ขอเชิญทุกท่านเข้ามา"อัด"ผมหน่อยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์โง๋, 4 เมษายน 2017.

  1. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    อากัปกริยาที่จะกล่าวนี้ ได้กล่าวเอาไว้แล้วในกระทู้ของคุณ bigtoo หลายท่านคงได้อ่านไปแล้ว และได้เชิญชวนให้คนมา"อัด" แต่ไม่มีใครมาอัดเลย เศร้าแพ๊พ T_T......
    จึงได้นำมาเรียบเรียงใหม่ เพราะอยากโดนอัดเต็มที่


    จะไม่พูดถึงฌาน สมาธิ การทรงอารมณ์ฌานอะไรเอาไว้นะครับ สมมุติว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยครับ สมมุติว่าทำสมาธิไม่เป็น
    (ช่วงนี้ทำสมาธิน้อยมากครับ)

    การเดินปัญญา....... จริง หรือ หลอก?

    เรื่องของกาม เวลากระผมรู้สึก กระผมจะปล่อยมันครับ เพราะไม่ได้เป็นพระที่จะมีอาบัติหนักมาห้ามเอาไว้ จึงทำได้เพียงแค่เพียงมองที่ร่างกายมันต้องการ แต่เมื่อมันได้เสพสมอารมณ์หมายแล้ว กระผมก็มองและถามตัวเองว่า
    " เท่านี้หรือ วัฏจักรวนเวียนที่แสนน่าเบื่อ เพื่อสนอง need ของกิเลสเพียงเท่านั้น ต้นตอของความวุ่นวาย ต้นตอของคดีความต่างๆ เพียงเพื่อสิ่งนี้"

    นอกเหนือจากเรื่องกาม กระผมก็ได้พิจารณาในสิ่งต่างๆ อย่างเช่นระยะหลังๆมานี่ จะเริ่มมองการพูดจาของชาวบ้าน การนินทาของชาวช่อง เป็นเรื่องที่ไม่ชวนฟัง ไร้แก่นสาร มิทำให้เกิดปัญญา
    ความคิดเช่นนี้ได้มามีผลกระทบ ต่อการสนทนาในเว็บบอร์ดธรรมมะเช่นนี้ด้วย เพียงแต่การสนทนาธรรมยังมีความรู้สึกยินดีอยู่ รู้สึกสนุกกับมัน แต่เมื่อความคิดมันเกิด ก็ไม่ห้ามมัน ยินดียิ่งกว่าได้ฟังเรื่องนินทาชาวบ้าน
    รวมไปถึงการดูทีวี รายการบันเทิง รู้สึกว่าว่าไม่เกิดประโยชน์ วนเวียนแต่การเวียนว่ายตายเกิดไปตามอำนาจกิเลส เพราะความ"ฟุ้ง" มันเต็มจอ มีแต่อำนาจกิเลส

    การดูทีวี อย่างเช่นตอนช่วงนี้จะดู 3 ก๊ก สมองก็มักจะพิจารณาถึง อำนาจ อัตตา ความไม่เที่ยง อย่างเช่นว่า นี่ละหนอกิเลสมนุษย์ ทำเพื่อฮ่องเต้ แล้วตอนนี้ไหนละฮ่องเต้ ไหนหละแคว้น ไหนละอำนาจที่แสวงหา แต่ละคนตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ในอบายภูมิขุมไหนแล้ว


    ช่วงที่ตื่นนอนใหม่ๆ สมองกำลังเบลอ ช่วงครึ่งตื่น ครึ่งอยากจะนอนต่อ บางครั้งในสมองก็มีการพิจารณาธรรม จากสภาวะพึ่งตื่นจากฝัน(พิจารณาจากความฝัน) ช่วงที่กำลังลุกจากเตียง




    กระผมทำให้มันเป็นนิสัย มันก็คิดพิจารณาไปตามนิสัยมัน
    แต่ไม่ใช่ว่าเป็นการพยายามนึก คิด มันคิดของมันไปเอง


