ขออนุญาตสอบถามพี่ๆและเพื่อนๆนักปฏิบัติทุกท่านครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rattanasak, 26 ธันวาคม 2017.

  1. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    อจ.นิวรณ์ ตอบแบบนี้มันเฉียดนิพพานเลยนะนี่..กายคตาสติ นี่นะครับเขาให้ทรงไว้ในชีวิตประจำวันเลยเหมือนทรงอาณาปานสติ จิตเขาจะเลื่อนไปกายในกายเองเลย..สติปัฏฐาน4 วิชา วิมุติ หลุดพ้นได้ในธรรมแค่บทเดียวนี้แหละครับ เมื่อจิตจับกายได้ก็จับลมได้เช่นกัน ..กายคตาสติ สาธุ
     
  2. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :):pควรเข้าใจ สภาวะการเกิดกำลังจิต(ละนิวรณ์5)และ การทำงานที่ต่อเนื่อง ของจิต ในสมถ-วิปัสสนา ให้ถูกต้องด้วยครับ .
    :mad:.ตัวอย่าง เช่น สมถะคือการละนิวรณ์5 ในจิตให้หมดไปทีละตัวๆๆๆๆ ราคะพยาบาท อาฆาต นี่ ปฐมฌานเมื่อละได้ (วิตก-วิจารณ์-นี่ทุติยฌานถ้าละได้ขั้นต่อไปฯล.. จิตจะมีกำลังตามที่ละนิวรณ์ตัวนั้นๆได้)
    :):) ขณะที่ จิตทำสมถะ-สภาวะที่ต่อเนื่องตรงนี้คือวิปัสสนา จิตจะเกิดสมาธิ จิตจะมีกำลังทีนี้จะใช้จิตทำอะไรต่อไป (ดูเกิด-ดับ) ตามกำลังจิตที่เกิดหรือจะแช่ไว้เฉยยยยๆครับ ..
     
  3. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    นั้นละครับรูปแบบที่ถูกต้อง จำเป็นต้องใช้ฌานในการข่ม นิวรณ์ และให้มีปัญญาแท้เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าวิปัสนาได้ดี ผมถึง ได้อุปมา สมถะ เพื่อลับมีด วิปัสนา คือใช้มีดแทงพุงกะทิกิเลส

    ต้องทำควบคู่กันไป จะยกแค่วิปัสนาอย่างเดียวมันไม่มีกำลังพอจะพิจารณาได้ นิวรณ์แทงอยู่ตลอดแบบนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2018
  4. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ท่านชั่งเถอะ ต้องถอยลงมาอีกขั้นครับ ถ้าจะวิปัสสนา
    ตอนนี้ที่ท่านถอยมา คือ ฌาน 4 แต่เมื่อก่อนท่านเข้าได้สูงสุดคือ ฌาน 4 เมื่อถอยลงก็จะวิปัสสนาได้

    แต่ตอนนี้ท่านปฎิบัติจนมี สัมปชัญญะนอก ซึ่งก็คือ ฌาน 5 ถ้าจะวิปัสสนา ต้องถอย 2 ระดับครับ

    พอมีสัมปชัญญะนอกเกิด ถึงจะเข้าฌาน 4 ก็สามารถรับรู้สภาวะรอบๆได้ ตามกำลังที่มีครับ
    ท่านเลยอาจเข้าใจว่าเป็น ฌาน 3

    จริงๆ ถ้าวัดอยู่ใกล้ขนาดนั้น น่าจะไปหา ครูบาอาจารย์นะครับ
     
  5. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ขอบคุณครับท่านแนะนำแนวทาง จะลองทำดูครับ

    เรื่องไปหาครูบาอาจารย์ ยังไม่มีเวลาเหมาะสมไปเลยครับ จะวางในการงานคือเกือบ 1 ทุ่มแล้ว ไม่อยากไปรบกวนดึกๆ ครับ รอวันไหนไม่มีธุระการงานตั้งแต่เช้าจะไปกราบครูบาอาจารย์ครับ

