ขออนุญาตสอบถามวิธีขอบารมีพระพุทธเจ้าครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สมาบัติแปด, 15 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. สมาบัติแปด

    สมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอทราบ วิธีขอบารมีพระพุทธเจ้าเนื่องจากผมไม่ทราบว่า ต้องใจคาถา หรือ ต้องใช้การระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ไม่ได้ใช้คาถาครับ ใช้การระลึกน้อมนำ
    ขอบารมีท่านก่อนเพื่อตั้งต้น
    (เริ่มต้นจะน้อมให้มาอยู่ที่เหนือหน้าฝากก่อน
    แต่ไม่ทำตรงนี้ก็ไม่เป็นไรครับ)
    แล้วถึงค่อยรวมบารมีเราเข้าไป
    (ถ้าทำแบบข้างบนและมองเห็นได้จะพบว่า
    จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร)
    เมื่อรวมแล้วหลังจากนั้นถึงค่อยใช้ไปครับ
    ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ในกรณีอะไรครับ..

    แต่ถ้าชำนาญจากข้างบนแล้ว
    ค่อยเปลี่ยนมาเป็นตรงกลางลิ้นปี่ครับ..

    จะทำแบบไหนก็ได้แล้วแต่ถนัด
    แรกๆจะเหนื่อยหน่อย
    ถ้าอยากให้ได้ผลเร็ว
    ควรระลึกในใจให้ได้
    ลิ้นกับปากอย่าขยับ
    เพื่อดึงให้จิตเป็นทิพย์ชั่วคราว
    ส่วนตอนที่ส่งจะเป็นกำลังระดับ
    ปฐมญานซึ่งจะเหนื่อยหน่อยช่วงแรกๆ
    ทำบ่อยๆจะชินได้เองครับ
     
  3. สมาบัติแปด

    สมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    การน้อมระลึกต้องกล่าวคำว่าอะไรบ่างครับและกล่าวคำในใจใช่ใหม่ครับ น้อมระลึกกับ อธิฐานขอ เหมือนกันใหมครับ ขอบคุณครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    ให้คิดหรือพูดอย่างนี้นะครับในใจนะครับ
    '' ด้วยอำนาจ คุณพระศรีรัตนตรัย บารมีพระพุทธเจ้า
    ทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยเจ้าทั้งหลาย ลูกขอบารมีธรรมของท่านทั้งหลายเหล่านั้นขอจงได้โปรดมารวมตัวกันอยู่ ณ เบื้องหน้าลูกนี้ด้วยเทอด. (นึกไว้เหนือหน้าฝากข้างนอกตัวบนอากาศ
    เรียกว่าการตั้งต้น สามารถเสริมที่เราเคารพเข้าไปได้)


    และบุญใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาดีแล้วตั้งแต่ชาติต้นยันชาติปัจจุบัน ขอจงได้โปรดมารวมตัวกันกับบารมีธรรมทั้งหลายของท่านเหล่านั้น
    (เรียกว่าการรวมบารมีของเราเข้าไป)

    และลูกขอน้อมอฐิษฐานบารมีทั้งหลายเหล่านี้
    (นึกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะนึกได้ เรียกว่าการฝึกขยาย
    วงสมาธิ วงสมาธิแค่ไหนจิตไปได้ถึงที่นั้น)

    Exe การนำไปใช้

    อุทิศให้ดวงจิตดวงวิญญาน(อะไรก็ได้ที่สื่อถึง)และให้เป็นของท่านดังปรารถนาเถิดหรือตามแต่ที่ท่านต้องการ''


    พยายามท่องให้คล่องให้ได้ในใจก่อน และเวลาท่อง
    ลิ้นกับปากอย่าขยับ เพื่อดึงให้จิตมีความเป็นทิพย์ชั่วคราวครับ
    แรกๆจะเหนื่อยหน่อยนะครับ ถ้าชงัก
    ไม่ต้องสนใจให้เริ่มต้นใหม่ เด่วก็ชินเองครับ