    ขอเชิญทุกท่านเข้ามา"อัด"ผมหน่อยครับ

    กระทู้แรก ตื่นเต้นๆ คริคริ^^
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    ไม่มีไรน่าอัด
    ถ้าพยายามบำเพ็ญจิตภาวนาไปด้วย
    ก็คงจะมีโอกาสเกิด
    ปัญญาญาณช่วยชำระอาสวะกิเลสได้หมดจด
    ตามมาไปตามรอยพระพุทธองค์ที่ได้
    ทรงชี้ทางไว้ให้ครับ
    มา
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    การพิจารณาธรรมก็ช่วยได้แต่ทำให้จิตฟุ้งซ่านไม่อยู่กับปัจจุบัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยิ่งตรึกยิ่งตรองถึงวิตกใดๆ มาก เธอก็มีใจน้อมไปข้างวิตกนั้นๆ มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ ถ้าภิกษุยิ่งตรึก ยิ่งตรองถึงเนกขัมมวิตกมาก เธอก็จะละกามวิตก เสียได้ ทำเนกขัมมวิตกอย่างเดียวให้มาก จิตของเธอก็จะน้อมไปเพื่อเนกขัมมวิตก ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ถ้าภิกษุยิ่งตรึกยิ่งตรองถึงอัพยาบาทวิตกมาก เธอก็จะละพยาบาทวิตกเสียได้ ทำอัพยาบาท- *วิตกอย่างเดียวให้มาก จิตของเธอก็จะน้อมไปเพื่ออัพยาบาทวิตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุยิ่ง ตรึกยิ่งตรองถึงอวิหิงสาวิตกมาก เธอก็จะละวิหิงสาวิตกเสียได้ ทำอวิหิงสาวิตกอย่างเดียวให้มาก จิตของเธอก็น้อมไปเพื่ออวิหิงสาวิตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน คน เลี้ยงโคจะต้องรักษาโคทั้งหลาย ในที่ใกล้บ้านในทุกด้าน เมื่อเข้าไปสู่โคนต้นไม้ หรือไปสู่ที่ แจ้ง จะต้องทำสติอยู่เสมอว่า นั้นฝูงโค [ของเรา] ดังนี้ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราก็ ฉันนั้น ต้องทำสติอยู่เสมอว่า เหล่านี้เป็นธรรม [คือกุศลวิตก] ดังนี้.

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรานั้นไม่ประมาท มีความเพียรเครื่องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ เนกขัมมวิตก ย่อมบังเกิดขึ้น เรานั้นย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า เนกขัมมวิตกนี้เกิดขึ้นแก่เราแล้วแล ก็แต่ว่า เนกขัมมวิตกนั้นไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นไปเพื่อเบียด เบียนทั้งสองฝ่าย เป็นทางทำให้ปัญญาเจริญ ไม่ทำให้เกิดความคับแค้น เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั้นอยู่ตลอดคืนก็ดี เราก็ยังมองไม่เห็นภัย อันจะบังเกิดแต่เนกขัมมวิตกนั้นได้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถึงหากเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตก นั้นอยู่ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันก็ดี เราก็ยังมองไม่เห็นภัยอันจะบังเกิดขึ้นจากเนกขัมมวิตก นั้นได้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั้น ตลอดทั้งกลางคืน และกลางวันก็ดี เราก็ยังไม่มองเห็นภัยอันจะบังเกิดขึ้นจากเนกขัมมวิตกนั้นได้เลย ก็แต่ว่า เมื่อเราตรึกตรองอยู่นานเกินไป ร่างกายก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อร่างกายเหน็ดเหนื่อย จิตก็ฟุ้งซ่าน เมื่อจิตฟุ้งซ่าน จิตก็ห่างจากสมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแลดำรงจิตไว้ในภายใน ทำให้สงบ ทำ ให้เกิดสมาธิ ประคองไว้ด้วยดี ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะปรารถนาไว้ว่า จิตของเราอย่าฟุ้งซ่านอีกเลย
     
  4. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    อ่าา พระศาสดามาตอบให้แล้ว ขอบคุณคร้าบบบ
     
  5. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ที่ จขกท เอามาเล่าให้ฟัง ก็เห็นว่าบางส่วนก็เป็นการพิจารณาเรื่องของธรรมครับ
    แต่ว่า เราก็อาจจะไม่ต้องพิจารณาไปเสียทุกเรื่องก็ได้ครับ ไม่เช่นนั้น จากการเดินปัญญา จะกลายเป็น อุทธัจจะ เป็นนิวรณ์พาคิดเสียมากกว่า

    การพิจารณาเดินปัญญาที่ถูกต้องนั้นจะเกิดก็ต่อเมื่อ เราพิจารณาทุกข์ของตนเองขณะนั้น เช่น กำลังทุกข์ใจ ก็ยกขึ้นพิจารณาว่า สาเหตุนั้นมาจากไหน ทุกข์ส่วนไหน ดับตอนไหน แล้วจึงใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา ดับทุกข์ในขณะนั้นลงไป

