ขอคำแนะนำหน่อยนะค่ะดิฉันอีกคนหนึ่งที่ฝึกสมาธิสายมโนมยธิทำอย่างจะคุยได้

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย nanthiya1, 7 สิงหาคม 2010.

  1. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ดิฉันขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนนิพานบ่อนๆ แต่คุยกับท่านไม่ได้สักทีท่านได้แต่มองและยิ้มดิฉันอยากคุยกับท่านได้บ้างเผื่อว่าท่านจะสอนธรรมะไห้บ้างและถ้าสมุติท่านคุยจะเป็นเสียงท่านหรือเสียงเรากันแน่คือเราถามไปท่านตอบมาแต่เหมือนเป็นเสียงของเราแต่เป็นคำพูดท่านอะไรแบบนี้ ดิฉันก็อยากให้ผู้ฝึกมโนมยธิเก่งๆที่สามารถไปคุยกับ พระพุทธเจ้า หลวงพ่อ และเทวดาได้มาเล่าสู่กันฟังว่าท่านคุยกันอย่างไรเผื่อดิฉันมีบุญคุยได้จะได้หมดสังสัย
     
  2. ธนพา

    ธนพา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +53
    ขออนุโมทนาด้วยครับ ผมฝึกหลายครั้งยังไม่ไปถึงไหนเลย
    คุณนับว่าโชคดีกว่าอีกหลายคนครับ
     
  3. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ตัวที่คลุมแดง ใช้คำว่าตรัส นะ

    เราต้องกำหนด ถาม นะ และคำตอบ จะโพล่งขึ้นมาในใจเอง ส่วนเสียงไม่ใช่เสียงเรา ส่วนเรื่อง สนทนา ในระหว่างที่ฝึก ควรดูบันทึกการฝึก มโนมยิทธิ จะแน่นอนกว่า นะครับ
     
  4. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ขอขอบคุณมากนะคะทุกคำแนะนำเพราะดิฉันสงสัยมากมีปัญหาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเทปการฝึกของหลวงพ่อดิฉันมีหมดและยังไปฝึกที่วัดท่าชุงปลายปีในเทศกาลในงานบวชมาสามปีแล้วและปีนี้ก็ตั้งใจจะไปอีกที่ดิฉันสัยเรื่องการคุยก็เพราะว่าคุยกับพระไม่ได้แต่กับคุยกับ
    เทวดาได้สงสัยท่านคงสงสารก็เลยสงเคราะห์ระมังแต่การคุยเหมือนคุยอยู่ในความรู้สึกของเราหมายความว่าเราส่งกระแสจิตถามท่านไปแบบนี้ท่านก็ตอบกับมาแต่มันอยู่ในความรู้สึกของเราคล้ายเป็นเสียงของเราแต่ดิก็มาพิจารณาว่าคำพูดไม่ใช่คำพูดขอดิฉันแน่บางครั้งท่านจะคุยกับมาในสิ่งที่ดิฉันไม่รู้การคูยก็ใช่ว่าไม่ได้เห็นท่าน เห็นท่าน ท่านเป็นเทวดาผู้ชายเครื่องแต่งกายครบงามมากงามเหมือนผู้หญิงเลย ถามเรื่องธรรมะท่านก็จะสอนให้สงสัยเรื่องบนสวรรค์เขาอยู่กันอย่าไรท่านก็จะบอกให้ฟังแต่ดิฉันสงสัยอยู่เรื่องเดียวเรื่องการคุยนี่แหละท่านคงรู้ในความคิดของดิฉันท่านก็เลยพูดขึ้นว่าเธอเป็นลูกศิษขอหลวงพ่อหรือเปล่าดิฉันก็ว่าเป็นท่านก็พูดว่าแล้วทำไมไม่เชื่ออารมณ์ของตัวเอง ดิฉันเฉยไม่ได้พูดอะไรท่านเลยบอกเชื่อเถอะเรื่องทั้งหมดคือเรื่องจริง ก็เลยอยากจะถามความคิดเห็นของผู้ฝึกมโมนยธิเก่งๆท่านทั้งหลายคิดอย่างไรดิฉันกลัวว่าจะเป็นนิวรก็เลยอยากฟังความคิดเห็น
     