    คือตอนนี้ผมไม่สนใจจะนับฌานแล้วครับ ไม่สังเกตุฌานแล้วเมื่อไหร่ที่เข้าสมาธิจนสุดแล้ว ก็สุดไป จะรอสักครู่ ไม่ให้มันเคลื่อนอีก ถึงจะเริ่ม วิปัสนาพิจารณากายครับ หากพิจารณาไม่ได้ ผมจะรออีกสักพักให้มันถอนเองจนพอจารณากายได้ครับ อาจเป็นสาเหตุ หนึ่ง แต่มีบางท่าน ท้วงว่าการเข้า ฌาน 4 นั้นจิตต้องส่งออกนอก ในครั้งแรก ผมไม่มีแบบนั่น จึงกลัวตัวเองจะหลงเคลื่อนอะไรในฌานรึเปล่า หลอกตัวเองว่ามีฌานรึเปล่า ยิ่งจะยึดติดกลายเป็นสัญญาไปอีก ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้ที่จะไม่สนใจนับฌาน จะฌานไหนก็ชั่ง
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เรื่องนี้
    ถ้าผมจำไม่ผิดเรื่องแบบนี้พี่นิวรณ์เคยเสนอแนะไว้นะคับ สัญญาซ้ำๆ จนเป็นปัญญา อะไรทำนองนี้ ปกติถ้าความสุขที่เกิดขึ้นในฌาณมันไม่ใช่แนวเราก็ออกจากฌานมาพิจารณา มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะการพิจารณาจะเห็นทั้งที่ชอบและไม่ชอบหากโน้มไปทางใดมักถือว่าพิจารณาไม่ถึงที่สุดแต่ไม่ใช่จะล้มเลิกก็ย้อนกลับมาที่เดิมอะไรที่ทำให้โน้มเอียง
     
  7. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    วิปัสนาทำได้ทั้งวันครับ เราพูดเราทำเราคิดเราก้ รู้ในใจเรา การภาวนาเป็นการรู้ในใจ เรารู้ในอารมณ์รู้ในความคิดรู้ในถูกผิด รู้ในทุขสุข รู้ในปัจจุบันทุกๆขณะครับ ส่วนเมื่อจะกระทำสมถะก้ให้รู้ในเป้าหมายก่อนว่าสมถะนั้นเพื่ออะไร จิตที่ทำการงานแม้ไม่ได้หลับตาก้เป้นสมาธิได้ การนั่งหลับตานั้นเราต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะทำอาไรครับ แล้วเราก้จะรู้ชัดว่าเราทำอะไรและได้รับอาไรครับ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เป็นพระอรหันต์ไม่เกินพรุ่งนี้ตาย
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

    ผู้ถาม :- "ทีนี้ถ้าบวชเป็นแม่ชีแล้วสำเร็จเป็นอรหันต์ จะอยู่ได้กี่วันครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "ถ้าเป็นอรหันต์นะไม่เกินพรุ่งนี้ตาย คือว่าชีหรือฆราวาสก็มีสภาพเท่ากันละ เขาไม่ได้ถือว่าเป็นภิกษุณี คำว่า "ชี" รักษาศีล ๕ บ้าง รักษาศีล ๘ บ้าง ฆราวาสเขาก็รักษาได้ คือว่ามีเวลาปลีกตัวออกจากบ้านไปนุ่งขาวเท่านั้นเอง และสภาวะทุกอย่างก็เหมือนฆราวาส #ฉะนั้นจะทรงความเป็นอรหันต์อยู่ไม่ได้ เป็นอรหันต์ก็ต้องนิพพาน"

    ผู้ถาม :- "อ๋อ..ก็เหมือนฆราวาส"

    หลวงพ่อ :- "ก็เท่ากันนั่นแหละ ทำไมจะต้องไปวิตกกังวล #คนที่เป็นอรหันต์จริง#ท่านไม่อยากอยู่ต่อไปแม้แต่ ๑ วินาทีนะ ให้มันเป็นจริงๆเถอะ เพราะว่าอยู่นั้นไม่มีอะไรดีเลย อยู่ก็ขันธ์ ๕ มันรบกวนอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม..."