    แต่ถ้า เห็นสิ่งภายนอกแล้วเราพิจารณาไปเรื่อยๆ เราเห็นเรื่องภายนอก แต่ไม่เห็นทุกข์ในตน
    การพิจารณาจึงอาจเป็นไปตาม นิวรณ์ ผลักดันออก
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมมองที่การออกมาโพสต์กระทู้นี้มากกว่านะครับ มองว่าเป็นเรื่องของจิตเกิดชั่วคราว เดี๋ยวก็หาย ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ลองสังเกตดู สมัยก่อนเวลาผมโกรธเพื่อน เถียงกัน จบไปแล้ว วันนั้นผมจะยังขุ่นใจไม่หาย ถึงขั้นนอนไม่ค่อยหลับเลย แต่พอได้หลับจริงๆ เมื่อไหร่ ตื่นมาจะหายสนิทเลย สังเกตเห็นชัดๆ คิดแล้วเป็นวันเชียวหรือกว่าจะดับสนิท

    จิตเกิดก็รู้ว่าจิตเกิด ถ้าลากไปยาว ควรจะรู้จักควบคุมอาจจะด้วยการข่มหรือการพิจารณา เป็นการดำเนินชีวิตที่ไม่ประมาทครับ สมาธิในรูปแบบไม่ควรทิ้ง เคยสังเกตว่าวันไหนทำสมาธิมาบ้าง วันนั้นฟุ้งก็จะรู้ตัวเร็วจึงไม่ค่อยฟุ้ง วันไหนไม่ทำเลย ฟุ้งมากกว่า สังเกตได้บ่อยๆ

    ตื่นนอนเห็นความคิดหรือจมไปกับความคิดมีสองแบบนะครับ หรือสลับกันไป จริงๆ มีอะไรให้เรียนรู้เยอะ และดูเหมือนว่า ถ้ามีอุปนิสัยตั้งใจจริง มันจะกระชับสั้นเข้ามาๆในการรู้การดูการสังเกตมากขึ้น

    ราคะความกำหนัดมีรายละเอียดเยอะเหลือเกิน ไม่ใช่แค่อร่อยจากเรื่องนั้นเรื่องเดียว ดูเหมือนจะได้ยินหลายคนพูดทำนองเดียวกันนี้แหละ ก่อนบำบัดกับหลังบำบัด เป็นอย่างนี้ทุกที ปลง มันก็เป็นเช่นนั้นเองครับ ทำไมบวชพระจึงเว้นได้ มันเป็นเรื่องของอะไรแน่ ผมแค่ตั้งข้อสังเกตบางอย่างในเรื่องนี้เฉยๆ ครับ

    ตกลงจิตเกิดแล้วดับหรือยัง หรือกลายเป็นว่า ต้องมีภาระในการสนทนาต่อเรื่อยๆ เพราะหลงทำกรรมบางอย่างไปแล้ว ก็ต้องยอมรับในวิบากไปตามเหตุปัจจัยครับ (ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ)
     
  7. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เห็นหน้าอริเก่าแล้วอารมณ์มันขึ้น
    เลยเดินไปกระทืบมันจนหนำใจ
    เสร็จแล้วก็มานั่งคิดๆไป
    เอ ไม่น่าไปทำเค้าเลยเนาะ
    กิเลสนี่มันแย่จริงๆ
    ถ้าแบบนี้ดี
    พระพุทธองค์จะทรงบัญญัติศีล๘
    ข้อ๓ ว่าด้วยการประพฤติพรหมจรรย์
    ทำไมล่ะครับ แต่ก็เอาเถอะ
    คุณออกตัวไว้แล้วนี่
    ไม่ใช่พระ ไม่ได้เน้นอะไรมากมาย
    ไปแบบสบายๆ สายชิล
     
  8. เร่งธรรม

    เร่งธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2016
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    ปัจจุบันผม ก็ประสบณ์ปัญหานี้เช่นกัน บางครั้งก็คล้ายๆจะมองร่างกาย ทรดทรงว่าเป็นสิ่งไม่สวยงามอย่างแท้จริง แต่จนแล้วจนรอด ก็ต้องป้อนให้มันจนได้ ท่านๆผู้มีประสบการณ์ ทั้งหลายถ้ากรุณาแนะนำ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เมื่อคืนของวันที่ 4เมย...เมื่อคืนวาน ผมนอนฝัน ว่า คนที่ผมเกลียด เขามาโกหกเมียผมว่า ผมอนุญาติให้เขามายืมเงินได้ ทั้งที่ผมไม่ได้รู้เรื่อง ในฝัน เมียผมก็ให้เขายืมไป โดยมีชายอีกคนที่ผมรู้จัก เป็นคนพามา...ผมไใพอใจมาก โกรธเลยล่ะ ผมได้เข้าไปซ่อมชายคนที่พามา..แล้วตามไปที่บ้าน ชายที่มาหลอกยืมเงิน...เขากำลังอาบน้ำในห้องน้ำชั้นสอง แม่เขาอยู่ข้างล่าง...ได้ยินเสียงชายคนนั้น ฮำเพลงอารมณ์ดีในห้องน้ำ...ผมก็บอกให้แม่เขากับคนแถวนั้น หลบไป..ผมเอาน้ำมันราด ทั่วๆ แล้วขีดไใขีดจุดไฟ...แล้วผมก็หลบออกมา อย่างสะใจ

