ขอความรู้จากผู้รู้ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Surachai2513, 14 ตุลาคม 2017.

  1. Surachai2513

    Surachai2513 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    เมื่อวันออกพรรษา ผมไม่ได้มีโอกาสไปทำบุญ เลยสวดมนต์อยู่บ้านเพราะเป็นวันพระ ซึ่งผมทำทุกวันพระอยู่แล้ว แต่เมื่อวันออกพรรษาแปลกกว่าทุกวันพระที่ปฏิบัติมา คือมีความรู้สึกว่ามีแสงสีทองอยู่ด้านขวาและมีแสงสีขาวอยู่ด้านซ้ายครับ อยากรู้ว่าคืออะไร แต่รู้สึกมีความสุขครับ ขอความรู้ด้วยครับ
     
  2. สมิง สมิง สมิง

    สมิง สมิง สมิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +952
    ตอบ (โปรดใช้วิจารณญาณ)
    1. แสงสีทองอยู่ด้านขวา และแสงสีขาวอยู่ด้านซ้าย เป็นอุปาทาน ที่รู้สึกไปเองเท่านั้น จริง ๆ ไม่มี
    2. ความสุข ที่เกิดขึ้น เกิดจากจิตมันปรุงแต่งขึ้นมาเองว่า
    เราได้ทำความดีนะ และเกิดสิ่งดีดีแบบนี้ด้วย

    ...อนุโมทนาบุญ...
     
  3. Surachai2513

    Surachai2513 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณครับ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาของบุคคลผู้มี ปัญญาดี ไม่ใช่ของคน ปัญญาทราม

    เจ้าของกระทู้ ลองพิจารณาใหม่

    ศาสนาพุทธนั้น จะเน้นการ กระทำ "เหตุ" มีวิหารธรรมที่ดีเป็น "เหตุ"

    เมื่อหมั่นทำเหตุ สมควรแก่ "เหตุ" สามัญผลที่พ้นสามัญมนุษย์ ก็ปรากฏ เป็น "ผล"

    ชาวพุทธเรา จะไม่ ร้อง กระต๊ากๆ โวยวาย เวลา "ผล" มันเกิด เพราะ เราจะ
    ทราบชัดอยู่ว่า ตลอดมา เราประกอบ "เหตุ" อะไร

    หากปราศจากการประกอบ "เหตุ" จะต้องไปถามไหมว่า "ผล" นั่นคืออะไร

    และ เจ้าของกระทู้ ต้องมี ปัญญา กำหนดรู้ด้วยว่า "เหตุ" นั้น บังคับ
    ให้ตั้งอยู่ตลอดไปได้ไหม ไม่พักกินข้าว กินน้ำ กินปลา เอาแต่ ทำ "เหตุ"
    ให้เที่ยง ในเมื่อมันเป็น ของไม่เที่ยง ทำได้ไหม

    ดังนั้น

    สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ
    พระสมณะสอนถึงการดับไป ของเหตุเหล่านั้น

    เจ้าของกระทู้ หมั่นสดับธรรมบ่อยๆ จะทราบเลย "ผล" ไม่ต้องไปถามใคร
     
  5. Surachai2513

    Surachai2513 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ครับ น้อมรับครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    สีทองบอกพลังงานภายนอกของดวงจิตนั้น
    มาทางด้านขวา แสดงว่าเข้ามาในชาติปัจจุบัน
    หากเป็นคนชอบช่วยคนเป็นทุนไม่หวังผล
    หรือทำบุญทำอะไรมาต่อเนื่องนานๆ
    และ ชอบอยู่เบื้องหลังไม่เอาหน้า
    มักจะเจอสีแบบนี้ได้ ถ้าฝึกสมาธิจะเป็นหนึ่ง
    ในครูบาร์อาจารย์ที่มาสอนแบบไม่เห็นกาย
    พลังงานสีทองคือ
    ลักษณ์ที่ใช้รักษาโรคที่หมอปัจจุบันรักษาไม่หาย
    ไม่ว่ารักษาตัวเองหรือคนอื่นๆ
    และใช้ป้องกันภพภูมิไม่ดีได้ ซึ่งไม่มีในพวกร่างทรง
    พวกรับขันธ์ผีมีฤิทธิ์เพราะจะไม่มีทางเข้าใจและเข้าถึง
    และประเภทอยากดี อยากเด่น อยากดัง ชาตินี้หมดสิทธิ์เจอครับ

