพว่า มันแอบดูผมอยู่ว่าผมจะรับเงินใต้โต๊ะไหม...
    ผมบอกว่าผมรับกันบนโต๊ะเลยนะ ไม่ต้องรับหรอกใต้โต๊ะ...
    เงินไม่กี่หมื่นบาท ได้มาก็ไม่ทำให้รวย จะเอามาทำอะไรให้เป็นขี้ปากคนล่ะครับ...

    เรื่องที่ผมทำลงไปนี้ ทำให้เซลเอาไปนินทากัน แล้วเลยเถิดไปถึงหูเจ้านายของพวกเขาเอง ต่อไปจนถึงบริษัทฯอื่นๆที่ซื้อของจากเซลคนนี้ แล้วมันก็วนกลับมาหาผมอีกที จากที่เซลนินทาผม แต่เจ้าของบริษัทฯเหล่านั้นกลับมองว่า คนแบบนี้หายากว่ะ มีแต่อยากได้เยอะๆ ไม่เคยมีคนไหนที่ปฏิเสธการรับเงินเลย...คนแบบนี้เองที่เจ้าของกิจการทั้งหลายอยากได้มาทำงานร่วมด้วย...

    ตรงนี้ต่างหากล่ะครับ ที่มีค่ามากกว่าเงินเพียงไม่กี่หมื่นบาท ความจริงมันก็เป็นแผนสร้างภาพของผมเองนี่แหละครับ...
    แล้วพวกรุ่นพี่ที่ไปเปิดบริษัทฯก็มาชวนผมไปทำงานด้วย...เงินเดือนคูณ2
    ผมต้องกล่าวขอบคุณไปครับ และสร้างภาพต่อไปด้วยประโยคที่ว่า
    "ถ้าผมลาออกไปทำงานกับพี่ เพราะพี่ให้เงินเดือนผมมากกว่าที่ผมทำงานอยู่
    วันหน้าหากมีคนให้เงินเดือนผมมากกว่าที่พี่ให้ ผมก็ลาออกจากพี่ไปอยู่ที่ใหม่
    พี่คิดว่าคนแบบนี้ พี่อยากจะเอามาทำงานร่วมด้วยไหมครับ"

    เป็นการสร้างภาพตัวเองให้ดูดีมากกว่าเดิมอีกนิดนึงครับ...
    แต่เพื่อไม่ให้เสียโอกาส และเดินแผนการขั้นที่สองไปด้วยก็คือ...
    ผมทิ้งท้ายให้ความหวังกับพี่ๆทั้งหลายที่กรุณาชวนผมไปทำงานด้วย โดยบอกกับทุกท่านว่า โทรไปคุยกับเจ้านายผมสิครับ ถ้าเจ้านายผมบอก โอเค คำเดียว ผมเก็บของไปทำงานอยู่กับพี่เลย เรื่องเงินเดือนนั้นแล้วแต่พี่จะพิจารณา...

    ที่จริงไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมยังเรียน ป.โท ไม่จบ แถมเรียนภาคกลางวันด้วย ที่ไหนเขาจะให้โดดงานไปเรียนล่ะครับ เรียนจบเมื่อไร่ล่ะก็นะ..ค่อยว่ากัน...อีกอย่างนึงผมจะได้ทำให้เจ้านายผมเครียดซะบ้าง ให้รู้สึกว่า ไอ้นี่มันพร้อมที่จะไปจากเราได้นี่หว่า แบบว่ามีคนต้องการตัวมันหลายบริษัทฯ ดังนั้นต้องมองมันใหม่ซะแล้ว...ว่าแล้วก็มีการเสนอเปลี่ยนรถประจำตำแหน่งให้กับผม พูดจาดีขึ้นเยอะ เห็นคุณค่าเรามากขึ้นหน่อยนึง แน่นอนว่า งานสำเร็จมีการพิจารณาให้ค่าคอมมิสชั่นเป็นงานๆไป...ให้งบไปกินเลี้ยงสังสรรค์ได้อีกตะหาก...