    สักครู่ ผมตื่นจากฝัน ได้ยินเสียงหมาเห่า หมาหอน...จึงระลึกถึงความฝันที่ผ่านมา ว่า...โห ตัวเองทำไมถึงทำลงไปแบบนั้นได้ ก็แค่เงินแค่นั้น..เรานี่โหดร้ายเกินไปแล้ว..ก็เลยระลึก ย้อนในความฝัน กรอความฝันกลับ ไม่จุดไป ไม่ราดน้ำมัน..ไม่โกรธ..ไม่มีเจตนาจะเผาด้วยไฟแบบนั้น...จึงรู้สึกว่า ตนเอง ไม่ชั่วร้ายลงได้บ้าง
    ...
    เมื่อหลับต่อ..ก็ฝันว่า มีคน เอาเงิน ร้อยล้าน พร้อมรถเบนซ์ มาให้...เงินร้อยล้าน เซ็นรับด้วยนะ เออ ฝันแบบนี้ ค่อย มีความสุขหน่อย...
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ส่วนเรื่อง ที่ เจ้าของกระทู้ เล่ามา

    จากประสบกาม ของตัวเอง...การกลับมาระลึกรู้ทัน ดูอารมณ์ การเสพ กามของตนเอง แล้ว เบื่อหน่าย ว่า มันก็เท่านั้น....ผมก็เคยทำประจำ

    แต่ก่อน เมื่อตอนมีอารมณ์หิว มากๆ ก็นอนกับเมีย ดูจะเห็นว่า เมียนี่ สำคัญ จำเป็น ขาดไม่ได้ ต้องเสพ ...พอเสร็จกิจ เท่านั้นแหล่ะ..แทบจะหันหลังเลย
    สมเพชตัวเองที่...ช่างเป็นไปได้ถึงขนาดนี้...จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง

    มันเหมือน ตอนหิวข้าว มีอารมณ์หิวมาก โกรธ ไม่ได้ดังใจ พยายาม ทำทุกอย่าง เพื่อสนอง ต่อ ความอยากนั้น จนระรานคนอื่นไปทั่ว..พอกินอิ่ม ค่อยย้อนกลับมา พิจารณาในการกระทำ อารมณ์ ที่ผ่านมาของตน ..ดูแล้ว เรานี่ ช่าง ทำไปได้แบบนั้น...งี่เง่า พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ตน อีกแล้ว หรือนี่

    ...
    มาช่วงหลัง นกเขามันไม่โด่..ไม่แข็ง ก็พยายาม ปลุกปั่นมัน..เพื่อจะเสพกามกับเมียให้ได้อีก ก็ไม่ได้...เหมือนมันขาดการตอบสนองจากร่างกาย..(เพราะผมเคยอธิฐานขอว่า ให้ล้มไม่รู้โด่)...มันเลย เป็นตามที่ขอ

    แต่ก็พยายาม ปลุกมัน ทั้งดูรูปโป้ หนังโป้...แต่อารมณ์ร่วมจากร่างกาย และใจ..มันเหมือน มันไม่มีอารมณ์ ร่วมเลย...แต่...เราก็จะเห็น...ในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งหมด แต่ต้น จนจบ...ก็ แค่นี้เองหรือ...ที่ทำได้
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ตอนนี้ มองเห็นใคร ก็ ไม่มีอารมณ์...จะกอดเมีย หอมเมีย ก็ดูตัวเอง...เอ ตกลง ตัวเรามัน..ไม่ใอารมณ์ เลยรึเนี่ย......
    ..
    ดังนั้น จาก ประสบกามของตัวเอง...ตัวผมเอง ก็ยอมรับว่า เรื่องกาม..หญิงชาย..เป็นเรื่อง เป็นด่าน ที่ ผ่านได้ยากจริงๆ..ของโลกวัฏะสงสารนี้...ขนาดผมยังต้อง อธิฐานขอ ให้ล้มไม่รู้โด่...เพราะมัน เป็นอารมณ์ ที่ ตัวเรา กดข่มไม่ลง ได้เลยจริงๆ...