    ทีนี้ถ้าหากได้อรหันต์แล้วนิพพานทันทีทันใด ความสุขก็สมบูรณ์แบบ ถ้าอยู่อย่างนี้ต้องใช้สังขารุเปกขาญานระงับตลอดเวลา ไปนิพพานแล้วไม่ต้องระงับไม่ต้องระวัง อย่างนั้นดีกว่ากัน

    สำหรับพระนี่กรรมหนัก พระกับเณรมีกรรมหนัก ถ้าเป็นอรหันต์แล้วยังตายไม่ได้น่ะซิ ต้องทรมานสังขารไปอีก ดีนักเมื่อไรล่ะ"

    ผู้ถาม :- "ถ้าพระไปนิพพานเลยจะได้ไหมครับ...?"

    หลวงพ่อ :- "ไม่ได้ พระนี่ไม่ได้ ถ้านึกนิพพานเลยได้ พระสารีบุตรท่านก็อยู่ไม่นาน เพราะว่าพระสารีบุตรท่านพูดเองว่า "เราอยู่ด้วยความอึดอัด เราอยู่ด้วยความรำคาญ แต่ว่าสังขารเราไม่พัง เราจะอยู่เต็มความสามารถ จนกว่ามันจะพังของมันเอง"

    เห็นไหม...ในเมื่อวาระยังมาไม่ถึง พระอรหันต์ไม่ฆ่าตัวตายแน่นอน แต่ว่าจิตท่านเป็นสุขจริง แต่ขันธ์ ๕ มันไม่สุข อย่าลืมนะพระอรหันต์ก็หิวข้าวเป็น ปวดท้องขี้เป็น ปวดท้องเยี่ยวเป็น ป่วยเป็น เป็นทุกอย่าง มันเป็นปกติของมัน แต่ว่าที่อารมณ์ท่านเป็นสุขได้ เพราะจิตท่านทรงอยู่ในสังขารุเปกขาญาน ตัวนี้ที่ทำให้พระอรหันต์เป็นสุข ใจท่านเป็นสุข แต่ขันธ์ ๕ มันไม่สุข"

    ผู้ถาม :- "มีความรำคาญไหมครับ พระอรหันต์ตอนป่วย...?"

    หลวงพ่อ :- "ก็ไม่ป่วยท่านยังรำคาญเลย ถ้าป่วยทำไมท่านจะไม่รำคาญ แต่ว่าใจท่านไม่ดิ้นรน ถือว่าภาวะของขันธ์ ๕ มันต้องเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม..มันจะต้องเป็นอย่างนั้นเราก็รู้แล้ว ถ้าเราไปเสียได้มันก็จะดี การคิดทำลายขันธ์ ๕ ไม่มีสำหรับพระอรหันต์

    ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าความสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ชาวโลกได้ ก็ทำเต็มความสามารถ เท่านั้นเอง ถือว่าสร้างความดีทิ้งทวน แต่ผลความดีจะเพิ่มอีกน่ะไม่มีหรอก ความดีมันก็มีที่สุดแค่พระอรหันต์"

    ผู้ถาม :- "เอ...ทำไมไม่เพิ่มครับ?"

    หลวงพ่อ :- "น้ำมันล้นตุ่มจ้ะ...ถ้ามันเต็มตุ่มใส่เท่าไรมันก็แค่ปากตุ่มนั่นแหละ ใช่ไหม...ที่ทำไปก็เพื่อเป็นการสงเคราะห์เท่านั้นเอง แต่ก็หวังดีนะ พวกนี้ถ้าสงเคราะห์ได้ ใจท่านก็เป็นสุขนะ ดีใจที่เห็นคนอื่นเขาดี ความพอใจมีเท่านี้ล่ะ

    สมมุติได้อรหันต์เดี๋ยวนี้ไปนิพพานเลย เขาจะดีใจมากเพราะอะไร...เพราะมองดูแล้วไม่มีอะไรเป็นสุข การเกิดเป็นคนหาความสุขจริง ๆ สัก ๑ วินาทีมันก็ไม่มีใช่ไหม...ไม่ปวดมันก็เมื่อย ไม่เมื่อยมันก็หิว ไม่หิวมันก็อยาก"

    ผู้ถาม :- "มีแต่เรื่องตลอดเวลาเลยครับ"

    หลวงพ่อ :- "ใช่ หาอารมณ์ว่างไม่ได้..."