    คือจริงๆผมไม่ได้หลอกใครนะครับ เขาคิดกันไปเองทั้งนั้นแหละครับ ผมไม่เคยบอกใครว่าผมเป็นคนดี ซื่อ ใส ไร้เดียงสา ผมบอกแต่เพียงว่า ผมเป็น อย่างที่ผมเป็น...ก็แค่นั้นเอง...ผมเป็นคนธรรมดา...ธรรมดาจริงๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2015
  12. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946


    ประทับใจน้องหญิงคนนี้จังเลย เธอใจกล้าช่างหาวิธีสร้างความแตกต่างได้น่าสนใจ
    เรื่องของเธอ เนี่ยเอาไปเป็นองค์ประกอบในหนังรักโรแมนติกได้เลยนะ
    คงเป็นตอนที่ทั้งขำ ทั้งฮา และน่ารักเลยแหละ
    ว่าแต่สามีของเธอ คือหนุ่มที่เข้ามาทักคืนนั้นรึเปล่าคะ?
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เธอได้สามีที่หน้าที่การงานที่ดีครับ โดยได้ประสบการณ์จากการเรียนรู้ว่า
    ถึงตัวจะดำ ไม่สวย แต่เธอก็ยังมีข้อดีให้น่าชื่นชม
    อย่ามัวแต่ตำหนิสิ่งที่ไม่ดีในตัวเรา จนมองข้ามความสวยงามในตัวเรา

    ในสถานที่อโคจร เราจะหาคนที่รู้หน้าที่ รับผิดชอบ และเป็นผู้นำ ได้โดยยาก
    ผมจึงไม่แนะนำให้เธอหาคู่ครองจากสถานที่เหล่านี้ครับ

    ความที่น้องคนนี้ไม่สวยนี่เอง ทำให้เธอหันไปเอาดีทางด้านการทำอาหารให้อร่อย เป็นเสน่ห์ปลายจวัก และเป็นคนช่างเอาใจคน ไม่เจ้าอารมณ์ เลือกที่เป็นฝ่ายยอมให้กับคนที่ตนเองรัก...และแน่นอนว่า เธอได้ค้นพบความไม่ธรรมดาในตัวตนอันแสนธรรมดาของเธอแล้ว...เธอจึงมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น...นั่นก็ช่วยให้เธอดำรงชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีความสุข ในระดับนึงครับ...เป็นระดับที่ดีทีเดียวนะ
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    แปลกจริงนะคะ เวลาให้ชื่นชมให้หาความดีของคนอื่นทำไมเราหาได้ง่ายดาย ทำได้ง่ายดาย
    แต่พอจะหาในตนเองบ้าง...กลับหาไม่พบ
    อ่านข้อเขียนของพี่ระมิงค์แล้วก็พอได้พิจารณา...
    เง้อ.....
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ลูกจ้าง จะมองเห็น สิ่งที่มี
    ที่ปรึกษา จะมองเห็น สิ่งที่ยังไม่มี
    เจ้าของกิจการ จะมองเห็น เบื้องหลังของสิ่งที่มี และสิ่งที่ยังไม่มี

    ถ้ามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว การจะเป็นลูกจ้าง ที่ปรึกษา หรือเจ้าของกิจการ ย่อมไม่อาจะประสบความสำเร็จได้...

    สามฝ่าย ต่างมองกันต่างมุม จึงมีหน้าที่ที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป

    การจะเป็นที่ปรึกษานั้น ต้องเข้าใจปัญหา หัวจิตหัวใจ ของคนเป็นลูกจ้าง เป็นอย่างดีเสียก่อน และต้องเข้าใจความคิด ความต้องการของนายจ้างด้วย รวมถึง ต้องรู้ตัวเองดีกว่า ที่ปรึกษาเป็นเพียงแค่หมาล่าเนื้อเท่านั้น เมื่อหมดประโยชน์คุณจะโดนถีบหัวส่ง หรือไม่ก็จะโดนยัดเยียดข้อหา....มันเป็นเรื่องปกติ ของที่ปรึกษา...

    ซิกเว่ย์ จัดเป็นที่ปรึกษาฝ่ายบริหารของ ดีแทค ซึ่งสามารถทำให้บริษัทฯประสบความสำเร็จ พร้อมๆไปกับพนักงานที่มีความสุขกันถ้วนหน้า จากนั้นจึงลาออกไปเป็นที่ปรึกษาและบริหารงานที่บริษัทฯแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นบริษัทฯอันดับ4-5ในตลาด ที่ซิกเว่ย์เลือกเช่นนี้ เพราะคิดแล้วว่า การเข้าไปปรับปรุงเพียงบางประการ ก็สามารถขยับอันดับให้เป็นที่ 3 ได้ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว...

