ขอเชิญทุกท่านและลูกหลานชาวล้านนาร่วมสร้าง"ท้าวรณกาจพนาสูรย์"แห่งเมืองเชียงใหม่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พชร (พสภัธ), 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    [​IMG]




    เมื่อ5-6ปีที่แล้วได้มีโอกาศไปที่หอสมุดแห่งชาติเพื่องานวิจัยบางอย่าง ด้วยความบังเอินได้ไปเจอหนังสือเล่มนึงเข้า เลยเปิดอ่านแบบผ่านๆ แต้ก็ต้องไปสดุดกับชื้อๆหนึ่งเข้านั่นคือ"ท้าวรณกาจพนาสูรย์" เหมือนมีมนย์สะกดให้อยากทราบประหวัดท่านอย่างประหลาด....

    แต่ด้วยเวลาที่น้อยกอบกับน้องที่บริษัทกำลังจะมารับเลยจำเป็นต้องลงไปรอข้างล่างอีกอย่างแผนก"รับพิมเอกสาน"ปิดแล้ว จึงจำเป็นต้องละจากหนังสือเล่มนั้นด้วยความเสียดายและมีความรู้สึกหว่งหาอาวรณ์ในชื่อ"ท้าวรณกาจ"เป็นอย่างมากๆ พอกลับถึงบ้านก็ยังคิดถึงท่าน อยากไปกราบท่านแต่ข้อมูลที่ทราบก็เพียงแต่ท่านอยู่เชียงใหม่ เลยตั้งจิตอธิฐานว่า.."หากว่าถ้ามีบุญเนื่องกับท่านท้าวและเคยเกิดเป็นลูกหลานท่านเคยเกิดเป็นคนเชียงใหม่(ที่ไม่ธรรมดา)...ขอให้ได้ไปกราบไหว้ท่านในเร็ววันนี้ "

    หลังจากนั้น3วันได้มีโอกาสไปหาเพื่อนที่บ้านเพือนเค้ามีหนังสือของ"โลกทิพย์"หลายเล่ม ก็เลยนั่งเปิดอ่านเล่น พอเปิดอ่านได้เล่ม2เล่ม ไปเจอสารบาญเขียนว่า"ท้าวรณกาจย์พนาสูรย์" ท่านทั้งหลาย...ตอนนั้นมีความรู้สึกตัวชา ขนหัวลุกไปหมด ทีนี้ได้อ่านสมใจแล้วได้ข้อมูลทุกๆอย่าง พออ่านจบตั้งใจอธิฐานอีกว่า...."หากต้องการให้ลูกไป...ขอได้โปรดให้ได้ไปเชียงใหม่โดยเร็ววัน.."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2008
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    รอตอนต่อไปครับ...ตื่นเต้นตาม
     
  3. karain

    karain เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    639
    ค่าพลัง:
    +707
    เอาใจช่วยครับ เป็นยังไงมาเล่าให้ฟังหน่อยนะครับ
     
  4. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ด้วยความบังเอิญหลืออนุภาพของท่านท้าวก็ไม่ทราบ ลูกค้าที่เชียงใหม่โทรมาสั่งของและอยากดูของ(ตัวเรือนทอง)เลยได้ขึ้นไปเชียงใหม่สมใจจริงๆ ทีนี้เลยหมดความสงใสในองค์ท่านท้าวอย่างหมดใจ... พอไปถึงเชียงใหม่ก็รีบๆไปทำธุระให้เสร็จแล้วหาทางไปที่ศาลท่านท้าว โดยเรียกรถ"รับจ้างสีแดง"ไปที่ศาลท่านที่"กรมสรรพสานมิต(โรงกลั่นเหล้าเก่าที่ช้างคราน)...พอไปถึงดีใจมากๆดีใจสุดๆมันเหมือนฝันจริงๆ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เกิดขึ้นถายในหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น
     
  5. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    พอไปถึงที่ ก็มีผู้ชายวัยกลางคนเดินมาหา เพราะเรามาแบบเก้งๆกังๆ เพราะไม่รู้จักใคร พี่ผู้ชายเดินมาแนะนำตัวว่าเป็น"ผู้จักการ"ดูแลอยู่ที่นี้ และได้ถามไถ่ว่ามายังไงและใครแนะนำมา เลยเล่าให้พี่เค้าฟัง พอฟังจบพี่ผู้จัดการก็หัวเราะบอก นี่โดน"หมายเกณฑ์"แล้ว ท่านท้าวท่านชอบไปเข้าฝันนายทหารระดับ"บิกๆ"ในก.ท.ม ให้มาหาท่านหลายคนแล้ว ฟังเสร็จตาแดงเลย ความรู้สึกตอนนั้นตื้นตันใจสุดๆ คิดในใจว่า.."ที่เราอธิฐานว่า...ถ้าเป็นลูกเป็นหลานขอให้ได้ไปหาในเร็ววัน" แต่ยังมีอีกสิ่งนึงที่อธิฐานคือ.."หากเราเป็นคนสำคัญที่เมืองเหนือเคยเกิดที่นี่ ขอให้ได้มีเหตุการเพื่อยืนยัน" ...

    ก่อนวันที่จะกลับกรุงเทพลูกค้าได้ชวนไปกราบพระคู่บ้านคู่เมืองที่วัดเชียงมั่นนั่นคือ พระเสตังคมณี หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่าพระแก้วขาวและพระศิลา...สังเกตุเห็นพระเสตังนั้นเป็นพระที่สวยสดงดงามมาก เครื่องทรงท่านไม่มีมีแต่ฉัตรทองคำอยู่เหนือเศรียนถ้าได้สายสังวาลสวยๆสักเส้นก็จะสมบูรณ์แบบจริงๆ
    พอวันสุดท้ายที่จะกลับกรุงเทพเหลือเวลาอีก2-3ชั่วโมงก็จะต้องขึ้นเครื่องกลับแล้วบอกเพื่อนที่มาด้วยว่าให้ไปรอที่สนามบิน ส่วนโตขอไปทำธุระเดียวตามไปที่สนามบินเอง........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2007
  6. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    คุณโตค่ะ พี่ถามน้องสาว เค้าบอกว่า ศาลของท่านมี 2แห่ง คือที่ร่มหลวง ป่าแดด อีกที่ ค่ะ แต่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดค่ะ
     
  7. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    [​IMG]
    โตย้อนกลับไปที่วัดเชียงมั่น เดินไปหาท่านเจ้าอาวาส เรียนท่านว่า "สร้อยผมเป็นสามกษัตย์หากทำเป้น"สังวาล"ถวายพระเสตัง จะทำให้สวยงามมาก ผมขอถวายสร้อยนี้เป็น"พระสังวาลพระเสตังคมณี" ท่านเจ้าคุณท่านถามว่า.."เป็นของจริงไหม?" ตอบท่านไปว่าเป็นของจริง ท่านพูดต่อว่า..."การที่จะทำอะไรกับพระเสตังเป็นเรื่องใหญ่เพราะว่าพระเสตังเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ต้องมีกรรมการเห็นชอบจึงจะเปิดที่ประดิษฐานพระเสตังได้.....