    และถ้าจะให้ดีควรทำพร้อมการกรวดน้ำ
    จะครอบคลุมกลุ่มกำลังบุญน้อยๆได้ด้วยครับ
     
  5. สมาบัติแปด

    สมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณครับ อย่างเช่นคาถาเงินล้านของพระมหา วีระ ถาวโร พอท่องจบแรกเสร็จให้กล่าวใว้ ขอบารมีพระพุทธ หรือ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และท่องต่อจนคบ3หรือ5หรือ7หรือ9จบถึงจะใด้ผลใช่ใหมครับ พี่ดีผมไปอ่านเจอมาครับ เลยอยากรู้การขอบารมีพระพุทธครับ ขอบคุณครับ
     
  6. สมาบัติแปด

    สมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกร้อนๆบริเวร รอบกายผม หรือ ร้อนทั้งตัวจนเหงื่อแตก แบบนี้เป็นอาการ อะไรครับ คำภาวนา ผมใช้พุทโธ ครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ได้ผลหรือไม่อยู่ที่ความคุ้นเคยของจิต
    ในสภาวะที่สามารถเคยทำงานได้แล้ว
    และได้ผลมาก่อนหรือไม่เป็นหลัก
    ไม่ใช่จำนวนรอบหรือระยะเวลาเป็นหลักครับ
    บางคนถ้าจิตคุ้นเคยจิตสามารถเริ่มทำงานได้
    ก่อนที่จะนึกคำแรกของคาถาขึ้นมาได้(เรื่องปกติ)
    ส่วนสภาวะต่างๆที่เกิดรอบๆกายหรือที่ตัวได้อยู่
    อย่างนั้นแสดงว่าสมาธิสะสมยังไม่พอ
    ต่อการเปลี่ยนแปลงของพลังงานต่างๆที่เป็น
    ผลมาจากคาถาส่วนหนึ่ง
    และจิตเวลาทำงานยังตัดร่างกายไม่เด็ดขาด ณ เวลานั้น
    พวกนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
    ให้สะสมสมาธิไปอีกซักพัก
    ด้วยการทำบ่อยๆ แต่ไม่ต้องนานครั้งละ ๒ถึง ๓ นาทีเอาแค่สงบ
    และเจริญสติให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
    และพยายามหาอุบายต่างในการตัดตัวตน
    ตัดความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ
    อนาคต ถ้าจิตทำงานได้ผล
    คือกายเบา รอบๆกายเบา
    ใส เร็ว เบาและวิ่งขึ้นบน
    ปล.แล้วจะเข้าใจได้เอง ว่า
    ใส เร็ว เบา ขึ้นบนคืออะไรในอนาคต
     
  8. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า พระองค์เป็นผู้ไกลจากกิเลส ลักษณะการไกลจากกิเลสนั้นมี อาการอย่างไร เราจะยังจิตของเราให้พ้นจากกิเลสเช่นนั้น
    พระองค์ถึงพร้อมด้วย วิชชา เราก็จะขอพากเพียร ภาวนา ให้ได้วิชชาดังพระองค์
    แบบนี้หละครับ เมื่อระลึกบ่อยๆ จิตใจเราจะตั้งมั่นเป็น ปฐมฌาณ
     
  9. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า

    " อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิอิโสตัง พุทธปิติอิ "
     
  10. สมาบัติแปด

    สมาบัติแปด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    คาถา บทนี้เอาใว้ใช้กับอะไรใด้บ่างครับ
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เด่วช่วยเสริมเรื่องคาถา คิดว่า คุณ นัท คงมีอื่นๆแนะนำอยู่
    บทคาถาที่ว่า มีความสามารถป้องกันภัยได้รอบด้าน
    ไม่เว้นแม้กระทั่งที่ส่งมาจากใต้ดินครับ
    ปกติบทคาถาทั่วไปจะป้องกันทางอากาศได้ปกติ
    แต่หาได้น้อยบทที่จะป้องกันที่มาทางดินได้...
    วิธีการใช้งานก็เหมือนทั่วๆไป หาอ่านได้ทั่วไปครับ...

