ขอถามผู้รู้เรื่องการปฏิบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ros, 5 สิงหาคม 2016.

  1. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    ดิฉันสวดมนต์มานานหลายปีมาก สวดเกือบทุกวันวันละประมาณ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่อิมินา จนถึงชัยมงคลคาถา บารมี 30 ทัศ มหาจักพรรติ ชินบัญชร ยอดพระกัณฑ์ สวดโดยไม่ได้ดูหนังสือ สวดเป็นคำๆไปเป็นวรรคไป ทำให้จิตจับอยู่กับบทสวด แต่ก็ไม่เคยเจออะไรที่ทำให้เกิดความปิติ พยายามศึกษาปรึกษาผู้รู้ช่วยแนะนำแต่ก็ปฏิบัติตามไม่ได้ จนมาบัดนี้ใช้วิธีตั้งจิตสวดมนต์ภาวนาอย่างเดียว ไม่ได้กำหนดลมหายใจเข้าออก พยายามสวดเป็นคำๆไป แต่ก็ทำให้ใจจับอยู่กับบทสวดไม่ได้รู้สึกร้อนหนาวหรืออึดอัดหรือเหนื่อยแต่อย่างใด ขอผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยค่ะว่าการที่ปฏิบัติอย่างนี้ดีหรือไม่คะ และจะมีโอกาสจิตนิ่งจนเป็นญาณได้หรือไม่ และขณะที่สวดอยู่นั้นลมหายใจที่ไม่ได้นึกถึงเลยนั้นดิฉันหายใจตอนไหน เพราะไม่เกิดความรู้สึกอีดอัด แต่สงบค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 สิงหาคม 2016
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การสวดมนต์ถ้าเราทำเป็น ก็คือการทำสมาธิ สามารถสร้างเป็นทิพจักขุญาณได้ เข้าฌานเข้าสมาบัติได้​


    ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2016
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ท่องจำได้แล้วถือว่าดีมากแล้วหละครับ
    ให้เปลี่ยนมาลองพนมมือสวดและลืมตาสวดนะครับ

    ในขณะที่สวดในใจนั้น ลิ้นกับปากไม่ต้องขยับครับ
    ลืมตาและทำตาให้นิ่งๆไว้ไม่ต้องเกร็งถ้าล้า ก็หลับตา
    แล้วลืมใหม่ และให้มองสายตาผ่านเหนือ
    นิ้วกลางประมาณ ๑ นิ้วขึ้นไปนะครับ
    สวดไปเรื่อยๆในใจ ท่องๆไปเรื่อยๆ
    โดยไม่ต้องสนว่าบทสวดจะสัมพันธ์กับลมหายใจหรือไม่นะครับ

    แล้วให้ลองสังเกตุการเปลี่ยนแปลงต่างๆของอากาศรอบๆนิ้วมือ
    รอบตัวเอง ที่เปลี่ยนไปดูว่าเป็นอย่างไรครับ
    ด้วยตาเปล่าๆของเราเองในขณะที่ลืมนี่หละครับ(^_^)
    ปล.สวดจนมองเห็นเป็นเส้นใสๆขึ้นข้างบนนะครับ