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๘๕-๘๗
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    https://www.facebook.com/golf.dhamma/posts/1694621480790812:0
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ****************************

    ถาม : อย่างคนที่จะบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่บวชเป็นพระแล้วจะตายภายใน ๗ วัน อย่างถ้าบวชเป็นเณรหรือบวชในนิกายอื่นเช่นมหายาน ?

    ตอบ : #ขอให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ก็แล้วกัน เพราะว่าพระอยู่ในเพศสูงที่เขาให้ความเคารพ คนเขาไม่ล่วงเกินอยู่แล้ว #ถ้าเราเป็นฆราวาสอยู่ คนที่ไม่รู้เป็นประเภทเพื่อนกันมาตบหัวเล่น #ไอ้นั่นก็ซวยไปตลอดชาติและอีกหลายๆ ชาติ เมื่อเป็นดังนั้น #ถ้าเป็นฆราวาสอยู่จึงจำเป็นต้องตัดให้ตายไปเลย จะได้ไม่ไปเป็นโทษกับผู้อื่น

    ถาม : ถ้าเป็นผู้หญิง ?
    ตอบ : #ถ้าเป็นผู้หญิงก็ตัดใจเถอะ..ไปดีกว่า

    ถาม : บวชเป็นแม่ชีละครับ ?
    ตอบ : #แม่ชีก็ยังนับเป็นฆราวาส

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

    19989298_1866415993611359_821437573165667750_n.jpg
    https://www.facebook.com/golf.dhamma/posts/1866415993611359:0
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : ..................................(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ไม่ใช่ พุทธภูมินี่ต่อให้ปฏิบัติขนาดไหนก็ตามอารมณ์จะไม่ตัดเป็นพระอริยเจ้า
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เหตุที่ปฏิบัติอย่างไร ก็ไม่บรรลุมรรคผล อริยเจ้าใดๆ



    กติกาบังคับของพระโพธิสัตว์เขา
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้


    พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?


    ถาม : ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้าท่านมีอยู่เท่าไรคะ ?

    ตอบ : เสียเวลาไปคิด ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้าถึงจะดีที่สุด เพราะว่าท่านจะมีเท่าไร หรือท่านจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ก็เหมือนกับสมบัติมหาเศรษฐี เราดูไป เรารู้ไปก็ยังเป็นของท่านอยู่ดี สำคัญที่เราต้องหาสมบัติของเราเองให้ได้

    ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์ท่านสามารถปฏิบัติจนกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ดังนั้น..พระโพธิสัตว์บางท่าน ถ้าไปขอคำสอนท่าน ท่านจะสอนลักษณะเดียวกับพระอริยเจ้า แต่จะไม่สอนเกินกำลังใจของตน

    อาตมาเคยกราบขอให้ หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส ที่ หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า เป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด ขอให้ท่านพูดถึงอารมณ์พระอริยะเจ้า ท่านบอกว่า “ฌานโลกีย์อย่างคุณ ผมพูดไปก็ผิดเสียเปล่าๆ” อาตมากราบเรียนว่า “แค่กราบขอความรู้ไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าหากว่ากระผมทำถึง จะได้รู้ว่าตนเองเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจริงหรือไม่ ?”

    ท่านถึงได้แสดงให้ แต่ว่าท่านจะพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์ ถ้ายังไม่ละความปรารถนาในพระโพธิญาณ เพราะภาระที่ตนเองตั้งใจไว้ จะทำให้จิตไม่ยอมตัดละเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้

    ถาม : พระโพธิสัตว์ตัดลาจากพุทธภูมิก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ ?

    ตอบ : ได้..และการปฏิบัติจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเร็วกว่าบุคคลทั่วไป เพราะกำลังของท่านสูงมากแล้ว

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3713&page=8


    .
     