    แต่ถ้าจะให้แนะนำในระดับใช้งานหรือระดับที่จำเป็นต้องออกงาน
    ให้คุณเอานิ้วโป้มาชนกันและหงายฝ่ามือออกไปข้างนอก
    โดยเริ่มต้นที่ต่ำแหน่งเหนือศรีษะและตรงกลาง
    ให้ท่องคาถาและลากนิ้วโป้งวนรอบศรีษะอ้อมไปชนกันด้านหลัง
    ให้ลากวนกลับไปกลับมาแบบนี้วนรอบตัวลงไปด้านล่าง
    และย้อยกลับขึ้นมาในต่ำแหน่งเริ่มต้นบริเวณเหนือศรีษะ
    เป็นอันจบขันตอนการใช้งาน พยายามฝึกให้ได้ ๓ รอบ
    แล้วนิ้วโป้มาบรรจบในต่ำแหน่งเริ่มต้นจะดี
    และเวลาท่อง ลิ้นกับปากอย่าขยับ(สร้างจิตเป็นทิพย์ชั่วคราว)
    ตานิ่งๆห้ามขยับซ้ายและขวา(ป้องกันการสร้างความคิดใหม่
    และการดึงความคิดในอดีต)
    ผลของคาถาก็จะได้ผลครับ....
    ปล.เชิญตามอัธยาศัยครับ..
    ในผู้ที่ตาเปล่าสามารถเห็นเส้นสายได้
    จะเห็นเป็นเส้นๆใสเวียนตามนิ้วโป้ได้เลยครับ
    หรือบางคนที่จิตทำได้แบบมีแสงนำก็อาจจจะเห็น
    เป็นแสงที่เป็นวัตถุมีราคาในท้องตลาด
    ตามเส้นสายได้ด้วยครับ...
    แล้วแต่คนครับ...
    ส่วนจะเห็นได้หรือไม่เห็นได้
    ไม่ใช่ประเด็นหลักครับ....
     
  12. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ผมก็ชื่อนัดนะครับลุงนพ
    ๕๕๕๕๕๕
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ๕๕๕๕๕๕ ฮาเลย...
     
  14. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    ขอไปทำไม
    เดี๋ยวก็ต้องไปใช้หนี้เขาหัวโตล่ะ
    กำลังตัวเองยังไม่ถึงก็เอาไว้ก่อน
     
  15. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    บารมีของใครของมันครับ ขอกันไม่ได้ ไม่เหมือนขอเงิน
    การขอเพิ่มบารมีตัวเอง อยู่ที่การวางใจเจ้าของ ให้เหมือนแผ่นดิน
    รับได้ทุกอย่างแผ่นดิน ใครเอาของเสียอะไรทึ้งลงในดิน มันจะแปลสภาพได้หมด

    การระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ต้องนึกถึงความยากลำบากในการบำเพ็ญบารมีของท่าน
    เพื่อมาเป็นกำลังใจในการบำเพ็ญบารมีของตน
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอพูดตามหัวข้อกระทู้นะครับ
    เจ้าของกระทู้ถามวิธีขอบารมีพระพุทธเจ้านะครับ
    ส่วนจะขอบารมีทางธรรมเพื่ออะไรก็สุดแล้วแต่
    ส่วนตัวคงไม่ไปก้าวก่ายครับ...
    และถึงขอไปก็หาใช่ว่าเราจะมีบารมีเหมือนท่านได้
    แต่เพื่อนำมาหนุนส่งเสริมกำลังตัวเอง
    เพื่อการใช้งาน เมื่อใช้แล้วก็แล้วไปครับ
    แม้แต่ครูบาร์อาจารย์มีชื่อ ที่เราได้ชื่อว่า
    พ้นแล้วก็ล้วนแล้วแต่เคยขอพึ่งบารมีทางธรรม
    พระพุทธเจ้ามาแล้วทั้งนั้นหละครับ
    รวมทั้งสาวกของพระองค์ด้วยจริงไหมครับ
    ถ้าไม่ได้ บารมีทางธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มาเสริม
    ไม่มาช่วยหนุนอยู่ดีๆ จะมีปัญญาญานสูงส่ง
    มีปัญญาทางธรรมลำเลิศ และจะเป็นสำเร็จ
    เป็นพระอรหันต์เองได้ไหมหละครับ..
    ถึงมีคำว่า มีพระพุทธฯเป็นองค์ประธานนั่นหละครับ
    พูดถึงในยุคที่มีพระพุทธเจ้ากำเนิดขึ้นแล้วนะครับ