    ฟังท่านพูดก็จิตตกคิดไปว่า..."เราคงไม่มีบุญวาสนา..." พอดีเหลือเกินว่ากรรมการผู้ถือกุญแจอยู่ในวัดพอดี ท่านเจ้าคุณเลยเรียกประชุมด่วน...ในที่สุดทุกท่านก็เห็นชอบด้วยเพราะว่าสายสร้อยของโตพอดีกับพระเสตังเลยทีเดียว

    ทุกคนเข้าไปที่วิหารพระเสตัง(พระแก้วขาว)ท่านเจ้าคุณไล่พู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากวิหารเหลือโต-ท่านเจ้าคุณ-และกรรมการ แล้วปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ไขกุณแจที่ประดิษฐานพระเสตังทีละชั้นๆๆ จนถึงพระแก้วขาว เสียงเปิดดัง"ปังๆๆ" หัวใจแถบหยุดแต้น...

    ท่านเจ้าคุณบอกให้ขึ้นไปข้างบนแล้วค้องสายสังวาลถวายพระเสตัง(พระแก้วขาว)ด้วยมือ โตจับพระแก้วขาวด้วยหัวใจพองโตดูพระแก้วขาวอย่างใกล้ๆต่ามจุดต่างของพระแก้วขาวมีพระบรมธาตุอยู่ด้วย ฉัตรของท่านเป็นทองและเพชรเม็ดใหญ่ๆประมาน2-3Kต่อ1เม็ด ตอนนั้นโตเอาหัวจุ่มไปที่พระแก้วขาวแล้วเอามือจับพระแก้วขาวอธิฐานขอพรและทำเช่นเดียวกันกับพระศิลา.....

    สิ่งที่ได้อธิฐานกับ"ท่านท้าว"ก็เป็นจริงทุกๆอย่างทำให้ทราบอะไรๆหลายอย่าง ตั่งแต่นั้นมาก็ได้ไปกราบท่านท้าวบ่อยๆ ทุกๆครั้งที่ไปเชียงใหม่ก็จะได้ดีลูกค้าสั้งของมามากมายหลายๆแสนบางที่เป็นล้านก็มี.....ด้วยบรามีท่านท้าวจริงๆ

    เดี๋ยวจะเล่าประหวัดของท่านท้าว"รณกาจพนาสูรย์" เป็นเรื่องจริงจากปากของ พล.ท สมาน วีระไวทยะ ให้ได้รับทราบกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2007
  8. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ใช่ครับๆๆ (good)
     
  9. อปัณณกปฏิปทา

    อปัณณกปฏิปทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +276
    อ้าว กะลังตื่นเต้น
     
  10. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    "ท้าวรณกาจ"โดย พล.ท สมาน วีระไวทยะ

    เมื่อวันที่ 15 มิ.ย 2508 ข้าพเจ้า(พล.ท สมานวีระไวทยะ)ได้รับโทรศัพจากคุณสาย รัตนสมบัตติ แห่งกรมสรรพสามิต ซึ่งข้าพเจ้าเคารพท่านรักท่านมาก พี่สายแจ้งว่าจะมาพบข้าพเจ้าที่บ้านพร้อมกับคุณจรูญ ประกาศสุขการ (รองอธิบดีกรม ขณะนั้น) ด้วยมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับกรมสรรพสามิตจะมาขอปรึกษาให้ช้วยแก้ปัญหาลึกลับซับซ้อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้และไม่มีผู้ใดสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นได้

    ทุกท่านมาพบข้าพเจ้าพร้อมกันที่บ้านบางกะปิ ขณะนั้นบังเอิญมีเพื่อนนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของข้าพเจ้ากับภรรยาคือพล.อเฉลียว เสนาธิการ รร.นายร้อยจปร นะขณะนั้น..)

    คุณสายเล่าให้ฟังว่า เนื่องจาก บริษัท สุรามัชการ จำกัด ซึ่งมีคนจีนชื่อ(บ้วยหลือลัก) เป็นเจ้าของ เป็นผู้ประมูลการต้มกลั่นเหล้าของจ.เชียงใหม่จากกรมสรรพสานมิตได้ และบัดนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างโรงงานแต่เกิดมีอุปสรรคและอันตรายอย่างร้ายแรงถึงแก่ชีวิตขึ้นในสถานที่ก่อสร้างแห่งนั้นถึงขนาดผู้จักการตายไปแล้ว1 คนงานอีก2 ทำให้เสียขวัญไปตามๆกัน อีกทั้งรองผู้จัดการก็มาล้มใป่วยอย่างไม่มีสาเหตุ หากสร้างเสร็จไม่ทันจะทำให้ทางรัฐบาล(กรมสรรพ) ต้องขาดราบได้ไปปีละ10กว่าล้าน ขอให้ช่วยแก้ไขด้วย...
     
  11. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    "ท้าวรณกาจ"โดย พล.ท สมาน วีระไวทยะ (ตอนเสี่ยงเพื่อชาติ)

    เมื่อข้าพเจ้าได้รับฟังและทราบเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการชี้แจงและอฐิบายของบุคคลทั้ง3คือ คุณสาย คุณจรูญ และคุณเทียมแล้ว จึงพิจารณาว่าควรจะช่วยเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของหลวงหรือประเทศชาติที่ต้องสูญเสียไป เพราะงานต้องหยุดชะงักลง จะลองเอาตัวเข้าเสี่ยงดู ถ้าเป็นผลดีก็เสมอตัว และได้ชื่อว่าช่วยชาติ แต่ถ้าพลาดก็เสียชื่อ

    เมื่อข้าพเจ้ารับปากแล้ว จึงทำจิตเป็นสมธิติดต่อกับดวงพระวิญญานที่เชียงใหม่(บริษัทสุรามัชการ) อันเป็นที่เกิดเหตุ (โดยไม่มีเข้าทรงอะไรทั้งสิ้น) จากผลของการติดต่อกับดวงวิญญาณทางสมาธิจิต ทำให้ได้ทราบเรื่องต่างๆ ตามคำสนทนาโต้ตอบกันดังต่อไปนี้....

