ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่แปลก ๆ ...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 2 พฤษภาคม 2009.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่แปลก ๆ ...

    [​IMG]


    ในช่วงเวลาที่ประเทศสยามกำลังวุ่นวายปั่นป่วนสุดขีดขณะนี้ มีเรื่องราวหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับทราบ เรื่องราวที่บอกเล่าถึงชีวิตหลังความตาย...เรื่องราวที่ข้าพเจ้าถึงกับ ตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งในจิต และถึงกับหวาดกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด หวาดกลัวแทนผู้คนทั้งหลายที่กำลังวิ่งวุ่น ไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง และทำบาปกันอย่างไม่กลัวเวรกลัวกรรมขณะนี้

    ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่แปลก ๆ เริ่มแรกข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธตามใบทะเบียนบ้าน ตอนเด็ก ๆ ไปวัดสวดมนต์ตามคุณยาย ยายของข้าพเจ้าชอบทำบุญ และเชื่อเรื่องเวรกรรม เชื่อเรื่องนรก และสวรรค์ เชื่อเรื่องเปรต แต่สำหรับข้าพเจ้าเติบโตมาจากโลกวิทยาศาสตร์ เชื่อเรื่องโลกกลม และมีแรงดึงดูดของโลกที่ทำให้คนทั้งหลายยืนอยู่บนโลกกลม ๆ ใบนี้ได้ โดยที่ไม่ได้ร่วงหล่นออกไปยังอวกาศ​


    ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าอ่าน หนังสือวิชาวิทยาศาสตร์ หนังสือบอกว่าโลกกลม และลอยอยู่กลางอวกาศ ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดตามทันทีว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนที่อยู่แถวขั้วโลกใต้ก็ต้องยืนกลับหัวกับเรา แล้วเขาจะต้องหล่นไปจากโลกด้วย แต่วิทยาศาสตร์อธิบายว่า มีแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดเราไว้ นั่นคือเรื่องราวของกฏแรงโน้มถ่วงของนิวตัน กับเรื่องราวที่เขาค้นพบเรื่องนี้ ขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นแอบเปิ้ล และเห็นลูกแอบเปิ้ลตกลงมา นักวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายเรื่องราวต่างๆ นี้ได้ แถมมีการทดลองพิสูจน์ยืนยันให้เราได้เห็นด้วย


    [FONT=&quot]พอมากล่าวถึงเรื่อง[/FONT] [FONT=&quot] เทวดา เรื่องเปรต[/FONT] [FONT=&quot]ข้าพเจ้ายากที่จะเชื่อได้เพราะไม่มีอะไรมาพิสูจน์ยืนยันว่าภพภูมิที่กล่าว[/FONT] [FONT=&quot]ถึงนั้นมีจริง เพราะไม่มีเปรตหรือเทวดามาให้เราเห็นและพิสูจน์ทดลอง[/FONT] [FONT=&quot]กลายเป็นว่า เรื่องของมนุษย์ต่างดาวดูจะน่าสนใจกว่า[/FONT] [FONT=&quot]เพราะอย่างน้อยก็มีเรื่องเล่า มีรูปถ่ายจานบินแบบประหลาดๆ[/FONT] [FONT=&quot]ให้เราได้คิดได้สงสัย การมีหลักฐานที่เป็นวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์[/FONT] [FONT=&quot]แบบที่ตาเนื้อเราเห็นได้ชัดๆ และมือของเราสัมผัสได้[/FONT] [FONT=&quot]แบบที่อายตานะของเรารับรู้ได้จริงๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า[/FONT] [FONT=&quot]แต่ถ้าใครสักคนมาบอกว่าเห็นเปรต ข้าพเจ้าก็จะสงสัยก่อนว่า ตาฝาดรึเปล่า [/FONT]? [FONT=&quot]คิดไปเองมั๊ง[/FONT]?

    [FONT=&quot]ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธแบบไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ[/FONT] [FONT=&quot]กัลยาณมิตรของข้าพเจ้าหลายท่าน ต่างมีศรัทธาสูง[/FONT] [FONT=&quot]แน่นอนพวกเขาเชื่อเรื่องชาติภพ การกลับชาติมาเกิด การมีเทวดา การมีเปรต[/FONT] [FONT=&quot]และ พวกเขาเชื่อเรื่องเวรกรรมด้วย ถามว่าข้าพเจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่[/FONT][FONT=&quot]แน่นอนว่าข้าพเจ้าเชื่อเรื่องเวรกรรม แต่เรื่องชาติภพ[/FONT] [FONT=&quot]และการเวียนว่าตายเกิด ชาตินี้ชาติหน้า ข้าพเจ้าเพียงแต่กล่าวว่า[/FONT] [FONT=&quot]มีความเป็นไปได้[/FONT]