    และที่จะพูดไม่ได้ว่าใครนะครับ บอกไว้ก่อน จะบอกว่า
    มีแต่พวกทำเดรัชญานวิชาหรือพวกที่ทำไสยศาสตร์
    เท่านั้นหละครับ ที่มันไม่คิดจะขอบารมีพระพุทธเจ้า...
    หรือมันก็ต้องเป็นพวกถ้าไม่รู้อะไรเลย แบบซื่อๆ
    ไม่เป็นไร...แต่ถ้ารู้แล้ว มีอยู่ ๔ ประเภทที่ไม่คิดจะขอบารมี
    คือ ๑.พวกที่โง่แบบจริงๆแต่ชอบอวดฉลาด
    ๒.พวกที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร
    คิดว่าตัวเองดีกว่า พูดง่ายๆพวกหลงตัวเองทั้งหลาย
    ส่วนมากพวกนี้จะความสามารถทางจิตต่ำแต่จะคิดว่าตนเก่ง
    บางทีความสามารถทางจิตไม่มี ก็ยังคิดว่าตัวเองเก่งได้..
    ๓.พวกที่จะนำไปใช้ในทางอกุศกรรมครับ
    ๔.พวกที่คิดว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เลยไม่สนใจใคร
    ไม่สนใจแม้กระทั่งธรรมคำสอนของใคร
    คิดว่า ทำตามที่ตัวเองคิดก็จะบรรลุธรรมเข้านิพพานได้

    ขอย้ำว่าไม่ได้ว่าใครนะครับ..เพราะสิ่งที่ทำเป็นอกุศลกรรม
    เอาไปทำแต่เรื่องชั่วๆ เรื่องที่ทำให้ยึดติดในโลก
    ซึ่งจะแตกต่างๆจากพุทธศาสนา แม้ว่าจะเกิดบนโลกนี้
    แต่ก็ให้ปฏิบัติตนเพื่อให้พ้นโลกครับ..

    ถ้าดาวโลกแห่งนี้ ขอบารมีพระพุทธเจ้าไม่ได้....
    เกิดมาเราจะไม่มีใครได้เห็นหรือได้ยิน
    คำว่าวัตถุมงคลหรอกครับ...
    เราจะไม่มีใครได้เห็นบทสวดสรรเสริญพระพุทธเจ้าหรอกครับ
    แม้แต่คำว่า นะโมฯ คำว่า พุธธัง ฯ ธรรมมังฯ สรณัง ฯ
    เกิดมาไม่ว่าผู้เขียนหรือใครก็ตามจะไม่มีทางได้ยินได้เห็น
    และเราจะไม่มีทางได้เห็น
    วัตถุมงคลรูปแทนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย....
    หรือรูปแทนของครูบาร์อาจารย์ทั้งหลาย
    ท่านหลงเหลือเอาไว้ให้เราระลึกถึงคุณงาม
    ความดีของท่าน และธรรมคำสอนที่ท่านทิ้งไว้หรอกครับ

    ถามหน่อยว่า บุคคลที่สร้างขึ้นมานั้น
    ปั้นเป็นรูปแทนพระพุทธเจ้าแล้วใช้บารมีตัวเองหรือ
    ถ้าใช้บารมีตัวเองทำไมถึงไม่ใช้หน้าตัวเองครับ...
    ฝากไว้เป็นข้อสังเกตุนะครับ..