    ข้าเจ้า(พล.ท สมาน)- ขออัญเชิญดวงพระวิญญานท่านที่สถิดอยู่ ณ ที่สร้างโรงกลั่นสุราของรัฐบาล เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเพื่อทราบความต้องการของท่านว่า ท่านจะมีความประสงค์หรือปราถนาอย่างไร....
     
  12. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    "ท้าวรณกาจ"โดย พล.ท สมาน วีระไวทยะ

    เมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำเชิญแล้ว บัดนั้นเองก็บังเกิดมีเงาดำทะมืนสูงใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นข้างกายข้าพเจ้า แต่ก็ไม่เห็นรูปร่างหน้าตา และลักษณะท่าทางอย่างไร..

    ข้าพเจ้าจึงกล่าวในใจว่า ...ขอให้ท่านปรากฏรูปร่างให้เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเถิด เพื่อจะได้ทำความรู้จักและพูดจาโต้ตอบกันได้ถนัด สักครู่ เงาดำก็ค่อยๆปรากฏเป็นรูปร่างกำยำสูงใหญ่ในเครื่องทรงสีเขียว ข้าพเจ้าได้ถามท่านว่าคือใคร? มาจากไหน? ...

    ท้าวรณกาจ- เราคือ ท้าวรณกาจพนาสูรย์ ผู้ปรกครองดินแดนแคว้นอาณาจักรเวียงพิงค์มาตั้งแต่สมัยโบราณกว่า 2000ปีมาแล้ว เรามาตามคำเชิญขิงท่านเพื่อชึ้แจงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เนื่องจากการกระทำอันเลวทรามต่ำช้าของผวกโรงเหล้าที่เชียงใหม่ ชึ่งเราถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียบหยามเรามากตามที่พวกเขาได้เล่าให้ท่านฝังแล้ว วึ่งเราจะไม่ยอมยกโทษให้เลยและเรามีอำนาจที่จะลงโทษผู้ที่กระทำการหยาบช้าโอหัง บังอาจลบหลู่ดูหมิ่นเรา ตังที่ปรากฏมาแล้วทั้ง3คนนั้น...

    หากผู้ใดยังขืนกระทำการดูหมิ่นเราอีก เราจะไม่ไว้หน้า และจะไม่ปรานีแก่มันเลย แต่ถ้าผู้ใดเคารพให้เกียรติเราๆจะสนับสนุนช่วยเหลือให้เป็นสุขปลอดภัย และมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปทั้งส่วนตัวและครอบครัวและบริวาร
     
  13. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    "ท้าวรณกาจ"โดย พล.ท สมาน วีระไวทยะ

    พล.ท.สมาน- ท่านต้องการให้ปติบัติหรือกระทำอย่างไร จึงจะเป็นการลบล้างการกระทำที่ไม่ดีซึ่งพวกที่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นต่อท่านผู้มีคุณต่อแผ่นดินเชียงใหม่ เพราะบัดนี้ พวกมนุษย์ที่ได้กระทำพิดพลาดหยาบช้าต่อท่านไปโดยความประมาทเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการกระทำผิดอย่างอภัยให้ไม่ได้นั้นแล้ว และยอมปฏิบัตตามความประสงค์ของท่านทุกอย่าง (ลืมเล่าไปคนพื้นที่ช่วยกันทำลายศาลท่านพร้อมกับโยนศาลท่านทิ้งลงแม่น้ำปึงแถมยังป่าวร้องไชโยด้วยความดีอกดีใจที่ได้ทำลายศาลท่านอย่างเลือดเย็น)

    ท่านท้าวรณกาจ- ต้องสร้างศาลให้เราใหม่ การทำพิธีอัญเชิญนั้นไม่มีใครจะทำได้ เพราะจิตไม่ถึงเรา นอกจากท่านคนเดียวเท่านั้นถ้าให้คนอื่นมาทำจะเกิดยุ่งกันอีกจึงขอให้ท่านไปช่วยทำให้เรา ให้เสร็จภายในวันที่6 กรกฏาคม 2508 และให้ทำพิธีในวันที่10เลยทีเดียว ส่วนรูปของเราให้ไปเอามีพร้อมแล้วตรงกับที่เราต้องการ อยู่ที่ช่างแกะที่หางดง เป็นช่างแกะอายุ70ปีอยู่บ้านเลขที่....แล้วให้ไปตามที่เราสั่ง พอไปถึงให้มันเอาออกมา มันเรียกเงินเท่าไหล่ก็ให้มันไป....
     
  14. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ในที่สุดทางการก็ได้ทำการสร้างศาลให้ท่านพร้อมกับมีพิธีทางสงฆ์และพิธีบวงสรวงโดยพล.ท สมาน วีระไวทยะ เป็นคนเชิญประดิษฐาน ทราบมาว่าผู้ได้สัมปะทานทุกๆรุ่นจะมีแต่ความรำรวยมากจากท่านท้าวแล้วพากันดูแลศาลท่านรุ่นสู่รุ่น....จริงๆท่านเป็นท่านท้าวที่ใจดีมากๆหลายๆครั้งที่มีเหตุไม่สบายใจก็จะมาขอพรกับท่าน เพื่อนๆที่ทำjewellyก็ชอบมาหาท่าน ท่านเมตตาจริงๆ บางทีไม่สบายใจ นั่งเครื่องจากกรุงเทพมาไหว้ขอพรท่านแล้วก็กลับ ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผิดหวังท่านเมตตามากๆกับคนที่ศรัทธาท่าน"จากใจ"จริงๆ ...