    แต่ไม่เลือกที่จะไปเป็นที่ปรึกษาอันดับ 1 เพราะ การรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งไว้ ยากลำบากกว่า การทำให้อันดับ 2 ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เสียอีก

    แน่นอนว่า ที่ปรึกษา คือ หมาล่าเนื้อ เมื่อหมดประโยชน์แล้ว ก็โดนถีบส่งออกมา มีแผลมาด้วยทุกทีแหละครับ นี่ก็เรื่องปกติธรรมดา

    ซิกเว่ย์กลับมาดีแทค อีกครั้ง อย่างเงียบๆ ไม่เอิกเกริกเหมือนตอนที่จากไปพร้อมความสำเร็จที่ทำไว้ในอดีต นี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดร้ายแรง และซิกเว่ย์จะจบอนาคตของตัวเองที่ดีแทค...

    ที่ปรึกษามืออาชีพ จากไปแล้วจะไม่หวนกลับมาที่เดิม เนื่องจากวันเวลาที่ผ่านไป สถานะการณ์เปลี่ยน คนเปลี่ยน อารมณ์เปลี่ยน เงื่อนไขทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว วันเวลาเก่าๆจะไม่หวนคืนมา ดังนั้นถ้าที่ปรึกษา ยังคงยึดติดกับรูปแบบและความสำเร็จเดิมๆของวันที่ผ่านมา คุณก็จะหวนกลับมาทำอย่างเดิม กับที่เดิมๆ ที่คุณคิดว่ามันคงจะสำเร็จเหมือนเดิม....ซึ่งผิด...

    สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดของคนเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ความผิดพลาด หรือล้มเหลว เนื่องเพราะมันสามารถแก้ไขได้ และเงินที่เสียไป ไม่ใช่เงินของที่ปรึกษา...
    แต่สิ่งที่ ที่ปรึกษากลัวมากที่สุดคือ การเป็นคนไร้ค่า...
     
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ในอดีต การค้าเริ่มต้นจากคน 1-3 คน ร่วมกันสร้างขึ้นมาจนเติบใหญ่ขึ้น ก็จะแตกเป็นบริษัทฯย่อยๆ เพื่อให้บริหารงานง่ายขึ้น แยกค่าใช้จ่าย เป็นสัดส่วน ดังนั้นจึงเห็นบริษัทฯใหญ่ๆ มีบริษัทฯย่อยๆในเครืออยู่อย่างมากมาย....

    วันเวลาผ่านไป ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กลับกลายเป็นว่า การมีบริษัทฯย่อยๆมากเกินไป ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ค่าจ้าง และเกิดความยุ่งยากในการสั่งการและควบคุม จึงได้กลับมาควบรวมกิจการต่างๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินลงไป และเพิ่มน้ำหนักเงินลงทุนได้มากขึ้น แทนที่จะเป็นเบี้ยหัวแตก

    วันเวลาเปลี่ยนแปลงไป ตัวเราเองก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม จะยึดอยู่กับสิ่งเดิมๆก็จะเหมือนโนเกีย ที่ยึดแต่ระบบซิมเบียน และปิดกั้นตัวเองจากระบบแอนดรอย ผลลัพธ์จึงเป็นอย่างที่ทุกคนได้เห็นแล้ว

    ในอดีต การค้าเกิดจากการมีผลิตภัณฑ์แล้ววิ่งไปหาลูกค้ามาซื้อ
    ต่อมา การค้า เกิดจากการหาความต้องการของผู้ซื้อก่อน จึงผลิตออกมาขาย หรือไปจัดหามาขาย
    ปัจจุบัน การค้า ต้องมีอินโนเวชั่น หรือนวตกรรมใหม่ๆ
    ในอนาคต ผลิตภัณฑ์ จะต้องตอบโจทย์ความต้องการที่ลูกค้าคาดไม่ถึง
    ความต้องการที่ลูกค้าคาดไม่ถึง คือ การเข้าไปรู้ว่า ลูกค้าอยากได้อะไร ในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ แต่ไม่รู้ว่าอยากได้อะไร...แน่นอนว่า มันจะต้องสร้างความประทับใจอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดไม่ถึง แต่เมื่อได้เห็น ได้รับรู้แล้ว มีความรู้สึกว่านี่แหละ ใช่เลย เป็นสิ่งที่เราอยากได้มานานแล้ว แต่เรานึกไม่ออกว่าเราอยากได้อะไร....นี้คือสิ่งที่คนอย่างสตีฟจ็อป คิดและประดิษฐ์ไอโฟนขึ้นมา ด้วยแอพมากมายที่เกินความคาดหมายของผู้ใช้งาน แต่ว่ามันใช่...หลายๆคนกำลังเดินไปบนเส้นทางนี้ เช่นเดียวกับเจ้าของเฟสบุ๊ค...