  13. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +616
    เห็นพี่ๆคุยกันในธรรมระดับสูงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ แต่อยากจะสอบถามเพิ่มเติมกับพี่ ธรรมชาติ พี่ๆท่านอื่น ว่า อาการทีเวลาเรานั่งสมาธิไปเรื่อยแล้วรู้สึกว่า ขามันหายไป ตัวมันหายไป เหลือมาถึงคอ นี่มันเป็นปกติใช่หรือไม่ครับ พอมาถึงคอตกใจออกจากสมาธิทันทีเลยครับ เลยอยากรู้ว่ามันมาถูกทางหรือไม่ครับ สมมติมาถูกทางแล้วทางที่จะไปต่อเราจะจับอะไรเป็นหลักครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2018
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สายอานาปานสติ แน่ๆ ใช่ไหมครับ

    ให้เกาะคำภาวนา ต่อไปครับ อะไรจะหายก็อย่าไปสนใจ อาการทางกาย ครับ

    ไม่ต้องกลัวตาย เราไม่ตายหรอก ทำสมาธิ กำลังบุญ กุศลกรรม รักษาอยู่ครับ

    ถ้าเราไปฟุ้งซ่าน เกิดอารมณ์กลัวขึ้นมา จะติดอยู่แค่ตรงช่วงๆนี้

    ให้สักแต่ว่า เรารับรู้ แล้ว วาง ครับ อะไรจะเกิดก็อย่าไปสนใจ ครับ แล้ว จิตมันจะรวมลงสมาธิต่อไปครับ ให้มี สติอยู่กับคำภาวนา ถ้าลมหายใจช้า หรือ ไม่หายใจ ก็ให้รับรู้ว่าไม่หายใจ ให้มีสติอยู่กับคำภาวนา ต่อไปครับ

    จิตมันจะนิ่ง ๆ ช่วงที่กำลังเป็นอยู่นี้

    เดี๋ยวอีกหน่อย ร่างกายจะ ชา ชน เหมือนร่างกายหยุดทำงาน ตัว ร่างกายเริ่ม แข็ง ขยับไม่ได้ อื่นๆ บลาๆๆ ก็ไม่ต้องไปสนใจครับ เพียงแค่ว่า ตอนออกจากสมาธิ ต้องใช้เวลาให้ร่างกายปรับหน่อย ถึงจะกลับมาเป็นปรกติ ถ้าออกช่วงแรกๆ อาจจะทำงานยังไม่เต็ม 100 ก็เท่านั้น

    เราทำสมาธิ ให้มี อารมณ์หนึ่ง ไม่มีสอง ถ้าเราไปฟุ้งซ่าน ตามอาการทางร่างกาย มันจะทำให้ จิต เคลื่อน ออกจากฐาน แทนที่จิตจะลง ก็กลายเป็น ติดอยู่เพราะฟุ้งซ่าน แทน ครับ

    สรุปก็คือ ให้จับคำภาวนา ต่อไปครับ ถ้าผ่านไปได้ จิตเป็นฌาน หรือลงลึกต่อไป เราจะภาวนาไม่ได้ คือเราภาวนาไม่ออกเอง ไม่ใช่หยุดภาวนาเอง ก็ให้จับ สติ อยู่กับ ผู้รู้ ต่อครับ ถ้าถึงแล้วจะเข้าใจเอง ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ

    แล้วก็มีสติ อยู่กับ ผู้รู้ ไปเรื่อยๆ จนกว่า จะหมดกำลัง จิตก็จะคลายตัวออกมาเอง ยกตัวอย่างเช่น จะแค่คืนเดียว ข้ามวันข้ามคืน 48 ชม. ก็ยังได้ ถ้า สติตั้งมั่นจริงๆ
     
  15. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +616

    ขอบพระคุณมากครับพี่ Saber
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ "เข้าใจได้ VS ทำได้" ให้ผลไม่เหมือนกัน
    +++ ตรงนี้เป็นเรื่อง "ปกติ" แต่อันดับแรกเราต้องมา "ย้อนหลัง" ไล่เรียงเหตุการณ์กัน ให้เรียบร้อยก่อน เพราะมันเกี่ยวข้องกัน เป็น "ผล" สืบต่อกัน

    +++ มิฉะนั้นแล้ว จะ "วินิจฉัย" มั่ว แล้วผลลัพธ์จะเป็นการ "ปิดมรรคผล" ของคุณเอง

    +++ 1. จากคำถามของคุณ
    +++ 2. จากคำตอบของผม
    1.
    2.
    3.
    4.
    5.