    ที่เอาเรื่องของท่านมาลงให้ได้ทราบเพราะว่าเมื่อวันที่24(ลอยกระธง) ได้เป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่เชียงใหม่แบบไม่ได้ตั้งตัว คือทางวัดไม่มีกฐินเลยไปทอดพร้อมเพื่อนๆในweb palungjit.org แล้วเลยไปไหว้ท่านท้าว พอไปเห็นศาลท่านอีกที่ก็ใจเสียเพราะตลิ่งถูกน้ำใกล้จะแซะเข้ามาในศาลท่านอยู่แล้ว อีกอย่าง น้ำท่วมที่"ผู้จัดการ"ก็จะโทรมารายงานว่าดินโครนเข้ามาในศาล อีกอย่างเค้าจะยายกันแล้ว เพราะต้องคืนที่ให้หลวง จึงคิดกันว่าจะหาที่ใหม่สร้างศาล ถวายท่านท้าว เลยอยากจะถามท่านที่อยู่เชียงใหม่ให้ช่วยแนะนำวัดหลือที่ๆจะประดิษฐาน อนุเสาวรีย์ ถวายท่านได้ที่อยู่ในเมืองหลือใกล้เคียง เพื่อง่ายแก่ผู้เดินทางไปสักการะบูชา....
     
  15. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ดีใจที่คุณโอมเข้ามา ช่วยเป็นธุระให้ด้วยนะ สาธุๆๆ
     
  16. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    สาธุๆๆครับ คุณโอม ดีใจมากๆครับ:cool: :cool: :cool:
     
  17. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    เหตุการณ์เบื้องหลังความตายของพล..สมาน วีระไวทยะ
    โดย คุณทองทิว สุวรรณทัต

    พล..สมาน วีระไวทยะ ผู้ปฏิบัติธรรมจนสามารถติดต่อกับเทพชั้นสูงเบื้องบนได้ตลอดเวลาที่ต้องการนั้น ท่านเคยถึงแก่กรรมมาครั้งหนึ่งแล้วที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เมื่อต้นปีพ.ศ. ๒๕๒๓
    ผู้เขียนได้ไปพบบันทึกของท่านโดยบังเอิญ จึงได้ขออนุญาตจากคุณพี่ผู้หญิง (คุณศศิธร วีระไวทยะ) ภรรยาของท่าน ที่ผู้เขียนเคารพรักประดุจพี่ นำมาเผยแพร่ ด้วยเหตุที่ว่าผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น แม้เวลาคับขันก็ยังได้พุทธบารมีปกเกศคุ้มเกล้า จนสามารถหลุดพ้นจากความตายมาได้ อันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ดังที่ท่านผู้อ่านจะได้ติดตามต่อไปนี้