     
  4. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ผมว่าจะทำแบบนี้ก็ได้นะคับ "สวดมนต์ภาวนา" แต่จริงๆ สำหรับในเรื่อง "สมาธิ จิตสงบ"
    ว่ากันจิตรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง ส่วนการสวดมนต์อย่างเดียว เป็นการใช้เพียง ขณิกะสมาธิ ถ้าลึกไปกว่านั้นก็เป็น "อุปจาระสมาธิ" แต่ส่วนมากจะอยู่ในขั้น ขณิกะ จิตรวมช่วงสั้นๆ ดังนั้นจึง ไม่เฉียดคำว่า ปิติ สุข อาจจะมีวิตก วิจาร บ้าง แต่ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อละวิตก วิจาร ได้นั้นแหละ จึงสัมผัสของคำว่าสงบจริงๆ วิตกคืออารมณ์ยกที่ขึ้นมาพิจารณา วิจารณ์คือการเข้าไปคลุกคลีกับอารมณ์ที่เรายกขึ้นมา เมื่อเราอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้เป็นเวลานาน จิตจะย้อนกลับไปหาธรรมชาติของมันคือความสงบ
    แต่สำหรับการสวดพุทธมนต์จัดเปนหนึ่งในการเจริญอนุสสติ ถึงแม้จิตไม่เป็นสมาธิหรือเป็นสมาธิแต่ไม่มาก ก้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุญกุศลอันใหญ่แล้วคับ เพราะสวดมนต์จบสักบทนะ เช่น อิติปิโสฯ หรือ ชิณะบัญชร ที่คนไทยนิยมสวดกัน ก็ได้ถือว่าเป็น การเจริญ
    พุทธา ธัมมา สังฆานุสสติ
    ซึ่งจขกท. มีเวลาสวดมนต์เป็นวรรค เป็นประโยค ในแต่ละบท จนครบ1 ชมสวดได้เป็นจังหวะไม่ช้า ไม่เร็ว จนครบเวลา ถ้าอยากได้ทั้งการสวดมนต์ด้วย สมาธิด้วย ก้น่าจะลองแบ่งเวลาอย่างละครึ่งๆ ละ30 นาที หรือถ้าเยอะไป ก้แบ่งเป็นสวดมนต์45 นาที นั่งสมาธิ 15 นาที ก้น่าจะดีกว่าเดิมนะคับ ถือว่าเป็นข้อเสนอะแนะก้ได้ ได้ทั้งอนุสสติ ได้ทั้งจิตสงบแม้จิตไม่สงบก้ร้จักการทำสมาธิแบบนั่ง คือ การนั่งสมาธิมันเป็นมิติหนึ่งของทำให้จิตสงบ(ก้ทำเหมือนสวดมนต์ หายใจไม่ช้าไ่ม่เร็วเป็นจังหวะ กำหนดคำภาวนาเป็นคำๆ คำเดิมๆซ้ำๆอยู่กับที่ ไม่รีบเร่งอะไร ให้ได้จังหวะเช่นกัน) ซึ่งจะเป็นอีกแบบหนึ่งของการสวดมนต์แล้วจิตสงบ
     
  5. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    ท่องจำได้แล้วถือว่าดีมากแล้วหละครับ
    ให้เปลี่ยนมาลองพนมมือสวดและลืมตาสวดนะครับ

    ในขณะที่สวดในใจนั้น ลิ้นกับปากไม่ต้องขยับครับ
    ลืมตาและทำตาให้นิ่งๆไว้ไม่ต้องเกร็งถ้าล้า ก็หลับตา
    แล้วลืมใหม่ และให้มองสายตาผ่านเหนือ
    นิ้วกลางประมาณ ๑ นิ้วขึ้นไปนะครับ
    สวดไปเรื่อยๆในใจ ท่องๆไปเรื่อยๆ
    โดยไม่ต้องสนว่าบทสวดจะสัมพันธ์กับลมหายใจหรือไม่นะครับ

    แล้วให้ลองสังเกตุการเปลี่ยนแปลงต่างๆของอากาศรอบๆนิ้วมือ
    รอบตัวเอง ที่เปลี่ยนไปดูว่าเป็นอย่างไรครับ
    ด้วยตาเปล่าๆของเราเองในขณะที่ลืมนี่หละครับ(^_^)
    ปล.สวดจนมองเห็นเป็นเส้นใสๆขึ้นข้างบนนะครับ


    ขอบคุณทุกๆท่านค่ะที่ได้เข้ามาแนะนำในการปฏิบัติ เคยปรึกษาคุณนพแล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยปรับเปลี่ยนตัวเองโดยการนั่ง
    สวดมนต์แต่ดิฉันสวดโดยออกเสียงนะคะแต่ไม่ได้กำหนดลมหายใจ แต่ก็รู้สึกสงบ ไม่อึดอัด แต่สงสัยว่าขณะที่สวดนั้นเราหายใจทางไหนคะ แต่ตอนนี้ก็พยายามนั่งสมาธิแต่นั่งได้ไม่นานสัก 5 นาทีไม่ถึงจะฟรุ้งขึ้นมาเลย ทั้งๆที่ตอนสวดมนต์ก็ยังสงบอยู่ค่ะ
     
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ฟังไฟล์นี้ให้ครบ สามรอบนะครับ

    https://www.youtube.com/watch?v=A_wNlX-y0vg
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การหายใจ อยู่ภายใต้การบังคับของระบบประสาทอัตโนมัติ ครับ

    กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่วนคือ
    1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนพอนส์และเมดัลลาเป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้าม เนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ทำให้การหายใจเข้า-ออก เกิดขึ้นได้อย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอทั้งในยามหลับและยามตื่น โดยไม่จำเป็นต้องพะวงกับการสั่งการให้มีการหายใจ
    2. การควบคุมภายใต้อำนาจจิตใจ ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนหน้าส่วนที่เรียกว่า ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ไฮโพทาลามัส แลพสมองส่วนหลังส่วนที่เรียกว่า ซีรีเบลลัม ซึ่งจะทำให้เราสามารถควบคุม บังคับ หรือปรับการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆของร่างกาย เช่น การพูด การร้องเพลง การเล่นเครื่องดนตรี ประเภทเป่า การว่ายน้ำ การดำน้ำ หรือการกลั้นหายใจได้

    http://karnkanzeun.blogspot.com/p/blog-page_5.html
     
  8. มินเนี่ยม

    มินเนี่ยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +19
    เห็นด้วยค้าบ คุณ จขกท บอกว่าอยากให้วิปัสนาญาณเกิด การทำสมาธิก็เปรียบเสมือนการชาร์ตแบตค้าบบ ถ้าไม่ชาร์ตแบตก็ได้นะค้าบ แต่แบตมันอ่อนทำงานช้า ชาตินี้อาจจะไปไม่ถึงค้าบ จิตยิ่งสงบมากก็เหมือนได้แท่นชาร์ตราคาแพงคุณภาพดีมาใช้ค้าบบ
    หรือถ้ายังไม่ถนัดสมาธิอีก ก็ลองเดินจงกรม แต่ๆ รู้ลมอยู่ที่ปลายจมูก เดินวนไปวนมาจนมึนนั่นแหละค้าบบ ในกิจวัตรชีวิตประจำวันไม่ว่าทำอะไรถ้าว่างและนึกออกก็รู้ลมให้มาก
    พระพุทธเจ้าท่านจะใช้คำว่า ทำให้มาก

    ทำให้มาก เดี๋ยวเกิดเอง

    ไปละแว๊บบบบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2016
  9. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    จิตรับรู้ได้ทีละอย่างค่ะ ถ้าจิตมาจับที่บทสวด ย่อมไม่รู้ที่ลมหายใจ แต่กายมันก็ยังหายใจไปตามปกติของมันนั่นแหล่ะค่ะ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ยังอธิบายไม่ครบ ขาดไปขั้นตอนหนึ่งครับ อยู่ย่อหน้าถัดสุดท้ายสีแดงนะครับ
    ปัญหาของคุณ จขกท ตอนนี้ก็คือ กระแสส่วนของความจำที่มีสมองทำหน้าที่
    ในขณะสวดมนต์ตอนนี้ของเรามันดีมากเกินไปครับ
    ซึ่งถ้าเป็นพวกความจำอย่างนี้ถ้าเราเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน
    หรือ กรณีบุคคลยังเรียนหนังสืออยู่อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ..

    แต่กรณีนี้ถ้าเราอยากจะพัฒนาต่อจากนี้
    ในเรื่องของนามธรรมต่างๆ
    เราจำเป็นที่จะต้องหาอุบายเพื่อให้สมองทิ้งความจำเหล่านี้ออกๆ
    ไป และเพื่อให้จิตเราไปเผลอไปดึงความจำเหล่านี้จากสมอง
    ดึงเข้ามาร่วมกับจิตเราให้ได้ก่อนครับ

    จิตถึงจะไม่เกาะกับสัญญาความจำได้ต่างๆพวกนี้
    ตัวจิตถึงจะสามารถเข้าสู่ความเป็นทิพย์ได้ต่อไปครับ

    จริงๆอยู่แม้ว่าการไปเกาะกับอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จะทำให้จิตเรารู้สึกสงบ แต่พอ
    ออกมาแล้วมันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก
    เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่ชั่วคราวครับ
    เหมือนที่คุณไปจดจ่ออยู่กับบทสวดนั่นหละครับ
    หรือถ้าคุณไม่จดจ่อกับบทสวดแล้วไปตามลมหายใจ
    แม้ว่าจะหายใจได้ลึกถึงท้อง มันก็จะแค่รู้สึกสงบ
    แต่ก็จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวทั้งสองกรณี เพราะว่า
    จิตมันยังเกิดอยู่ ไม่ว่าจะไปจดจ่อกับบทสวด
    หรือไปตามลมหายใจครับ