  5. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มโนมยิทธิคือการมีฤทธิ์ทางใจค่ะ การรับรู้หรือเห็นก็เกิดจากใจค่ะ ไม่ใช่จากตาเนื้อหรือหูได้ยินเสียง แต่เกิดจากการรับรู้ทางจิตค่ะ ที่คุณรับรู้ สื่อสารโต้ตอบ เหมือนคุณคุยกับตัวเองน่ะถูกแล้วค่ะ เพราะเราถามไป ท่านตอบมาคุณก็ต้องเอากระแสจิตรับรู้จากข้างใน ไม่ใช่จากการได้ยินทางหูเหมือนที่เราคุยกับคนอื่นๆ ดิฉันเองก็เคยสงสัยแบบคุณนี่แหละว่า สงสัยจะบ้า คิดไปเอง พูดเองเออเอง แต่ว่าสิ่งที่ได้รู้ได้ยินมักเกิดขึ้นจริงเสมอๆ เลยทำให้คิดว่าไม่น่าจะคิดไปเอง

    วิธีทดสอบว่าคุณคิดไปเองหรือไม่ ที่ดิฉันทำคือ เวลาที่ดิฉันถามคำถามอะไรไป แล้วท่านตอบมา ดิฉันจะบิดเบือนคำพูดค่ะ คือทำเป็นว่าดิฉันจะคิดว่าจะต้องตอบอย่างนี้ ถ้าดิฉันคิดเองตอบเองมันก็จะไม่เกิดอาการอะไร แต่ที่ดิฉันเจอจะเป็นว่าเหมือนว่าใจจะโดนบังคับให้รับรู้ให้ได้ว่า ไม่ใช่ คำตอบที่ท่านจะตอบเราคือแบบนี้ เราจะฝืนไม่ได้ค่ะ เพราะมันจะเหนื่อยใจมากเลย ดิฉันอ่ะ ทดสอบมานานแล้วค่ะ ก็ได้มโนมยิทธิมาแบบไม่ได้ฝึก มันก็ต้องพิสูจน์กันนานหน่อย อันนี้เป็นเรื่องเฉพาะตน คุณจะลองเอาไปทำดูก็ได้ ได้ผลยังไงมาเล่าสู่กันฟังค่ะ อนุโมทนาด้วยค่ะ อ้อ..ถ้าคุณคุยกับเทวดาได้ คุยกับพระท่านก็เหมือนกันแหละค่ะ ไม่ได้ต่างกันตรงไหน

    ปล. ก่อนโพสต์ข้อความขอความกรุณาตรวจทานคำพูดให้ถูกต้องก่อนนะคะ เพราะ อจ ชนะ ท่านรณรงค์เรื่องการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  6. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ดีใจจังเลยที่คุย Me myself ให้ความกระจ่างดิฉันอยากจะคุยกับคุณตั้งแต่ปีที่แล้วก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้นี่แหละแตว่าสมัครไม่เป็นต้องไห้ลูกชายทำให้ดิฉันอยู่ต่างประเทศเวลาอาจจะต่างกัน ใช่เลยสิ่งที่ท่านพูดออกมาจริงหมดเลยดิฉันสังเกตดูแล้ว ตอนที่ท่านดึงจิตดิฉันไปคุยด้วยดิฉันก็สงสัยมันจริงหรือเปล่าดิฉันก็มองท่านแล้วถามท่านจริงหรือหลอกกันแน่ท่านก็ยิ้มท่านจะยิ้นตลอด แล้วพูดว่าก็เธอก็เห็นเราอยู่ต่อหน้าแล้วเธอยังจะสงสัยอะไรอีก ท่านพูดว่าไม่เป็นไรเราจะทำให้เธอให้หายสงสัยไห้ได้หลังจากไปคุยกับท่านออกจาก มโนมยธิดิฉันก็มาบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการพูดคุยกับท่าน แปลกมากจะมีกลิ่นดอกไม้หอมมาประทะจมูกตลอด เหมือนท่านจะมายืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง พอคุณ MY self มายืนยันก็อุ่นใจ ทำให้มีกำลังใจดิฉันก็จะได้ฝึกในสาย มโนมยธิต่อไปเพราะก็ฝึกอยู่แต่ทำจิตนิ่งอยู่กับตัวเฉยๆไม่ได้ยกจิตออก ถ้าผิดพลาดในภาษาและอื่นๆที่ดิฉันยังไม่เข้าใจดิฉันก็ขอให้คุณช่วยแนะนำด้วยขอบคุณมากเลยค่ะ
     