    ป่วยหนัก
    เมื่อประมาณปลายปี๒๕๒๒ ข้าพเจ้าจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ข้าพเจ้าเจ็บป่วยหนักมาหลายวันแล้ว จนไม่อาจจะรับประทานอาหารได้ เป็นเวลาประมาณสิบกว่าวันแล้ว
    ร่างกายหมดกำลังลงไปทุกที เรี่ยวแรงก็ไม่มี ร่างกายก็ผ่ายผอม ทั้งนี้เกิดจากความรู้สึกเบื่ออาหารและโรคหัวใจกำเริบมากขึ้น
    ทางภรรยาและบุตรก็เกิดความเป็นห่วงอย่างยิ่ง เคี่ยวเข็ญให้ข้าพเจ้าไปโรงพยาบาล
    เผอิญก่อนที่ข้าพเจ้าจะเจ็บหนักคราวนี้ นายแพทย์จากโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา คือ นายแพทย์ปัญญา กับภรรยา คือคุณชลูด หรือเรียกกันเล่นๆว่า คุณแดง ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้านและปวารณาตัวว่า ถ้าข้าพเจ้ามีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไร ก็ขอให้บอกไป ทางโรงพยาบาลจะส่งรถมารับโดยทันทีและโดยเร็วที่สุด แต่เนื่องจากความเกรงใจคุณหมอและภรรยา ซึ่งเป็นผู้ที่แสนดีและมีบุญคุณแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวน
    แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะทนต่ออาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่รุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะได้ ภรรยาและบุตรของข้าพเจ้าก็พาข้าพเจ้านั่งรถที่บ้าน ภรรยาเป็นผู้ขับไปส่งที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ซึ่งอยู่ที่หัวหมาก ประมาณ ๓ ทุ่มเศษเกือบ ๔ ทุ่มแล้ว
    ตอนที่ไปนั้นข้าพเจ้าใกล้จะหมดสติเพราะโรคหัวใจกำเริบอย่างรุนแรง และความอ่อนเพลียเนื่องจากขาดอาหาร
    ตอนไปถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้ารู้สึกสะลึมสะลือไม่ค่อยได้สติ แพทย์ก็พาข้าพเจ้าเข้าห้องฉุกเฉิน มีการตรวจหัวใจด้วยเครื่องคาดีโอกราฟ ทำเอกซเรย์ทำอะไรต่ออะไรต่างๆทุกวิถีทางของทางการแพทย์ ตามระบบของการแพทย์
    ต่อจากนั้นก็พาข้าพเจ้าไปเข้าห้องเอกซเรย์ ฉายเอกซเรย์ ถ่ายภาพเอกซเรย์ ข้าพเจ้าก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง ครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่ค่อยได้สติอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะเสร็จ
    มารู้สึกอีกทีก็ปรากฏว่า ร่างกายข้าพเจ้านอนอยู่บนเตียงภายในลิฟท์ ลิฟท์กำลังขึ้นสู่ตึกชั้นสูงของโรงพยาบาล และเมื่อลิฟท์หยุดก็ได้ถามหมอและเจ้าหน้าที่ที่คุมไป รวมทั้งภรรยาและบุตรที่ไปด้วยว่าชั้นอะไร ? ก็ได้รับคำตอบว่า ชั้น ๔
    จากนั้นข้าพเจ้าก็หลับตา เขาก็เข็นเตียงออกจากลิฟท์ แล้วก็ไปเข้าห้อง ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าสภาพภายนอกลิฟท์เป็นอย่างไร
    เมื่อเข้าไปสู่ห้องคนไข้แล้ว เขาก็เตรียมจัดการวางให้นอนเรียบร้อย จัดหยูกยาอะไรต่ออะไร จัดนางพยาบาลเฝ้ารักษาดูแล ข้าพเจ้าก็หลับไปพักหนึ่ง ก็หลับๆตื่นๆ เขาก็มีเจ้าหน้าที่พยาบาลคอยมาดูแลให้ยาทุกๆ ๒ ชั่วโมง
    ใส่ท่อออกซิเจน ๒ ท่อ แล้วก็ให้น้ำเกลือ ข้าพเจ้าเองก็หมดแรงนอนแผ่อยู่บนเตียง
    ครั้นพอตอนตี ๕ เศษๆ ระหว่างตี ๕ ถึง ๖ โมงเช้า ข้าพเจ้าก็ได้สติขึ้นมา ก็ปรากฏว่าคุณหมอปัญญาผู้แสนดีและภรรยารีบมาเยี่ยมแต่เช้า ถามว่าคืนนี้มีอาการเป็นอย่างไร
    ข้าพเจ้าก็ตอบไปด้วยเสียงอ่อนระโหยว่า ตั้งแต่มานอนพักที่โรงพยาบาลก็รู้สึกสบายขึ้น แต่ว่ามันยังมีอาการเจ็บหน้าอกและแน่นในหน้าอก ท้องว่าง ปวดแสบท้อง เรี่ยวแรงก็ไม่มี
    คุณแดงหรือคุณชลูดซึ่งเคยเป็นพยาบาลมาก่อน ภรรยาของคุณหมอปัญญาก็บอกว่า คุณพ่อจะทานอะไร หนูจะไปจัดการให้ แล้วคุณแดงก็ออกไปจากห้อง ปรากฏว่าจัดหาหม้อเคลือบอย่างดีมา ๒ ใบ ซื้อโจ๊ก ซื้อเกี๊ยวน้ำมาให้
    แต่ว่าในขณะนั้น ข้าพเจ้าเบื่ออาหารเหลือที่จะพรรณา ไม่สามารถจะกินอาหารเหล่านั้นได้ ตรงข้าม เมื่อได้กลิ่นอาหารกลับเหม็นยิ่งกว่าอุจจาระเน่าเสียอีก
    ทั้งนี้ แม้แต่น้ำก็ไม่สามารถจะดื่มลงไปได้ เพราะดื่มลงไป ความแน่นในหน้าอกและในท้องที่ว่างมีแต่ลม ก็ดันเอาน้ำสำลักออกมาหมด ทั้งน้ำทั้งอาหารเป็นอันกินไม่ได้
    ส่วนอาหารนั้นเหม็นเหลือแสนที่จะพรรณา แต่ก็แกล้งทำเป็นเอออห่อหมกกลับคุณหมอปัญญาและคุณแดงหรือคุณชลูดว่า เต็มอกเต็มใจจะทาน เอาไว้ให้หิวแล้วจะทาน
    แต่พอคุณหมอและภรรยาออกจากห้องไปแล้ว ข้าพเจ้าก็บอกให้ลูกเมียเอาอาหารที่ท่านผู้มีพระคุณทั้งสองนำมาให้ รีบเอาออกห่างตัวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ได้กลิ่น เพราะว่าได้กลิ่นแล้ว มันจะทำให้หัวใจหยุด จึงทำให้ร่างกายขาดอาหารอย่างหนัก
    เป็นอยู่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๙,๓๐,๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒
    วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ ย่างเข้าวันที่สี่ของการไปนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาแพทย์ปัญญา ซึ่งตามธรรมดาตั้งแต่เช้าระหว่าง ๖-๘ นาฬิกา จะมีคณะแพทย์ซึ่งนำโดยคุณหมอปัญญาเข้ามาตรวจ
    แพทย์และนางพยาบาลเข้ามาตรวจแล้ว ก็เอาเครื่องวัดกราฟหัวใจอะไรต่ออะไร มาจัดการทำให้เป็นที่เรียบร้อย
    วันหนึ่งๆปรากฏว่าในระยะนั้นต้องตรวจถึง ๔ ครั้ง คือระหว่าง ๐๖.๐๐ น.- ๐๘.๐๐ น. ครั้งหนึ่ง, ๑๐.๐๐ น.- ๑๒.๐๐ น. ครั้งหนึ่ง, ๑๔.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ ๑๕.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น. และ ๑๘.๐๐ น. - ๒๐.๐๐ น. อีกครั้งหนึ่ง