    ดังนั้นในกรณี
    ระบบหายใจจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
    ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ
    ไม่ต้องสนใจมันครับ
    เพราะถ้าไปสนใจจิตจะอยู่กับลมหายใจและมันจะเกิด
    ความคิดจากสมองขึ้นมาทันทีอีกครับ
    ท้องจะรู้สึกอย่างไร หน้าอกจะรู้สึกอย่างไร
    ก็ไม่ต้องไปสนใจมันอีกครับ ลืมตาซะ
    อ่อโทษทีที่ว่าลืมบอกไป แม้ว่า
    จะลืมทั้งสองตาแต่ให้มอง
    เหมือนมีอีกตาหนึ่งอยู่เหนือระหว่างคิ้วด้วยครับ
    ตอนที่มองผ่านเหนื้อนิ้วชี้กลางประมาณนิ้วนะครับ
    ไอ้การใช้ความรู้สึกเหมือนว่ามีอีกตามองเหนือ
    ระหว่างคิ้วในขณะที่สองตาปกติก็ยังลืมอยู่นี่หละครับ
    เป็นอุบายในการตัดความคิดที่วิ่งวนในสมองแบบธรรมชาติ
    ของมันเองวิธีการหนึ่งครับ ส่วนการที่ลิ้นกับปากไม่ขยับ เป็นอุบาย
    ในการดึงให้จิตมีความเป็นทิพย์ได้เร็วขึ้น
    เด่วเราจะรู้สึกได้ว่า บทสวดคาถาที่เมื่อก่อนมันเหมือนวิ่งอยู่
    ในหัวของเรา มันจะคล้ายๆว่า มันมาอยู่ตรงกลางลิ่นปี่หรือวิ่ง
    ของจากจิตเราได้เองอัตโนมัติครับ
    แบบนี้หละครับ ที่เรียกว่า สวดมนต์อย่างไรให้ได้ผลครับ
     
  11. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    ครั้งหนึ่งนานมากแล้วก็สวดมนต์ไหว้พระตามปกติอยู่ๆก็เกิดความปิติมีความรู้สึกอิ่มทิพย์อิ่มใจมาก ครั้งเดียวจริงๆ หลังจากนั้นก็พยายามจะทำให้ถึงจุดนั้นอีกแต่ก็ล้มเหลว จนต้องกลับมาตั้งสติใช้วิธีสวดมนต์จะได้แค่ไหนก็ช่างขอให้แค่ในเวลาที่สวดนั้นอย่าเกิดอากายเมื่อยล้าเจ็บปวด หรืออึดอัดก็พอ คิดว่าบุญคงไม่พอที่จะไปถึงขั้นสูงกว่านั้น แต่ก็ไม่เคยละเลยที่จะสวดมนต์เกือบทุกวัน บางครั้งจนคนที่บ้านเขาคงคิดว่าเราไม่ปกติ เพราะจะเปิดบทสวดมนต์ทิ้งไว้ในห้องพระตั้งแต่เวลา6 โมงเย็นถึง 11 โมงเช้าทุกวัน เวลาเข้านอนก็จะนำบทสวดมนต์เข้าไปฟังด้วยจนตื่นนอนทำให้นอนหลับง่าย ตื่นแล้วสดชื่น แต่คนใกล้ตัวไม่ชอบ สิ่งนี้ก็เลยต้องหยุดไป ขอบคุณทุกๆท่านนะคะที่ช่วยแนะนำให้กำลังใจจะพยายามต่อไปค่ะ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตามที่ โพส บอกมา .....ก็จะ วิเคราะห์ ไปตาม เนื้อผ้า

    ประเด็นของคำถาม จะ พิจารณาอย่างไร จึงเห็นว่า ฌาณ เกิดที่จิต
    และ ญาณ(ปัญญา) จะเกิดที่จิต

    จากบุพกรรม ที่เด่น คือในโพสที่บอกว่า จิตเคยสัมผัสความอิ่ม ก็เลยทำ
    ให้ ปักใจกับการสวด เรื่อยมา

    ก็ให้ ยกจุดนี้แหละ ....มาพิจารณา

    แต่จะ ฟังยากหน่อย หาก ฟังแล้ว จับความหมายตาม ศัพท์ คำพูด
    คุณจะอยากถีบปากผม

    แต่ถ้า ฟังแล้ว เอาไปสังเกต เพียรเพ่งพิสูจน์ ความเป็นจริง ก็จะ มีทางเป็นไปได้

    พร้อมหรือยัง !?