  7. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  8. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขออนุญาตแก้ไขคำที่ผิดนะคะ คงไม่ว่ากัน จะได้ช่วยกันเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องค่ะ

    ถ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ ก็เข้าไปคุยกันได้ที่กระทู้นี้นะคะ

    http://palungjit.org/threads/ไม่เคย...งสื่อได้-คล้ายๆจะมาทางด้านนี้.177072/page-379

    มีหลายท่านที่จะสามารถตอบข้อสงสัยได้ แลกเปลี่ยนความรู้กันค่ะ และก็อนุโมทนาในบุญกุศลของคุณด้วยนะคะ
     
  9. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ขอขอบคุณมากค่ะที่ช่วยแก้ใขให้ดิฉันตกภาษาไทยค่ะ ตกลงค่ะแล้วดิฉันจะเข้าไปคุยในกระทู้ของคุณ MY self ขอร่วมเป็นสมาชิกด้วยคนนะค่ะแล้วพบกันค่ะ
     
  10. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,166
    ค่าพลัง:
    +3,212
    กำหนดดู เชื่อว่าคุยได้ก้อได้เดี๋ยวนั้น
     
  11. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ดิฉันก็กำหนดดูแต่บางครั้งก็เห็นภาพบ้างไม่เห็นภาพบ้างแต่แปลกไม่ได้เห็นภาพแต่กลับมีเสียงคุยตอบมาแต่บ้างครั้งถ้ากำหนดมีภาพมาเสียงคุยก็ชัดเจนถ้าภาพหายการรับสัมผัสการคุยเหมือนไกลมาก แปลกชวนสังสัยมากๆเลย แต่ก็ตอ้งพยายามต่อไป
     