    ได้หนุนตักสมเด็จฯ โต
    ครั้นวันที่ ๑ มกราคม ขึ้นพ.ศ.๒๕๒๓ เป็นวันที่ข้าพเจ้ามีอาการป่วยหนักรุนแรงที่สุด
    วันนั้นจำได้ว่า คุณหมอปัญญาและคณะแพทย์พยาบาลมาตรวจข้าพเจ้าตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. ซึ่งในเดือนมกราคมต้นเดือนนั้น อากาศยังค่อนข้างจะหนาวเย็นและไม่สว่างยังมืดอยู่ ประกอบกับในห้องนอนที่ข้าพเจ้าพักเป็นห้องใช้แอร์คอนดิชั่น เป็นห้องปรับอากาศปิดม่านหมด ดับไฟมืด
    หมอมาตรวจแล้วก็พูดเป็นภาษาอังกฤษถึงอาการของข้าพเจ้าว่า "หนักมาก กลัวจะลำบากในวันนี้"
    ข้าพเจ้าได้ยินคุณหมอพูดปรึกษากันเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ทำใจตั้ง อภิณหปัจจเวกขณ์ กล่าวคือ นอกจากระลึกถึงองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็กล่าวถึงว่า
    ชะราธัมโมมะหิ ชะรัง อะนะตีโต
    พะยาธิธัมโมมะหิ ชะรัง อะนะตีโต
    มะระณะธัมโมมะหิ มะระณัง อะนะตีโต
    สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
    กัมมัสสะโกมะหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
    การกล่าวนี้ก็กล่าวเป็นภาษาบาลีก่อน แล้วจึงกล่าวเป็นภาษาไทยในจิตใจทีหลังว่า
    เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
    มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
    มีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
    เราต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง
    เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เราเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด เราเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรากระทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว เราก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น
    เมื่อรำลึกเช่นนี้แล้วก็ได้กราบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ หรือหลวงพ่อสมเด็จฯ พระอาจารย์ของข้าพเจ้า และกราบหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ (สมเด็จพระสวามีธัมสังโฆนันทมหามุนี หลวงพ่อทวด) ว่า ลูกถึงคราวจะไปแล้ว ขอให้ไปสะดวก อย่ามีความทรมานเลย เพราะเวลานี้หมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
    แต่ปรากฏว่า ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่านอนตักเจ้าประคุณสมเด็จอาจารย์ของข้าพเจ้าอยู่ !
    ซึ่งในระหว่างที่ป่วยอยู่นั้น คุณหมอปัญญาและคุณชลูดหรือคุณแดงได้นำรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ มาวางไว้ที่โต๊ะหัวนอนพร้อมทั้งพานใส่ดอกไม้บูชา และรูปหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง ส่วนข้าพเจ้ามีหลวงพ่อทวดไปด้วย ก็เอาวางบูชาไว้กับพระสมเด็จของข้าพเจ้าที่อยู่หัวนอน
    ปรากฏว่า ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หัวข้าพเจ้าหนุนตักหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์อยู่
    ข้าพเจ้าขออารธนา ขอสักการบูชา ขอขมา และขอกล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าป่วยหนักคราวนี้ ถ้าถึงคราวจะตายก็ขอให้หนักคราวนี้ ถ้าถึงคราวจะตายก็ขอให้ได้นอนหนุนตักหลวงพ่อเป็นที่ตาย ท่านก็อนุญาตให้ข้าพเจ้านอนหนุนตักท่าน
    ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้านอนหนุนตักหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต อยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพิจารณามรณสติ และอภิณหปัจจเวกขณ์อยู่
    แต่ในทันทีที่ข้าพเจ้ากล่าวกับหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ หรือหลวงพ่อสมเด็จฯ พระอาจารย์ของข้าพเจ้าว่า ถ้าข้าพเจ้าจะตายก็ขอให้ตายคาตักของหลวงพ่อนี่แหละ
    ทันใดนั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลวงพ่อสมเด็จพูดว่า เจ้ายังไม่ตาย ลูกสมานเจ้ายังตายไม่ได้ เจ้าตายแล้วใครจะมาทำงานให้หลวงพ่อ วัดพรหมรังสี จะสำเร็จได้อย่างไร เพราะว่ายังอยู่อีกมาก อีกนานกว่าจะครบบริบูรณ์ตามแผนที่ได้กำหนดไว้
    ข้าพเจ้าก็กล่าวว่า ไม่เป็นไรถึงลูกตาย ลูกศิษย์คนอื่นก็ยังมี
    ท่านบอกว่า ลูกศิษย์อื่นๆก็ตายกันไปหมดแล้ว ลูกหิรัญก็ตาย ลูกอื่นๆที่เป็นกำลังสำคัญก็ตายหมด ในรุ่นเจ้านี่ก็เหลือเจ้าอยู่คนเดียว
    ข้าพเจ้าก็กล่าวกับหลวงพ่อสมเด็จฯ ว่า ถึงลูกตายแล้ว เมียของลูกก็ยังอยู่พอที่จะทำต่อจากลูกได้
    ท่านบอกว่า ไม่เหมือนกัน คนเราบารมีไม่เหมือนกัน
    ถูกละ เมียเจ้ายังอยู่ แต่ว่าจะทำให้สำเร็จนั้นได้ยาก ไม่เหมือนกับเจ้ามีชีวิตอยู่
    เอาเหอะ อย่าพุดมากเลย เวลานี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเสด็จ หลวงพ่อจะต้องไปเฝ้าพระพุทธองค์ก่อน
    ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ก็กล่าวว่า เมื่อหลวงพ่อจะไปเฝ้า ลุกก็ขอไปเฝ้าด้วยคน
    หลวงพ่อก็รับสั่งว่า เออ ! เอ็งไปก็ได้ ไปเฝ้า ข้าจะไปก่อนนะ แล้วท่านก็หายไป