    [​IMG]


    [FONT=&quot]หลัง[/FONT] [FONT=&quot]จากเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม[/FONT] [FONT=&quot]ได้เรียนรู้เรื่องราวทางอภิธรรมมาบ้างประปราย[/FONT] [FONT=&quot]ข้าพเจ้าทึ่งที่ในคำสอนของพระพุทธองค์มีคำกล่าวถึงการกำเนิดของโลกและ[/FONT] [FONT=&quot] จักรวาล และมีกล่าวถึง [/FONT]31 [FONT=&quot]ภพภูมิด้วย ทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจปฎิเสธได้ว่า [/FONT]31 [FONT=&quot]ภพภูมิ นั้นไม่มีจริง อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าไม่ได้สนใจมากมายนัก[/FONT] [FONT=&quot]การมีหรือไม่มีไม่ใช่ประเด็นที่ต้องพิสูจน์ยืนยัน[/FONT] [FONT=&quot]การรู้ว่ามีหรือไม่มีไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นความทุกข์[/FONT] [FONT=&quot]เพราะพุทธองค์ให้เราสนใจใบไม้ที่อยู่ในหนึ่งกำมือเดียวที่พระองค์เน้นย้ำ[/FONT] [FONT=&quot]มากกว่า สิ่งนอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องของอจินไตย เราไม่ควรจะสนใจ[/FONT] [FONT=&quot]และไม่ใช่วิสัยของเราที่จะรู้ได้[/FONT] [FONT=&quot]เพราะมันไม่สามารถรับรู้ได้ในวิสัยตาเนื้อของเรา[/FONT] [FONT=&quot]ไม่อาจเข้าใจได้ในวิสัยคนธรรรมดาแบบโลก ๆ อย่างเรา[/FONT]

    [FONT=&quot]มีสิ่งเดียวที่[/FONT][FONT=&quot]ข้าพเจ้าสนใจก็คือ การกำเนิดของโลกและจักรวาล[/FONT][FONT=&quot]ท่านว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ อจินไตยเช่นกัน[/FONT][FONT=&quot]แต่นักวิทยาศาสตร์ก็สนใจอย่างมาก การเกิดบิ๊กแบงในครั้งนั้น[/FONT][FONT=&quot]ที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวถึงและอธิบายมันน่าทึ่งมาก[/FONT][FONT=&quot]แต่มันอธิบายได้เพียงการเกิดขึ้นของวัตถุธาตุเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot]บอกถึงการเกิดของดวงดาวต่างๆ[/FONT][FONT=&quot]แต่บอกไม่ได้ชัดเจนถึงการเกิดของชีวิตต่างๆบนโลก การเกิดของจิตวิญญาน ...
    [/FONT]
    [​IMG]

    หลังเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม ข้าพเจ้าก็ยังสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ และก็ยังวนเวียนหาความรู้ว่า การเกิดของโลกนี้ จักรวาลนี้เป็นมาอย่างไรแต่อาจจะยุ่งยากไปอีกว่า การกำเนิดของจิตวิญญานมาอย่างไร เพราะในทางบิ๊กแบงไม่ได้อธิบายไว้ เพราะในทางพุทธศาสนามนุษย์เรานั้นประกอบด้วยกายกับจิต กายนั้นเราพอจะทราบที่มาแต่จิตเรานั้นมาจากไหนกัน ก่อนที่จะมีเราก่อนที่กายกับจิตเรามารวมกันในครรภ์มารดา จิตเรานั้นมาจากไหนเราเป็นใครมาก่อน เราคือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรืออย่างไร มาแล้วก็ไปถ้าเราคิดว่าเรามาด้วยความบังเอิญ เมื่อพ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน มีเราขึ้นกายเรามาจากพ่อและแม่อย่างละครึ่ง แล้วจิตเรามาจากไหนจิตเราคือจิตใหม่ที่เป็นผลิตผลมาจากการทำงานของสมองใหม่ๆในร่างกายนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้น เราก็มีชาตินี้ชาติเดียวอย่างแน่นอนพอกายเสื่อม สมองเสื่อมเราก็จากไป นั่นคือเรามาจากสิ่งไม่มีอะไรมาโดยบังเอิญ จากนั้นก็จากไปสู่ความไม่มีอะไร จบแล้วจบเลย ตายแล้วตายเลยนั่นคือข้อสรุปของคนรุ่นใหม่ที่ชัดเจนมาก และอาจจะเป็นความคิดของนักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ ท่านด้วย พวกเขาต่างคิดว่าชาตินี้ชาติเดียว และคนบางคนถึงขั้นคิดว่า ถ้าชาตินี้ชีวิตนี้มันทุกข์นักก็ฆ่าตัวตายเสีย จบชีวิตลงเสีย เมื่อจบชีวิตลงเราก็จะพ้นทุกข์จบแล้วจบเลยเช่นกัน แล้วเรื่องเวรกรรมล่ะ ? [FONT=&quot]

    [/FONT]
     
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]


    [FONT=&quot]เพราะความคิดแบบชาติ[/FONT]นี้ชาติเดียว ผู้คนหมู่หนึ่งจึงใช้ชีวิตในโลกนี้ที่มีอยู่อย่างฟุ่มเฟือยและไร้สาระ เมื่อคิดว่าชาตินี้คือชาติเดียว การกลัวบาปกรรมอย่างจริง ๆ จัง ๆ จึงยังไม่มี ตราบใดที่พวกเขายังมีอำนาจ ยังครอบครองวัตถุปัจจัยต่าง ๆ เช่นเงินทอง หรืออาวุธ กรรมอะไรที่ว่า ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ตราบใดที่พวกเขาคือผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เขาจึงสามารถกระทำสิ่งต่างๆได้ตามอำเภอใจ เขาสามารถจะฆ่าหรือทำร้ายใครก็ได้ เวรกรรมคืออะไรล่ะ??

    ตราบใดที่พวกเขาเป็นผู้ชนะ และมีอำนาจ เวรกรรมอะไรก็ตามไม่ทัน และอันที่จริงแล้วพวกเขาหลายคนไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมด้วยซ้ำ แถมเมื่อใครมากล่าวว่าเวรกรรมจะตามไปในชาติหน้า พวกเขาก็จะหัวเราะในใจว่า ชาติหน้าชาติไหนกัน ชาตินี้มีชาติเดียวเท่านั้น แต่บางคนก็คิดไปเองว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง การที่เขาบริจาคทานให้วัดด้วยเงินเป็นหลายๆ สิบล้านนั้นจะทำให้เขาไปอยู่ในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ส่วนเรื่องความเบียดเบียนและการฆ่าที่เขาทำไว้แก่คนอื่น ๆ นั้น แค่การทำบุญด้วยวัตถุปัจจัยก็สามารถแก้บาป แก้กรรมนั้นได้ จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่บรรดานักการเมืองไทยหลายท่าน จะเดินทางไปทำบุญร้อยวัดสิบวัด เพื่อแก้ไขอะไรสักอย่างในชีวิตยามตกอับ แต่ข้าพเจ้ากลับมองเห็นไปว่า การเข้าวัดปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิภาวนาสักสิบวัน ในสำนักที่สอนวิถีพุทธที่แท้ ท่านเหล่านี้อาจจะได้บุญใหญ่กว่า และอาจจะแก้กรรมได้มากกว่า และจะเป็นบุญของประเทศสยามครั้งใหญ่ ที่จะได้นักการเมืองดี มีธรรมะในใจจริงๆ กลับสู่สังคม

    เมื่อเราพอ จะเข้าใจว่ากายเรามาจากไหนแบบวิทยาศาสตร์ แต่จิตหรือตัวรู้นั้นมาจากไหนกันล่ะ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า จิตคือผลผลิตจากการทำงานของสมอง แบบที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเชื่อกัน การที่เราเชื่อในโลกกายภาพมากไปอาจจะทำให้เราเวียนวนและสับสนได้ เมื่อเราถามใครสักคนว่าคุณมีความสุขหรือไม่ ถ้าเขาตอบว่า มี เราก็น่าจะลองถามว่า ความสุขของคุณอยู่ตรงส่วนไหนของสมองล่ะ ? อยู่สมองarea ไหน บางทีเขาอาจจะงงๆ และตอบไม่ได้เช่นกัน ถ้าความสุขความทุกข์มันอยู่ตรงที่สมองจริง บางครั้งที่ชีวิตเราทุกข์ เราก็เพียงแต่ไปจี้ทำลายสมองส่วนที่ทำให้รู้สึกทุกข์นั้นเสีย เราก็คงจะมีความสุขกันตลอดไป แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น

    ก่อนที่เราจะมาเป็นเรา จิตเรามาจากไหนกัน???