  12. s_max

    s_max Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +77
    ขออนุญาต แลกเปลี่ยนประสบการณ์นะครับ ผมเองเป็นคนหนึ่งในหลาย ๆ คน ที่โตมากับวัดท่าซุง ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาว ต่างก็เป็นมโนมยิทธิกันหมด ตั้งแต่จำความได้ และทุกคนนั้นเห็นภาพแจ่มใส มีแต่ผมคนเดียวที่ภาพที่เห็นนั้นชัดเจนบาง แต่ส่วนใหญ่เหมือนคนตาฟาง คุณแม่บอกว่าสมัยตอนผม 5 ขวบ ที่บ้านจะจัดสอนมโนมยิทธิให้กับคนที่สนใจศึกษาธรรม (เท่าที่ทราบได้ขออนุญาตองค์สมเด็จท่านแล้ว) ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ ๆ ผมก็จะขึ้นไปห้องพระไปนั่งสมาธิกับผู้มาฝึกด้วยเพราะคุณแม่เป็นคนสอน ผมเป็นเด็กติดแม่ คุณแม่บอกว่าผมสามารถไปไหนมาไหนได้เก่งมาก ภาพที่เห็นนั้นชัดเจนแจ่มใส่ สามารถคุยกับเทวดาได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่หลังจาก ที่บ้านเลิกสอนเพราะผู้ที่มาเรียน นั้นได้ล้มหายตายจากกันไปจนหมด เด็กรุ่นใหม่ไม่มีใครสนใจ คุณแม่ก็เลยไม่ได้รับสอนมโนมยิทธิที่บ้านอีก และคุณแม่ต้องเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียนพระสุธรรมฯ ที่วัดท่าซุงเป็นเวลาหลายปี (อีก 2 ปี ผมและพี่สาวก็ตามไปอยู่กับคุณแม่ที่วัด) ผมก็เลยไม่ได้ฝึกจนต้องบอกได้ว่า ไปไหนไม่เป็นอีกเลย ถึงแม้ตัวจะอยู่ในวัดท่าซุงผมรู้สึกเสียดายเวลานั้นมาก ๆ ผมมันเลวเอง ทั้ง ๆ ที่ได้อยู่ใกล้หลวงปูท่าน เห็นท่านแทบทุกวันแต่ผมดันสนใจแต่เรื่องเล่นไปวัน ๆ ไม่ได้สนใจเรื่องมโนมยิทธิเลย จนกระทั้ง อายุได้ 20 นิด ๆ ตัดสินใจไปบวชที่วัดท่าซุงในงานบวชธุดงค์ ปีที่ 9 ก่อนบวชต้องฝึกมโนมยิทธิก่อนผมต้องเริ่มมาเรียนกับคุณแม่ใหม่ แรก ๆ ฝึกเองอาศัยพอจำความได้บางแต่ไปไหนไม่ได้เลยสุดท้ายต้องถึงมือคุณแม่ หายสงสัยเลยว่าทำไมคุณแม่สอนมโนมยิทธิได้ ผมนั่งคุยกับคุณแม่ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ผมสามารถขึ้นไปกราบองค์สมเด็จท่านได้แล้ว (ขออนุญาตชมคุณแม่ตัวเองว่าเก่งมาก ๆ ไม่รู้ว่าชาตินี้ผมจะได้ครึ่งของคุณแม่หรือเปล่า) จนได้บวช ทั้งหมดนี้ผมพยายามจะสื่อเรื่องการคุยกับเทวดานะครับว่าถึงแม้คนที่อาจจะเรียกได้ว่าโตมากับวัดอย่างผมยังทำได้บางไม่ได้บาง เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยความเอาจริงเอาจังและที่สำคัญคือต้องไม่มีตัวสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นอุปสรรคที่สำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่น ตัวผมเองตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนบวชธุดงค์ ผมบอกตัวเองเสมอว่าเป็นชาวพุทธ และนับถือองค์สมเด็จมาก จนกระทั่งช่วงระหว่างบวชธุดงค์ ตอนสวดมนต์และสมาทานพระกรรมฐาน ตั้งแต่เริ่มสวดมนต์ผมจะขึ้นไปสวดมนต์กับองค์สมเด็จตลอดจนถึง ประโยคหนึ่งที่ว่า ชีวิตนี้ขอมอบแด่องค์สมเด็จฯ ผมได้ยินเสียงดังมากในหัว ถามผมว่า "เอ็งแน่ใจแล้วหรือ" ตั้งแต่นั้นมาผมสำรวจตัวเองอย่างละเอียด จนผมเจอปัญหา ว่าจริง ๆ แล้วในเวลานั้นถึงแม้ผมจะสามารถฝึกมโนฯได้ แต่ผมไม่ได้ยอมรับนับถือองสมเด็จอย่างจริงใจ ยังมีคำถามในใจเสมอว่า ทำไมคนถึงนับถือองค์สมเด็จกันมาก ด้วยเหตุใด และใช้อะไรมาวัดว่าการนับถือนั้น ๆ เป็นเหตุเป็นผล ผมถึงเข้าใจว่าที่องค์สมเด็จท่านถามว่า "เอ็งแน่ใจแล้วหรือ" เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ยังทำให้ผมไม่ก้าวหน้าในเรื่องมโนฯ และตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่นั้่งสมาธิผมจะไม่รีบขึ้นไป แต่จะพยายามพิจารณาถึงความดีอันมากมายที่องสมเด็จฯท่านได้กรุณาสอนและชี้ให้เราทุกคนเห็นถึงทุกข์ต่างๆ ท่านได้ชี้แนะเส้นทางการพ้นทุกข์ ให้ลูก ๆ ทุกวันนี้ผมสามารถพูดได้ว่าผมรักและนับถือองค์สมเด็จอย่างหมดข้อสงสัย ทุกครั้งที่ร่างกายเจ็บป่วยด้วยอุบัติเหตุ หรือ อาการป่วย ผมจะพยายามไม่สนใจความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และยึดองสมเด็จฯท่านตลอด อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายผมไม่สนใจ ใครอยากได้อะไรก็เอาไปผมขอแค่สิ่งเดียวผมจะอยู่กับองค์สมเด็จเท่านั้น และทุกวันนี้มโนฯที่ผมฝึกดีกว่าเก่ามาก(แต่ยังไม่เก่ง) ปัญหาที่ผมเจอนั้น ๆ หลัก ๆ มาจาก การที่เราโตมาในครอบครัวที่มีความศรัทธามาก ๆ อาจจะทำให้เราหลอกตัวเองได้ว่าเราเป็นพุทธทั้งกายและใจ และมองข้ามจุดเล็กจุดน้อยไปอย่างผม ในความคิดส่วนตัวนะครับผู้ที่ฝึกแล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าทั้ง ๆ ที่เอาจริงเอาจัง ไม่สงสัยในองค์สมเด็จเลย ลองย้อนกลับมาดูตัวเองตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรานับถือและศรัทธาตามครอบครัวหรือเรานับถือเพราะเราเข้าใจและเห็นว่าสิ่งที่องค์สมเด็จฯท่านสอนนั้นเป็นจริง เนื่องในวันแม่ขออนุญาตพูดเรื่องคุณแม่นิดนะครับ ขอส่งข่าวให้กับพี่ๆทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของคุณแม่(ถึงแม้มันจะช้าไปหลายปี) นักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมรุ่นแรก ๆ ถ้ายังพอจะจำคุณแม่ได้ คุณแม่ผมสอนภาษาอังกฤษ และเป็นอาจารย์ที่ดูแลหอพักนักเรียนหญิงในสมัยนั้น (เท่าที่ทราบมีพี่ ๆ ที่รักคุณแม่อยู่มากอาจจะยังไม่ได้ข่าว) คุณแม่ผมเสียไปหลายปีแล้วครับ ช่วงหลัง ๆ ก่อนคุณแม่จะเสียเคยคุยเรื่องนักเรียนของคุณแม่ คุณแม่ท่านจำได้ทุกคนเลย และผมรู้สึกได้ว่าท่านภูมิใจในเด็ก ๆ นักเรียนของท่านมาก ๆ ท่านพูดมาคำหนึ่งว่าเด็กพวกนี้ไม่น่าเป็นห่วงเพราะเก่ง ๆ กันทุกคน (เก่งมโนฯกันทุกคน) และสุดท้ายนี้ไม่รู้ว่าสมควรไหม ผมขอกราบหลวงปู่ฤาษี อย่างหาที่สุดมิได้ ด้วยความเมตาที่ท่านมีให้กับครอบครัว และขอกราบหลวงอาทุก ๆ องค์ ที่ให้ความเมตตาในช่วงเวลาที่ครอบครัวผมอยู่ที่วัด ผมและพี่สาวยังรำลึกถึงหลวงอาทุก ๆ ท่าน หลวงอาสมปอง หลวงอาเล็ก และอีก หลาย ๆ ท่านผมอาจจะกล่าวถึงไม่หมด ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้สามารถสื่อถึงความรู้สึกที่ตื้นตันความรักและเคารพนับถือที่ผมและพี่สาวมีต่อ หลวงปูฤาษี และหลวงอาทุก ๆ ท่าน ครบถ้วน เปรียบได้กับแม้ผมจะพูดคำขอบคุณตลอดทั้งชีวิตก็ยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกทั้งหมดที่มี คงทำได้เพียงฝึกและปฏิบัติตามคำสอนตลอดไป จนกว่าจะถึงนิพาน
    รักและเคารพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2010