    พระพุทธองค์มาโปรด
    พอร่างของหลวงพ่อสมเด็จฯ หายไป ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจิตมันวูบดับลง แล้วมารู้สึกอีกทีหนึ่งก็ปรากฏว่า ข้าพเจ้าออกมายืนอยู่นอกห้องคนไข้แล้ว ห้องก็ปิดประตูเรียบร้อย แต่ตัวข้าพเจ้ายืนอยู่นอกห้อง !
    เมื่อมองไปทางเฉลียงด้านขวาของห้องที่ข้าพเจ้านอนก็เห็นพระภิกษุกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินมาตามเฉลียงกลุ่มใหญ่ มีรูปองค์พระแก้วมรกตหน้าตักประมาณ ๒ ฟุต ลอยนำหน้ามา และก็ท้ายๆของกลุ่มก็มีคุณหมอปัญญานำหน้า มีคุณชลูดภรรยาพร้อมทั้งนายแพทย์และพยาบาลตามหลังคุณหมอมา
    ส่วนตรงหน้าข้าพเจ้าก็เป็นทางเดินตรงลิ่วไป สองข้างเป็นห้องคนไข้ ส่วนทางซ้ายมือข้าพเจ้าเป็นห้องถัดไป ๓ ห้อง ห้องที่ ๓ เปิดประตูอ้ากว้างอยู่ทั้ง ๒ บาน ปรากฏว่าห้องนั้นเป็นห้องพระเท่าที่ข้าพเจ้ารู้สึก แต่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
    ครั้นพระภิกษุเดินใกล้เข้ามา องค์พระแก้วมรกตก็หายไป ข้าพเจ้าก็มองเห็นว่า ผู้ที่เดินนำหน้ากลุ่มพระภิกษุนั้นคือ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นทั้งด้วยตาเปล่าและในนิมิต
    จนชินตาแล้ว
    ข้าพเจ้าลงนั่หมอบกับพื้น พอทรงพระพุทธดำเนินใกล้เข้ามา ข้าพเจ้าก็คลานเข้าไป พระองค์ก็ทรงหยุดอยู่ ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบถวายสักการบูชาที่พระพุทธบาทของพระองค์ ได้ยินพระพุทธดำรัสว่า
    "ตถาคตทราบว่า ท่านกำลังได้รับทุกขเวทนาอย่างสูง ด้วยโรคาพยาธิเกาะกินร่างกายและหัวใจอยู่ ตถาคตปรารถนาอวยพรให้ท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นหนักอยู่ในขณะนี้โดยเร็วที
    ่สุดในทันที"
    ข้าพเจ้าก็กราบทูลขอรับพุทธพรของพระองค์ว่า
    "ขอให้พุทธพรของพระองค์ที่ทรงพระมหากรุณาด้วยพระปัญญา และพระบริสุทธิคุณของพระองค์นั้น จงเป็นที่ประสิทธิ์ประสาทศักดิ์สิทธิ์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"
    เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบที่พระบาทอีก ๓ ครั้ง แล้วพระองค์ก็ทรงพระดำเนินต่อไป
    เมื่อกลุ่มพระสงฆ์ได้เดินผ่านข้าพเจ้าไปแล้ว ก็มาถึงพวกกลุ่มหมอ ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นเดินไปกับกลุ่มหมอด้วย
    พอเดินไปถึงหน้าห้องพระ ก็ปรากฏว่าห้องนั้นเป็นห้องที่ไว้พระพุทธรูป เป็นห้องที่เรียกว่า ห้องพระจริงดังความเข้าใจของข้าพเจ้า
    เมื่อถึงหน้าพระแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงประทับยืนนิ่ง แล้วมีพุทธดำรัสว่า
    "พระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องขวา พระสารีบุตร ตถาคตขอให้เธอเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่สถานที่นี้ และขอให้พระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องซ้าย พระโมคคัลลานะ จงสวดพระสูตรคาถาขับไล่ดวงวิญญาณที่ร้ายๆในสถานที่นี้ออกไปให้หมด ด้วยตถาคตปรารถนาว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่สร้างกุศลบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยพระพุทธศา
    สนา มหากษัตริย์ และประชาชนพลเมืองให้พ้นจากทุกข์"
    เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว พระโมคคัลลานะก็สวดพระคาถาขับไล่วิญญาณที่เลวร้ายในสถานที่แห่งนั้นไปหมด ด้วยพระอภิญญาบารมี เสร็จแล้วพระสารีบุตรก็สวดพระธรรมคาถา พระสูตรอันเป็นสิริมงคลแก่สถานที่แห่งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าพอจะมีความรู้ในการสวดพระพุทธมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ได้ เพราะได้สวดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน มาเป็นเวลาหลายปี ก็คิดจะสวดตาม แต่ก็สวดไม่ได้ เพราะว่าภาษาที่สองพระอริยสงฆ์อรหันตเจ้าทั้งสององค์สวดนั้น เหลือที่จะติดตามได้ ด้วยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้บางคำ ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็ไม่สามารถจะติดตามได้ ได้แต่ยืนนิ่งฟังอยู่
    ครั้นสองพระองค์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หันไปทางเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะ แล้วมีพระพุทธดำรัสว่า
    "พระมหาสมณะ ตถาคตขอฝากสถานที่นี้ไว้แก่พระมหาสมณะด้วย ได้ช่วยปกครองดูแลขจัดปัดเป่าสิ่งที่เลวร้ายเป็นอวมงคลทั้งหลายให้พ้นจากที่นี้ไป อย่าให้มากล้ำกรายได้ และขอให้นำแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลมาสู่ที่นี้ ถ้าหากสถานที่นี้ จะมีเภทภัยอันหนึ่งอันใด ก็ขอให้พระมหาสมณะได้ช่วยขจัดปัดเป่าภัยอันตรายเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปด้วย"
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พระมหาสมณะหรือหลวงพ่อสมเด็จฯ อาจารย์ของข้าพเจ้าก็ยกมือพนมฟังพระพุทธดำรัสและพระพุทธบัญชาจากองค์สมเด็จพระบรมศาส
    ดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจอมไตร แล้วก็ยกมือขึ้นสาธุการ เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย แล้วพระพุทธองค์ก็ลอยขึ้นสู่นภากาศจางหายไป

    ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
    ในลำดับนั้น สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า กล่าวคือเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานพรเสร็จขาดพระโอฐษ์ ทันทีก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่หัวใจก็ดี ความแน่นในหน้าอกหายใจไม่ออกก็ดี ความเจ็บปวดแสบท้องก็ดี หายไปทันที ! ประดุจหยิบทิ้งอย่างประหลาดมหัศจรรย์สุดแสนจะพรรณา แล้วร่างกายของข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า วูบกลับเข้าสู่เตียงนอนของคนไข้อย่างเดิม
    และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็ปรากฏว่ากระปรี้กระเปร่าแข็งแรง และการเหม็นอาหารก็ไม่เหม็น หายเหม็นดังปลิดทิ้ง กลับมีกลิ่นหอมอย่างเดิม
    อันนี้เป็นความประหลาดเหลือที่จะพรรณา เป็นความรู้สึกที่แท้จริง ด้วยความรู้สึกยินดีอย่างสุดจะพรรณาได้
    ในขณะนั้น เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่าหิวน้ำ กระหายน้ำขึ้นมาทันที จึงบอกกับผู้เฝ้ารักษาพยาบาลอยู่ คือบุตรของข้าพเจ้าว่า ขอกินน้ำหน่อย
    แต่เดิมที่ข้าพเจ้าได้บอกแล้วว่า แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ได้ เพราะว่าภายใน ลมมันดันน้ำสำลักออกมาหมด แต่มาบัดนี้ ข้าพเจ้าดื่มน้ำได้ ๒ แก้วเต็มๆ ด้วยความกระหาย และร่างกายก็รู้สึกสดชื่น
    พอตอนแปดโมงเช้าพวกหมอและนางพยาบาลกลุ่มที่มาตรวจตอนหกโมงเช้า ได้เข้ามาถามอาการ ข้าพเจ้าก็รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยหมด แข็งแรงขึ้น อะไรดีขึ้นทุกอย่าง
    พอสิบโมง กลุ่มหมอมาตรวจอาการอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สอง ก็พากันแปลกใจว่า เอ๊ะ ! ทำไมข้าพเจ้าจึงหายดีขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อเลย
    หัวใจก็ดีขึ้น ร่างกายอ่อนเพลียก็ดี การสูบฉีดโลหิตก็ดีไปหมดทุกอย่าง กลับเป็นปกติอย่างเดิมหมด
    แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะเล่าให้ใครฟังได้ในขณะนั้น เพราะถ้าเขาเชื่อไปก็ดีไป ถ้าเขาไม่เชื่อจะหาว่าข้าพเจ้าหลงงมงายอะไรไม่เข้าเรื่อง เชื่อถือสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ทำให้ข้าพเจ้าซึ่งก็เป็นผู้ใหญ่อยู่แล้ว อายุก็มาก ยศก็สูง เป็นที่นับถือของคนทั้งหลายอยู่มาก ก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียหายไปหมด
    พอตอนเที่ยงคุณแดงหรือคุณชลูดกับคุณหมอปัญญาก็เข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง
    คุณแดงบอก เอ๊ะ ! เขารายงานในบันทึกประวัติของคุณพ่อว่า คุณพ่อดีขึ้นมากอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่เมื่อเช้านี้จะไปไม่รอดเสียแล้ว และคุณแดงก็ถือเอาเกี๊ยวกับข้าวต้มปลามาให้ เพราะอาหารที่โรงพยาบาลให้มา ไม่สามารถรับประทานได้
    ข้าพเจ้าก็ขอบอกขอบใจในความใจดีของคุณหมอและภรรยา แล้วลุกขึ้นทานอาหารได้ตั้งเยอะทั้งข้าวต้มปลาและเกี๊ยว ซึ่งเมื่อวานนี้เหม็นยิ่งกว่าอุจจาระเน่าๆ แต่มาบัดนี้กลับหอมชวนรับประทาน
    และตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็หายวันหายคืน
    พอรุ่งเช้าอีก ๓ วัน ก็ถอดสายท่อออกซิเจนออก น้ำเกลือที่ว่าจะให้ ๕ ขวด ก็ให้เพียง ๓ ขวด ก็เป็นอันว่าสิ้นสุด
    ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าก็พักอยู่ จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ มกราคม ก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน เป็นอันสิ้นสุดความเจ็บป่วยแสนสาหัสถึงกับวิญญาณออกจากร่าง เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ เมื่อเวลาประมาณ ๐๖.๑๕ น. เพียงเท่านี้
    <!--IBF.ATTACHMENT_675-->
     