    สีขาวคือมีศีล มีธรรม เป็นนักปฎิบัติ
    มาทางซ้ายฟ้องว่า เคยเป็นหนึ่งในญาติ
    ของเราในอดีตมาก่อนท่านหนึ่งครับ

    ปล.ให้เฉยๆไม่ต้องยึดนะครับ รู้เฉยๆพอ
    แสงพวกนี้ต่างจากแสงที่เป็นผลจากสมาธิที่แม้ว่า
    จะสว่างมากกว่าแต่จะไม่รู้สึกเย็นครับ
    ลองค่อยพิจารณาสังเกตุด้วยตัวเองดูนะครับ(^_^)
     
  7. Surachai2513

    Surachai2513 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ครับ น้อมรับครับ แค่อยากรู้ครับ แต่ผมชอบความรู้สึกที่มีความสุข ยินดี ปิติมากครับ ขอบคุณครับที่ให้ความรู้ครับ
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    จะสีทอง สีขาว สีนั่นนี่ จะอยู่ด้านขวา ด้านซ้าย ด้านหน้า ด้านไหน มันบ่งบอกถึงว่า จิตมีสมาธินิดหนุง :D เมื่อสมาธิมี สุขก็ตามมานิดหนุง
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อย่า กระโจนเข้าไป ชอบ ปิติ ชอบ สุข สิ ให้ดูมันห่างๆ

    พอดูมันห่างๆ ไม่รีบร้อน ชอบอกชอบใจ ปิติ หรือ สุข จะเป็น สภาวะธรรม ถูกรู้ ถูกดู

    ปิติดับ ....

    ปิติดับ เนี่ยะ คือ ไม่กระโจนเข้าไปเอามาเป็น อามิส

    ปิติดับ เนี่ยะ พอไม่กระโจนเข้าไปเอาเป็น อามิส ปิติ จะแผ่ ได้

    แผ่ เพิ่มได้ จาก ปิติเกาะหน้าตา จะแผ่ไป แขน ขา หัวจรดเท้า ไม่มีส่วนใดไม่เกิด ปิติ

    สุขดับ ก็เหมือนกัน คือ ไม่กระโจนเข้าไปเอาเป็น อามิส อัสสมิมานะ ไม่เกิด
    พอเห็น อัสมิมานะ ไม่เกิด สุข จะแผ่ ได้ แผ่ไปสิ เอาให้ทั่วกายเลย แทบตัวลอย
    ก็แผ่ไป อย่าให้ รูปราคะ มันหลอก เสียวโว้ย สุขโว้ย เลิศโว้ย อย่าให้มันร้อง

    แสง เสิง สี ซ้าย ขวา ห่างกี่เซ็น หรือ ครอบทั้งตัว ฮาอะไร มันจะเกิด มันจะนวล
    ถ้าไม่ กระโดดออกไปตะครุบ ไปคว้านี่จะฉลาด ......เพราะถ้าออกไปคว้า เหตุ
    ในการประกอบ จะเคลื่อน แสงก็ดับปิติดับ สุขดับ ดับตรงนี้ แผ่ อะไรไม่ได้ กิเลส
    นั่งหัวร่อ ลากไปกินก็เยอะ .........นั่งคอตก งง ว่า หายไปไหน

    หายไป แล้วก็ วิ่งไปถามคนอื่นอีก จะภาวนายังไง ให้กลับไปเป็นอย่างนั้น ปิติอย่างงี้
    สุขอย่างนั้น แสงอย่างนี้ เห็นอย่างนั้น .......