    +++ คุณ rattanasak "จำเป็น" ที่จะต้อง "ตรวจสอบ" กับคำตอบ ต่อไปนี้ให้เด่นชัด

    +++ คุณจะต้อง "รับผิดชอบ กับ ตัวคุณเอง" ให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้น "ผลเสียอย่างร้ายแรง" จะตกแก่ "วิถีปฏิบัติ" ของตัวคุณเอง

    +++ 3. ให้ตรวจสอบไปที่ตรงนี้
    +++ 4. โดย "ตัดแปะ" ตรงนี้
    +++ ตรงนี้คุณ rattanasak จะต้อง "ระบุ ให้ชัดเจน" ก่อนว่า "คุณ คือ กรณีไหน" กันแน่

    +++ ตรงนี้หากคุณ rattanasak "ไม่กล้าชี้ หรือ ชี้ไม่ถูกต้อง" ว่าเป็นอะไรกันแน่ การวินิจฉัย "การปฏิบัติ" ของคุณจะเป็นการ "มั่วสุด ๆ"

    +++ แล้ว ผลลัพธ์ของการมั่ว ย่อมลงเอยที่การ "ปิดมรรคผล" ของตัวคุณเอง

    +++ ดังนั้นคุณ rattanasak ต้อง "ระบุ ให้ชัดเจน" เอาว่า "ตัวคุณเอง" อยู่ใน กรณีไหนก่อน นะครับ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ จากหลวงตามหาบัว

    เหตุใดจะต้องไปตายภายใน ๗ วันวะ นี่อันหนึ่ง จะว่าบ้าก็บ้าแล้ว

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1022&CatID=3

    พูดท้ายเทศน์

    อันหนึ่งที่ว่า ถ้าสำเร็จธรรมขั้นสูงสุดคืออรหัตภูมิแล้ว ถ้าไม่ได้บวชจะตายภายใน ๗ วันนี้ก็เหมือนกัน ทำให้คิดเหมือนกันนะ วิสุทธิธรรมหรือวิสุทธิจิตนี้เป็นเพชฌฆาตฆ่าขันธ์ ๕ เชียวเหรอ นั่น อันนี้ไม่ใช่เป็นเพชฌฆาตนี่นะ สิ่งใดที่ควรไม่ควรพระอรหันต์ท่านจะรู้ของท่านเอง ถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่มีใครมาบอกก็ตาม ท่านจะรู้วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องขันธ์ของท่าน เหตุใดจะต้องไปตายภายใน ๗ วันวะ นี่อันหนึ่ง จะว่าบ้าก็บ้าแล้วผม เอ้า มันเกินเหตุเกินผลก็ต้องอย่างนั้นซิ

    วิธีการจดจารึกนี่สำคัญอยู่นะ เอาแต่ความจำล้วน ๆ อะไรมาก็อาจจะจำสุ่มสี่สุ่มห้าจดมาเรื่อย ๆ อย่างนั้นก็ได้ เราก็ไม่ได้ประมาท เราอาจเป็นทางสันนิษฐาน อะไร ๆ ก็จดมาเรื่อยจารึกมาเรื่อยด้วยความจำ ๆ ไม่มีความจริงเข้าไปแทรกกันบ้างแล้วก็ลำบากเหมือนกันนะ มีความจริงคือตัวผู้ไปจดจารึกนั้นน่ะ ถ้ามีความจริงภายในจิตใจ มีภูมิจิตภูมิธรรมแล้ว จะได้ธรรมะละเอียดมามากมาย จะไม่มีแต่ความจำล้วน ๆ มา
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    http://www.danpranipparn.com/web/anser/anser41.html