    และเราจะไม่รู้จักคำว่า บุญฤิทธิ์ บทความต่างๆ
    ที่ท่านตั้งต้นด้วยพระพุทธเจ้า
    ตั้งต้นด้วยครูบาร์อาจารย์ทั้งหลายเป็นองค์ประธานก่อน
    หรอกครับ....


    เราไม่ได้ไปขอ เทพมีฤิทธิ์ ขอพรหมมีฤิทธิ์
    หรือขอผีมีฤิทธิ์ หรือขอเจ้าพ่อ เจ้าแม่ โน้นนี่นั้น
    หรือสำนักตำหนักทรงองค์เจ้านะครับ
    ที่จะต้องไปกลัวว่าจะต้องไปใช้หนี้หัวโต
    เพราะมีเงื่อนไขตั้งแต่ตอนแรกที่เราไปขอแล้ว
    นั่นคือค่าบูชาครูนั้นหละครับ..หรือการให้เราไปทำบุญ
    โน้นนี่นั้น ก็เพื่อกันไม่ให้ติดกลายเป็นวิบากพ่วงพันธ์ตรงนี้ครับ
    ซึ่งต้องนี้ ก็ยังต้องอาศัยบารมีท่านต่างๆเหล่านั้น
    แต่ว่ามันเป็นแบบมีเงื่อนไข...

    ไม่ใช่บารมีแบบพระพุทธฯ พระสงฆ์
    ที่ท่านสร้างขึ้น จากการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร
    ให้จากเมตตาที่ออกจากภายในไปภายนอก
    ให้โดยไม่คาดหวังอะไร..จนสิ่งที่ทำ
    กลายเป็นบารมีไหลย้อนกลับมาที่ท่าน
    นี่ครับถึงจะเรียกว่าบารมี....
    ซึ่งโลกนี้ไม่มีใครเกินกว่าพระพุทธเจ้าแล้วครับ....

    ..
    เรื่องของบารมีนั้นมันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือตัวจิต....
    มันไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆมนุษย์หน้าไหนๆ
    หรือคนหน้าไหน ที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง
    หรือความสามารถทางจิตเท่าหางอึ้งอ่างแบบคุณ
    แบบผู้เขียนที่อยู่ดีๆจะมาวางกำลังใจ
    หรือมานั่งๆนึกๆวิธีการอย่างนี้อย่างนั้น
    เพื่อขอเพิ่มบารมีให้ตัวเองได้ดื้อๆหรอกครับ
    แต่ถ้าฝันเอาพอเป็นไปได้ครับ...
    บารมีเป็นอะไรที่นอกเหนือจิตนะครับอย่าลืม


    เค้าถึงมีคำว่า บารมีต้องสร้างต้องสะสมเอา
    และมันแข่งกันได้ยาก ขึ้นอยู่กับวาสนา
    วาสนาก็คือ แล้วแต่การสะสมที่ผ่านมาของจิตดวงนั้นๆ...
    ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า ทั้ง ๓ ภพภูมินี้ หรือ ไตรภูมินี้
    หามีผู้ใดที่จะมีบารมีเทียบเท่ากับพระพุทธเจ้าได้
    ไม่ว่าบทสวด บทอะไร จึงขึ้นต้นด้วยการสรรเสริญ
    คุณพระพุทธเจ้า สรรเสริญความดีของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น....
    หรือบทสวดต่างๆ ที่เรารู้จัก ก็ล้วนแล้วแต่พูดถึงคุณความ
    ดีของท่านนั้นๆ สิ่งที่เด่นของท่านนั้นๆทั้งนั้นหละครับ..
    เวลาเราทำอะไร หรือแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า
    ไม่ว่าระดับไหนๆ จึงมีพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง
    มีกำเนิดคำว่า พุทธาพิเภษ..ขอบารมีพระท่านช่วย
    เหลือ ส่วนจะช่วยได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าตัวเราได้ทำบุญ
    มา เคยสะสมมามากน้อยแค่ไหน...
    รวมทั้งการสร้างวัตถุมงคล เพื่อให้บูชา
    แล้วนำปัจจัยที่ได้มาทำนุบำรุงศาสนสถาน
    เพื่อสืบทอดพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป

    เพราะด้วยกำลังบารมีมนุษย์ตัวเหม็นๆ
    บารมีเท่าก้านกล้วย ความสามารถทางจิตเท่าลูกอ๊อด
    จะมีซักกี่คน เดินมาแล้วมีบารมีสว่างๆสไหว
    เจิดจร้า พอที่จะทำโน้นนี่นั่นได้ด้วยกำลังใจตัวเอง
    ยิ่งการเพิ่มพลังงานให้วัตถุอะไรก็ตาม
    การใช้กำลังใจตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวถือว่าเป็นอะไร
    ที่ไม่ฉลาดสุดๆครับ...คือถ้าทำได้แล้วให้บารมีตนเอง
    เพียวๆถือว่า ยอมรับว่าตัวเองโง่มากๆ..


    และมีไหม บทสวด บทต่างๆ ที่แปลออกมาว่า
    พระพุทธเจ้ามีความยากลำบากในการบำเพ็ญบารมีของท่าน
    หรือท่านโน้นนี่ท่าน ยากลำบากเหลือเกิน
    เค้าไม่เรียกบทสวดหรอกครับ เค้าเรียก บทบ่น..
    ขอบารมีระลึกด้านความอยากลำบากหรือครับ
    ก็ท่านบำเพ็ญทุกกิริยาทรมาณกาย
    เป็นที่สุด ท่านก็ค้นพบเองว่า
    ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ยังจะไประลึกบารมีด้านความ
    ลำบากทำมะเขืออะไรหละครับ....


    ถ้าเอาไว้
    เป็นการพึ่งระลึกเพื่อให้
    เราเกิดกำลังใจในการปฏิบัติว่าพุทธเจ้า
    ท่านยังทิ้งสมบัติ ทิ้งลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ท่านมีความรู้จักสละแม้แต่ตรงนี้ได้
    ต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก
    เราลำบากแค่นี้ ทำไมจะทนไม่ได้
    เอ่ออย่างนี้เป็นอีกเรื่อง เป็นกำลังใจในการปฏิบัติ
    หรือบำเพ็ญบารมีของเรา อย่างนี้เห็นด้วย
    แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของบารมีเฉพาะตน
    ของท่านนั้นๆครับ...มันคนละประเด็นกันครับ


    และในโลกนี้มีมนุษย์หน้าไหน
    จะมีความสามารถเพิ่มบารมีตัวเองได้
    แบบดื้อๆ แบบขอเอา หรือให้หลักการมโนเอาได้หรอกครับ
    เกิดมาบอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็น

    บารมีเป็นอะไรที่นอกเหนือจิตคือ
    การกระทำอะไรก็ตามในขณะที่จิตนั้นได้
    คลายตัวมันเองได้แล้วและเป็นไปในทางกุศล
    ทางโลกเราจึงรู้จักคำว่าแสงสว่างที่เกิด
    หรือเห็นได้จากดวงจิตนั้นๆนั่นหละครับ
    บางคนก็อาจจะเคยเห็นมา จึงพบว่า
    ดวงจิตต่างๆ ถึงมีความสว่างไม่เท่ากัน
    ที่สว่างๆทางนามธรรมนี่หละครับ
    ที่เราเรียกว่า บารมีครับ
    และการธรรมะที่ทิ้งไว้
    สามารถทำให้คนหลุดพ้นจากไตรภพนี้ได้
    คือสอนไม่ให้คนยึดติด ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในสิ่งต่างๆได้
    นี่เป็นบารมีทางธรรมครับ
    ที่เรามักจะขอกัน..