    จิตไม่ใช่ผลผลิตจากการทำงานของสมอง
    จิตเชื่อมต่อกับสมอง และใช้สมองเพื่อติดต่อกับโลก
    การ เปลี่ยนแปลงใดๆ ในจิต จะทำให้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในคลื่นสมองได้ จิตที่สงบ คลื่นสมองก็เป็นแบบหนึ่ง จิตที่ไม่สงบและอยู่ในภาวะตื่นตระหนก คลื่นสมองก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
    จิตของผู้ปฎิบัติธรรมขั้นสูง และสงบนิ่ง จะมีคลื่นสมองอีกแบบหนึ่ง

    ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ทำให้ข้าพเจ้าตั้งคำถามในใจว่า จิตเรานี้ แต่เดิมมาจากไหน ก่อนที่เราจะมาก่อกำเนิดในท้องแม่นี้ จิตเรานี้มาจากไหน? นักวิทยาศาสตร์อาจจะยังอธิบายไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ว่าจิตเรานี้มาจากไหน นั่นคือที่มาของคำอธิบายเรื่องของ 31 ภพภูมิ เวรกรรมที่ติดตามมาจากจิตหนึ่ง มาเป็นจิตเรามีจริงหรือไม่ ในทางทฤษฎีแบบพุทธขณะนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นไปได้ การคิดว่ากายแตกสู่ดินแล้วจบจึงเลยไม่ได้จบจริงๆ จิตที่จากไปพร้อมพลังงานแห่งกรรมที่กระทำไว้ในชาตินี้ มีแน่อย่างไม่ต้องสงสัย

    ชาตินี้อาจจะชาติเดียวในร่างนี้ แต่กรรมของชาตินี้จิตนี้จะไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวแน่ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ถ้าคนทั้งหลายยังไม่ตระหนักรู้ อย่างแท้จริงถึงเรื่องบาปกรรม แถมพวกเขาเหล่านั้นยังไม่รู้จักกลัวบาป และ ยังทำบาปทำกรรมโดยเบียดเบียนทำร้ายคนอื่นๆ ต่อไปแบบนี้ ด้วยเพียงแค่หลักการณ์และทฤษฎีนี้ที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกกลัวแทนพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ และยิ่งกลัวมากขึ้น เมื่อได้รับทราบเรื่องราวของชีวิตหลังความตายที่ไม่ใช่เรื่องของทฤษฎีเพียง ประการเดียว เมื่อไม่กี่วันมานี้


    *************


    ในช่วงเวลาที่วุ่นวายของ ประเทศสยาม.. ในช่วงเวลาที่ผู้คนถกเถียงกันเรื่องหุ้นตก เรื่องเศรษฐกิจของโลกที่กำลังแย่ และกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ใครคือคนต้นเหตุแห่งการตายของประชาชนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บ้างว่าต้องเป็นตำรวจ บ้างว่าต้องเป็นพันธมิตรนั่นแหละที่วางแผนทำร้ายกันเอง เพื่อเป็นข่าวใหญ่ บางคนว่าต้องเป็นมือที่สาม อาจเป็นกลุ่มคนลึกลับปฎิบัติการณ์แผนซ้อนแผน ยิงประชาชนเพื่อใส่ร้ายตำรวจ บ้างว่าเป็นการยิงไม่ถูกวิธี บ้างว่าแก๊สน้ำตาที่ใช้ไม่มีมาตรฐาน ต่อการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ในหมู่ผู้ร่วมงานที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่... ท่ามกลางความโกลาหลในความคิดเห็นต่อเรื่องราวทางโลกนั้น ข้าพเจ้าเลยลองถามหมอรุ่นน้องท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันในห้องนั้นว่า

    " น้องเชื่อเรื่อง ชาติภพ เรื่องกฏแห่งกรรมหรือเปล่า เชื่อเรื่องภพภูมิไหม๊ เรื่องตายแล้วเกิดใหม่ ..เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดน่ะ "

    รุ่นน้องหมอท่านนี้ ตอบอย่างมั่นใจว่า " ผมเชื่อ "
    และ จากการพูดคุย เขาเชื่ออย่างจริงจังด้วย พร้อมกับกล่าวว่า เพราะว่าชาวสยามในปัจจุบันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จึงทำบาปทำกรรมกันมากมาย ประมาณว่าเป็นชาวพุทธก็จริงแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจถึงคำสอนที่แท้ของพระพุทธองค์ คนสยามหมู่หนึ่งจึงยังทำบาปกันอยู่เนืองๆ

    ข้าพเจ้าจึงบอกกับเขาว่า

    " อันที่จริงแล้ว ที่ผ่านมา พี่ไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เรื่องการมีนรก มีสวรรค์นั่นหรอก แต่หลังจากการปฎิบัติธรรมมาได้ปีกว่าๆ พี่จึงเริ่มเชื่อว่ามีความเป็นไปได้.... การเวียนว่ายตายเกิดน่าจะมีจริง "