    เรื่องราวนับต่อจากนี้ไป จึงไม่ใช่การที่เราต้องวิ่งไล่กวดเทคโนโลยีอีกต่อไป เพราะในอดีต ถ้าเราวิ่งไล่กวดเทคโนโลยีไม่ทัน ก็ไม่เป็นไร...แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แล้ว เพราะเทคโนโลยี มันกำลังไล่กวดเรา ถ้าเราวิ่งหนีไม่ทัน มันจะแทงหลังเรา...คนในสังคมจะเครียดเพิ่มขึ้นอีกมาก จากการวิ่งหนีการไล่ล่าของเทคโนโลยี และเครียดในระดับที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเครียดเนื่องเพราะเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆก็ไม่เห็นความแตกต่าง แต่หากเปรียบเทียบกับคนเมื่อ20ปีก่อน เราจะเห็นความเครียดที่แตกต่างกันมาก

    ความเครียดที่น่าเป็นห่วง ไม่ใช่ความเครียดที่เราเห็นว่าเครียด แต่เป็นความเครียดที่เราไม่รู้ตัวว่ากำลังเครียดอยู่ตะหากล่ะ....
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    การค้าที่กำลังเกิดขึ้นค่อยๆเปลี่ยนจากการเดินเลือกซื้อสินค้า เป็นการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
    คนที่ปรับตัวไม่ทัน ก็จะเหมือนโกดัก ที่ไม่ยอมเปลี่ยนจากกล้องฟิล์มเป็นกล้องดิจิตัล
    จะเหมือนโนเกีย ที่ยึดติดกับซิมเบี้ยน ไม่ยอมลงมาเล่นแอนดรอย์
    คนที่เคยเป็นเจ้าของกิจการ จะร่วงล้มไปอย่างไม่เป็นท่า ในเวลาอันสั้น...

    เพราะความสำเร็จในอดีต มันไม่ได้ยืนยันว่า อนาคตจะยังคงสำเร็จอยู่ต่อไป
    การใช้กลยุทธ์เดิมๆ กับเวลาที่เดินผ่านไปแล้ว มันจึงเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญามาก
    เวลาเปลี่ยน อายุเราก็เปลี่ยน คนรอบข้างเปลี่ยน สถานะการณ์ย่อมเปลี่ยน แต่เรากลับยังยึดติดกับวิธีการเดิมๆ...สิ่งสุดท้ายที่จะถูกเปลี่ยน ก็คือ ตัวเราเอง...ไปให้พ้นซะ...

    86.40 % เป็นตัวเลขของคนที่ประสบความล้มเหลวในการทำกิจการของตนเอง...
    ตัวเลขนี้กำลังใช้ไม่ได้แล้ว และกลายเป็นตัวเลขที่ไม่นิ่ง เมื่อมีการประกอบธุรกรรมออนไลน์ คือมีคนประสบความสำเร็จได้เพียงชั่วเวลาไม่นานและในเวลาไม่นานก็มีคนเจ๊งจากไป...ตัวเลขนี้ ดูดีๆ มันไม่นิ่งเสียแล้ว

    การค้าออนไลน์ปัจจุบันนี้ ภายในประเทศจะนิยมเฟสบุ๊คและการค้นหาผ่านกูเกิ้ล...
    แต่...
    ต้องเสียค่าโฆษณา หรือค่าจ้างให้กด like
    ค่าจ้างค่าโฆษณานี้จะสูงมากขึ้น ในขณะที่การกด like ไม่ได้ยืนยันว่า เราจะขายของได้มากขึ้น ตามสัดส่วนของการลงโฆษณา ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยที่หมดเงินไปกับการจ้างลงโฆษณา หรือโปรโมทเพจ...