    คงต้อง เสพให้มาก จนเหนื่อย จนเบื่อ จนพอ จนตัวเองเห็นโทษภัย ที่เกิดขึ้น กับตัวเอง และ อาจถึงไปเบียดเบียน คนอื่นด้วย ความคิด...ที่ไม่รู้จักพอ ก็เป็นได้...ผมรอดมาได้ เพราะ ไม่โด่..ขึ้นมาเอง ในวันนึง

    ดังนั้น เรื่องนี้ สำหรับคนอื่น..มันก็คงเป็น ต้นเหตุของกรรม ความอยาก ความเบีนดเบียน ความไม่รู้จักอิ่ม จักพอ..ของคนทั้งหลาย..ได้...จนต้อง เป็นผู้ที่มักพ่ายแพ้ ต่ออารมณ์ ตนเอง..จนอาจลืม บาป กรรม ..ได้ทั้งนั้น

    กามภพ หนอ กามภพ....มิน่า..ชายหญิงทั้งหลาย ล้วนต้องมาจม..เวียนวน ในปลักนี้ ใาแล้ว นานแสนนาน
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดังนั้น จากที่ตนเอง ผ่านมาแล้ว
    จึง พอสรุปได้ว่า...ถ้าตัวเราเองพอมีสติรู้ตัวทัน ในทุกการเสพ อารมณ์ใดใด นั้น...ย่อม สามารถ เป็นเหมือน การได้ส่อง กระตก ในเงาสะท้อน ที่ทำให้ได้เห็น ความจริงของตนเอง..(ความทุเรศ ความน่าสมเพช น่าสังเวท ) ที่ตนเองต้อง ลุ่มหลง เมามัน ไปกับ ทุกการเสพอารมณ์ เสพกามทั้งหลาย...ที่ตนเองเป็น ทำ ลงไป...
    ยิ่งเมื่อตนเอง ระลึกรู้ทันเสมอ ประจำ (เสพให้มาก รู้ทันให้มาก) ก็ย่อมนำมาซึ่ง ความน่าเบื่อหน่าย ละอาย ในตนเอง...เหมือน ได้เห็น ตนเองตกต่ำ เป็นผู้พ่ายแพ้ ต่ออารมณ์ ที่เกิด..ในตน...อย่างน่า เวทนา ละอาย เป็นอย่างยิ่ง

    ผมจึง รู้ว่า...การที่ตนเอง ฝึกสติรู้ทัน ตนเองได้นั้น...มันมีข้อดี ในการนำมาใช้ ..รู้ทันในทุกอารมณ์ที่เกิด..กับตัวเอง จึงทำให้ เรา ไม่หลง เลิกหลง พอ เข้าใจ ในความเป็นจริง..มาได้นั่นเอง
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    เหตุปัจจัยเป็นตัวกำหนดสภาวะต่างๆ
    สภาวะไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สภาวะ

    การถอนอัตตาเป็นเรื่องทำไม่ได้อย่างแท้จริง
    ตราบจนเห็นรูปเห็นนามชัดเจนครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ อือ... แสดงว่า "อทิถานริด" แรงดี จึงเกิดอาการ "ล้มไม่รู้ลุก"
    +++ อือ... "ล้มได้" ตามความตั้งใจแล้ว "พ้นทุกข์" หรือไม่ แล้วแต่การ ตัดสินใจก่อนการอฐิษฐาน นั่นเอง
    +++ เอ... อาการตรงนี้ เขาเรียกว่า "อนาคาหมด หรือ อนาคามี" กันแน่นะ หรือว่าจะเป็น "อนาถคาหนี้" เพราะ "เวลาจะใช้ มันไม่ยอมมีเพื่อให้ใช้" กันแน่
    +++ เขามีแต่คำพูดที่ว่า "สูงสุดสู่สามัญ" แต่ในเวปนี้มักจะกลายเป็น "สูงสุดสู่สัตว์ประหลาด"

    +++ รู้สึกว่าทั้งเวปนี้ "ฝึกจิตแบบ พอสำเร็จแล้วจะ วิปริตผิดอาเพศ ไปกันหมด"
    +++ เหมือนกับว่า ฝึกเสร็จแล้ว "ความเป็นคนหายไป เหลือไว้แต่ ตัวประหลาด" เท่านั้นเอง หุหุ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ก้อทำ "จิตส่งออก โดนการ นั่งมโนเอาเอง" เดี๋ยวอารมณ์มันก้อมา จากนั้น เดินจิตให้ไหลไปตามอารมณ์ เดี๋ยวมันก็มีเองแหละ ตรงนี้เรียกว่า "ส่งจิตออกไปใน กามาวจร" แล้วแต่จะไหลไปที่ใด

    +++ ถ้าปรุงแล้วถูกใจก็เรียกว่า "กาเม สุ จารา" ถ้าผิดใจก็เรียกว่า "กาเม มิจฉา จารา"