    ข้าพเจ้า ย้อนรำลึกไปเมื่อปีที่แล้ว หลังการไปปฎิบัติธรรมกลับมา ข้าพเจ้าเล่าให้เพื่อนที่สนิท และรุ่นน้องที่คุ้นเคยกันฟังว่า ไปปฎิบัติธรรมนั้นได้อะไร เมื่อข้าพเจ้าเอ่ยเล่าถึงเรื่อง 31 ภพภูมิ ทั้งสองคนมีอาการแตกต่างกันไป คนหนึ่งมองหน้าข้าพเจ้าด้วยความทึ่งกึ่งมึนงง ประดุจว่าข้าพเจ้าอาจไปถูกล้างสมองมา จากศูนย์ปฎิบัติธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งมีอาการทนฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าแทบไม่ได้ แต่ต้องฝืนใจฟังไปพักใหญ่ ในตอนนั้นข้าพเจ้าเพียงแต่บอกกล่าวในทางทฤษฎีของอภิธรรมเท่านั้น เข้าทำนอง... ท่านว่ามาอย่างนั้น แต่ไม่ได้บอกว่าข้าพเจ้าเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด (ตอนที่เล่านั้นเล่าด้วยความรู้สึกว่า มีแนวโน้มจะเป็นไปได้ก็เท่านั้นเอง )

    ใน ขณะนี้ถ้าข้าพเจ้าบอกกล่าวใหม่ว่า เรื่องภพภูมินั้นมีจริง และชีวิตหลังความตายนั้นมีจริง ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของความน่าจะเป็นอีกต่อไป... ยากจะเดาออกจริงๆว่าทั้งสองคนนี้จะมีอาการอย่างไร


    [​IMG]



    มีอันหนึ่งที่น่าสนใจ ในหมู่ชาวพุทธก็คือการเชื่อเรื่องหมอดู เชื่อคำทำนายทายทัก แต่พอกล่าวไปถึงเรื่องการเข้าวัดปฎิบัติธรรมจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที ถ้าเราชวนใครสักคนไปดูหมอ บอกว่าท่านดูแม่นมาก จะได้รู้อนาคต หลายคนไปกับเราโดยง่าย แต่พอเราบอกว่าไปปฎิบัติธรรมไหม๊ ไปเรียนรู้เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า หลายคนส่ายหน้า บางท่านกล่าวว่าไม่มีปัญหาอะไร และไม่บ้าพอที่จะไปนุ่งขาวห่มขาวแบบนั้น การปฎิบัติธรรมกลายเป็นเรื่องบ้าๆ และเรื่องแปลก ของคนหมู่หนึ่ง และเวลาเราถามพวกเขาเหล่านี้ว่า ถือศาสนาอะไร พวกเขากลับบอกว่าถือพุทธ เมื่อเราถามว่าไม่อยากฟังคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์หรือ พวกเขาอาจอ้ำอึ้ง แต่ถ้าชวนไปฟังคำทำนายจากหมอดู เขาก็จะไป พอเราถามถึงเรื่องความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่อง 31 ภพภูมิ พวกเขากลับทำหน้างง ๆ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าลึกๆแล้วพวกเขาไม่เชื่อว่ามีจริง แถมพวกเขาบางส่วนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การถือพุทธ นั้นมีประโยชน์อะไรกับชีวิต ข้าพเจ้าก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน

    เรื่อง 31 ภพภูมิ นั้นข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อ แต่ข้าพเจ้าเห็นต่างก็คือ การเชื่อคำทำนายทายทักของหมอดูมากๆ ก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลและไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลยเช่นกัน แต่ถ้ามีใครชวนไปดูดวงข้าพเจ้าก็ไปได้ ไม่ได้ปฎิเสธ ไม่ได้ต่อต้านอะไร

    หลังการปฎิบัติธรรมมาจนถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า 31 ภพภูมิ นั้นมีจริง และชีวิตหลังความตายนั้นก็มีจริง แต่การทำนายทายทักของหมอดูนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอีกแล้วสำหรับข้าพเจ้า ความสามารถในการล่วงรู้อนาคตของคนบางคน เขาอาจจะสามารถรู้ได้จริง และมาบอกเล่าให้เราทราบได้ แต่การรู้นั้นจะมีประโยชน์อะไรแก่ชีวิตเราเล่า เพราะการเรียนรู้เรื่องกายและใจของเรา ด้วยการฝึกวิชาของพระพุทธเจ้าน่าจะมีประโยชน์มากกว่า และดับทุกข์ได้มากกว่าเป็นไหน ๆ

    รู้อดีตแล้วได้อะไร รู้อนาคตแล้วได้อะไร ที่สุดของการรู้น่าจะเป็นการรู้ที่ปัจจุบัน มากกว่า ขนาดปัจจุบันขณะที่หายใจเข้าออก เรายังไม่รู้ตัวรู้ตน แล้วเรายังจะไปหวังเพื่อที่จะรู้อดีต และอนาคตไปเพื่ออะไรกันเล่า.....