    แทนที่จะ เห็นไปสิ สัพเพ ธรรมา อนัตตา

    ..ชาติปิ ทุกขา (ความเกิดก็เป็นทุกข์)
    ชราปี ทุกขา (ความแก่ก็เป็นทุกข์)
    มรณัมปิ ทุกขัง (ความตายก็เป็นทุกข์)
    โสกปริเทวทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา (ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์)
    อัปปิเยหิ สัมปโยโค ทุกโข (ความประสบกับสิ่ง ที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลายก็เป็นทุกข์)
    ปิเยหิ วิปปะโย.โค ทุกโข (ความพลัดพราก จากสิ่งที่รักทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์)
    ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง (ปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์)
    สังขิตเตน ปัญจุปา ทานักขันธา ทุกขา (โดยย่อแล้ว อุปาทาน หรือความยึดมั่นในขันห้าล้วนเป็นทุกข์)"
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ลองดูนะ

    ปิติ สุข เห็นแต่ไม่เอา หากเห็นจริง ตอนนี้ จะหน่วงเหนี่ยว อาบกาย ได้เลย

    ถ้า หน่วงเหนี่ยว อาบกายไม่ได้ ก็รู้ไปว่า จิตยังมุ่งเอาอามิส จาก ปิติ จาก สุข

    ถ้าเสียว ถ้าหวั่นไหว สว่างแล้วกระโจนเข้าไป ก็แปลว่า ยกเห็น ปิติ สุข ให้ห่าง
    ออกไม่ได้ สติ อ่อนไป ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ วาง ปิติ สุข ให้เป็น สิ่งถูกรู้ถูกดู
    ไปเรื่อยๆ มันทนการเพ่งไม่ได้หลอก เดี๋ยวมันก็ต้อง ยกให้ห่าง ออกไปได้

    เห็น ปิติ ไม่ใช่เรา ของเรา
    เห็น สุข ไม่ใช่เรา ของเรา

    ปิติดับ แต่ พรึ๊บพั๊บ
    สุขดับ แต่ โชยไปทั่ว

    จะเห็น ความสงบ สงัด จาก "ฉันทะราคะ"

    จะเห็น ความไม่ปรากฏของ อัสมิมานะ อาการฉวย สุขจุงเบย

    จะเห็น สภาพธรรม มีธรรมเอก มีจิตตั้งมั่น มีปิติ มีสติ( เพราะอุเบกขา )ไม่เอาอามิส
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    วางหลักไว้ให้เทียบเบย :) เบื้องต้นเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร


    ธรรมุทธัจจ์/วิปัสสนูปกิเลส อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา, สภาวะที่ทำให้วิปัสสนามัวหมองข้องขัด, สภาพน่าชื่นชม ซึ่งเกิดแก่ผู้เจริญวิปัสสนาในขั้นที่เป็นวิปัสสนาอย่างอ่อน (ตรุณวิปัสสนา) แต่กลายเป็นโทษเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนา โดยทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว จึงชะงักหยุดเสีย ไม่ดำเนินก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ คือ

    ๑. โอภาส แสงสว่าง ซึ่งรู้สึกงามเจิดจ้าแผ่ซ่านไปสว่างไสวอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    ๒. ปีติ ความเอิบอิ่มใจ รู้สึกเต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งตัว

    ๓. ญาณ ญาณหยั่งรู้ที่เฉียบแหลมคมกล้า รู้สึกเหมือนว่าจะพิจารณาอะไรเป็นไม่มีติดขัด

    ๔. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น เกิดความรู้สึกว่าทั้งกายและใจสงบสนิท เบา นุ่มนวล คล่องแคล่ว แจ่มใสเหลือเกิน ไม่มีความกระวนกระวาย ความกระด้าง หนัก ความไม่สบาย หรือความรำคาญขัดขืนใดๆเลย

    ๕. สุข มีความสุขที่ประณีตละเอียดอ่อนลึกซึ้งอย่างยิ่งแผ่ไปทั่วทั้งตัว

    ๖. อธิโมกข์ เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าประกอบเข้ากับวิปัสสนา ทำให้จิตใจมีความผ่องใสอย่างเหลือเกิน

    ๗. ปัคคาหะ ความเพียรที่ประกอบกับวิปัสสนา ซึ่งพอเหมาะพอดี เดินเรียบ ไม่หย่อนไม่ตึง

    ๘. อุปัฏฐาน สติที่กำกับชัด มั่นคง ไม่สั่นไหว จะนึกถึงอะไร ก็รู้สึกว่าระลึกได้คล่องแคล่วชัดเจน เหมือนดังแล่นไหลไปถึงหมด