    มารู้จัก " กามคุณ " ก่อน เพราะ การพอใจในเสียงสวด ที่คุณเป็น จากที่
    ต้องเปิดตอนนอน ก่อนนอน และอาจจะเลยไปถึง ระหว่างทำงาน ทำการ

    อันนี้คือ คุณใช่ บทสวดบาลี มาเป็น ความพอใจในการได้ยิน เหมือนสาว
    ที่ได้ยินเสียงหนุ่ม เหมือนเด็กที่พอใจในเสียงเพลง

    ทำให้ เสียงสวด แม้นว่าจะเปิดดังแค่ไหน (คนอื่นรำคาญ ) แต่ คุณเกิดความ
    พออกพอใจ ที่ได้กระทบเสียงนั้น .....เนี่ยะ เป็น กามคุณโดยอาศัยโสตประสาท

    ทีนี้ ในสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องแบบนี้ โดยมีเรื่อง ค้างคาว500 ตัว ฟังเสียงสวด
    มนต์ในถ้ำ ก็เกิด ความพอใจมาก ...พอใจจนลืมไปหากิน ทำให้ที่สุด ก็ตาย
    ทั้งหมด500 ตัว ความพอใจในเสียงสวด เป็นกุศลส่งให้ไปเกิดเป็น เทพบุตร
    ทั้งหมด แต่ความที่ ไม่รู้จักวิธีกำหนดรู้ " กามคุณ " จึงไม่รู้วิธีการ พ้นกามคุณ
    ทำให้ ไม่มีคุรุกรรมฝ่ายกุศล(ฌาณ) หล่อเลี้ยง พอไปเกิดเป็น เทพบุตร ก็
    ตายจากเทพบุตรทันที มาเกิดเป็น มนุษย์

    ด้วยกรรมสัมพันธ์ มนุษยที่เป็นกลุ่มค้างคาวไปเกิด พอโตขึ้นมาก็ หนีเข้าป่า
    มาเจอกัน แล้วจับกลุ่มกันเป็น โจร 500คน

    วันหนึ่งมี กลุ่มพระ ธุดงค์เข้าป่า พอตกดึก ก็สวดอภิธรรม ทบทวนธรรมะกัน

    โจรทั้ง500 ได้ยินเข้า ก็เกิด ความพอใจมากกกกกก .....ก็เลยเดินออกจาก
    ที่ลับ ไปหาพระ ที่สวดมนต์ ........พอฟังจบ ก็ บรรลุอรหันต์ไป เพราะ
    คราวนี้ ฟังรู้เรื่อง ทำให้กำหนดจิตตนได้ว่า กำลังเกิด ความพอใจในเสียด
    สวด พอเสียงสวดจบลง ก็เห็น ความดับไปของการพอใจในกามคุณ

    เพราะเห็น ความพอใจในเสียงสวด เกิด แล้วก็ดับ จึงทำให้เห็น สภาวะของ "จิต"
    ที่มี อาการความพอใจ เพราะ ความพอใจ จะต้องอาศัย เหตุเกิด คือมี
    " เสียงสวด " ปรากฏ ความพอใจจึงเกิด

    ความพอใจ จึงเป็น สภาวะธรรม ที่แปรปรวนไปตามปัจจัยการ

    กำหนดเห็น ความพอใจ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ จึงรู้ว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา


    จิตเกิดการ พรากออกจาก ความพอใจ ที่เยิ้มๆ เคลิ้มๆ นั้น สำคัญว่า นั่นสงบ

    ทำให้เห็น จิตที่พ้น กามคุณ นั้นมีอยู่ ....... เลิศกว่า รสความสงบ เพราะ
    เป็น จิตที่สงัดจากกาม ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติสัมโพชฌงค์ มีปัสสัทธิ
    ( ราบเรียบกว่า ปิติ และ สุข แบบโลกๆ .....ไม่ใช่ไม่มีปิติ)