    คัดลอก : Ladypig : http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=27446
     
  3. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    ความต้องการของอารมณ์ในการปฏิบัติทั้ง ๔ อย่าง ความต้องการของอารมณ์ เรียกว่า อุดมคติ หรือแบบที่ผู้ใหญ่โบราณสักหน่อยเรียกว่า อัชฌาสัย หรืออุดมคติ อัชฌาสัยในการปฏิบัติมี ๔ อย่างด้วยกัน ตามแบบของคัมภีร์วิสุทธิมัคค์

    ทั้งนี้การปฏิบัติทั้ง ๔ อย่างนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่า จะชอบปฏิบัติในอย่างไหน ซึ่งการปฏิบัตินั้น

    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เน้นเพียงแบบเดียว"

    ขึ้นอยู่กับตามความต้องการของแต่ละคน จะต้องการปฏิบัติแบบไหน เพราะคนทุกคนไม่ได้เกิดมาเหมือนกันหมด ดังนั้นจึงมีลักษณะนิสัยที่มีความต้องการปฏิบัติแตกต่างกันไป พุทธองค์จึงมีแบบการปฏิบัติถึง ๔ แบบคือ

    ๑.สุกขวิปัสสโก
    ๒.เตวิชโช (วิชชา 3)
    ๓.ฉฬภิญโญ (อภิญญา 6)
    ๔.ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ปฏิสัมภิทาญาณ 4)



    ส่วนการฝึกปุพเพนิวาสานุสติญาณ(ฝึกวิชาการระลึกชาตินั้น)มีประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนาญาณมาก เพราะรู้แจ้งเห็นจริงว่า การเกิดการตาย ตายแล้วเกิดหาความที่สุดมิได้นี่เป็นความจริง การเกิดแต่ละครั้งก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทุรนทุรายไม่มีอะไรเป็นสุข บางคราวเกิดในตระกูลยากจน บางคราวเกิดในตระกูลเศรษฐี บางคราวเกิดในตระกูลกษัตริย์ ทรงอำนาจ วาสนา บางคราวเป็นเทวดา บางคราวเป็นพรหม บางคราวเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย สัตว์เดียรัจฉาน รวมความว่าเราเป็นมาแล้วทุกอย่าง ไมว่าเกิดเป็นอะไรก็ตเต็มไปด้วยความทุกข์ หาการพ้นทุกข์เพราะการเกิดไม่ได้เลย เมื่อเห็นทุกข์ในการเกิด ก็เป็นการเห็นอริยสัจ ๔ จัดว่าเป็นองค์วิปัสสนาญาณ อันดับสูง การเห็นด้วยปัญญาญาณจัดเข้าในประเภทรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่เห็นแบบวิปัสสนึก คือการคาดคะเนเดาเอาเอง เดาผิดบ้างถูกบ้างตามอารมณ์คิด ได้บ้างหลงๆ ลืมๆ บ้าง เป็นวิปัสสนึกที่ให้ผลช้าอาจจะเข้าใจในอริยสัจได้แต่ก็นาน และทุกลักทุเลเกิดสมควรที่เหลวเสียนั่นแหละมาก ส่วนที่ได้เป็นมรรคผลมีน้อยเต็มทน