    ประเภทสุกขวิปัสสโกนี่ ไม่รู้อะไรหรอกคุณได้แต่สมาธิเฉย ๆ มีจิตเป็นสุข จิตมีกำลังตัดกิเลสได้ สำหรับวิชชาสาม หรือ เตวิชโช สามารถรู้ได้ เพราะว่าการปฏิบัติขั้นวิชชาสามมี ญาณ ๘ อย่าง คือ
    ๑. ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้
    ๒. จุตูปปาตญาณ เราจะรู้ว่า คนที่เกิดมานี่ ก่อนจะเกิดนั้นมาจากไหน และเวลาตายแล้วไปไหน
    ๓. เจโตปริยญาณ สามารถจะเห็นจิตของคนได้ คนไหนจิตดี คนไหนจิตเลว
    ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เราสามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด
    ๕. อตีตังสญาณ เราจะรู้เรื่องราวในอดีตได้
    ๖. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวในอนาคตได้
    ๗. ปัจจุปันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครทำอะไรที่ไหน เรารู้ได้
    ๘. ยถากรรมมุตาญาณ คนที่เขามีความสุขความทุกข์ เขาอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัยนี่ในด้านวิชาสาม รู้ได้ ๘ อย่างเท่านี้
    สำหรับฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ ฯลฯ
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสาม และอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาใน กรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
    สำหรับสุกขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
    สำหรับเตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
    สำหรับฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
    สำหรับปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อให้คนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน


    ทำนายมรรคผล พยากรณ์ตัวเองเป็นอริยะเจ้า พยากรณ์ลูกศิษย์ที่ฝึกบรรลุอริยะเจ้า
    ลองตรวจสอบดูครับ ว่าจริง หรือ ปลอม

    ถ้าไม่สามารถ บรรลุคุณธรรมวิเศษใดๆ ไม่ได้ตรงตามสายประเภทของพระอรหันต์ ก็พิจารณาดูตัวเอง

    ว่าแต่ ใครบ้าง ที่คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยะเจ้า อาจารย์รับรอง พยากรณ์ว่าบรรลุอริยะเจ้า แล้ว ช่วยมาแสดงความสามารถ พิสูจน์ แสดงตัวให้ดูที ว่า มีวิชา แสดงฤทธิ์ ให้ดูหน่อยสิครับ ^^

    ว่า สำเร็จธรรมขั้นสูงสุดคืออรหัตภูมิแล้ว ตามที่ ครูสอนพยากรณ์ให้ ไม่ต้องบวช แล้วยังมีชีวิต ปรกติ อยู่
     
  19. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +616
    ขออธิบายขั้นตอนและลำดับในการปฏิบัติของผมก่อนนะครับพี่ ธรรมชาติ เผื่อจะหาทางแก้ไขได้ทันก่อนหลงทางนะครับ

    วิธีที่ผมใช้ในการทำสมาธินะครับ
    1. ใช้วิธีการเพ่งกระดูกในร่างกาย ตั้งแต่ ศรีษะ ไปจนปลายเท้า และกลับมาศรีษะ วนไปวนมา ตรงนี้ล่ะครับ ที่บอกว่า พอเริ่มมีสมาธิ ประมาณว่ากำหนดให้จิตตามความรู้สึกไปตรงที่เรากำหนดได้เช่นให้รู้สึกที่กลางฟ่ามือจิตก้อตามไปฟ่ามือ แต่พอมันเริ่มนิ่งเอาจิตไปจับที่ฟ่าเท้า เท้ามันหายไปแล้ว แล้วรู้สึกว่าตั้งแต่ขา มาจนเอว จนถึงบริเวณอก มันหายไปครับ จึงเปลี่ยนมาจับลมหายใจ พุทโธๆ แทนครับ

    2. ใข้คำภาวนาพุทโธ ไปเรื่อยๆพอจิตนิ่งปุ๊บก้อจะมีอาการเหมือนมองจากที่สูงบ้าง โดนกดลงติดพื้นบ้างครับ