    +++ แต่ในศีลข้อที่ 3 กล่าวว่า "กาเม สุ+มิจฉา จารา" สามารถ "ก่อเวร ก่อกรรม" ได้ทั้งนั้น (เวรมณี) ดังนั้นให้ควรระวัง "สิกขาบท" ตรงนี้ให้ดี ๆ นะ

    +++ จิตส่งออกของมนุษย์ในโลกนี้ "ล้วนส่งออกไปใน กามาวจร ทั้งสิ้น" เพราะมนุษย์อยู่ใน "กามาวจรภูมิ"

    +++ การทำตัวให้ "วิปริตผิดอาเพศ" มันจะก่อให้เกิด "วิปปะยุตตาธัมมา" คือ เข้ากันไม่ได้ incompatible

    +++ เมื่อทำตัวให้เข้ากับ กามาวจรภูมิ มนุษย์ภพ ไม่ได้ ไม่นาน อาการ "จากไปเพราะเข้ากันไม่ได้ (ตาย)" จึงเกิดขึ้น

    +++ หลังจากนั้น "นิสัยที่วิปริต อันเกิดมาจาก การฝึกที่มโนเอาเอง" จะส่งผลให้ทำอะไรที่ ผิด ๆ ไปอีก นานแสนนานตามกระแสวิบาก

    +++ ดังนั้น อย่าพยายามไปเอาตามแบบ กระทู้วิปลาศ ที่หมดสมรรถนะทางเพศ หรือ พวกกระทู้ กามวิปลาศ เลยนะ

    +++ ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงเป็น "สัมมาทิฐิ" นอกนั้นเป็น "มิจฉาทิฐิ" ทั้งหมด

    +++ ด้วยความปรารถนาดี เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้.......
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ท่านทำมะซาด....

    ตอนนี้ก็ ไม่ทุกข์ร้อนอะไรนะ มีฟามสุข ดี ...สมปรารถนาทุกประการ...
    ผมไม่วิปลาศ แน่นอน....เพราะ ..ไม่มีสิ่งใด จะไปวิปลาศได้อีกแล้ว..แบบว่า มี่สุดของบ้า แล้วล่ะ

    ตามที่คุณแนะนำ เรื่องสมุทัย...เคยทำ แต่ ร่างกายมันไม่สนองครับ อารมณ์นี่บิ๊วสุดๆ แต่ มันเหมือนขาด วิญญาณ ขาดรสชาด...น่ะสิ มันแห้งแล้ง ซะงั้น

    ก็ ทำดู ก็ได้รู้ ว่า...ไม่ได้อะไร ...

    ตอนนี้ ก็ สบายดี ตามสังขารที่ ต้อง เสื่อมไปตาม กาล
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เรื่องความวิปลาศ หลงไปกับตัวเองนี่...ผมไม่หลงอีกแล้ว
    แต่กับคนอื่น ผมว่า ถ้ามาเจอ อย่างผม คง วิปลาศได้ ง่ายๆ
    เพราะผมเนี่ย...ไปดู ไปรู้ ไปเห็น มามาก จน แทบจะหลงว่าตนเองเป็นพระเจ้า...ไปเลย..เพราะมันทะลุ จักรวาล ซะจริงๆ

    ผมมั่นใจ ว่าผมไม่วิปลาศเพราะ ผมเอาชนะใจ รู้จักใจ รู้ทันความคิด...จิตอนัตตา กายใจก็อนัตตา...แค่เสียเวลา ต้อง กลับมา อยู่กับรูปนาม ให้ได้ ตามปกติ ของมนุษย์ เท่านั้น ...แต่ก็ไม่ง่าย

    คนส่วนมาก ที่พ่ายแพ้ต่อ ใจ ความคิด ของตนเอง...นี่น่ากลัว เพราะ ตัวใจจริงๆ ถ้า ไม่รู้จักมัน...ก็ได้แต่ โทษว่า มันคือตัวทุกข์ ได้เช่นกัน

    เอาเป็นว่า ชำระจิตอวิชชาให้ได้ ปล่อยวางกายใจให้ได้...ค่อย กลับมาเป็นตัวเองจริงๆ อีกครั้ง...แบบผม ...มันโคตรจะ ...ทะลุจักรวาล แล้วล่ะ