    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ผ่อนคลายมานะ นอกจากจะทราบประวัติของตนเองในอดีตชาติแล้ว ยังช่วยทำ ให้มีปัญญาญาณรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นยังคลายมานะ ความถือตนถือตัว อันเป็นกิเลสตัว สำคัญ ที่แม้พระอนาคามีก็ยังตัดไม่ได้ จะตัดได้ก็ต่อเมื่อถึงอรหัตตผลนั่นแหละ แต่เมื่อท่านได้ญาณนี้แล้ว ถ้าท่าน คิดรังเกียจใคร คนหรือสัตว์ รังเกียจในความโสโครก หรือฐานะ ชาติตระกูล ท่านก็ถอยหลังชาติเข้าไปหาว่า ชาติใด เราเคยเป็นอย่างนี้บ้าง ท่านจะพบว่าท่านเองเคยครองตำแหน่งนี้มาก่อน เมื่อพบแล้ว จงเตือนใจตนเองว่า เมื่อเราเป็น อย่างเขามาก่อน เขากับเราก็มีสภาพเสมอกัน เราเป็นอย่างนั้นมาก่อน เขากับเรามีสภาพเสมอกัน เราเป็นอย่างนั้น มาก่อนเขาก็ชื่อว่าเราเป็นต้นตระกูล สภาพการณ์อย่างนั้น ที่เขาเป็นอย่างนั้น เพราะเขารับมรดกตกทอดมาจากเรา เราจะมารังเกียจทายาทของเราด้วยเรื่องอะไร ถ้าเรารังเกียจทายาท ก็ควรจะรังเกียจตัวเองให้มากกว่าเพราะทราบ แล้วว่าเป็นอย่างนั้นไม่ดี เป็นที่น่ารังเกียจ เราทำไมจึงไม่ทำลายกรรมนั้นเสีย กลับปล่อยให้เป็นมรดกตกทอดมาให้ บรรดาอนุชนรุ่นหลังต้องรับกรรมต่อ ๆ กันมา เป็นความชั่วร้ายเลวทรามของเราต่างหาก ไม่ใช่เขาเลว คิดตัดใจว่า เราจะไม่ถือเพศ ชาติตระกูล ฐานะเป็นสำคัญ ใครเป็นอย่างไรก็มีสภาพเสมอกันโดยเกิดแล้วตายเหมือนกันหมด ฐานะความเป็นอยู่ ชาติ ตระกูล ในปัจจุบัน เป็นเสมือนความฝันเลื่อนลอย ไม่มีอะไรเป็นของจริง ในที่สุดก็ต้องตก เป็นเหยื่อของมัจจุราชทั้งสิ้น คิดตัดอย่างนี้ จะบรรเทามานะ ความถือทะนงตัวเสียได้ ความสุขสงบใจก็จะมีตลอด วันคืน จะก้าวสู่อรหัตตผลได้อย่างไม่ยากนัก

    วิชาเหล่านี้มีประโยชน์ค่ะ ถ้าไม่มีประโยชน์จริงพระพุทธองค์และหลวงพ่อฤาษีลิงดำจะเอามาสอนทำไม ที่ท่านสอนก็เพื่อให้เอาฤทธิ์ต่างๆที่ได้มาเป็นบาทฐานของวิปัสสนาญาณค่ะ แต่ท่านไม่ได้สอนให้ยึดติดในฤทธิ์หรือในสิ่งที่ได้ เพราะจะทำให้เกิดมานะ เกิดความโอ้อวด ถือตัว ถือตนมากยิ่งขึ้น

    อัชฌาสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีความชอบต่างกัน ถ้าให้ฝึกวิธีเดียวกันหมดทุกคน อาจจะไม่ได้ผลหรือได้ผลช้าค่ะ พระพุทธองค์จึงวางแนวปฏิบัติไว้ถึง4สายด้วยกัน แล้วแต่อัชฌาสัยของแต่ละบุคคลค่ะ


    ขออนุโมทนาค่ะ

    ที่มา:
    http://www.luangporruesi.com/126.html
    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002961.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2009
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    อ่านแล้วได้ประโยคมากครับ

    มีการตกแต่งกระทู้ด้วยไฮไลท์สีต่างๆ เพื่อเน้นข้อความสำคัญด้วย

    โมทนาสำหรับธรรมที่นำมาแบ่งปันเพื่อนๆครับ
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,291
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    อนุโมทนาครับ ชอบกระทู้นี้มากครับ เเละขอเป็นกําลังใจให้น้องเมย์เเละทุกๆคนปฏิบัติธรรมกันต่อไปครับ เจริญในธรรมครับ
     
  6. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อนุโมทนาคุณเมย์ อย่าลืมมัชฉิมาปัธถิปฏาหรือทางสายกลางด้วยครับ คุณเมย์ดูๆนิสัยน่ารักดีนะ อ่านจากประโยคเขียน
     
  7. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    เมย์ไม่น่ารักหรอกค่ะ เมย์บ้าๆบอๆ ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นค่ะ

    [​IMG]

    .
    .
    .
     