  18. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ท่านท้าวเป็นเทวดาที่ไม่โปรดเนื้อสัตว์ ผู้ที่มากราบไหว้ส่วนใหญ่จะนำผลไม้มาไหว้ ท่านเป็นเทวดาบริวานท่านท้าวเสสุวรรณ(ท้ามมหาราชทั้ง4)
     
  19. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ในครั้งนี้ที่ได้ขึ้นไปที่เชียงใหม่เพื่อทอดกฐิน มีคุณพี่อยู่ท่านหนึ่ง เป็นผู้ดูแลพระอริยสงฆ์หลายรูป มีหลวงปู่ครูบาวงค์เป็นต้น ได้ไปกราบไหว้ท่านท้าวกับคณะของเราหลังงานกฐิน พี่เข้าไปเป็นคนสุดท้ายเข้าไปคนเดียว พอออกมาก็มาเล่าให้ฟังว่า..."ท่านท้าวบอกว่า ท่านไม่ใช่แค่ดูแลเมืองเชียงใหม่แต่ท่านดูแลแคว้น"ล้านนา" ทั้งหมด พอคุณพี่พูดจบ โตรู้ได้ทันทีว่าคุณพี่ไม่ได้"เฝือ"เพราะว่าจริงๆแล้วตามประหวัดของท่านก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่แต่ไม่ไดเล่าให้ฝังทั้งหมด ท่านยังฝากบอกมาอีกว่าเดี๋ยวจะมีคนทำศาลให้ท่านใหม่และสวยกว่า....นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคณะของเราที่ไปทอดกฐินในครั้งนี้....สาธุ
     
  20. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    พระเสตังคมณี<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER> มีชื่อเรียกสามัญว่า พระแก้วขาว เป็นพระพุทธรูปทำด้วนแก้วสีขาวขุ่น หินควอตไซท์ (หินเขี้ยวหนุมาน) ตามประวัติกล่าวว่า พระนางจามเทวีเป็นผู้นำมาจากเมืองละโว้ ตอนที่เสด็จมาครองเมืองลำพูน เมื่อคราวที่เมืองลำพูนได้เสียเมืองให้แก่พญาเม็งรายได้ทรงเห็นปาฏิหารย์ความศักดิ์สิทธิ์ ของพระพุทธรูปนี้ จึงได้ทรงศรัทธาเลื่อมใส นำมาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ตลอดมา จนกระทั่งได้ทรงสร้างวัดเชียงมั่นขึ้นมาเป็นปฐมอารามของเมืองเชียงใหม่ จึงได้โปรดให้นำพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานไว้ที่วัดนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้<o:p></o:p>
    แต่มีระยะหนึ่งประมาณปีรัชกาลของพระไชยเชษฐาหรือเจ้าเชษฐวงศ์ (พ.ศ.2089 พ.ศ.2091) ซึ่งเป็นเชื้อสายของกษัตริย์เชียงใหม่ที่อยู่เมืองศรีสัตนาคุนหุต ได้นำเอาพระพุทธรูปที่สำคัญของเชียงใหม่หลายองค์ เช่นพระแก้วมรกต พระแก้วขาว พระพุทธสิหิงค์ ฯลฯ ไปบูชายังเมืองศรีสัตนาคุนหุต และย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เวียงจันทน์ ต่อมาเมื่อพม่าตีได้เมืองเชียงใหม่และเวียงจันทน์ จึงนำเอาพระแก้วขาวกลับมาไว้ที่วัดเชียงมั่นเหมือนเดิม เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ ได้โปรดพระราชทานทองกาไหล่(เงินชุบทอง) หุ้มพระเศียรและฐานของพระแก้วขาวให้สูงขึ้นอีก พระแก้วขาวจัดเป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสนรุ่นหลัง (ศิลปล้านนา)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระศิลาปางทรมานช้างนาฬาคีรี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER> เป็นพระพุทธรูปที่ทำด้วยหินชนวนสีดำ ฝีมือสกุลช่างปาละของอินเดีย (พุทธศตวรรษที่ 13 18) แกะสลักตามคติเดิมของอินเดีย เป็นพระพุทธรูปปางหนึ่งแสดงตอนที่ทรงแผ่เมตตาให้กับช้างนาฬาคีรีที่กำลังเมามันจะเข้ามาทำร้ายพระองค์ มีผู้สันนิษฐานว่า พระภิกษุชาวลังกาเป็นผู้นำเข้ามาถวายพญาเม็งราย พญาเม็งรายจึงโปรดให้ประดิษฐานไว้ที่วัดเชียงมั่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...