    ๙. อุเบกขา ภาวะจิตที่ราบเรียบ เที่ยง เป็นกลางในสังขารทั้งปวง

    ๑๐. นิกันติ ความพอใจติดใจที่สร้างความอาลัยในวิปัสสนา มีอาการ สุขุม ซึ่งความจริงเป็นตัณหาที่ละเอียด แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถกำหนดจับได้ว่าเป็นกิเลส ธรรมทั้งหมดนี้ (เว้นแต่นิกันติ ซึ่งเป็นตัณหาอย่างสุขุม) โดยตัวมันเอง มิใช่เป็นสิ่งเสียหาย มิใช่เป็นอกุศล แต่เพราะเป็นประสบการณ์ประณีตล้ำเลิศที่ไม่เคยเกิดมีแก่ตนมาก่อน จึงเกิดโทษ เนื่องจากผู้ปฏิบัติไปหลงสำคัญผิดเสียเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นฌานขั้นนั้นขั้นนี้
    .........

    วิปัสสนูปกิเลส เป็นคำที่ใช้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมา

    ในพระไตรปิฎก เรียกอาการฟุ้งซ่านที่เกิดจากความสำคัญผิด เอาโอภาส (แสงสี,แสงสว่างไสว) เป็นต้น นั้นว่าเป็นนั่นเป็นนี่ว่า "ธัมมุทธัจจะ"
     
  12. Surachai2513

    Surachai2513 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณครับ ทุกความรู้ครับ คือว่าเป็นครั้งแรกของผม ที่มีความรู้สึกแบบนี้ผมไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วและ จะปฎิบัติต่อไปครับ ขอขอบคุณแนวทางปฏิบัติครับ ขอบคุณมากๆครับ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เพื่อให้ จขกท.และผู้ปฏิบัติ (ลงมือลงใจทำ) พออ่านแล้วแยกแยะออก ว่าบทความใด คคห.ไหน เป็นความคิด คิดปรุงแต่งสภาวธรรม ว่าเป็นนั่น เป็นนี่ เป็นโน่น เป็นตัวเป็นตน เป็นเงา เป็นภูตผีปีศาจ เป็นเจ้ากรรมนายเวรตามมารังควาญ เป็นอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ จึงขอนำศัพท์ทางธรรมพร้อมความหมายที่เราๆท่านๆ หยิบยกมาพูดมาอ้างอิงกันบ่อยๆไว้เทียบเคียง ดังนี้

    สภาพ, สภาวะ
    ความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเอง, ธรรมดา

    ธรรมดา อาการหรือความเป็นเองแห่งธรรมชาติ, สามัญ, ปกติ, พื้นๆ

    สภาวธรรม หลักแห่งความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย

    ธรรม สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง, เหตุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด, คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ, หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่, ความชอบ, ความยุติธรรม

    ยุติ ความถูกต้องลงตัวตามเหตุผล, ความเหมาะควรแก่เหตุผล, ความมีเหตุผลลงกันได้ (บาลี ยุตฺติ)

    ยุติธรรม “ธรรมโดยยุติ” ความเป็นธรรมโดยความถูกต้องลงตัวตามเหตุผลและหลักฐาน, ในภาษาไทย มักแปลกันว่า ความเที่ยงธรรม

    ธรรมฐิติ ความดำรงคงตัวแห่งธรรม, ความตั้งอยู่แน่นอนแห่งกฎธรรมดา

    ธรรมชาติ ของที่เกิดเองตามวิสัยของโลก เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น

    ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญารู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา

    ยถาภูตญาณ ความรู้ตามความเป็นจริง, รู้ตามที่มันเป็น (รู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ตนเองอยากให้มันเป็นหรือไม่อยากให้มันเป็น :):D)

    ยถาภูตญาณทัสสนะ ความรู้ความเห็นตามเป็นจริง
     
  14. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,324
    ค่าพลัง:
    +4,774
    เคยเจอเหมือนกัน ตอนไปค้างนอนทอดกฐินที่วัด นอนเคลิ้มๆ เป็นแสงสีฟ้า มาจากทางด้านซ้าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...