    สุดท้ายก็ เพียง รับมือกับ โลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วย อวิชชา..ด้วยปัญญา ให้ได้
    ถือว่า...สนุกดี
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    นักปฏิบัติควรมีระบบวิธีคิดประมานนี้
    มันถึงจะก้าวหน้าได้ในทางธรรมและการปฎิบัติคือรู้จักยอมรับตามความเป็นจริง
    แห่งสภาวะตนเอง ถึงเรียกได้ว่า
    มีอนาคต ที่จะพัฒนาคุณภาพทางจิต
    ของตัวเองได้
    มาแบบนี้ใครๆก็อยากแนะนำ
    อยากสนทนาด้วย
    ไม่มีใครอยากอัดครับ
    ปล. บอก จขกท. ครับ
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อย่างคืนวันที่4 เมย ตอนที่ฝัยว่ามีคนเอาเงิยมาให้ร้อยล้าน พร้อมรถเบนซ์
    ตอนนั้น เหมือนมี หุ่น ยนต์ ปะหลาด ตัวนึง มันเปิดหน้ากาก ออกมา หน้าตาเหมือน ตั๊กแตนตำข้าว ยื่นหัวมา สื่อสารกับผม แล้วก็มีปากยาวๆเหมือนยุง แทงออกมาขากปาก ทะลุเข้ามาที่หัวใจของผม เหมือนมันทำการ ยัดข้อมูล หรือรักษา อะไรก็ไม่รู้ นานนิดนึง จน เสร็จ ...นั่นแหล่ะ

    ผมมักจะฝัน แปลกๆ ประจำแหล่ะ....
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ อือม์... ตรงนี้ชี้ว่า "สิ่งที่ปรุง กับ อารมณ์" มันไม่เข้ากัน อาการ "โด่" จึงเป็น "โมฆะ" (สัญญา+สังขาร incompatible กับ ธรรมารมณ์)
    +++ ตรงนี้ "เป็นความจริง" เพราะไม่สามารถขาดจาก "นิสัย + วาสนา" ได้
    +++ ตามลักษณะแห่ง "การเดินจิตที่แท้จริง" คำพูดในบริเวณนี้ถือว่า "ถูกต้อง" ทั้งหมด

    +++ 1. เมื่อ "สติบริสุทธิ์" มีอยู่ สภาวะที่เรียกว่า "อัตตา" ย่อมถูกรู้ และ แยกตัวออกไป (ภาษาในพระไตรปิฏก คือ วิมุติญาณทัศนะ)
    +++ 2. เจตนาสุดท้าย คือ "ดับ" ตรง "อัตตาที่ถูกรู้นั้น" จากนั้น อาการที่สืบเนื่องแบบ "ไร้เจตนา รวมทั้ง กิริยาจิต" จะไม่ปรากฏอีกต่อไป
    +++ 3. อาการที่ตามมาโดยธรรมชาติ คือ อาการ "คลายตัวของอัตตา" จากนั้นก็ "ปล่อย" ให้มันอยู่อย่างนั้น
    +++ 4. อาการที่เหลืออยู่เองโดยธรรมชาติ คือ "สภาวะรู้" ที่ไม่สามารถ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย รวมทั้ง ทุกข์ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ก็เป็นไปเองตามธรรมชาติ

    +++ ส่วนเรื่อง ทะลุจักรวาล นั้น เมื่อ "อัตตา" แยกตัวออกไป ก็ปล่อยให้มัน แยกให้ "ไกลไปเรื่อย ๆ" โดยไม่มีการ "ดับ หรือ หยุด" แต่ประการใดทั้งสิ้น

    +++ 1. ปล่อยให้มัน แยกไกลขึ้นเรื่อย ๆ จน "พ้นจากแรงดึงดูดของมัน (แรงของ อุปาทาน สิ้นอิทธิพล)"
    +++ 2. สังเกตุ รู้ "สภาวะล้อมรอบ" ที่อยู่ "รอบนอก" ของแรงดึงดูด (อุปาทาน) นั้น ๆ และ แน่นอน "ความเป็น อัตตา หมดอิทธิพลไปแล้ว"
    +++ 3. ปล่อยให้เป็น "สภาวะรู้" และ "รู้ไปตามความเป็นจริง" อยู่อย่างนั้น จนออกไปพ้นจาก อาณารัศมีขอบเขตของ "อัตตาและแรงดึงดูดของมัน" ทั้งหมด
    +++ 4. ถึงตรงนี้ก็จะ "รู้" ได้เองว่า อะไรคือ "โลกธาตุ" และอะไรคือ "วัฏฏะสังสาร"

    +++ ส่วนเรื่อง ชำระอวิชชา นั้น จำเป็นที่จะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า อวิชชา ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอย ๆ มันมีเหตุเกิดของมันอยู่