  13. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ และประสพการณ์ที่มาเล่าให้ฟัง ส่วนดิฉันก็มีประสพการณ์จะเล่าให้ฟังเหมือนกัน ยาวมากแต่ก็จะย่อเอา คิดเสียว่าอ่านเพื่อบันเทิงก็แล้วกัน ดิฉันมาอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 30 ตอนนี้ก็เกือบจะ 50 ปีแล้วแก่แล้วว่างั้นเหอะ ก่อนนั้นยังไม่เคยรู้จักหลวงพ่อฤาษีเลย ยังนึกเสียด้ายอยู่เมืองไทยทำไมโง่นักแต่อย่างว่าชีวิตมันต้องสู้ยุ่งกับการทำมาหากินก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แม้แต่การทำบุญมาเริ่มรู้จักหลวงพ่อเอาเมื่อตัวเองมาอยู่ต่างประเทศแล้ว(อังกฤษ) ในช่วงที่ดำเนินชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่อยู่ที่นั่นมันเหงามากดิฉันจะเฝ้าถามตัวเองว่าดิฉันเป็นใครมาจากไหนแล้วนรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่าแล้วถ้าเกิดดิฉันตายจากชาตินี้ดิฉันจะไปไหนแล้วคิดว่าชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อมากตื่นขึ้นมาก็ทำภาระกิจส่วนตัวหลังจากนั้นก็กินไปทำงานกลับมากินแล้วก็นอนอีกมันวนไปเวียนมาน่าเบื่อจริงคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายตายแล้วพวกเขาไปไหนกันเดี๋ยวอีกหน่อยพ่อแม่เราก็ต้องตายที่นี้ก็เป็นเราตายแล้วไปไหนหนอคิดอยู่อย่างนี้แต่ก็ยังเคลียตัวเองไม่ได้จนมาวันหนึ่งน้องชายที่เมื่องไทยเสียชีวิตดิฉันเศร้าโศกมากตัดใจไม่ได้เลยเพราะสงสารน้องชาย พิการด้วยมีรุ่นพี่คนหนึ่งเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเห็นดิฉันไม่หายเศร้าโศกเสียทีก็เลยเอาหนังสือธัมมวิโมกข์มาให้อ่านพอดิฉันเปิดอ่านจิตบอกว่าใช่เลยชอบคำสองของหลวงพ่อมากท่านสอนตัดร่างกายพิจรณาร่างกายดิฉันเห็นด้วยกับหลวงพ่อร่างกายนี้สกปรกจริงๆคิดตามหลวงพ่อตลอดแถมยังสอนเรื่องนรก สวรรค์ที่ฉันสงสัยด้วยว่ามีจริงนิพานมีจริงเพราะแต่ก่อนดิฉันคิดว่านิพานสูญหลังจากอ่านหนังสือหลวงพ่อดิฉันก็เลิกเศร้าโศกเลยมันเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ หันมาศึกษาเรื่องธรรมะเลยไปเที่ยวเมืองไทยก็ไปหาหนังสือ เทปธรรมะของหลวงพ่อ พร้อมกับพระพุทธรูปแก้วใสเพือที่จะมาฝึกสมาธิด้วยตัวเองอยากรู้ว่าสวรรค์อยู่ไหน นรกไม่เอากลัวเอาแค่สวรรค์อย่างเดียวก็ตั้งใจฝึกมากเอาเทปหลวงพ่อเป็นครูมีความพยายามมากแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยุ่ดี ว่าเขาฝึกมโนมยิทธิกันอย่างไรกันทำไมเขาถามกันได้ตอบได้ งง หลวงพ่อให้จับภาพพระดิฉันก็จับ จับจนแสงออกก็มีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี โง่จริงๆ จะไปไหนก็จับลมหายใจเข้าออก นึกถึงคำนะมะ พะทะ ตลอดเวลาจนมีเช้ามืดวันหนึ่งหลังจากดิฉันกลับเข้าห้องน้ำกลับมานอนจิตก็จับสมาธิเป็นปกติคงเป็นเพราะจิตมันชินนั้นเองจับคำนะมะ พะทะ แต่คำเภาวนามันเร็วขึ้น ตัวเริ่มชาหัวเริ่มหมุนจิตมันรู้เลยว่าจะออกมีเสียงถามมาว่าจะออกแล้วจะไปไหมดิฉันก็คนอยากรู้ว่าถ้าออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็เลยตัดสินใจออกโดยขอบารมีองค์สมเด็จตามที่หลวงพ่อสอนมาขอไปสวรรค์ชั้นดาวดึงห์อยากเห็นเทวดานางฟ้าจะหล่อจะสวยขนาดไหนตัวในลอยขึ้นไปเลยเร็วมากไปหยุดกลางอากาศมองไปรอบๆไม่เห็นเทวดานางฟ้าสักองค์เห็นแต่ความมืดและดวงๆ เต็มไปหมด กลับคิดว่าเรามาได้อย่างไรเนี่ยถ้าตกลงไปตายทำไงเนี่ยพอคิดแค่นั้นเลยเกิดความกลัวขึ้นมาจึงขอกลับร่างหลังจากนั้นจึงมาคิดว่าตายแล้วไม่สูญจริงๆจึงรักและเคารพหลวงพ่อมากสอนให้ดิฉันตาสว่างหลังจากนั้นก็ไปเลื่อยๆ ไม่กลัวแล้วมีครั้งหนึ่งขึ้นไปกราบหลวงพ่อข้างบนได้พูดคุยกับหลวงพ่อด้วยอยู่ในอาการเหมือนครึ่องหลับครึ่งตื่นแต่ภาพการพูดคุยชัดเจนไม่น่าสังสัยเสียงก็เป็นเสียงหลวงพ่อท่านถามดิฉันว่า
    หลวงพ่อ อีหนูเองมาจากไหน
    ดิฉัน หนูมาจากประเทศอังกฤษค่ะ