    มีคนอีกกลุ่มนึง จัดเปิดอบรมวิธีการขายสินค้าออนไลน์ คอร์สละ2หมื่นบาท เพื่อแลกกับความรู้ความสามารถในการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งจริงๆแล้ว คนพวกนี้ ต้องการรายได้จากการอบรม มากกว่า รายได้จากการขายสินค้าออนไลน์
    เรื่องจริงคือ ถ้าคุณขายสินค้าอะไรได้ดี มีกำไรมาก คุณจะไม่บอกให้ใครรู้เพื่อจะมาเป็นคู่แข่งของคุณหรอก...
    ยิ่งสินค้าคุณกำไรสูง ขายดี คู่แข่งก็จะเข้ามามาก แล้วการตัดราคาก็จะเริ่มขึ้น...

    ถ้ายังงั้น เราจะทำยังไงดี???
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    การไล่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน ไม่ได้น่ากลัวอะไร ไม่ใช่เรื่องน่าอาย...
    ถูกต้องนะครับ...นั่นมันเป็นเรื่องในอดีต...
    แต่ปัจจุบัน สถานการณ์เปลี่ยนจากที่เราไล่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน กลายเป็น เรากำลังโดนเทคโนโลยีกวดหลังไล่เรามาแล้ว...
    มันเปลี่ยนจากที่เราตามเทคโนโลยีไม่ทัน
    กลายเป็นว่า เราจะต้องหนีเทคโนโลยีให้ทัน....

    การค้าออนไลน์จะต้องทำยังไง ให้มีคนเห็นสินค้าเราเยอะๆ ซึ่งคนที่เห็นสินค้าเราเยอะๆนั้น ย่อมสร้างโอกาสในการขายให้กับสินค้าของเราด้วย...
    ในขณะที่เราไม่อยากเสียเงินค่าอบรม เพราะรู้อยู่แล้วว่า มันไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไร
    แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร....
    เราไม่อยากเสียเงินโปรโมทเพจกับเฟสบุ๊ค เพราะไม่รู้ว่ามันจะได้ผลไหม?
    เราไม่อยากจ้างบริษัทฯให้ทำ like ให้ เพราะมันเป็น like ที่ไม่มีคุณภาพ
    และเราก็ไม่อยากจ่ายเงินลงโฆษณากับกูเกิ้ลด้วยสิ
    เราจ้างทำ SEO เพื่อให้สินค้าขึ้น หน้า 1 ของกูเกิ้ล ไม่ไหว มันแพง และ เราทำได้ คนอื่นก็ทำแข่งกับเราได้เช่นเดียวกัน....

    ตอนนี้ผมกำลัง ทดลอง เรื่องการโปรโมทเพจ การทำนำเสนอสินค้าออนไลน์ เพื่อจะได้นำเอาองค์ความรู้ที่ได้ จากการทดลอง นำมารวบรวม เพื่อสรุปให้เป็นวิธีการขายสินค้าออนไลน์ที่ง่ายๆ พวกเราทุกคนทำได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากคือ
    ไม่มีเงินโปรโมทเพจ...
    ไม่มีเงินลงโฆษณา...
    แต่อยากขายของได้เยอะๆ
    อยากให้มีคนเห็นเราเยอะๆ

    เราจะใช้กลยุทธ์แบบไหนดี???
    มีใครสนใจบ้างไหมครับ....


    คุณลองค้นหาคำว่า "เก้าอี้สวดมนต์" ในกูเกิ้ลดูสิครับ...
    คุณเห็นอะไร???
    นั่นคือ สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า การทำ SEO เพื่อให้สินค้าขึ้นมาอยู่หน้าแรกของ กูเกิ้ล....
    ไม่ต้องผู้เชี่ยวชาญก็ได้มั๊ง....ว่าไม๊...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2015
  19. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ท่านระมิงหาช่องทางเก่งดีครับ *-*
     
  20. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    พึ่งอานย้อนหลัง

    กะลังโดนเลย พอดี๊ เลยค่ะ

    ๕๕๕๕

    ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...