  8. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    เมย์ไม่น่ารักหรอกค่ะ เมย์บ้าๆบอๆ ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นค่ะ

    อันนี้ผมเองก็เป็นครับ คนจะทำดีต้องกล้าครับ กล้าหาญต่อบาป อ่อนน้อมต่อบุญ และที่สำคัญต้องเด็ดขาดกับจุดมุ่งหมาย พระสุปฏิปัณโณหลายท่าน ท่านยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้ทราบถึงทางพ้นทุกข์ ทำนองจะตายก็ขอให้มันตายมา แต่ต้องรู้ถึงจุดสุดท้ายให้ได้
     
  9. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    pig_cryypig_cryypig_cryy
     
  10. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    อยากขึ้นที่สูงก็ต้องทวนกระแสโลก เพราะโลกเป็นเหมือนน้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำดังนั้นหากปลาที่อยู่ในน้ำนั้นต้องการว่ายขึ้นที่สูงก็จำเป็นที่จะต้องว่ายทวนกระแสน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่อยู่ในโลกหากอยากพ้นโลกก็จำเป็นต้องว่ายทวนโลกอย่างกับปลานั่นแหละครับ แปลกสำหรับชาวโลกแต่เป็นเรื่องธรรมดาของชาวธรรม(ดา)ครับ
     
  11. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    จะแน่ใจได้อย่างไง หลังจากนี้แล้วจะได้ไปเป็นพรหม ? ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน? ตายจากสาเหตุใด ? หากตายด้วยโรค ก่อนจะสิ้นใจนี้ ธาติน้ำกับธาติดินจะฉีกแยกจากกัน ทั่วร่างกาย มันเจ็บ มากกก นะครับ แน่ใจหรือจะรักษาสมาธิได้?

    รีบ ๆ ปรารถนานิพพาน เร็ว ๆ เถอะครับ เดียวจะช้าเกินการ
    เพราะอะไร ?
    + เพราะว่ามีอะไรมารับประกันว่าคุณจะเกิดเป็นมนุษย์อีก 1...
    + เพราะว่ามีอะไรมารับประกันว่าคุณจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วมาพบพุทธศาสนาอีก 1...
    + เพราะว่ามีอะไรมารับประกันว่าคุณจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วมาพบพุทธศาสนาที่ยังคงความสมบูรณ์อีก1....
    + เพราะว่ามีอะไรมารับประกันว่าคุณจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วมาพบพุทธศาสนาที่ยังคงความสมบูรณ์อีกแล้วมีครูอาจารย์ที่ถึงพร้อมสอนคุณอีก 1

    หากคุณได้ดู ปฏิจจสมุทปบาท แล้วไม่มีอะไรจะแน่นอนเลยสำหรับปุถุชน
    มีแต่อริยะเท่านั้นที่มีคติที่ไปที่แน่นอน

    อย่ารอให้เนินช้าเลย !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2009
  12. Starpegasus

    Starpegasus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +826
    น้องหนู จิตตั้งมั่นในฌาณขนาดนี้แล้ว ได้เกิดมาในเขตพระพุทธศาสนาขนาดนี้แล้ว บารมีน้องถึงนิพพานแน่ๆ แต่น้องยังไม่ได้ลอง หรืออาจจะยังไม่รู้จักนัก

    น้องลองใช้วิปัสนาญาณดูนะ เพราะน้องทรงฌาณได้ขนาดนี้ แสดงว่าจิตมีกำลังมาก เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว ลองใช้การพิจารณาหัวข้อเหล่านี้ดู
    - สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเที่ยง จริงหรือไม่ (มีใครไม่แก่ ไม่ตายบ้าง)
    - เอาความทุกข์มาพิจารณา ถึงความเร่าร้อนของทุกข์ที่ทำให้เกิดความทรมานทั้งกายและใจ สาเหตุของทุกข์ การดับจากทุกข์นั้นเป็นอย่างไร และวิธีการให้เข้าถึงความดับทุกข์ (ดูความทุกข์ของการเกิดเป็นคน)

    ลองหาตำรา หรือเข้าหาผู้รู้ดูครับ

    บารมี คือ "กำลังใจ"

     
  13. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
    ก็เมย์อยากเป็น พรหม นี่นา

    [​IMG]

    .
    .
    .
     
  14. ดับ

    ดับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +533
    อนุโมทนาครับ สงสัยมีใครรออยู่ข้างบนแน่ๆ
     
  15. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515


    เอาด้วยสิ
    แต่คุณพี่ไม่อยากเป็นพรหม
    คุณพี่ไม่อยากเกิด
    มันเหนื่อย
    (คุณพี่ขี้เกียจที่สุดเจ็บกับตายขี้เกียจคิด
    ขี้เกียจไปหมด
    ขี้กียจเข้าห้องน้ำ
    ขี้เกียจคุยกับคน
    ขี้เกียจกินด้วยบางที)

    ข้าพเจ้าคิดไปเองว่า
    ตัวเองเป็นคนที่น่ารักมาก และเป็นชาวพุทธ

    แต่ที่คนอื่นคิดนั้นเป็นอีกเรื่องนึง
     

แชร์หน้านี้

Loading...