    ซึ่งบางทีผมก้อจะสลับกันไปมาระหว่าง เพ่งกระดูก กับ จับลมหายใจ ล่ะครับประมาณนี้ครับพี่
    เลยไม่รู้ว่าวิธีปฏิบัติแบบนี้ใช้ได้หรือไม่ หรือควรตัดอะไรออกไปครับ ขอขอบพระคุณพี่ธรรมขาติ และพี่ๆทุกท่านช่วยแนะนำอีกครั้งนะครับ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ หลวงตามหาบัว "เป็นพระธาตุ เรียบร้อยแล้ว" ตลอดทั้งสาย "พระป่า หลวงปู่มั่น" ต่างก็เป็นพระธาตุกันมากมาย

    +++ คำพูดข้างบน "เป็นของ หลวงตามหาบัว" พูดเอง

    +++ ผู้ที่ "จ้องเพ่งโทษ" ผู้อื่น "โทษนั้น ย่อมกลับเข้าหาตนเอง" นั่นแหละ

    +++ ได้แต่ "ปี้แปะ" ตำรามาเท่านั้น แล้วเที่ยวริไปสอนผู้อื่น เที่ยวตัดสินว่าใคร ใช่/ไม่ใช่

    +++ อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ
    คุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาวหลวงตามหาบัว เกศา เล็บ ชานหมาก เป็นพระธาตุทั้งหมด!
    http://www.tnews.co.th/contents/203609

    +++ "เกิน 7 วัน ดีไม่ดี เกิน 7 ปี อีกด้วย"

    +++ ไม่มีอะไรทำ "มโน เพ่งโทษ พระอรหันต์" เอาเลยนะนี่

    +++ หุหุ "ไอ้ทึ่มปี้แปะ" เอ๋ย "นรก" เรียบร้อยแล้วเอ็ง คุณแม่จันดี จัดเป็น "ฆราวาส" ตามนัยยะ ปี้แปะ ของเอ็ง ใช่ป่าว...

    +++ เคยบอกแล้วว่า "อย่าเอาครูบาอาจารย์ต่าง ๆ" มาโพสท์ด้วย "สมองทึ่ม ๆ ของเอ็ง" เลย

    +++ ตอนนี้เอ็ง "ไล่สาปแช่ง พระอรหันต์ ที่ไม่ใช่พระ ให้ตายภายใน 7 วัน ทั้งโลก" ตามเจตนาของเอ็ง เสร็จสิ้นไปแล้ว

    +++ สิ่งที่เหลือ คือ "วิบากกรรมส่วนบุคคล" ของเอ็ง นั่นแหละ ที่จะตามมา เลี่ยงไม่ได้หรอก

    +++ การเพ่งโทษ ด้วยการเอาคำพูดของครูบาอาจารย์ มาใช้สนอง กิเลสตัณหา ของตนเอง นั่นเป็นการ "ทำลายครูบาอาจารย์" ที่ตนเคารพ นับว่าเป็นกรณี "ส่อเจตนา" ของเอ็ง ชัดเจนมาก

    +++ การที่เอ็งจะ เชื่อ/ไม่เชื่อ นั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเอ็ง

    +++ แต่ถึงกับมา "ไล่สาปแช่ง พระอรหันต์ ที่ไม่ใช่พระ ให้ตายภายใน 7 วัน ทั้งโลก" ตามเจตนาของเอ็งนั้น "โลกันต์มหานรก" เป็นที่ ไปของเอ็ง แน่นอน

    +++ สมปรารถนาในการ "เพ่งโทษ" ของเอ็งเรียบร้อยแล้วนะ ขอให้ "วิบากสนองตาม กรรมของเอ็ง" เร็วหน่อยก็ดี จะได้เป็น "อุทธาหรณ์" อีกรายหนึ่ง ได้ทันการนะ

    +++ วิบากนี้ "ปิด สวรรค์ มรรค ผล ทั้งหมด" ส่วน ประตูนรก "เปิดกว้างอย่างยิ่ง สำหรับเอ็ง"

    +++ สบายใจได้แล้วนะเอ็ง กรรมในระดับนี้ "ติดจรวด" แน่นอน
     

แชร์หน้านี้

Loading...