    ไม่ใช่ไปขอให้ผมเหาะได้ หายตัวได้
    มีตาทิพย์ ฯลฯ

    ช่วยบอกหน่อยนะครับ ว่ามนุษย์หน้าไหนอยู่ดีๆจะขอเพิ่ม
    บารมีตัวเองได้....พวกผีหรือคนตาดีหน่อย
    เค้าจะมองเห็นในรูปแบบของความสว่างของดวงจิตครับ...

    การที่จิตจะมีความสว่างออกไปอยู่ภายนอกจิตได้นั้น
    แสดงว่าจิตดวงนั้นต้องทำให้ที่ไม่หวังผล ไม่คาดหวัง
    ไม่ทำอะไรที่เป็นตัวตนจนก่อให้จิตยังเกิดเป็นวงกลมครับ
    จิต ณ ตอนนั้นจะต้องคลายตัว ถึงจะเกิดเป็นบารมีที่จะออก
    ไปอยู่นอกเหนือจิตของบุคคลนั้นๆได้ครับ.....
    ปล.ขอพูดเท่านี้หละครับ..
     
  17. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    DT010250.jpg

    บารมีพระพุทธเจ้าทำได้ทุกอย่าง ครอบจักรวาล ยังต้องให้อธิบายอะไรอีกหรือ

    หมั่นสวดเป็นประจำ ท้าวจตุโลกบาลจะส่งเทวดามารักษา ไม่ต้องกลัวอะไรเลย

    แต่อย่าไปเบียดเบียนอย่าไปคิดร้ายใคร เพราะแค่คุณคิดไม่ดีชั่วขณะจิต นั่นก็เป็นช่องให้กรรมส่งผลได้แล้ว


    .
     
  18. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ตามความเห็นส่วนตัว ของแบบนี้ขอกันไม่ได้นะครับ ของใครของมัน.... แต่ถ้าทำเพื่อให้ตัวเองมีกำลังใจก็อีกอย่าง เช่น การทำสมาธิ คุณควรเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ พอจิตมีที่พึ่งมีที่ยึดเหนี่ยวแล้ว ในระหว่างสมาธิหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความกลัวขึ้นมา จิตคุณก็ยังมีสิ่งให้ยึดเหนี่ยว ทำให้มันไม่เตลิดไปไกลได้...

    ขอเล่าประสพการณ์ตัวเอง เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้ทำสมาธิ ระหว่างอยู่ในสมาธิกลับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะอยู่ ซึ่งเหมือนกับว่ามันพยายามทำให้ผมตกใจกลัว ผมมั่นใจว่าเป็นเสียงจากภายในไม่ใช่ภายนอก ซึ่งแทนที่ผมจะมีอาการตกใจหรือกลัว ผมกลับรู้สึกเฉยๆ คือเฉยแบบไม่คิดว่าต้องกลัวหรือไม่ สักพักเสียงนั้นก็หายไปเอง
     
  19. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ตอบคุณ pinit417

    ยกเว้นเจ้ากรรมนายเวรไง ถ้าคุณมีกรรมกับเค้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย

    ถึงแนะนำอย่าไปคิดร้ายกับใคร แต่ถ้าเป็นของเก่าก็ต้องทำใจยอมรับไป

    คุณบอกกันไม่ได้ แต่อีกเป็นล้านคนเค้ามีประสบการณ์ผ่อนหนักเป็นเบามาแล้ว อย่าถามอีกเลย
     
  20. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย เมื่อมีเหตุและปัจจัยพร้อม ผลก็ต้องตามมา.... น้ำมีขึ้นก็ยังมีลง... กรรมมีหนัก ก็มีหนักกว่าและก็เบาลง... ของบางอย่าง ให้สวดให้ขอ แต่หากเหตุและปัจจัยไม่พร้อมมันก็ไม่ได้... และของบางอย่างไม่ต้องสวดไม่ต้องขอ แค่เหตุและปัจจัยพร้อม ต่อให้ไม่อยากได้ก็ต้องได้..

    สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ ไม่ต้องสวด ไม่ต้องขอ ทำเหตุและปัจจัยให้พร้อม ผลก็จะตามมาเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...