    ในความรู้สึกตอนนั้นอยากจะถามหลวงพ่อแต่ก็ไม่กล้าแต่ด้วยความอยากรู้ก็เลยถาม
    ดิฉัน หลวงพ่อเจ้าค่ะในอนาคตหนูจะได้ย้ายไปอยู่ประเทศไทยหรือเปล่าค่ะ
    หลวงพ่อ ฟังแล้วท่านเฉยไปครู่หนึ่งก็ตอบมาว่าทำไมละอยู่อังกฤษไม่ดีหรือ
    ดิฉันตอบ ดีเจ้าค่ะแต่มันเหงา
    หลวงพ่อ จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญตายด้วยกันทั้งนั้น

    ดิฉันพูดไม่ออกก็เลยตอ้งกลับเพราะได้คำตอบที่ถูกใจแล้วคือรู้สึกตัวนั่งเองหลวงพ่อท่านจะมีเมตตามากสอนธรรมะให้ดิฉันบ่อยๆในช่วงนั้นช่วงเช้าจากเข้าห้องน้ำกลับเข้ามานอนตกอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจะได้ยินเสียงหลวงพ่อมาแล้วสอนเรื่องตัดขันธ์ห้าบางครั้งจะเห็นภาพหลวงปู่ปานมาให้เห็นเป็นสีทองชัดมากท่านจะยิ้มภาพท่านก็หายไปภาพหลวงพ่อก็มาให้เห็นแทนมีครั้งหนึ่งขึ้นไปพบองค์สมเด็จท่าน ท่านสวยมากเสียงนี่เพราะมากกังวลสุดที่จะบรรยายเลย นี่แหละคือต้นเหตุที่ดิฉันสงสัยแบบครึ่งกำลัง แล้วตอนนี้ดิฉันก็เข้าใจแล้วว่าแบบครึ่งกำลังต่างกับเต็มกำลังอย่างไร ดิฉันไปแบบครึ่งกำลังได้แต่ก็คุยไม่ได้สักที่ได้แต่ขึ้นไปกราบพระและหลวงพ่อท่านก็ได้แต่ยิ้มเฉยๆ เพราะครึ่งกำลังชวนสงสัยมาก ถ้าดิฉันไปแบบเต็นกำลังได้อีกดิฉันจะไม่สงสัยเลยเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันชัดเจนมากแต่น่าเสียด้ายที่ตอนนี้ดิฉันไปแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วคงเป็นเพราะว่าวุ้นวายกับครอบครัวหรือความพยายามของดิฉันลดน้องลงไปทุกวันนี้ก็อาศัยไปแบบครึ่งกำลังเอาเล่าให้ฟังเสียยืดยาวไว้โอกาสหน้าถ้าใครอยากอ่านเรื่องที่ดิฉันได้ไปคุยกับเทวดา ดิฉันก็จะเล่าให้ฟังแต่วันนี้จบก่อน

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณ x max ที่มาเล่าประสพการณ์ ให้ฟัง ส่วนของดิฉันผิดตกตรงไหนก็ช่วยเติมให้หน่อยก็แล้วกันนะค่ะเพราะไม่เคยพิมพ์อะไรที่ยาวขนาดนี้ ดิฉันก็จะพยายามต่อไป
    หวังเพื่อนิพานชาตินี้แต่ถ้ายังไม่ถึงสวรรค์ก็ยังดีหลักชัยดิฉันอยู่ที่นิพานคงจะถึงได้ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...