    +++ ให้สังเกตุ "รู้" หลังจากอาการ "ดับ คลาย ปล่อย" ปริวัติคลายตัวเรียบร้อยแล้ว
    +++ ให้ รู้ อยู่อย่างนั้น จนกว่าจะ "สิ้นสงสัย" ว่า "อาการ รวมตัว ย้อนกลับมากำเนิดเป็น ตน มีวิวัฒนาการอย่างไร"
    +++ ตรงนี้จะชัดเจนได้เองว่า "การออกจาก นิโรธสมาบัติ มีความเป็นมาอย่างไร" ด้วยเช่นกัน
    +++ และท้ายสุดก็จะเข้าใจในคำพูดของพระพุทธเจ้าได้เองว่า คำว่า "ธรรมะของเรา เป็น อณู" ได้ชัดเจนเอง

    +++ ส่วนเรื่อง ไตรภพภูมิ นั้น ต้องเป็น "สภาวะรู้" จากนอก วัฏฏะสสาร แล้ว ค่อย ๆ ตามแรงดึงดูดของ อุปาทาน เข้ามาใน วัฏฏะ (อาการหมุนวน)

    +++ จากนั้นให้ รู้ สภาวะที่ "แรกเริ่ม" ก่อกำเนิดสิ่งที่เรียกว่า "กาย" เสียก่อน และ กายแรกเริ่มนั้น ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูป" และ "ตัวเนื้อกายนั้น คือสิ่งที่เรียกกันว่า อรูปฌาน นั่นเอง"
    +++ ให้เป็น "สภาวะรู้" แล้ว ตามแรงดึงดูดต่อไป ก็จะเริ่มชัดเจนได้เองว่า สภาวะ กายอรูปที่ไร้ขอบเขตนั้น เริ่มโดน "แรงดึงดูด" บีบอัดตัวจน "ขอบเขตของกาย เกิดขึ้น"
    +++ ตรงนี้ "กายที่มีขอบเขตนั้น ยังเป็น อารมณ์เดี่ยว อารมณ์เดียวอยู่" ตรงนี้คือ "กายรูปาวจร" ทุกอย่างยัง "รับรู้ด้วย อายตนะอันเดียว" จึงถูกเรียกว่า "ขันธ์เดี่ยว" นั่นแล...
    +++ ลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนการรับรู้ "เริ่มแยกแผนก" ออกมาเป็น รู้ด้วย ตา-หู เป็นต้น ตรงนี้เป็น "สฬายตนะ ในปฏิจจะสมุปบาท" และตกลงสู่ "กามาวจร" เรียบร้อยแล้ว

    +++ หากต้องการที่จะ "รู้แจ้งแทงตลอด" ในบริเวณนี้ ก็ให้ทำทั้ง "ตาม และ สวน" กระแสแรงดึงดูดของอุปาทานไปจนได้นิสัย ก็จะ รู้ ทั้งหมดได้เอง

    +++ อีกประการหนึ่งที่จะ "ชัดเจน" ได้เอง คือ ตรงนี้ "สังขารจิต จะไม่สามารถเกิดขึ้น ได้เลย"
    +++ และตรงนี้เองที่คำว่า "ญาณทัศนะ" จะเป็นไปด้วยความถูกต้องทั้งหมด
    +++ "นิมิต และ มโนเอาเอง" จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในชั้นที่ "ไร้อัตตา" ตรงนี้

    +++ หากไม่ปรารถนาที่จะทำ แต่สามารถ "แยกอัตตาได้" ก็ให้ "ระเบิดอัตตานั้นทิ้ง อย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้" เมื่ออาการ "วาปจ้า" เกิดขึ้น ก็ให้อยู่และ "รู้" ในความเจิดจ้านั้น
    +++ ทำให้ได้นิสัย แล้วค่อย ๆ เปรียบเทียบกับคำว่า "ไกวัลยธรรม" ของหลวงพ่อ พุทธทาส เอาเองว่า "ตรงกันในทุก อักขระและพยัญชนะ หรือไม่" (กูเกิ้ลเอา)
    +++ ปรากฏการณ์อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" จะปรากฏมาเองและไม่มี "บิดเบือนเป็นอื่น" ในสภาวะแห่ง "ไกวัลยธรรม" ตรงนี้
    +++ "อัตตา นิมิต มโน จิตตะสังขารขันธ์ ทั้งสิ้นทั้งมวล รวมทั้ง สังขตะธรรม" ทั้งหมด ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาวะของ "ไกวัลยธรรม" นี้

    +++ ที่โพสท์ลงมาในกระทู้นี้ เพราะเห็นว่า ปัจจุบัณขณะในเวปนี้ จะมีผู้ที่ "ทำได้" อยู่ 2 ราย แต่จะทำหรือไม่ ย่อมขึ้นกับ ความปรารถนาของผู้นั้นเอง

    +++ ผมทิ้ง "วิธีทำ" เอาไว้ให้แล้ว เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข และ เจริญในธรรม ของ "ผู้ที่ลงมือทำ" นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...