    กำหนดรู้เห็น จิต ที่พรากออกจาก กามคุณ ไม่ติดในกามคุณ แต่ก็อาศัย
    กามคุณ(ฟังเสียงสวด) เป็น เครื่องอาศัยระลึก เห็นสภาวะ พ้นสาสวะ อาสวะ
    อุปทานในขันธ์5

    ค้างคาว500ตัว เกิดเป็น เทพบุตร จุติกลับมาเป็น มนุษย์ ได้ฟังเสียงสวดอภิธรรม
    จบลง กำหนดเห็น ความพอใจในเสียงดับลง กำหนดเห็น ทุกข์(สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ)เท่านั้นที่เกิด
    ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ละอาสวะ ลงตรงนั้น บรรลุอรหันต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2016
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471

    ข้าง บนนี้ เป็น ส่วนหนึ่งของ อภิธรรม ที่ ค้างคาว500 ตัว ท่านใช้กำหนดรู้

    ธรรมชาติที่ ชือ " มนัส "


    ดังนั้น

    เวลา สวดมนต์ แล้ว จิตไม่อึดอัด ข้ามฝากตายไม่สนใจ อาการหายใจ
    ในขณะนั้น ให้กำหนดรู้ว่า ผู้ภาวนากำลังเห็น " มนัส "

    ความพอใจที่มีอยู่ในใจ ......ปิติย่อมเกิด ด้วยอำนาจ ฉันทะ ในสมัยนั้น

    มนัส ก็เป็น สิ่งเกิด ดับ อาศัยปัจจัยในการเกิด หมดปัจจัย ก็ดับ ธรรมชาติที่
    เป็นจิต เปลี่ยนไปทำ กิจ อื่น ก็จะแปรปรวนไปตาม หน้าที่ของจิต 10อย่าง
    ไม่อื่นจากนี้ เป็นเพียง กองขันธ์ ไม่ใช่ตัวตน บุคคล เรา เขา
     
  14. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ผมอ่านที่แต่ละอาจารย์ เข้าไปแนะนำ เก่งครับ ผมจะไม่แนะนำอะไร เพราะผมถ้าเป็นนักมวยก็ซ้อมต้นกล้วยอยู่ยังไม่ขึ้นเวทีเลย

    ....อยากถามคุณ ่ืjna ดังนี้
    ....คุณ ่ืjna รู้จัก สติ กับสัมปชัญญะหรือเปล่า
    ....จิต มิใช่ สิ่งทีเข้าไปอยู่แล้วจะมีความสุขตลอดเวลา ต้องออกจากจิต มาอยู่ กับสัมปชัญญะ

    ....ลองดูนะไม่ต้องเชื่อก็ได้ ลองทำสติปัฏฐานสี่ ทำสติกับการรู้ว่านี้เป็นลมหายใจเข้า นี้เป็นลมหายใจออก แล้วตามด้วยสัมปชัญญะ

    ....สัมปชัญญะ คือความรุ้สึกตัว รู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าใครเข้าใจตัวนี้ แยกออกตัวนี้ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะภาวนา จะสวดมนต์
    จะเห็นการทำงาน ของขันธ์ห้า ของกายของใจ จะเห็นความสุขทุกขที่เกิดขึ้น

    ....สัมปชัญญะ ไม่ค่อยมีใครสนใจ ลองฝึกดูสิครับ

    ....ผมไม่ได้สอนนะ อยากให้ลองของที่ยังไม่มีใครแนะนำ

    ....ต้องมีสติถึงจะมีสัมปชัญญะ ลองฝึกแล้วแยกให้ออก สัมปชัญญะมิใช่จิต

    ...เรื่องสวดมนต์ ก็เอาแค่ ใหว้พระ กล่าวคำไตรสรณะคม สมาทานศิล แต่ต้องทำด้วย สัมปชัญญะ แค่นี้พอ ตายก็ไม่ต้องตกต่ำกว่า มนุษย์ แต่ศิลต้องสมาทานแล้ว รักษาให้ได้ก่อนตายด้วยนะครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวเห็นด้วย นะครับ จขกท ดูที่ คุณ Prasit5000
    แนะนำก็ดีครับ มันจะไปช่วยเสริมทางด้านปัญญาไปในตัวด้วยครับ
    ปล.ไม่ได้มาอวยกันนะครับ แต่มันเป็นวิธีการที่ดีเลยวิธีหนึ่งครับ..
     
  16. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    อ่อโทษทีที่ว่าลืมบอกไป แม้ว่า
    จะลืมทั้งสองตาแต่ให้มอง
    เหมือนมีอีกตาหนึ่งอยู่เหนือระหว่างคิ้วด้วยครับ
    ตอนที่มองผ่านเหนื้อนิ้วชี้กลางประมาณนิ้วนะครับ
    ไอ้การใช้ความรู้สึกเหมือนว่ามีอีกตามองเหนือ
    ระหว่างคิ้วในขณะที่สองตาปกติก็ยังลืมอยู่นี่หละครับ
    เป็นอุบายในการตัดความคิดที่วิ่งวนในสมองแบบธรรมชาติ
    ของมันเองวิธีการหนึ่งครับ ส่วนการที่ลิ้นกับปากไม่ขยับ เป็นอุบาย
    ในการดึงให้จิตมีความเป็นทิพย์ได้เร็วขึ้น

    นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ลองปฏิบัติดูแล้วรู้สึกดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยแนะนำ สาธุๆอนูโมทนา
     
  17. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    การหายใจ อยู่ภายใต้การบังคับของระบบประสาทอัตโนมัติ ครับ

    กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยมีการควบคุม 2 ส่วนคือ
    1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนพอนส์และเมดัลลาเป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้าม เนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ทำให้การหายใจเข้า-ออก เกิดขึ้นได้อย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอทั้งในยามหลับและยามตื่น โดยไม่จำเป็นต้องพะวงกับการสั่งการให้มีการหายใจ
    2. การควบคุมภายใต้อำนาจจิตใจ ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้ โดยสมองส่วนหน้าส่วนที่เรียกว่า ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ไฮโพทาลามัส แลพสมองส่วนหลังส่วนที่เรียกว่า ซีรีเบลลัม ซึ่งจะทำให้เราสามารถควบคุม บังคับ หรือปรับการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆของร่างกาย เช่น การพูด การร้องเพลง การเล่นเครื่องดนตรี ประเภทเป่า การว่ายน้ำ การดำน้ำ หรือการกลั้นหายใจได้

    ระบบหายใจของคน: การควบคุมการหายใจ
    นี่ก็เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจแต่ต้องขอใช้เวลาช่วงเวลาที่ว่างจากทุกอย่าง และจะศึกษาเพื่อการปฏิบัติค่ะ สาธุๆๆ
     
  18. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217


    วิธีนี้ก็น่าศึกษาค่ะ จะค่อยศึกษาและนำมาปฏิบัติค่ะ สาธุๆๆ
     
  19. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +217
    ได้กลับมาอ่านทบทวนที่ทุกๆท่านได้แนะนำมามีความรู้สึกเข้าใจมากยิ่งขึ้น และถ้าลืมก็จะกลับมาอ่านทบทวนอีกค่ะ ขออนุโมทนาสุธุทุกๆท่านที่ได้ให้คำแนะนำ
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ดีแล้วครับ ไม่ต้องสนลมหายใจครับ เพราะ ร่างกายมันทำงานของมันเองอยู่แล้ว
    ที่สวด ก็สวดโดยร่างกายหรือสมองหรือความทรงจำในใจ...ที่รู้ตามทุกคำพูดทุกคำที่สวดคือสติหรือจิต...ทีนี้ในการฝึกต่อไป..ถ้าอยากลองนะ.ให้สติจดจ่อกับทั้งกายเลยนะที่เป็นผู้สวด ดูการทำงานของร่างกายที่กำลังสวดอยู่ รู้ทั่วตัว ทั้งท่านั่ง เวทนาต่างๆ ให้รู้ทันทั้งหมดด้วยสติรู้นั้น...ต่อจากนั้น ให้ฝึกเอาสติรู้ทัน จน สติรู้ว่าบทสวด คำที่สวดนั้น ออกมาจากไหน ของร่างกาย...(ตอนนี้อาจมี รู้ทันขณะปัจจุบัน หรือรู้ทันเมื่อสวดออกไปแล้ว แต่ให้ฝึก จนสติรู้ก่อนว่าจะสวดอะไร และคำที่สวดออกมาจากไหน)....ถ้าคุณฝึกได้ ตามที่ผมแนะ ได้ ค่อย คุยกันต่ออีกทีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...